“ผมอยากเป็นโสดาบันให้ได้ในชาตินี้ครับ”
ประโยคสุดท้าย ที่อุ๋ย-นที เอกวิจิตร์ หรืออุ๋ย Buddha Bless บอกกับเราก่อนจบบทสนทนา
หากคุณรู้จักอุ๋ยในฐานะนักร้องอย่างเดียว คุณคงพอนึกภาพคาแร็กเตอร์ของผู้ชายร่างผอมสูง ผู้รับบทสวมเสื้อสีเหลืองในวง และสวมแว่นตากวนๆ สม่ำเสมอ
วันนี้อุ๋ยมีอีกหนึ่งฐานะ และอาจจะเป็นอีกหนึ่งภาพลักษณ์ที่คุณไม่อาจรู้หากไม่มีประเด็นดีเบตอันเลื่องชื่อเมื่อก่อนหน้านี้ ว่าเขาก็เป็นคนหนึ่งที่ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างเข้มข้นจนเราคาดไม่ถึง ขนาดพุทธอภิวรรณ องค์พระบารมี พิธีกรรายการ ต่างคนต่างคิด ทางช่อง 34 อมรินทร์ทีวี ยังบอกว่า
“คุณอุ๋ย บุดดาเบลส เป็นอีกท่านที่เหนือความคาดหมาย หากใครเห็นเขาภายนอก หลายคนอาจคิดว่า ‘เด็กหนุ่มคนนี้จะมีภูมิความรู้ด้านศาสนาเหรอ’ นั่นด้วยภาพลักษณ์ที่ถูกปิดไว้เพียงเพราะคำว่า ‘ศิลปินแร็ป’ แต่เมื่อลองกะเทาะความคิดแบบหลังเลนส์ หลังฉาก หลังกล้อง บางครั้งทำให้เราเองก็อดคิดตามไม่ได้เช่นกัน”
สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะชวนอุ๋ยมาบอกเล่าเรื่องราวและบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในหนังสือชื่อ
เรื่องของ “กู” หนังสือเล่มแรกของอุ๋ยในฐานะนักเล่า – อุ๋ยย้ำหนักหนาว่าเขาเล่ามากกว่าเขียน ซึ่งถ้าได้อ่าน คุณจะรู้เลยว่าทำไมอุ๋ยถึงบอกว่าเขากำลังนั่งเล่าให้เราฟัง
ใครไม่ถนัดธรรมะก็อ่านได้ เพราะอุ๋ยไม่ได้ “เขียน” แต่อุ๋ย “เล่า” ให้คุณฟังนะ
“กูไม่มีทางทำอะไรแบบนี้แน่นอน”
ผมสนใจเรื่องนี้และถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กแล้วนะ แต่อย่างที่บอกเป็นเปลือกๆ ครับ มาสนใจจริงๆ จังๆ ตอนไปปฏิบัติธรรม ถ้าเรียกว่าสนใจศาสนานับตั้งแต่ตอนปฏิบัติดีกว่า ได้ไปเข้าคอร์สครั้งแรกก็ยุวพุทธนี่แหละครับ ตอนนั้นบ้านไฟไหม้ แล้วแม่ทุกข์ ก็เลยไปลองทำให้แม่สบายใจ ผมว่ามันท้าทายดีนะ ไปทำอะไรที่มันตรงข้ามกับชีวิตประจำวัน ที่ในชีวิตประจำวันผมคิดว่า กูไม่มีทางทำอะไรแบบนี้แน่นอน
ซึ่งตอนนั้นมันก็ไม่มีอะไรที่จะทำได้ดีมากกว่านี้นะ คือแค่คิดว่าแม่คงชอบเรื่องพวกนี้ เขาชอบทำบุญมาตั้งนานแล้วไงครับ แล้วเขาก็เพิ่งไปปฏิบัติ ได้ไปเรียน ไปนั่งสมาธิ แต่ว่าเขาก็ไม่เคยไปเข้าคอร์สแบบที่ไม่ได้พูดเลย และเขาก็เชื่อว่ามันดี ดูแล้วคนอย่างผมไม่มีทางทำได้ง่ายๆ เขาแค่เรียกไปนั่งสมาธิเป็นวันๆ ผมยังไม่ไปเลย
