บรูโน เด็กชายวัยเก้าขวบกับครอบครัวต้องย้ายจากบ้านหลังใหญ่โตในเบอร์ลิน มาอยู่บ้านหลังเล็ก ๆ นอกเมืองที่
ถูกเรียกว่าเอาท์วิธที่มีแต่ความเงียบเหงา เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอยู่ดี ๆ ต้องย้ายมาที่นี่
แม่ให้เหตุผลแต่เพียงว่าต้องย้ายตามงานของพ่อซึ่งเป็นนายทหารใหญ่ของกองทัพ
วันหนึ่ง บรูโนตัดสินใจเดินไปสังเกตการณ์แถว ๆ รั้ว และพบกับชมูเอลซึ่งนั่งอยู่ในรั้วอีกด้าน
ทั้งคู่แตกต่างกันมาก บรูโนเป็นเด็กที่มีร่างกายสมบูรณ์ ช่างพูด ร่าเริง
ขณะที่ชมูเอลเป็นเด็กเงียบขรึม หน้าตาเศร้าสร้อยและผ่ายผอม
จากวันนั้นเป็นต้นมา บรูโนมักจะแอบไปพูดคุยกับชมูเอลพร้อมกับเอาอาหารและขนมไปให้
มิตรภาพริมรั้วของเด็กทั้งสองเริ่มงอกงามขึ้นเรื่อย ๆ
และแล้วชมูเอลได้ขอร้องให้บรูโนช่วตามหาพ่อของชมูเอลที่จู่ๆ ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
บรูโนและชมูเอลจะได้เจอพ่อของเขาอีกครั้งหรือไม่
ติดตามได้ใน เด็กชายในชุดนอนลายทาง
poonyapa –
ใครชอบแนวอิงประวัติศาสตร์ต้องลอง
อ่านแล้วหดหู่ใจมากเลย
Thitima Sukka –
เป็นวรรณกรรมสำหรับเด็กที่ชอบมากที่สุดค่ะ ชอบการที่นักเขียนเลือกที่จะถ่ายทอดความรุนแรงผ่านทางความคิดของเด็กชายทั้งสองคนเพื่อให้เนื้อเรื่องมันดูซอฟลง ใครที่เคยดูเป็นหนังแล้วชอบแนะนำให้หามาอ่านนะคะ สนุกมากกค่ะ มีหลายฉากเลยที่ในหนังไม่มี
Suthida –
อ่านจบแล้วรู้สึกเศร้าใจปนๆกับอบอุ่นเลยล่ะค่ะ ไม่คิดว่าสถานที่ที่โหดร้ายจะมีมิตรภาพผุดขึ้นมา
ทำให้รู้สึกว่ายังไงๆชีวิตก็ต้องการเพื่อนค่ะ
ภรณ์ทิพย์ ภัทจารีสกุล –
วรรณกรรมดีๆอีกหนึ่งชิ้น ที่อยากชักชวนให้อ่านกันทั้งครอบครัวเลยค่ะ
Suhansa Khampakwean –
เป็นหนังสือวรรณกรรมที่ดีมากแสดงถึงความรักที่มีต่อเพื่อน
อิงประวัติศาสตร์ด้วยคะ
๋Janjira Paojanthuek –
เด็กชายในชุดนอนลายทาง
ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์และแปลไปแล้ว ๔๖ ภาษา
เอาจริงๆ เรื่องนี้เศร้ามาก แต่ก็ให้แง่คิดได้อย่างเยอะแยะเลยทีเดียว
จากที่เห็นหน้าปก คิดเลยว่าเรื่องนี้น่าอ่าน (และสักวันฉันต้องได้อ่าน) เพราะหน้าปกมันสื่อถึงมิตรภาพที่น่ารักของเด็กสองคนที่อยู่ต่างที่กัน แม้มีรั้วกั้นแต่เขาก็ยังนั่งเล่น นั่งคุยกัน มันดูน่ารักอ่ะ อยากหยิบมาอ่าน อยากรู้ว่าเนื้อเรื่องจะสื่อถึงอะไร จะเล่าออกมาเป็นแบบไหน
แต่พอได้อ่านแล้ว จะว่าไงดีอ่ะ
การดำเนินเรื่องที่เล่าผ่านมุมมองของ ‘บรูโน’ เด็กชายวัย 9 ขวบ สิ่งที่เขารับรู้และสิ่งที่ผู้ใหญ่รับรู้มันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน
บรูโนเป็นเด็กชายที่อยู่ในวัยซุกซน วัยที่ต้องเล่น วัยที่กำลังสนุกสนาน แต่ก็ต้องย้ายบ้านไปอยู่ที่ใหม่เพราะหน้าที่ความรับผิดชอบของพ่อ ซึ่งต้องจากบ้านที่เขารักและจากกับคนที่เขารัก ทั้งเพื่อนสนิททั้ง 3 คน และคุณปู่ คุณย่า จากกับเมืองที่ถึงจะวุ่นวายแต่เขาก็ชอบเมืองนั้น ความรู้สึกนี้ก็หดหู่แล้ว ยิ่งบ้านใหม่ที่ไม่เหมือนบ้านเก่า ไม่มีเพื่อนให้เล่นด้วย สำหรับเด็กมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย เมื่อบรูโนได้พบเพื่อนใหม่ที่อยู่ฝั่งรั้วอีกด้านหนึ่งเข้าเป็นเด็กชายที่ใส่แต่ชุดนอนลายทาง เขาอยากรู้จักและอยากเล่นด้วย แต่ก็ไม่กล้าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครทั้งพ่อและแม่ว่าเขามีเพื่อนใหม่ เพราะกลัวจะถูกกันไม่ให้มาพบกับ ‘ชมูเอล’ อีก เขาจึงไม่บอกใครและแอบไปหาชมูเอลทุกวัน (เป็นเรื่องราวที่น่ารักมาก ชอบที่พวกเขาได้เจอกัน คุยกัน และเล่นด้วยกัน เอิ่ม…ไม่ได้เล่นแต่ได้เจอมันก็น่ารักแล้ว)
การดำเนินเรื่องก็เรื่อยๆ นะ แต่มันจะน่าลุ้นตอนกลางเรื่องตอนที่บรูโนเจอกับชมูเอล ตอนนี้เป็นตอนที่รอคอยมากที่สุดเลยล่ะ อยากรู้เต็มแก่ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ มันทำให้จิตใจว้าวุ้นไปหมด ทำให้ไม่กล้าอ่านต่อ แต่ก็ต้องอ่านให้จบ พออ่านจบแล้ว ฮืออ เรื่องนี้สะเทือนใจสุดๆ ทำไมต้องจบลงแบบนี้ แต่เมื่อเรียบเรียงอะไรหลายๆ อย่าง อย่างแรกเลยคือคนเล่าเรื่องคือเด็กชายวัย 9 ขวบ แน่นอนว่าเขายังไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง ยังไม่เข้าใจถึงความแตกต่างของสังคม มันอาจจะมีอะไรหลายๆ อย่างให้คาใจ แต่มันคงไม่ยากที่จะหาข้อมูลเพิ่ม
เรื่องนี้ทำให้รู้ว่ามิตรภาพมันเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเชื้อชาติ คนดีก็เกิดขึ้นได้ทุกเชื้อชาติเช่นกัน เราไม่สามารถตัดสินคนจากเชื้อชาติ สัญชาติ หรือกลุ่มคนเล็กๆ ใหญ่ๆ ได้หรอกว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่ดี เพราะเราไม่ได้รู้จักเขา แต่ถ้าเราได้รู้จักแล้วแน่นอน อย่างที่บรูโนรู้จักชมูเอล หรือที่บรูโนรู้จัก ‘พาเวล’ ยืนยันได้เลยว่าเขาเป็นคนดี ฮื่อ…เศร้าอ่ะ อ่านจบแล้วสะเทือนใจเลย
แต่ก็ให้แง่คิดเยอะค่ะ มันก็ทำให้นักอ่านรู้ว่าบรูโนก็เป็นเด็กที่มีจิตใจดี มีเมตตา มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ดูได้จากที่บรูโนไม่ได้เห็นมาเรียเป็นคนใช้ แต่เห็นมาเรียเป็นเหมือนคนในครอบครัว การที่บรูโนไม่ชอบผู้หมวดคอทเลอร์ที่พูดคำหยาบทำตัวไม่สุภาพและใช้ความรุนแรงกับพาเวลทั้งๆ ที่พาเวลแก่กว่ามาก และการเอาอาหารไปให้ชมูเอลทุกวันมันก็ทำให้บรูโนเป็นเด็กที่มีน้ำใจ
