เมื่อพูดถึงคำว่า Minimalism ทุกคนคงนึกถึงคำว่า “น้อย” เช่น ซื้อของให้น้อยที่สุด มีของในบ้านให้น้อยที่สุด หรือกินให้น้อยที่สุด ฯลฯ แต่ความจริงแล้ว Minimalism คือเครื่องมือที่ช่วยให้เราตัดส่วนเกินชีวิตออกไปเพื่อโฟกัสอะไรที่สำคัญกว่า ไม่ใช่แค่แข่งกันมีของให้น้อยที่สุดเพียงอย่างเดียว
ทำไมการทิ้งสิ่งของที่เรามี ถึงทำให้เราเป็นสุข เข้าใจได้ใน อะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป
ซะซะกิ ฟุมิโอะ เป็นคนหนึ่งที่ใช้แนวคิด Minimalism จัดการปัญหาในชีวิตของเขา ทำให้ชีวิตดีขึ้นด้วยการทิ้งสิ่งที่ไม่สำคัญไป แนวคิดของเขากลายเป็นหนังสือชื่อ อะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป ซึ่งขายดีทั้งในญี่ปุ่นและไทย
ซะซะกิ เป็นบรรณาธิการสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ด้วยวัยสามสิบกลางๆ เงินเดือนกลางๆ ไม่มีครอบครัวเป็นฝั่งเป็นฝา ทำให้เขาเริ่มเปรียบเทียบชีวิตตนเองกับเพื่อนที่อายุเท่ากัน เหมือนที่หลายคนชอบโพสต์ในเว็บบอร์ดสีน้ำเงินแห่งหนึ่งว่า “อายุ 35 แล้วมีเงินเดือนเจ็ดแสนน้อยไปไหมครับ”
ซะซะกิ พบว่าเขากับเพื่อนร่วมชั้นช่างมีชีวิตต่างกันโดยสิ้นเชิง ในขณะที่เพื่อนของเขาซื้อคอนโดหรูหรา มีรถราคาหลายล้าน ห้องที่ซะซะกิอยู่กลับมีราคาแค่ครึ่งเดียวของรถที่เพื่อนขับ และทั้งๆ ที่เขามีข้าวของเต็มห้อง แต่เขาก็ไม่เคยพอใจ ต้องคอยติดตามข่าวสารสินค้าออกใหม่ อัพเดทเครื่องมือที่มีให้ทันสมัยอยู่เสมอ ซะซะกิจึงดึงสติตัวเองด้วยการเอาแนวคิด Minimalism มาใช้
เริ่มจากทิ้งสิ่งของที่เขาเคยเก็บสะสม ไม่ว่าจะเป็นแผ่นเกม หนังสือ หรือ แม้แต่ตู้โต๊ะตั่งเตียงก็ไม่เหลือ เพื่อย้ายเข้าไปอยู่ในห้องขนาด 20 ตร.ม. ทั้งห้องมีแค่ฟูก กับโต๊ะญี่ปุ่นเตี้ยๆ และข้าวของไม่กี่อย่าง เรียกว่าหากเกิดเหตุร้ายใดๆ เขาสามารถหอบสมบัติทั้งหมดออกจากห้องได้ในรอบเดียว
ทำไมพอคิดแบบ Minimalism แล้วถึงต้องทิ้งสิ่งของ ซะซะกิอธิบายว่า เพราะทุกวันนี้เราให้คุณค่าสิ่งของมากเกินไป ผลที่ตามมาคือ เราเสียพื้นที่ในห้องไปกับของที่ไม่กล้าทิ้ง ซะซะกิจึงเลือกเก็บของเฉพาะที่เขาเห็นว่าจำเป็นในการดำรงชีวิตอย่างโน้ตบุ๊กสำหรับทำงาน โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์ทำครัว ฟูกนอน โต๊ะเตี้ยๆ กระเป๋าเป้ที่ใส่ของได้ทุกอย่าง ฯลฯ
นอกจากนี้ เขายังเลือกของที่มีดีไซน์เรียบๆ ไม่หวือหวา เพราะหากซื้อของดีไซน์แปลก หรือหลากสีสัน สักวันก็จะเบื่อของเหล่านั้นและต้องออกไปหาซื้อของใหม่ๆ
เรียกว่าไอเดีย Minimalism ทำให้ซะซะกิเลิกยึดติดกับสิ่งที่มี หรือสิ่งที่ยังไม่มี แต่ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด และมีอิสระในการออกไปสำรวจโลกภายนอก ไม่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง
ไม่ใช่แค่ซะซะกิที่ชื่นชอบไอเดีย Minimalism จนนำมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต แต่คนญี่ปุ่นทั่วไปก็เริ่มตื่นตัวกับกระแสนี้เช่นกัน