พอกลับมาจากปฏิบัติธรรมก็คือชอบเรื่องนี้และศึกษาจริงจังลึกไปเลย จากแค่เป็นคนที่ตั้งคำถาม แต่ว่าหาคำตอบด้วยการอ่านอย่างเดียว ไม่เคยปฏิบัติ เป็นคนชอบตั้งคำถามว่า เกิดมาทำไมวะ ชีวิตแค่นี้เหรอวะ เรียน เอ็นฯ ให้ติด ทำงาน ได้เงินเดือนสูงๆ แต่งงาน มีลูก ซื้อบ้าน ซื้อรถ แก่ ตาย แม่ง แค่นี้เหรอวะ ชีวิตคนเรา แม่ง ทำไมมันน่าเบื่ออย่างนี้วะ ตอนเด็กๆ ก็คิดอย่างนี้ครับ
“ผมเป็นคนรู้ธรรมะ ไม่ได้เป็นคนมีธรรมะ”
เพราะผมอ่าน ศึกษา คนรู้ธรรมะมีเยอะแยะมากมายครับ พวกสอบเปรียญ 9 ประโยคได้ ก็เป็นแค่คนรู้ธรรมะสำหรับผม แต่กับคนมีธรรมะ อาจไม่ต้องรู้บาลีสักคำเลยก็ได้ แต่เป็นคนควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ เวลาเกิดอารมณ์ขึ้น แล้วรู้ทัน ปล่อยวางได้ เข้าใจธรรมชาติ ว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ธรรมชาติมันก็อย่างนี้แหละ ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไป เดี๋ยวมันก็ต้องตาย ผมว่าคนที่นึกอย่างนั้นได้อยู่เสมอ ถึงระดับก้นลึกของจิตใจ ไม่ต้องมานั่งเตือนตัวเอง รู้อย่างนั้นอยู่ตลอด คือเข้าใจจริงๆ คนอย่างนั้นคือคนมีธรรมะ
เพราะผมรู้ตัวดีว่ายังเป็นปุถุชนคนธรรมดาเหมือนคนทั่วไป และเคยทำผิดพลาด ก้าวร้าว เกเร หยาบคาย มาก่อน ถึงตอนนี้ผมจะเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็น ‘คนมีธรรมะ’ อยู่ดี ถ้าจะเรียกก็ขอแค่เป็นคนคนหนึ่งที่ ‘รู้ธรรมะ’ ก็พอ
“สักวันหนึ่งตัวเองอยากจะเป็นคนมีธรรมะ”
อยากจะเป็นคนแบบนั้น พยายามทำตัวตามแผนที่เขาบอก เพื่อให้เป็นคนแบบนั้นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เป็นคนที่เป็นแบบนั้นได้
แผนที่เขาบอกคือฝึกทำบ่อยๆ ฝึกรู้ตัวเองบ่อยๆ เวลาโกรธ เวลาเกลียด เวลาหมั่นไส้ เวลาคุยกับคนเห็นต่าง แล้วเรามีอัตตาขึ้นมา พยายามรู้ตัวเองบ่อยๆ ว่าเรามีอารมณ์เกิดขึ้นแล้วนะ พอรู้ตัวบ่อยๆ แบบนั้น เห็นกระบวนการทำงานของอารมณ์ตัวเอง รู้ตัวบ่อยๆ จะได้ไม่เป็นอย่างนั้นอีก หรือถ้าเป็นก็เป็นให้สั้นลงครับ
“ฟังแล้วใช้ปัญญาของคุณพิจารณาไตร่ตรอง”
ที่ออกมาดีเบตตอนเรื่องวัดธรรมกายเพราะผมตามเรื่องนี้มานานแล้ว ผมรู้สึกว่ามันมีผลกับสังคมมาก คนจำนวนมาก มีอิทธิพลใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้ สั่งกระทรวงศึกษาได้ ว่าให้เกณฑ์เด็กไปวัดได้ คือถ้าเป็นวัดที่สอนถูกต้อง ก็ยังไม่ควรเลยที่จะใช้อำนาจในวัดมาเกณฑ์คนเข้าไป แต่นี่สอนผิดด้วย ผมเลยรู้สึกว่าไม่เข้าใจ ทำไมเป็นสิบปีแล้ว ทำอะไรไม่ได้ มันเกินไป ไม่เข้าใจว่าทำไมมันปล่อยทางอยู่อย่างนี้วะ
ผมรู้สึกว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจอยู่ ยังรู้สึกว่า ก็เขายินดีเอาตังค์ไปให้ มึงจะไปยุ่งอะไรกับเขาวะ มึงเสือกอะไร คนเขาอยากเอาตังค์ไปให้ เขาก็ศรัทธา ก็เรื่องของเขาสิ จะไปยุ่งอะไร ผมเลยออกไปชี้ให้เห็นว่าศาสนาพุทธโดยแท้มันเป็นยังไง และทำไมถึงต้องมีพระวินัยกำหนด พระสงฆ์ในประเทศเราเป็นสถานะพิเศษ แม้แต่พระมหากษัตริย์ยังต้องกราบไหว้ รถเมล์ สนามบิน ยังมีที่นั่งพิเศษสำหรับคนท้อง ก็เป็นคนพิเศษไง
เพราะฉะนั้นถ้าคุณเป็นบุคคลในสถานะพิเศษ คุณต้องทำตัวอยู่ในกรอบที่ถูกต้องและเหมาะสม ถ้าคุณทำผิด จากนั้นนำไปเผยแพร่ แล้วยิ่งมีผลกระทบต่อสังคม ผมก็อยากทำให้คนในสังคมที่ยังลังเลสงสัยอยู่ ได้เห็นผมเปิดประเด็น ฟังผมพูดสักนิดหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นเขาจะไปหาความรู้ ไปศึกษากันต่อก็เป็นเรื่องของเขา เพราะเขาไม่จำเป็นต้องเชื่อผมทั้งหมด ผมแค่มาพูดด้วยเหตุผล ถกเถียงกัน แล้วคุณก็ฟังที่เหตุผลก็แล้วกัน ใช้ปัญญาของคุณพิจารณาไตร่ตรอง
“ความรักเป็นสิ่งที่มีอายุขัย”
ผมก็มีแฟนมาแล้วหลายคนในชีวิต ตั้งแต่เด็กผมมี mindset ในหัวว่าคบใคร กูจะคบจนแก่ตายไปข้าง จะจริงจังกับความรักมาก จริงจังตั้งแต่คนแรก ก็จะเป็นอย่างนั้นอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่มาศึกษาศาสนาพุทธ ก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น แต่เราดันไปยึดตัวเองเป็นหลักซะมากกว่า
ถ้าเราไม่เปลี่ยนใจ มันก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่นอกใจ เราจะเป็นแฟนที่ดี นู่นนี่นั่น แต่ไม่ได้มองว่า แล้วถ้าคนที่มาคบกับเรา เขาไม่ได้คิดแบบนั้นละ หรือแม้กระทั่งเราเองวันหนึ่ง เราก็เปลี่ยนใจได้เลย ถ้าคนที่เขาอยู่กับเราเขาเปลี่ยนไป เราก็ไม่ได้รู้สึกกับเขาเหมือนเดิมได้นะ คือทุกอย่างมันมีอายุขัยของมัน มันไม่ได้คงอยู่ตลอดไป
มันไม่ใช่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ในทางรูปร่างอย่างเดียว แม้กระทั่งความรู้สึกก็เหมือนกัน ความรู้สึกมันเกิดขึ้น ความรู้สึกมันก็แก่ไป แล้วมันก็ตายไปได้เหมือนกัน ก็เลยรู้สึกว่าปล่อยวางมากขึ้น ไม่ได้คิดแล้วว่าช่วงเวลาที่มีความสุข ได้มองหน้าแฟน และเราจะอยู่กันไปจนแก่เฒ่า ไม่ได้คิดแล้ว
“ไม่มีรักนิรันดร มีแต่การปรับตัว”
ผมไม่ได้เชื่อว่ารักนิรันดรมีจริงแล้วนะ แต่เชื่อเรื่องการปรับตัวซะมากกว่า คือหมดรักไปแล้ว แต่ยังอยู่ด้วยกัน ผมเชื่อว่าคนสมัยก่อนที่อยู่กันไปจนแก่เฒ่าหลายคู่ก็ไม่ได้รักกันแล้วละ แต่ก็เลือกแล้วที่จะอยู่ด้วยกัน ก็ใช้การปรับตัว ไม่ว่าจะเพราะสังคม หรือประเพณี ก็แล้วแต่ที่มาห้ามให้ไม่กล้าที่จะเลิกกัน แต่ก็ทำให้เขาปรับตัวที่จะอยู่ด้วยกัน
“นิพพานกับช่างแม่งมันต่างกัน”
อันนี้ต้องเข้าใจให้ถูกก่อนว่า ช่างแม่งกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในใจ กลายเป็นคนนั่งเฉยๆ ไม่ทำมาหากินแล้ว มันต้องรู้ว่าอะไรควรช่างแม่ง อะไรที่ควรทำ คือคำว่าหน้าที่น่ะครับ ทางธรรมะหมายถึงหน้าที่ ท่านพุทธทาสบอกไว้ เพราะฉะนั้นเรื่องที่ช่างแม่ง จะเรียกว่าปัญหาที่แก้ไม่ได้ดีกว่า ความป่วยที่รักษาไม่ได้ ความแก่แก้ไม่ได้ คุณจะทำยังไง หรือจะไปแก้ใจที่คนเขาไม่รักเราแล้ว จะแก้ให้เขารักเรา มันแก้ไม่ได้ มันก็ต้องช่างแม่ง
คำว่านิพพาน ท่านพุทธทาส แปลว่าช่วงขณะ คือการกลับมาอยู่กับปัจจุบัน แล้วช่างแม่งได้ วินาทีนั้น คือวินาทีที่คุณนิพพาน คือช่างแม่งกับทุกอย่างได้ แต่ถ้าเกิดคุณกลับมาคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้อีก คุณก็กลับมาไม่นิพพานต่อ แต่ถ้าคุณจะนิพพานโดยสิ้นเชิงคือยาวเลย คุณก็ต้องหลุดพ้นแล้ว เหนือบาป เหนือบุญ ไม่มีตัวกูแล้วละ ถ้าไม่มีตัวกูได้ ก็คือคุณก็ไม่ต้องทุกข์แล้วไง ไม่มีคนทุกข์แล้ว ไม่มีตัวกู
หนังสือเล่มนี้เหมือนเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับความผิดของผม
ว่าผมทำผิดอะไรมาบ้างในทางธรรม
คุณจะได้ไม่ต้องทำผิดอย่างผม จะได้ไม่เสียเวลา
แต่ถ้าคุณจะไปลองใช้ชีวิตเดินทางผิดด้วยตัวเองก็ได้ คุณก็จะได้ไม่กลับไปผิดซ้ำอีก
เพราะประสบการณ์ตรงมันก็ทำให้คุณเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง
“เรื่องของ ‘กู’”
เรื่องของ ‘กู’ เป็นหนังสือเล่มแรกของผมครับ อย่าเรียกว่าผมเขียนเลย เรียกว่าผมพูดดีกว่า แล้วเอาไปเรียบเรียงเป็นตัวหนังสือ เพราะว่าผมลองที่จะเขียนหลายทีแล้ว แต่เขียนไม่ได้ คือความคิดผมไปเร็วกว่ามือ มันก็เลยไม่ทัน เลยคิดว่าผมถนัดที่จะพูดมากกว่า
สิ่งที่คนอ่านเล่มนี้จะได้ ผมว่าอย่างน้อยก็น่าจะได้มุมมองทางพระพุทธศาสนาในการใช้ชีวิตประจำวัน แล้วก็ประสบการณ์ของผมที่ผ่านมาแล้วในการเรียนรู้ธรรมะ เขาบอกว่า คนเราไม่มีทางจะมีประสบการณ์ชีวิตได้หลากหลายเยอะแยะมากมาย แต่วิธีการง่ายๆ คือเรียนรู้ชีวิตจากประสบการณ์ชีวิตคนอื่น ถ้าคุณอยากสนใจธรรมะ ผมก็เดินทางผิดมาเยอะ ในทางธรรมนะครับ แล้วคงจะต้องมีผิดอีกด้วย
หนังสือเล่มนี้เหมือนเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับความผิดของผม ว่าผมทำผิดอะไรมาบ้างในทางธรรม คุณจะได้ไม่ต้องทำผิดอย่างผม จะได้ไม่เสียเวลา แต่ถ้าคุณจะไปลองใช้ชีวิตเดินทางผิดด้วยตัวเองก็ได้ คุณก็จะได้ไม่กลับไปผิดซ้ำอีก เพราะประสบการณ์ตรงมันก็ทำให้คุณเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ก็อ่านง่าย และเข้าใจง่าย แบ่งเป็นข้อๆ ทั้งหมด 68 เรื่อง และแบ่งเป็นเรื่องตามไทม์ไลฟ์ครับ
คนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็จะเห็นมุมบ้าบอของผม ผมว่าที่ผมเป็นข่าว และได้รับความสนใจขึ้นมา ก็ตอนเรื่องธรรมกาย เพราะคนไม่นึกว่าผมจะออกมาพูดเรื่องนี้ หรือรู้เรื่องพวกนี้ คนที่ไม่เคยติดตามผม เขาก็บอกว่า ไอ้นี่มันอยากดัง มันมาเกาะกระแส มันก็เลยออกมาดีเบตกับเขา คือผมก็ไม่ได้บอกว่า ผมออกมาพูดแบบนี้เพราะผมรู้มากนะ ผมแค่รู้พอที่จะมาถกเถียงในแบบเหตุผลกันได้ แค่นั้นเอง
ดังนั้นอย่าเพิ่งเชื่อสิ่งที่ผมพูด หรือที่ใครพูดอะไรก็แล้วแต่ คำพูดที่คนเอามาพูดต่อๆ กัน แบบนี้ใครๆ ก็พูดได้ แต่ให้ดูคนที่การประพฤติดีกว่าครับ ถึงตอนนี้ผมก็ยังทำผิดพลาดอยู่เยอะ ยังพูดจาหยาบคาย ยังพูดจาส่อเสียดอยู่ ยังมีอารมณ์ร้อนเวลาโดนคนขับรถปาดหน้า ยังด่า ยังหงุดหงิดอยู่ทั้งๆ ที่ปฏิบัติมาแล้ว ศึกษามาแล้วแต่พอไม่ได้ทำต่อเนื่อง สติก็ทำงานไม่ทัน คราวนี้ก็เลยเหมือนคนรู้เยอะ แต่ถึงเวลาอาจจะเอามาใช้ได้ไม่ดีพอ
…..
ผมเขียนหนังสือเพื่อให้คนเห็นข้อผิดพลาดของตัวเอง
แล้วผมว่ามันเป็นธรรมะแบบย่อยง่ายครับ
??
Pingback: ความเข้าใจผิดเรื่องความรัก : คิดแบบนี้ความรักถึงไปไม่รอด