ชอบการอบรมสั่งสอนของครอบครัวบรูโน ที่แม่มักสอนให้ลูกมีมารยาท สอนให้รู้กาลเทศะ คือมันอาจจะเป็นเรื่องที่เราๆ รู้กันอยู่แล้วแต่ก็เหมือนเป็นการเตือนความรู้เราไปในตัวด้วย
เรื่องนี้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วยเดี๋ยวว่าจะไปหาดูเหมือนกันค่ะ เผื่อจะได้เข้าใจอะไรเพิ่มอีก ( แต่ก็อาจจะจิตตกเพิ่มอีก ??? )
ถ้าเพื่อนๆ ชอบแนวนี้ก็ไปลองหาอ่านกันดูนะ เผื่อได้แง่คิดอะไรใหม่ๆ จะได้มาแชร์กัน
พิพัฒน์ แซ่ฉั่ว –
เป็นเรื่องที่เศร้ามาก ควรให้ความสำคัญกับครอบครัวบ้าง ถึงแม้ลูกจะเป็นแค่เด็กแต่ก็ควรพูดหรืออธิบายให้เข้าใจว่าสิ่งไหนควรทำสิ่งไหนไม่ควรทำ เด็กไร้เดียงสาเขาไม่รู้ว่าอะไรไม่ควร เนื้อเรื่องแสดงถึงมิตรภาพที่เกิดจากเด็กฐานะดีพ่อเป็นผู้บัญชาการกับเด็กที่ไม่เคยเจอโลกภายนอก อยู่แต่ในรั้วลวดหนาม และยังต้องกลายกบฎต้องใส่ชุดลายทางตลอดเวลาเหมือนชุดนอน เล่าเรื่องได้ดีอบอุ่น จบเศร้าแต่ก็ทำให้ได้รู้ว่าครอบครัวก็ควรให้ความสำคัญกับเรื่องของเด็กๆบ้าง
May Thamnurak –
เป็นหนังสือเล่มบางที่อัดเราจนจุกเลยค่ะโดยเฉพาะตอนจบ
เนื้อเรื่องสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเล่าผ่านมุมมองเด็กชายบรูโน่
ด้วยความไร้เดียงสา เขารู้แค่ว่าพ่อเป็นทหาร แต่ไม่รู้ว่าพ่อทำอะไร
จนวันหนึ่งได้รู้จักกับหนูน้อยชมูเอลที่โดนจับเป็นเฉลยในค่ายกักกัน
ที่ก็ไร้เดียงสาเหมือนกัน ไม่เข้าใจสักนิดว่าถูกจับมาทำอะไรที่นั่น
บรูโน่เข้าใจว่าชุดที่ชมูเอลใส่เป็นชุดนอนด้วยซ้ำ
เด็กเหงาสองคนได้มารู้จักกันผ่านรั้วลวดหนามของค่ายกักกัน
กลายเป็นมิตรภาพที่สวยงามขึ้นมา
อ่านแล้วเห็นถึงความโหดร้ายของสงคราม
ผู้บริสุทธิ์ไม่ควรต้องมาโดนอะไรแบบนี้
นอกจากนั้นก็ทำร้ายความรู้สึกคนในครอบครัวด้วย
อ่านแล้วหดหู่มากจริงๆ ตอนจบนี้จุกจนพูดไม่ออกเลย
หนังสือเล่มนี้อ่านแล้วอาจไม่ช่วยให้เรากลับไปแก้ไขอะไรได้
แต่อย่างน้อยมันก็เป็นข้อเตือนใจว่าสงครามมันไม่เคย
สร้างผลดีให้กับอะไรหรือใครเลย ชอบมากๆ ค่ะ
Aim Somkuantad –
สะท้อนถึงสังคมในยุคสงคราม สนุก น่าติดตามแต่ก็หดหู่ในเวลาเดียวกัน
MALAVITA BB –
วรรณกรรมสำหรับเด็กที่ผู้ใหญ่ควรอ่าน สำหรับเราได้มีโอกาสดูภาพยนตร์ก่อนจะมาอ่านหนังสือเลยหดหู่แบบเห็นภาพชัดๆ ไปแล้วรอบหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจลองอ่านแบบหนังสือดูซึ่งภายใต้ความใสซื่อของเด็กสองคนมันเต็มไปด้วยความรุนแรงใสภาวะสงครามของพวกผู้ใหญ่ ยิ่งได้อ่านหน้าสุดท้ายที่ชี้แจงว่าสถานที่ที่เขากล่าวถึงในเรื่องคือค่ายกักกันเอาท์ชวิตซ์แต่เขาออกเสียงผิดมันยิ่งเพิ่มความหดหู่มากขึ้นกว่าเดิมอีก มันมีความหมายหลายอย่างแฝงอยู่ในเรื่อง เราจึงคิดว่าหนังสือเล่มนี้เด็กๆ ควรอ่านและผู้ใหญ่ยิ่งต้องอ่าน
Pla Potter –
“นายชื่ออะไรน่ะ” บรูโน่ถาม
“ฉันชื่อชมูแอล” เด็กชายที่สวมชุดนอนลายทางหน้าซีดเซียวจากอีกฝั่งของรั้วตอบ
“ชั้นไม่เคยมีใครที่รู้จักชื่อชมูแอลมาก่อนเลย ชื่อนายแปลกจัง” บรูโน่พูด
“ฉันก็ไม่เคยมีเพื่อนชื่อบรูโน่” ชมูแอลตอบ
แล้วทั้งสองก็เป็นเพื่อนกัน
#เด็กชายในชุดนอนลายทาง หนังสือทีเล่าเรื่องผ่านมุมมองของตัวละครอายุ 8 ขวบ ในสมัยสงครามโลก และสงครามระหว่างนาซีกับชาวยิว และประโยคที่บรูโน่จำได้ขึ้นใจ “ท่านฟูเร่อคิดการใหญ่ไว้ให้คุณพ่อ คุณพ่อเป็นคนอนาคตไกล” หนังสือในดวงใจ ที่หยิบมาอ่านกี่ครั้งก็น้ำตาซึม
SPP –
ตอนแรกดูหนังมาก่อน ประทับใจมากจนต้องไปหาซื้อหนังสือมาอ่าน พออ่านเท่านั้นแหล่ะ อื้อหือ!! รายละเอียดแน่นปึกมาก ใครเคยดูหนังมาก่อนต้องมาซื้อไปอ่านอ่ะ คือมันมีอะไรมากกว่าในหนังเยอะเลย อ่านไปอินไป มีหลายฉากทีสะเทือนใจ บรรยายได้ถึงความรู้สึกมาก
เรื่องเล่าผ่านมุมมองของบรูโนที่เป็นเด็ก มุมมองทุกอย่างเลยเต็มไปด้วยความสงสัย ความไม่เข้าใจ ถ่ายทอดออกมาแบบซื่อๆไม่ซับซ้อน แต่พอเราอ่านแล้วมันหดหู่มาก ไม่อยากให้เด็กๆต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เลย ความโหดร้าย แบ่งแยก เหยียดเชื้อชาติ ในขณะเดียวกันในสมรภูมิรบก็มีดอกไม้เบ่งบาน เหมือนมิตรภาพของทั้งสองคน อ่านไปแล้วอินมากๆ เอ็นดูทั้งบรูโนทั้งชมูลเลย โอ้ย นี่ขนาดพิมพ์ยังจะร้องไห้เลย เป็นหนังสือที่นึกถึงทีไรแล้วจะร้องไห้ตลอด
M_mee –
วรรณกรรมเรื่องนี้เปรียบดั่ง “สวนดอกไม้ในพงหนาม” มันคือความงดงามของมิตรภาพที่ก่อเกิดท่ามกลางสงคราม
แม้เรารู้ว่าโหดร้ายเพียงใด แต่หนังสือเล่มนี้ถูกความไร้เดียงสาและอ่อนประสบการณ์นำพาให้ผู้อ่านได้มองในมุมเด็ก
หากจะว่าทุกข์ก็ไม่ใช่ทุกข์เสียทีเดียว มันคือวรรณกรรมที่สุขปนทุกข์เพราะความที่เรารู้ว่าจะเกิดอะไรต่อไป…ควรค่าแก่การอ่านยิ่งค่ะ
Ornpreeya –
เป็นหนังสือที่อ่านแล้วรู้สึกหดหู่มาก พอๆ กับที่นำมาสร้างภาพยนตร์เลย ที่สำคัญคือทำให้ทราบเรื่องราวประวัติศาสตร์ในช่วงนั้น และเข้าใจเหตุผลที่ทำไมคนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยพอใจกับฮิตเลอร์นัก
อยากให้ทุกคนได้ลองอ่านกันค่ะ
Ornpreeya –
เป็นหนังสือเล่มแรกที่อ่านแล้วน้ำตาไหล รู้สึกหดหู่มาก พอๆ กับที่นำมาสร้างภาพยนตร์เลย ที่สำคัญคือทำให้ทราบเรื่องราวประวัติศาสตร์ในช่วงนั้น และเข้าใจเหตุผลที่ทำไมคนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยพอใจกับฮิตเลอร์นัก
อยากให้ทุกคนได้ลองอ่านกันค่ะ