ซะซะกิกล่าวว่า Minimalism เป็นไอเดียที่เข้ากับการใช้ชีวิตเดิมของคนญี่ปุ่นอยู่แล้ว ว่ากันตั้งแต่เรื่องพื้นที่ในประเทศซึ่งมีจำกัด ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยสูงตามไปด้วย คนญี่ปุ่นในสังคมเมืองจึงนิยมเช่าอพาร์ตเมนต์หรือคอนโดขนาดกะทัดรัด และเน้นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแทน หากนำแนวคิด Minimalism มาใช้ ก็จะแก้ปัญหาเรื่องพื้นที่จำกัด และยังสะดวกต่อการย้ายที่อยู่อาศัยอีกด้วย
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังเป็นประเทศที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง เหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อปี 2011 มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากข้าวของที่ตกลงมาเพราะแผ่นดินไหวถึง 50% ของผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด ซะซะกิบอกว่าถ้าเป็นห้องของเขาไม่ต้องห่วงเรื่องนี้เลย
ไอเดีย Minimalism ไม่ได้จำกัดแค่ตัวบุคคล แต่ยังกลายเป็นไอเดียการค้าให้กับแบรนด์ชื่อดังของญี่ปุ่นอย่าง MUJI หรือ UNIQLO ซึ่งเน้นสินค้าที่มีดีไซน์เรียบง่าย ใช้ได้ทุกโอกาส แต่ไม่น่าเบื่อ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบ Minimalism ของคนรุ่นใหม่
ยังมีหลายคนที่ไม่เข้าใจว่า Minimalism คืออะไร บ้างเข้าใจผิดว่าต้องครองตนเยี่ยงสมณเพศ ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ไม่มีครอบครัว ไม่ต้องทำงาน เลยเถิดไปถึงขั้นคิดว่าเป็นวิถีชีวิตของคนขี้แพ้ที่ไม่มีเงินซื้อของเหมือนคนอื่น แต่นั่นเป็นการมองแต่ผลลัพธ์ของแนวคิดเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ทำความเข้าใจจุดเริ่มต้นของแนวคิดนี้
Minimalism คือการรู้ว่าสิ่งใดสำคัญกับเรา และตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปเพื่อให้ชีวิตเราง่ายขึ้น มีความสุขขึ้น ไม่ได้หมายความว่าต้องอยู่ตัวเปล่า ห้ามมีสิ่งของเพียงใดๆ
ถ้าอยากรู้ว่าการทิ้งสิ่งของทำให้เรามีความสุขได้อย่างไร ต้องลองตามรอยแนวคิดของซะซะกิ ฟุมิโอะ ใน อะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป
ข้อมูลจาก
หนังสือ อะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป สนพ. Steps
www.cosmopolitan.com/lifestyle/a8674774/fumio-sasaki-goodbye-things-new-japanese-minimalism/
ชอบเล่มนี้มากครับ อ่านซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ พร้อมกับปรับชีวิตตัวเอง
กำลังอ่านอยู่เลยครับไปได้ครึ่งนึงแล้วผมว่ามีประโยชน์มากเริ่มที่จะปลดของที่เราซื้อมาเก็บๆไว้แล้วไม่ได้ใช้ออกหลายอย่างถึงจะยังไม่มากแต่ก้อรู้สึกดีครับ
Pingback: อยากมีบ้านสวย แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง มาดู กฏ 4 ข้อสำหรับมือใหม่หัด เก็บบ้าน
ผมก็มีวิถีชีวิตแบบ minimalist,ครับ ถือว่าเป็น minimalist คนหนึ่งในประเทศไทย เชิ๊ตขาว 3 ตัว ยืดเทา 4 ตัว กางเกงไม่เกิน 10 ถุงเท้า 7 กกน.7
ตอนนี้ผมทิ้งข้าวของไปเยอะมาก จนเหลือข้าวของประมาณ 150 ชิ้น นั่นแหละครับ สามารถย้ายบ้านได้ไม่เกิน 20 นาทีครับ แต่รู้สึกมีความสุขมาก อิสระและไม่กังวลเลยจริงๆ