จุลเกตุ เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีปริศนาทั่วกรุง เหยื่อแทบทุกรายถูกฆาตกรรมในวัด มีขวดใส่น้ำมันตกข้าง สภาพศพภายนอกปราศจากบาดแผล แต่อวัยวะภายในเหมือนถูกทึ้งจนขาดวิ่น! ยิ่งนานยิ่งอันตราย โดยเฉพาะเธอเองก็มีความลับที่ไม่อาจให้ใครล่วงรู้ได้เช่นกัน!
นิราศมหรรณพ
Rated 5.00 out of 5 based on 5 customer ratings
(5 customer reviews)
฿ 265.00
ผู้เขียน : ปราปต์
นับถอยหลังสู่หายนภัยแห่งชาติพันธุ์ พระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 ความงามอันน่าสะพรึงกลัวของภูมิสถาปัตยกรรมไทย หญิงหน้าต่าง เด็กหูดับ และภารกิจลับของสุนทรภู่
Out of stock
ซื้อครบ 600 บาทหลังหักส่วนลด ส่งฟรี!Weight | 444 g |
---|---|
Dimensions | 21 × 14.5 × 2 cm |
5 reviews for นิราศมหรรณพ
Add a review Cancel reply
You must be logged in to post a review.
Panida Kitjarat –
10/10
ให้เต็มไปเลย 555555
กระแทกใจ ชอบค่ะ
อารมณ์เหมือนหนังสือของแดนบราวน์ ซึ่งในขณะที่ The Davinci’s Code นั้นดังมาก แต่เรากลับชอบ Deception Point มากกว่า
นี่ก็เหมือนกัน ในขณะที่ #กาหลมหรทึก ว่าชอบมากแล้ว เรากลับชอบ #นิราศมหรรณพ มากกว่า
มันมีวิทยาศาสตร์ การเมือง โรแมนติค ดราม่า ผสมรวมอยู่ในเรื่องเดียวกัน
การเล่าเรื่องยังคงหลอกผู้อ่านไปมาเช่นเคย ทำให้คิดว่าคนนี้หรือเปล่า หรือจะเป็นคนนั้น อะไรประมาณนี้
เนื้อหาเกี่ยวกับการฆาตกรรมด้วยวิธีประหลาด สภาพภายนอกของผู้เสียชีวิตไม่มีร่องรอย แต่ภายในกลับบอบช้ำและฉีกขาดอย่างรุนแรง
การได้อ่านไปเรื่อยๆ ทำให้ได้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และประวัติศาสตร์ ไปพร้อมๆกัน
มีการเสียดสีทางการเมืองบ้างควบกันไป
บางช่วงบางตอนทำให้เราอยากด่าตัวละครบางตัว
และบางตอนทำเราน้ำตาไหล
ถ้าใครชอบ กาหลมหรทึก ก็น่าจะชอบเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน แต่นิราศมหรรณพ จะเป็นเหตุการณ์ในช่วงวิทยาการปัจจุบันค่ะ
~ ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร
ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้เกิดในใต้ฟ้าสุธาธาร
ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา ~
Fah Suchittra –
เนื้อเรื่องมักจะผูกความเชื่อกับวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน สอดแทรกด้านจริยธรรม การเมือง แล้วก็ถากถางความคิดด้านต่างๆของมนุษย์ ซึ่งมันทำให้เห็นจิตวิญญาณของมนุษย์ที่มักจะนึกถึงแต่ตัวเอง แต่มันก็เป็นความจริง ความจริงที่เราไม่ค่อยได้ใส่ใจ ไม่ค่อยได้นึกถึง และไม่ค่อยยอมรับว่าบางครั้งเราก็อาจเป็นคนแบบนั้น และผู้แต่งยังใช้ภาษาในการเขียนได้เข้าถึงความเป็นไทยสุดๆ แบบว่ามันดูงดงามสละสลวยอ่านแล้วเพลินมาก แล้วก็ใช้สถานที่ที่เกี่ยวโยงกับประวัติศาสตร์ที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว มันยิ่งทำให้เรื่องดูลึกลับซับซ้อนน่าค้นหาขึ้นไปอีก อ่านเถอะ แนะนำ แล้วคุณจะได้รับเนื้อหาที่หลากหลายเรื่องราว มันมากกว่าแค่”นิยายแนวสืบสวน”จริงๆ
Kanoknut Thanmanusorn –
สนุก น่าติดตาม เป็นการผสมผสานระหว่างวรรณคดี วิทยาศาสตร์ ความเชื่อ การเมืองและคดีฆาตกรรมอย่างลงตัว เราอ่านแล้วรูสึกเหมือนกำลังชมภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องหนึ่ง ลุ้นระทึกทุกตัวอักษร
ปลาย –
เป็นงานอีกหนึ่งชิ้นที่มีความโดดเด่นมาก ลีลาการใช้ภาษาค่อนข้างเฉพาะตัว แปลกใหม่ นิราศมหรรณพไม่ได้เป็นเพียงแค่นิยายสืบสวนสอบสวน แต่ยังแฝงประเด็นต่างๆ จิกกัดให้พอแสบๆคันๆ ชวนให้ขบคิด นอกจากนี้นิราศมหรรณพยังเป็นเหมือนตัวกลางที่เชื่อมสองศาสตร์ที่ต่างกันสุดขั้วอย่างวิทยาศาสตร์กับศิลปะให้รวมกันได้ และยังมอบพื้นที่ให้ตัวละครที่มีความแตกต่างไม่ว่าจะหญิงหน้าด่าง เด็กหูดับ หรือสายลับต่างเผ่าพันธุ์ให้มาโลดแล่นอยู่ในหน้ากระดาษเดียวกัน ทุกองค์ประกอบถูกจัดวางอย่างปราณีตและงดงาม
Fanzy Imperio –
“ในเมื่อสิ่งชวนเชื่อนั้นเหลือเชื่อยิ่ง ทว่าทุกเบาะแสโยงใยจนทำให้คิดได้อย่างเดียว”
เรื่องเริ่มที่คดีฆาตกรรมอันแปลกประหลาด เมื่อสิ่งที่มองเห็นไม่มีอะไร นั่นหมายความว่ามีความลับมากมายที่เรามองไม่เห็นแอบซ่อนอยู่ มันน่ากลัวกว่าสิ่งที่เรามองเห็นซะอีก นอกจากคดีที่มีความลับอันยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่แล้ว พระเอก-นางเอกของเรื่องก็ดูเหมือนจะมีเรื่องบางอย่างปิดบังอยู่เช่นกัน
นอกจากนั้นหนังสือเล่มนี้ยังพูดถึงเรื่อง “ความแตกต่าง” และ “ความฉลาด” เราชอบที่ผู้แต่งเล่าเรื่องผ่านตัวละครหลายๆตัว มันทำให้เห็นว่าจริงๆแล้วสังคมเรามันมีคนหลายประเภท หลายความคิด หลายมุมมอง บางคนรู้สึกไม่ชอบคนอื่นเพียงเพราะว่าเขา “แปลก” หรือ “แตกต่าง” จากตัวเอง(ซึ่งเป็นตรรกะที่เห็นแก่ตัวสุดๆ) แต่ใครจะรู้บ้างว่าคนที่ “แตกต่าง” เหล่านั้นต้องอดทนกับคำดูหมิ่นเหยียดหยามขนาดไหน แต่คนเราเมื่อรู้ว่าตัวเองมีข้อเสีย จึงต้องหาข้อดีของตัวเองมาลบล้าง นั่นทำให้ “กำมะหยี่” หนึ่งในตัวละครเรื่องนี้ เป็นคนพิการแต่ก็สมบูรณ์แบบ ด้วยความใฝ่รู้ของเธอทำให้เธอฉลาดกว่าที่ทุกคนเห็น แต่เธอต้องเก็บซ่อนความฉลาดนั้นไว้ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างปกติสุข เราชอบประโยคในเรื่องที่ว่า “คนฉลาดเป็นเหยื่อของคนฉลาดที่แกล้งโง่”
การดำเนินเรื่องจะใช้การเล่าเรื่องแบบตัดสลับเหตุการณ์ในแต่ละตอน แต่ประโยคสุดท้ายของแต่ละตอนนั้น ยอมรับว่าผู้แต่งจบประโยคได้แบบสะเทือนอารมณ์จริงๆ เป็นการจบที่แบบไม่จบอ่ะ มันให้ความรู้สึกค้างคาใจมากแทบจะ “ทุกตอน” จะมีนิยายเล่มไหนที่เรียกได้ว่าหักมุมอย่างบ้าคลั่งขนาดนี้(แม้กระทั่งตอนท้ายของภาคผนวกท้ายเล่มก็ไม่เว้น) มันทำให้ความคิดในสมองเราพลุ่งพล่าน ลุ้นระทึก จนไม่มีจังหวะที่จะหยุดพักจากการอ่านได้เลย
และด้วยเนื้อหาที่ค่อนข้างจะหลากหลาย จึงทำให้หนังสือเล่มนี้เป็นนวนิยายแนวสืบสวน อิงประวัติศาสตร์ สอดแทรกวรรณคดี ผสมแฟนตาซี ที่อยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ และแฝงถ้อยคำเสียดสีสังคมราวกับเป็นปรัชญา แต่นับได้ว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัวเหลือเกิน