[ทดลองอ่าน] คลาราและดวงอาทิตย์

Klara and The Sun

 คลาราและดวงอาทิตย์

 

คาซึโอะ อิชิงุโระ

ธิดารัตน์ เจริญชัยชนะ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

————————————————————

คำนำสำนักพิมพ์

คลาราและดวงอาทิตย์ เป็นผลงานเล่มล่าสุดหลังจากที่อิชิงุโระได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมประจำปี ค.ศ.2017 นวนิยายเล่มนี้ ผู้เขียนจะพาเราไปดูความเป็นมนุษย์และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งภายในจิตใจและสภาพแวดล้อมภายนอกของโลกปัจจุบันผ่านสายตาของเอเอฟ (เพื่อนปัญญาประดิษฐ์) ที่ชื่อคลารา เธอเป็นหุ่นยนต์ช่างสังเกต ช่างจดจำ และชอบตั้งคำถาม วันหนึ่ง โจซี เด็กสาวเลือกให้เธอไปอยู่ด้วย ยิ่งนานวันที่คลาราใช้ชีวิตอยู่กับมนุษย์ เธอเริ่มรู้สึกว่า หากเธอสังเกตความเป็นมนุษย์ได้มากเท่าไร เธอก็จะยิ่งมีความรู้สึกมากขึ้นเท่านั้น ถึงจะมีคนบอกเธอว่า หุ่นยนต์อย่างเธอนั้นไม่มีวันเข้าใจจิตใจมนุษย์ได้อย่างแท้จริง เพราะหัวใจของมนุษย์นั้นทับซ้อนกันหลายต่อหลายชั้นขนาดที่มนุษย์เองยังไม่มีวันหยั่งถึง และแม้จะมีคนเตือนคลาราว่าอย่าถือเอาคำมั่นสัญญาของมนุษย์เป็นจริงเป็นจังแล้วก็ตาม…

งานของคาซึโอะ อิชิงุโระ เป็นงานที่เล่นกับความรู้สึกของคนอ่านอย่างสม่ำเสมอผ่านตัวละครก่อนจะส่งผ่านความรู้สึกต่างๆ ที่เวียนว่ายอยู่ในตัวละครเหล่านั้นมาสู่ผู้อ่านอย่างค่อยเป็นค่อยไป นวนิยายเรื่องคลาราและดวงอาทิตย์นี้ก็เช่นกัน อิชิงุโระได้ถ่ายทอดออกมาด้วยภาษาที่ไม่ซับซ้อนเช่นจิตใจของมนุษย์ แต่กลับสะเทือนอารมณ์ได้อย่างหมดจดยิ่ง ทั้งยังเป็นงานที่มีความโรแมนติกซึ่งไม่ใช่ความหมายของคำว่าโรแมนติกอย่างที่มนุษย์ใช้บ่อยครั้ง หากแต่มันคือความโรแมนติกแบบที่มนุษย์เราต้องประสบ อันเป็นความแท้ที่ยากจะหลีกหนี
หัวใจของมนุษย์นั้นซับซ้อน – มนุษย์รู้ดีแต่เมื่อใดที่คุณมีหัวจิตหัวใจ เมื่อนั้นความเปราะบางก็พร้อมมาเยือนคุณได้ทุกเวลา

————————————————————

แด่มารดาของข้าพเจ้า
ชิซึโกะ อิชิงุโระ
(ค.ศ.1926-2019)

————————————————————

ภาคหนึ่ง

 

ตอนพวกเราเพิ่งมาอยู่ใหม่ๆ โรซากับฉันถูกตั้งไว้บนโต๊ะเล็กสำหรับวางนิตยสารตรงกลางร้าน และมองผ่านตู้โชว์สินค้าออกไปได้เกินครึ่งบาน เราจึงมองดูสิ่งที่อยู่นอกร้านได้ – พนักงานออฟฟิศผู้เร่งรีบ รถแท็กซี่ นักวิ่ง นักท่องเที่ยว ชายขอทานกับสุนัขของเขา รวมทั้งส่วนล่างของตึกอาร์พีโอ ครั้นพวกเราเริ่มคุ้นแล้ว ผู้จัดการอนุญาตให้เราเดินไปด้านหน้าร้านจนกระทั่งไปยืนอยู่หลังตู้โชว์ เราจึงได้เห็นว่าตึกอาร์พีโอสูงแค่ไหน และถ้าไปอยู่ตรงนั้นในเวลาที่เหมาะสม เราจะได้เห็นดวงอาทิตย์เดินทางข้ามระหว่างยอดตึกจากฝั่งเราไปยังฝั่งตึกอาร์พีโอ เวลาฉันโชคดีพอได้เห็นเขาเช่นนั้น ฉันจะยื่นหน้าไปข้างหน้าเพื่อพยายามรับสารบำรุงกำลังของเขาเข้ามาให้มากที่สุด และถ้าโรซาอยู่ด้วย ฉันจะบอกให้เธอทำแบบเดียวกัน หลังจากผ่านไปราวนาทีหรือสองนาที เราก็จะต้องกลับไปอยู่ตรงตำแหน่งเดิม ตอนมาอยู่ใหม่ๆ เราเคยกังวลว่าเราจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ เพราะมักจะมองไม่เห็นดวงอาทิตย์จากตรงกลางร้าน เอเอฟ ชายเร็กซ์ ซึ่งอยู่ข้างๆ เราในเวลานั้นบอกว่าไม่มีอะไรต้องกังวล ยังไงดวงอาทิตย์ก็มีวิธีมาถึงตัวเราไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน เขาชี้ที่พื้นกระดานแล้วพูดว่า “นั่นคือลวดลายของดวงอาทิตย์ ถ้าเธอกังวลนักก็แตะตรงนั้นสิ แล้วเธอก็จะกลับมาแข็งแรงดังเดิม”

ตอนที่เขาพูด ในร้านไม่มีลูกค้าและผู้จัดการกำลังยุ่งกับการจัดอะไรบางอย่างขึ้นชั้นสีแดง ฉันไม่อยากรบกวนเธอด้วยการขออนุญาต จึงเหลือบมองโรซา พอเธอมองกลับมาด้วยสายตาว่างเปล่า ฉันก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ก้มลง แล้วเอื้อมมือทั้งสองข้างออกไปยังลวดลายของดวงอาทิตย์บนพื้น แต่ทันทีที่นิ้วมือของฉันสัมผัสโดน ลวดลายนั้นก็จางหายไป และไม่ว่าฉันจะพยายามแค่ไหน – ฉันตบตรงที่เคยมีลวดลาย เมื่อไม่ได้ผลจึงถูมือบนพื้นกระดาน – ลวดลายของดวงอาทิตย์ก็ไม่กลับมา พอฉันลุกขึ้นยืนเอเอฟชายเร็กซ์ก็พูดว่า “คลารา อย่างนั้นเขาเรียกว่าโลภนะ เอเอฟหญิงอย่างพวกเธอมักจะโลภมากเสมอ”
แม้ตอนนั้นฉันจะยังใหม่ แต่ฉันก็คิดได้ทันทีว่ามันอาจไม่ใช่ความผิดของฉันที่ดวงอาทิตย์บังเอิญเก็บลวดลายของเขาคืนไปตอนที่ฉันแตะมันพอดี ทว่าใบหน้าของเอเอฟชายเร็กซ์ยังคงจริงจัง
“เธอเอาสารบำรุงกำลังไปคนเดียวหมดเลย คลารา ดูสิ เกือบจะมืดแล้วเนี่ย”
แสงสว่างภายในร้านมืดสลัวลงมากจริงๆ แม้แต่บนทางเท้าข้างนอก ป้ายห้ามจอดบนเสาไฟถนนก็ดูทึมเทาสลัวเลือน
“ฉันขอโทษ” ฉันพูดกับเร็กซ์ จากนั้นหันไปทางโรซา “ฉันขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจเอามาเป็นของตัวเองทั้งหมด”
“เพราะเธอแท้ๆ” เอเอฟชายเร็กซ์ว่า “เย็นนี้ฉันต้องอ่อนแอแน่ๆ”
“เธอพูดเล่น” ฉันพูดกับเขา “ฉันรู้หรอกน่า”
“ฉันไม่ได้พูดเล่น ฉันป่วยได้เลยนะเนี่ย แล้วเอเอฟที่อยู่หลังร้านล่ะ พวกนั้นมีอะไรไม่ปกติอยู่แล้ว ทีนี้เลยยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เธอโลภมากจริงๆ คลารา”
“ฉันไม่เชื่อเธอหรอก” ฉันเถียง แต่ชักไม่ค่อยแน่ใจแล้ว ฉันมองโรซา ทว่าสีหน้าของเธอยังคงว่างเปล่า
“ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายแล้ว” พูดเสร็จเอเอฟชายเร็กซ์ก็ทิ้งตัวโน้มมาข้างหน้า
“แต่เธอเพิ่งพูดหยกๆ ว่าดวงอาทิตย์มีวิธีมาถึงตัวเราเสมอ ฉันรู้น่าว่าเธอพูดเล่น”

สุดท้ายฉันก็โน้มน้าวตัวเองให้เชื่อได้ว่าเอเอฟชายเร็กซ์ล้อฉันเล่น แต่สิ่งที่ฉันรู้สึกวันนั้นคือ ฉันทำให้เร็กซ์เอ่ยถึงเรื่องน่าอึดอัดใจบางอย่างขึ้นมาโดยที่ฉันไม่ตั้งใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เอเอฟส่วนใหญ่ในร้านไม่อยากพูดถึง ต่อมาไม่นาน เรื่องนั้นก็เกิดขึ้นกับเอเอฟชายเร็กซ์ ซึ่งทำให้ฉันคิดว่าถึงแม้วันนั้นเขาจะพูดเล่น แต่ใจหนึ่งเขาก็จริงจังเช่นกัน เช้าที่อากาศสดใส เร็กซ์ไม่ได้อยู่ข้างๆ เราอีกต่อไปเนื่องจากผู้จัดการย้ายเขาไปเวิ้งด้านหน้า ผู้จัดการพูดเสมอว่า ทุกตำแหน่งผ่านการคิดมาอย่างรอบคอบแล้ว และพวกเราจะถูกเลือกไปตั้งตรงไหนเมื่อไรอย่างรอบคอบพอกัน ถึงกระนั้น พวกเราต่างก็รู้ดีว่าสายตาของลูกค้าที่มองเข้ามาในร้านจะสะดุดที่เวิ้งด้านหน้าก่อน เร็กซ์จึงย่อมดีใจเป็นธรรมดาเมื่อถึงตาเขาไปอยู่ตรงนั้นบ้าง เรามองดูเขาจากกลางร้านซึ่งกำลังยืนเชิดหน้า มีลวดลายของดวงอาทิตย์อยู่ทั่วตัว โรซาชะโงกเข้ามาหาฉันครั้งหนึ่งเพื่อพูดว่า “เฮ้อ เขาดูวิเศษมากเลย! เขาจะต้องได้บ้านในไม่ช้าแน่นอน!”

ในวันที่สามของเร็กซ์ที่เวิ้งด้านหน้า เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในร้านกับแม่ของเธอ ตอนนั้นฉันยังบอกอายุไม่เก่ง แต่จำได้ว่าฉันคะเนว่าเด็กคนนั้นน่าจะอายุสิบสามปีครึ่ง และในเวลานี้ฉันคิดว่าตัวเองคะเนถูกแล้วละ แม่ของเด็กเป็นพนักงานบริษัท ดูจากรองเท้ากับชุดสูทบอกได้ว่าเธอเป็นคนระดับสูง เด็กหญิงปรี่เข้าไปหาเร็กซ์และหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา ในขณะที่แม่เดินมาทางเรา มองดูเรา เดินต่อไปด้านหลังร้านที่ซึ่งมีเอเอฟสองตัวนั่งอยู่บนโต๊ะกระจก พลางแกว่งขาอย่างสบายอารมณ์อย่างที่ผู้จัดการเคยบอกให้ทำ สักพักแม่ร้องเรียกแต่เด็กหญิงไม่สนใจ เธอยังคงแหงนหน้าจ้องเร็กซ์เขม็ง แล้วเด็กหญิงก็เอื้อมมือออกมาและลูบลงไปตามแขนของเร็กซ์ แน่นอนว่าเร็กซ์ไม่พูดอะไร เขาเพียงแต่ยิ้มให้เธอและยังคงยืนนิ่งแบบที่เราถูกสั่งให้ทำเวลาลูกค้าแสดงความสนใจเป็นพิเศษ
“ดูสิ!” โรซากระซิบ “เธอจะเลือกเขา! เธอชอบเขา เขาโชคดีเป็นบ้า!” ฉันเอาศอกกระทุ้งโรซาแรงๆ ให้เธอเงียบ เพราะอาจมีใครได้ยินได้โดยง่าย

คราวนี้เด็กหญิงเป็นฝ่ายเรียกแม่บ้าง และในไม่ช้าทั้งสองก็มายืนอยู่ตรงหน้าเอเอฟชายเร็กซ์ พลางก้มๆ เงยๆ มองดูเขา เด็กหญิงยื่นมือออกไปแตะตัวเขาเป็นครั้งคราว สองแม่ลูกหารือกันเบาๆ ฉันได้ยินเด็กหญิงพูดว่า “เขาสุดยอดเลยนะคะแม่ เขางดงามมาก” ชั่วอึดใจต่อมาเด็กหญิงก็พูดว่า “โธ่ แต่แม่คะ เถอะนะ”
ถึงตอนนี้ผู้จัดการเดินมายืนอยู่ข้างหลังทั้งสองคนอย่างเงียบเชียบแล้ว ในที่สุดแม่ก็หันมาหาผู้จัดการและถามว่า
“ตัวนี้รุ่นอะไรคะ”
“บีทูค่ะ” ผู้จัดการตอบ “ซีรีส์สาม สำหรับเด็กที่เข้ากัน เร็กซ์จะเป็นเพื่อนที่สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉันรู้สึกว่าเขาจะกระตุ้นให้เด็กๆ มีความขยันขันแข็งและหมั่นเพียรค่ะ”
“สาวน้อยคนนี้จะต้องเข้ากับหุ่นตัวนั้นได้เป็นอย่างดีแน่นอนค่ะ”
“โอ้ แม่คะ เขาสุดยอดมาก”
จากนั้นแม่พูดว่า “บีทู ซีรีส์สาม รุ่นที่มีปัญหาเรื่องการดูดกลืนแสงอาทิตย์ใช่มั้ย”
เธอพูดออกมาโต้งๆ ต่อหน้าเร็กซ์ รอยยิ้มของเธอยังคงค้างบนใบหน้า เร็กซ์ก็ยังยิ้มอยู่เช่นกัน แต่เด็กหญิงมีสีหน้างุนงงและมองเร็กซ์ทีมองแม่ที
“เป็นเรื่องจริง” ผู้จัดการตอบ “ที่ว่าซีรีส์สามมีปัญหาเล็กน้อยตั้งแต่แรกเริ่ม แต่รายงานเหล่านั้นเกินจริงไปมากค่ะ ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงสว่างระดับปกติ รุ่นนี้จะไม่มีปัญหาอะไรเลย”
“ฉันได้ยินมาว่าการดูดซับแสงอาทิตย์ที่ผิดปกติจะนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ได้” แม่พูด “แม้แต่ปัญหาด้านพฤติกรรม”
“ด้วยความเคารพนะคะ คุณลูกค้า ซีรีส์สามนำความสุขมหาศาลมาให้เด็กหลายคนแล้ว ถ้าคุณไม่ได้อาศัยอยู่ที่อลาสกาหรือลึกลงไปในเหมือง คุณก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเลยค่ะ”
แม่ยังคงจ้องมองเร็กซ์ต่อไป ในที่สุดก็ส่ายหน้า “แม่เสียใจจ้ะ คาโรไลน์ แม่เข้าใจว่าทำไมลูกถึงชอบตัวนี้ แต่เขาไม่เหมาะกับเรา เราจะหาตัวที่เหมาะกับลูกที่สุด”
เร็กซ์ยังคงยิ้มต่อไปจนกระทั่งลูกค้าทั้งสองออกจากร้านแล้ว และแม้หลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีเศร้าเสียใจ แต่แล้วฉันก็นึกถึงตอนที่เขาปล่อยมุกนั่น และในตอนนั้นฉันแน่ใจว่าคำถามเกี่ยวกับดวงอาทิตย์เหล่านั้นอยู่ในใจเร็กซ์มาสักพักแล้ว ที่ว่าเราจะกักเก็บสารบำรุงกำลังของดวงอาทิตย์ได้มากน้อยแค่ไหน

แน่นอน ปัจจุบันนี้ฉันตระหนักแล้วว่าเร็กซ์คงไม่ใช่คนเดียวที่ข้องใจเรื่องนี้ แต่เป็นที่รู้กันว่ามันไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย – เราทุกตัวมีข้อมูลจำเพาะที่รับประกันว่าเราจะไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น ตำแหน่งของพวกเราภายในห้อง ถึงกระนั้น เอเอฟจะรู้สึกว่าตัวเองเซื่องซึมลงหลังอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ราวสองสามชั่วโมง และจะเริ่มกังวลว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับตน – มีข้อบกพร่องเฉพาะตัวบางอย่าง และหากมีใครรู้เข้า เขาจะไม่มีวันได้บ้านนั่นเป็นหนึ่งเหตุผลว่าทำไมพวกเราจึงมักจะคิดมากเรื่องการได้ไปอยู่ตู้โชว์สินค้า ผู้จัดการรับปากว่าเราจะได้ผลัดกันไปอยู่ตรงนั้นทุกตัว และพวกเราต่างก็เฝ้ารอให้วันนั้นมาถึง ส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้จัดการเรียกว่า ‘เกียรติพิเศษ’ ของการเป็นตัวแทนร้านต่อสายตาคนข้างนอก และแน่นอน ไม่ว่าผู้จัดการจะพูดอะไร เราทุกตัวต่างรู้ดีว่าเรามีสิทธิ์ถูกเลือกมากกว่าระหว่างที่อยู่ตู้โชว์ ทว่าสิ่งสำคัญซึ่งแอบรับรู้กันเองในหมู่พวกเราก็คือดวงอาทิตย์และสารบำรุงกำลังของเขา โรซาเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้กับฉันครั้งหนึ่งด้วยเสียงกระซิบกระซาบก่อนถึงตาของพวกเราไม่นาน “คลารา เธอคิดว่าพอเราได้ไปอยู่ตู้โชว์สินค้าแล้ว เราจะได้รับสิ่งดีงามมากมายจนเราจะไม่มีวันขาดแคลนอีกเลยหรือเปล่า”

ตอนนั้นฉันยังใหม่อยู่จึงไม่รู้จะตอบอย่างไร ถึงแม้ในหัวฉันจะมีคำถามเดียวกันนั้นอยู่เช่นกัน และแล้วก็ถึงตาของพวกเรา โรซากับฉันก้าวเข้าไปในตู้โชว์สินค้าในเช้าวันหนึ่ง ดูให้แน่ใจว่าจะไม่ชนของโชว์ล้มคว่ำเหมือนเอเอฟสองตัวก่อนหน้าเราเมื่อสัปดาห์ก่อน แน่นอนว่าร้านยังไม่เปิดและฉันคิดว่าลูกกรงเหล็กคงจะปิดลงมาทั้งบาน แต่ทันทีที่เรานั่งลงบนโซฟาลายทาง ฉันเห็นว่ามีช่องว่างแคบๆ ไล่ไปตามด้านล่างลูกกรงเหล็ก – ผู้จัดการคงจะยกมันขึ้นเล็กน้อยตอนตรวจดูว่าทุกอย่างพร้อมสำหรับเรา – และแสงของดวงอาทิตย์ก็ทำให้เกิดเป็นแถบสี่เหลี่ยมสว่างจ้าส่องขึ้นมาถึงยกพื้นแล้วสิ้นสุดเป็นเส้นตรงตรงหน้าเราพอดี แค่เราเหยียดเท้าออกไปเล็กน้อยก็จะได้เข้าไปอยู่ในความอบอุ่นของมันแล้ว ฉันรู้แล้วว่าไม่ว่าคำตอบสำหรับคำถามของโรซาจะเป็นเช่นไร เราก็กำลังจะได้รับสารบำรุงกำลังครบถ้วนตามที่ต้องการในอีกไม่นานนี้ และทันทีที่ผู้จัดการแตะสวิตช์และลูกกรงเหล็กเปิดขึ้นทั้งบาน แสงสว่างพร่างพรายก็อาบคลุมทั่วร่างเรา ฉันควรสารภาพตรงนี้ว่าสำหรับฉันแล้ว มีอีกเหตุผลหนึ่งเสมอมาที่ทำให้ฉันอยากเข้าไปอยู่ตู้โชว์สินค้า ซึ่งไม่เกี่ยวกับสารบำรุงกำลังของดวงอาทิตย์หรือการได้รับเลือก ต่างจากเอเอฟส่วนใหญ่ ต่างจากโรซา ฉันมักเฝ้าฝันที่จะได้เห็นข้างนอกมากกว่านี้เสมอ – และได้เห็นรายละเอียดของทุกอย่าง ด้วยเหตุนั้นทันทีที่ลูกกรงเหล็กถูกยกขึ้น ความตระหนักที่ว่าในเวลานี้ระหว่างฉันกับทางเท้ามีเพียงกระจกกั้นเท่านั้น ฉันมีอิสระที่จะได้มองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างอย่างใกล้ชิดและทั้งหมด ซึ่งก่อนหน้านี้ฉันได้เห็นแค่มุมๆ หรือขอบๆ เท่านั้น ทำให้ฉันตื่นเต้นมากจนเกือบลืมเรื่องดวงอาทิตย์และความใจดีของเขาที่มีต่อพวกเราไปชั่วขณะ

ฉันเพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรกว่าตึกอาร์พีโอนั้นแท้จริงแล้วสร้างจากอิฐแยกเป็นก้อนๆ และมันไม่ได้เป็นสีขาวอย่างที่ฉันคิดมาตลอด ทว่าเป็นสีเหลืองอ่อน ฉันได้เห็นเช่นกันว่ามันสูงกว่าที่คิด – ยี่สิบสองชั้น – และหน้าต่างที่หน้าตาเหมือนๆ กันนั้น แต่ละบานโดดเด่นด้วยหิ้งหน้าต่างพิเศษที่เป็นของใครของมัน ฉันได้เห็นว่าดวงอาทิตย์วาดเส้นทแยงพาดผ่านด้านหน้าตึกอาร์พีโออย่างไร ด้วยเหตุนั้นด้านหนึ่งของตึกจึงมีรูปสามเหลี่ยมที่ดูเกือบเป็นสีขาว ในขณะที่อีกด้านมีรูปสามเหลี่ยมที่ดูมืดคล้ำมากๆ ถึงฉันจะรู้แล้วก็ตามว่าอาคารทั้งหลังเป็นสีเหลืองอ่อน และฉันไม่เพียงมองเห็นหน้าต่างทุกบานที่ไล่ขึ้นไปจนถึงหลังคาตึกเท่านั้น บางครั้งยังเห็นคนที่อยู่ในตึกด้วย ทั้งที่ยืนอยู่ ทั้งนั่ง หรือเดินไปเดินมา ส่วนบนถนนก็มองเห็นผู้สัญจร เห็นรองเท้าหลากหลายรูปแบบของพวกเขา เห็นแก้วกระดาษ กระเป๋าสะพาย สุนัขตัวเล็กๆ และถ้าฉันต้องการฉันก็กลอกตาตามใครคนหนึ่งไปจนผ่านทางม้าลายและเลยป้ายห้ามจอดอันที่สอง ถึงตรงที่คนงานสองคนยืนอยู่ข้างท่อระบายน้ำและกำลังชี้ไม้ชี้มือ ฉันมองเข้าไปในรถแท็กซี่ขณะที่พวกมันชะลอความเร็วเพื่อให้ฝูงชนข้ามถนน – เห็นมือของคนขับรถเคาะพวงมาลัยเบาๆ และเห็นหมวกแก๊ปที่ผู้โดยสารสวมอยู่ได้เลย วันนั้นผ่านไป ดวงอาทิตย์ทำให้เราอบอุ่นทั้งวัน ฉันดูออกว่าโรซามีความสุขมาก แต่ก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าเธอแทบไม่มองดูสิ่งใดเลย ได้แต่จดจ้องป้ายห้ามจอดอันแรกที่อยู่ตรงหน้าเราตลอดเวลา เธอจะหันหัวเฉพาะเวลาที่ฉันชี้ให้ดูอะไรเท่านั้น แต่ไม่นานก็จะหมดความสนใจและหันกลับไปมองทางเท้าข้างนอกกับป้ายเหมือนเดิม โรซาจะมองไปทางอื่นนานๆ เฉพาะตอนมีผู้สัญจรมาหยุดตรงหน้าตู้โชว์สินค้าเท่านั้น ในสถานการณ์เช่นนั้น เราทั้งสองจะทำตามที่ผู้จัดการสอนคือ เราต้องยิ้มแบบ ‘กลางๆ’ และจดจ้องข้ามถนนไปยังตำแหน่งครึ่งทางก่อนถึงตึกอาร์พีโอ มันน่าเย้ายวนใจมากที่จะได้มองดูผู้สัญจรซึ่งมาหยุดยืนหน้าร้านอย่างใกล้ชิด แต่ผู้จัดการอธิบายว่ามันเป็นความหยาบคายมากที่จะสบตาพวกเขาในช่วงเวลานั้น เราจะโต้ตอบได้ก็ต่อเมื่อผู้สัญจรส่งสัญญาณถึงเราเป็นพิเศษหรือพูดกับเราผ่านกระจกเท่านั้น แต่เราห้ามเป็นฝ่ายชวนคุยก่อนเป็นอันขาด

มีบ้างบางคนที่มาหยุดตรงหน้าร้านแต่ปรากฏว่าไม่ได้สนใจเราแม้แต่น้อย พวกเขาแค่อยากจะถอดรองเท้ากีฬาและทำอะไรบางอย่างกับมัน ไม่ก็กดวัตถุทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าของพวกเขา แต่บางคนก็ตรงรี่มาที่กระจกแล้วส่องเข้ามาในร้าน หลายคนในบรรดานี้เป็นเด็กในช่วงอายุที่เหมาะกับเราที่สุด และพวกเขาดูมีความสุขที่ได้เห็นเรา เด็กคนหนึ่งจะเข้ามาอย่างตื่นเต้น ไม่ว่ามาคนเดียวหรือมากับผู้ใหญ่ก็ตาม จากนั้นจะชี้ หัวเราะ ทำหน้าทำตาแปลกๆ เคาะกระจก ไม่ก็โบกมือให้นานๆ ครั้ง – และไม่ช้าฉันก็เชี่ยวชาญขึ้นในการมองคนเหล่านั้นที่ตู้โชว์ขณะทำทีเป็นจ้องมองตึกอาร์พีโอ – จะมีเด็กเดินเข้ามาจ้องเราเขม็ง แล้วก็จะมีความเศร้า หรือบางครั้งก็ความโกรธปรากฏบนใบหน้าราวกับพวกเราทำอะไรผิด เด็กลักษณะเช่นนี้จะเปลี่ยนไปทันทีทันใด แล้วก็จะเริ่มหัวเราะหรือโบกไม้โบกมือเหมือนเด็กคนอื่น แต่หลังจากพวกเราอยู่ในตู้โชว์สินค้าได้สองวัน ฉันก็เรียนรู้ที่จะแยกแยะความต่างได้อย่างรวดเร็วฉันพยายามคุยกับโรซาเรื่องนี้หลังจากมีเด็กแบบที่ว่ามาเกาะกระจกสามหรือสี่ครั้ง แต่เธอยิ้มก่อนพูดว่า “คลารา เธอวิตกกังวลมากเกินไปแล้ว ฉันแน่ใจว่าเด็กคนนั้นมีความสุขสุดยอด เธอจะไม่มีความสุขในวันอากาศดีๆ อย่างนี้ได้ยังไง วันนี้เมืองทั้งเมืองมีความสุขกันจะตาย”
แต่ฉันยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกับผู้จัดการตอนสิ้นสุดวันที่สามของพวกเรา เธอชมว่าเรา ‘งดงามและสง่างาม’ เวลาอยู่ในตู้โชว์ แสงไฟในร้านถูกปรับให้สลัวลงแล้ว และพวกเราอยู่กันที่หลังร้าน บ้างยืนพิงผนัง บ้างกำลังพลิกดูนิตยสารที่น่าสนใจก่อนเข้านอน โรซาอยู่ข้างๆ ฉัน และฉันสังเกตได้จากไหล่ของเธอว่าเธอใกล้หลับเต็มที ด้วยเหตุนั้นเมื่อผู้จัดการถามว่าวันนี้ฉันมีความสุขหรือเปล่า ฉันจึงถือโอกาสบอกเธอเรื่องเด็กเศร้าสร้อยที่มายืนเกาะตู้โชว์สินค้า

“คลารา เธอน่าทึ่งมาก” ผู้จัดการพูดเสียงแผ่วเบาจะได้ไม่รบกวนโรซากับเอเอฟตัวอื่นๆ “เธอสังเกตและดูดซับหลายสิ่งหลายอย่าง” เธอส่ายหน้าคล้ายกับรู้สึกพิศวง จากนั้นพูดว่า “สิ่งที่เธอต้องเข้าใจคือเราเป็นร้านที่พิเศษมาก มีเด็กมากมายข้างนอกนั่นที่อยากจะมีโอกาสได้เลือกเธอ เลือกโรซา เลือกพวกเธอตัวใดตัวหนึ่ง แต่มันเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขา พวกเธอเป็นสิ่งไกลเกินเอื้อม นั่นคือเหตุผลที่เด็กเหล่านั้นมายืนเกาะกระจก มาฝันหวานถึงการได้ครอบครองพวกเธอ แต่แล้วพวกเขาก็ต้องพบกับความเศร้า”
“ผู้จัดการคะ เด็กอย่างนั้น เด็กอย่างนั้นจะมีเอเอฟอยู่ที่บ้านหรือเปล่าคะ”
“อาจจะไม่ ที่แน่ๆ คือไม่ใช่รุ่นแบบพวกเธอ ฉะนั้น ถ้าบางครั้งมีเด็กมามองดูเธอแบบแปลกๆ ด้วยความขมขื่นหรือความเศร้า และพูดคำไม่น่าฟังผ่านกระจกก็ไม่ต้องสนใจนะ แค่จำไว้ว่าเด็กอย่างนั้นน่าจะเป็นเด็กที่ท้อแท้สิ้นหวังที่สุด”
“เด็กอย่างนั้น ที่ไม่มีเอเอฟ จะต้องเหงาแน่เลย”
“เรื่องนั้นก็ใช่” ผู้จัดการพูดเสียงเบา “เหงา ใช่แล้ว”
เธอหลุบตาลงแล้วเงียบไป ฉันจึงรอคอย แล้วจู่ๆ เธอก็ยิ้มพร้อมกับเอื้อมมือออกมาฉวยนิตยสารที่น่าสนใจซึ่งฉันกำลังสำรวจอยู่ไปจากมือของฉันอย่างอ่อนโยน
“ราตรีสวัสดิ์ คลารา พรุ่งนี้ขอให้ทำตัววิเศษเหมือนอย่างวันนี้นะ และอย่าลืมว่าเธอกับโรซาเป็นตัวแทนของพวกเราต่อคนทั้งถนน”

 

วันที่สี่ในตู้โชว์สินค้าของพวกเราผ่านไปเกือบครึ่งทางแล้ว เมื่อฉันเห็นรถแท็กซี่คันนั้นชะลอความเร็ว คนขับชะโงกตัวออกมาเพื่อที่แท็กซี่คันอื่นจะได้ให้เขาเปลี่ยนเลนเข้ามาจอดตรงขอบถนนหน้าร้านเรา สายตาของโจซีจ้องมองฉันขณะลงจากรถมายืนบนทางเท้า เธอดูซีดเซียวและผอมบาง ขณะที่เธอเดินตรงเข้ามาหาพวกเรานั้น ฉันสังเกตเห็นว่าท่าเดินของเธอต่างจากผู้สัญจรคนอื่น เธอไม่ได้เชื่องช้าเสียทีเดียว แต่เหมือนจะคอยดูหลังจากเดินแต่ละก้าวเพื่อให้แน่ใจว่าเธอยังคงปลอดภัยและจะไม่ล้ม ฉันคะเนว่าเธออายุสิบสี่ปีครึ่ง
ครั้นเข้ามาอยู่ใกล้พอจนคนเดินถนนทั้งหมดผ่านไปผ่านมาข้างหลังเธอแล้ว เธอก็หยุดเดินและยิ้มให้ฉัน
“หวัดดี” เธอเอ่ยผ่านกระจก “เฮ้ ได้ยินฉันหรือเปล่า”
โรซายังคงจ้องไปข้างหน้ายังตึกอาร์พีโออย่างที่พึงกระทำ แต่เนื่องจากเด็กสาวคุยกับฉัน ฉันจึงมองเธอตรงๆ ยิ้มตอบและพยักหน้าอย่างให้กำลังใจได้
“จริงเหรอ” โจซีถาม – แต่แน่นอนว่าตอนนั้นฉันยังไม่รู้จักชื่อของเธอ “ฉันยังแทบไม่ได้ยินตัวเองเลย เธอได้ยินฉันจริงๆ เหรอ”
ฉันพยักหน้าอีกครั้ง เธอส่ายหน้าราวกับประทับใจมาก
“ว้าว” เธอเหลียวกลับไปมอง – แม้แต่การเคลื่อนไหวนี้เธอก็ยังทำด้วยความระมัดระวัง – ประตูของรถแท็กซี่คันที่เด็กสาวเพิ่งลงมายังเปิดค้างขวางทางไว้เหมือนเดิม มีคนสองคนยังนั่งอยู่ที่เบาะหลังพลางพูดคุยและชี้อะไรบางอย่างที่อยู่ถัดไปจากทางม้าลาย โจซีมีท่าทีดีใจที่ผู้ใหญ่ของเธอยังไม่มีทีท่าจะลงจากรถ และก้าวมาข้างหน้าอีกหนึ่งก้าวจนกระทั่งใบหน้าของเธอเกือบจะโดนกระจก
“ฉันเห็นเธอเมื่อวานนี้” เธอพูด
ฉันนึกถึงวันก่อนหน้า แต่ไม่พบความทรงจำเกี่ยวกับโจซี จึงมองเธอด้วยความประหลาดใจ
“อ้อ ไม่ต้องรู้สึกแย่หรอก เธอไม่มีทางเห็นฉันอยู่แล้ว ฉันอยู่ในรถแท็กซี่ที่แล่นผ่านไป ไม่ได้แล่นช้าขนาดนั้นด้วย แต่ฉันเห็นเธอในตู้โชว์ วันนี้เลยขอให้แม่แวะน่ะ” เธอหันกลับไปมองด้วยความระมัดระวังแบบเดิมอีก “ว้าว แม่ยังคุยกับมิสซิสเจฟฟรีส์อยู่เลย เป็นการคุยที่แพงน่าดูว่ามั้ย มิเตอร์แท็กซี่เดินไปเรื่อยๆ”
พอเธอหัวเราะฉันถึงเห็นว่าใบหน้าของเธอเปี่ยมด้วยความใจดีแค่ไหน แต่น่าแปลก ในชั่วขณะเดียวกันนั้นเองที่ฉันรู้สึกคลางแคลงเป็นครั้งแรกว่าโจซีจะเป็นหนึ่งในเด็กเหงาเหล่านั้นที่ผู้จัดการกับฉันคุยกันหรือเปล่า

เธอเหลือบมองโรซา – ซึ่งยังคงจ้องตึกอาร์พีโอตามหน้าที่ – แล้วพูดว่า “เพื่อนของเธอน่ารักมากเลย” แม้ในขณะที่พูด ดวงตาของโจซีก็มองกลับมาที่ฉันแล้ว เธอจ้องฉันต่อไปเงียบๆ อีกหลายอึดใจ ฉันเริ่มกังวลว่าพวกผู้ใหญ่ของเธอจะลงจากรถก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไรอีก แต่แล้วเธอก็พูดว่า
“รู้มั้ย เพื่อนของเธอจะเป็นเพื่อนที่สมบูรณ์แบบสำหรับใครบางคน แต่เมื่อวานนี้ เราขับรถผ่านมาและฉันเห็นเธอ และฉันก็คิดว่าเธอนั่นเอง เธอคือเอเอฟที่ฉันตามหามาตลอด!” เธอหัวเราะอีก “โทษที มันอาจฟังดูหยาบคายไปหน่อย” เธอหันไปทางแท็กซี่อีกครั้ง แต่คนบนเบาะหลังยังไม่มีทีท่าจะลงมา “เธอเป็นคนฝรั่งเศสเหรอ” โจซีถาม “เธอดูเหมือนคนฝรั่งเศสเลย”
ฉันยิ้มก่อนส่ายหัว
“มีเด็กสาวฝรั่งเศสสองคน” โจซีเอ่ย “มาที่งานพบปะของเราครั้งก่อน ทั้งสองคนไว้ผมทรงนั้น เรียบร้อยและสั้นเหมือนเธอเป๊ะเลย ดูน่ารักดี” เธอจ้องมองฉันเงียบๆ อีกสักพัก ฉันคิดว่าฉันเห็นสัญญาณความเศร้าเล็กๆ อีกอย่าง แต่ตอนนั้นฉันยังใหม่จึงไม่แน่ใจนัก แล้วเธอก็หน้าตาสดใสขึ้นพร้อมกับพูดว่า
“เฮ้ พวกเธอนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ร้อนกันเหรอ อยากดื่มอะไรบ้างมั้ย”
ฉันส่ายหน้าแล้วหงายฝ่ามือขึ้น เพื่อแสดงให้เห็นถึงความดีงามของสารบำรุงกำลังของดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมาบนตัวเรา
“อ้อ ใช่ ไม่ทันคิดน่ะ พวกเธอชอบอยู่กลางแดดใช่มั้ย”
เธอหันไปอีก คราวนี้เพื่อแหงนหน้ามองยอดตึก ชั่วขณะนั้นดวงอาทิตย์อยู่ตรงช่องว่างของท้องฟ้าพอดี โจซีหลับตาปี๋ทันใดแล้วหันกลับมาหาฉัน
“ไม่รู้ว่าพวกเธอทำได้ยังไง แบบว่ามองไปทางนั้นตลอดเวลาโดยที่ตาไม่พร่าน่ะ แค่แป๊บเดียวฉันยังทำไม่ได้เลย”
เธอยกมือขึ้นป้องหน้าผากแล้วหันไปอีก คราวนี้ไม่ได้มองดวงอาทิตย์ แต่มองตรงไหนสักแห่งใกล้กับยอดตึกอาร์พีโอ หลังจากผ่านไปห้าวินาทีเธอก็หันกลับมาหาฉันอีก
“ฉันเดาว่าสำหรับพวกเธอ ตรงที่พวกเธออยู่น่ะ ดวงอาทิตย์คงจะตกหลังตึกใหญ่นั่นใช่มั้ย นั่นแปลว่าเธอจะไม่เคยเห็นว่าจริงๆ แล้วดวงอาทิตย์ตกตรงไหน ตึกหลังนั้นบังไว้ตลอด” เธอหันไปมองเร็วๆ เพื่อดูว่าพวกผู้ใหญ่ยังอยู่ในแท็กซี่หรือเปล่า จากนั้นพูดต่อ “ที่ที่เราอยู่ไม่มีอะไรขวางเลย จากห้องของฉันเธอจะมองไปเห็นตรงที่ดวงอาทิตย์ตก และเห็นที่ที่มันไปอยู่ในตอนกลางคืนได้เลยละ”
ฉันต้องมีสีหน้าประหลาดใจแน่นอน และฉันเห็นได้จากหางตาว่าโรซาถึงกับลืมตัว หันมาจ้องโจซีด้วยความประหลาดใจแล้ว
“แต่ไม่เห็นหรอกนะว่าในตอนเช้ามันขึ้นจากตรงไหน” โจซีพูด “มีเนินเขากับทิวไม้บังน่ะ คงคล้ายๆ กับที่นี่ละมั้ง สิ่งต่างๆ มักจะมีอะไรมาเป็นอุปสรรคเสมอ แต่ตกเย็นนี่คนละเรื่องกันเลย ถ้ามองจากห้องของฉันออกไปทางด้านนั้นมันจะกว้างไกลและเวิ้งว้างว่างเปล่า ถ้าเธอมาอยู่กับเรา เธอก็จะได้เห็น”
ผู้ใหญ่คนหนึ่ง ตามด้วยอีกคน ก้าวลงจากรถแท็กซี่มายืนบนทางเท้า โจซีไม่เห็นพวกเขา แต่เธออาจได้ยินเสียงบางอย่างเพราะเธอเริ่มพูดเร็วขึ้น
“สาบานได้ เธอจะมองเห็นเลยว่าดวงอาทิตย์ตกลงไปตรงไหน”
ผู้ใหญ่สองคนนั้นเป็นผู้หญิง ทั้งคู่แต่งชุดทำงานระดับสูง ฉันเดาว่าคนตัวสูงกว่าเป็นแม่ที่โจซีพูดถึง เพราะเธอคอยมองมาทางโจซีแม้แต่ตอนจูบแก้มกับคนที่มาด้วย จากนั้นคนที่มาด้วยก็เดินจากไปปะปนกับผู้สัญจรคนอื่น แล้วแม่จึงหันมาทางเราเต็มตัว ชั่วแวบหนึ่ง สายตาคมกริบของเธอไม่ได้มองด้านหลังของโจซี ทว่ามองมาที่ฉันก่อนเสมองขึ้นไปยังตึกอาร์พีโอทันใด ทว่าโจซีกำลังพูดต่อผ่านกระจก เสียงของเธอเบาลงแต่ยังได้ยิน
“ต้องไปแล้ว แต่ฉันจะกลับมาเร็วๆ นี้ แล้วเราค่อยคุยกันต่อนะ” จากนั้นพูดด้วยเสียงเกือบกระซิบซึ่งได้ยินแค่ฉัน “เธอจะไม่ไปไหนใช่มั้ย”
ฉันส่ายหัวแล้วยิ้ม
“ดีจัง โอเค งั้นลาก่อน แต่แค่ตอนนี้เท่านั้นนะ”
ถึงตอนนี้แม่มายืนอยู่ข้างหลังโจซีแล้ว เธอมีผมสีดำ รูปร่างผอมบาง ทว่าไม่ผอมเท่าโจซีหรือนักวิ่งบางคน เธอเข้ามาใกล้และฉันก็เห็นใบหน้าเธอชัดขึ้น ฉันเพิ่มค่าคะเนอายุของเธอขึ้นเป็นสี่สิบห้าปี อย่างที่บอก ตอนนั้นฉันยังคะเนอายุได้ไม่แม่นยำนัก แต่คราวนี้น่าจะใกล้เคียง มองไกลๆ ทีแรกฉันคิดว่าเธอน่าจะอายุน้อยกว่านี้ แต่พอเธอเข้ามาใกล้ฉันจึงเห็นร่องลึกรอบริมฝีปากเธอ รวมทั้งร่องรอยความเหนื่อยล้าระคนโกรธเกรี้ยวในดวงตาเธอด้วย ฉันสังเกตเห็นเช่นกันว่าตอนที่แม่ยื่นมือออกมาหาโจซีจากด้านหลัง แขนที่ยื่นออกมานั้นลังเลเล็กน้อยอยู่กลางอากาศจนเกือบจะเหมือนกำลังถอยกลับ ก่อนยื่นมาข้างหน้าเพื่อวางบนไหล่ของลูกสาว
ทั้งสองเข้าไปในกลุ่มผู้สัญจรที่มีอยู่ล้นหลาม มุ่งหน้าไปทางป้ายห้ามจอดอันที่สอง โจซีเดินอย่างระมัดระวังโดยมีแขนของแม่โอบไว้ ก่อนที่ทั้งสองจะลับไปจากสายตาของฉัน โจซีเหลียวกลับมามองครั้งหนึ่ง และถึงแม้เธอจะทำให้จังหวะการเดินของพวกเขาสะดุด แต่เธอก็ยังอุตส่าห์โบกมือให้ฉันเป็นครั้งสุดท้าย

 

ต่อมาในบ่ายวันเดียวกันนั้น โรซาพูดขึ้นว่า “คลารา ตลกดีว่ามั้ย ฉันคิดมาตลอดว่าพอเรามาอยู่ในตู้โชว์ เราจะได้เห็นเอเอฟมากมายข้างนอกนั่น บรรดาตัวที่ได้บ้านแล้วน่ะ แต่เอาเข้าจริงมีไม่เยอะเลย สงสัยจังว่าพวกเขาไปอยู่ที่ไหนกันหมด” นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากเกี่ยวกับโรซา เธออาจจะมองไม่เห็นอะไรหลายๆ อย่าง และแม้แต่เวลาที่ฉันชี้ให้ดูเธอก็ยังไม่เห็นความพิเศษหรือความน่าสนใจของสิ่งนั้น แต่ก็มีบางครั้งบางคราวที่เธอตั้งข้อสังเกตทำนองนี้ขึ้นมา ทันทีที่เธอพูดประโยคนั้น ฉันพลันตระหนักว่าฉันเองก็หวังจะได้เห็นเอเอฟอีกหลายตัวจากตู้โชว์สินค้า ได้เห็นพวกเขาเดินอย่างมีความสุขกับเด็กๆ ของตน หรือแม้แต่ออกมาทำธุระปะปังของตัวเองเพียงลำพัง และถึงฉันจะไม่ได้ยอมรับกับตัวเอง แต่ฉันก็รู้สึกประหลาดใจและผิดหวังนิดหน่อยเช่นกัน
“เธอพูดถูก” ฉันพูดพลางมองจากทางด้านขวาไปทางด้านซ้าย “ดูอย่างตอนนี้สิ ท่ามกลางผู้สัญจรเหล่านี้ไม่มีเอเอฟสักตัว”
“ตรงนั้นไม่ใช่เหรอ ที่กำลังเดินผ่านตึกหนีไฟน่ะ”
เราทั้งสองมองดูอย่างตั้งอกตั้งใจ สักพักก็ส่ายหัวพร้อมกัน
ถึงเธอจะเป็นคนตั้งคำถามเรื่องเอเอฟข้างนอก แต่เป็นเรื่องปกติที่เธอจะหมดความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ในไม่ช้า ตอนที่ฉันเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกับเอเอฟของเขาเดินผ่านซุ้มขายน้ำผลไม้บนฝั่งตึกพีอาร์โอในที่สุด เธอแทบไม่มองไปทางพวกเขาแล้ว
ทว่าฉันยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องที่โรซาพูด เมื่อใดก็ตามที่มีเอเอฟเดินผ่าน ฉันจะมองดูอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ช้าฉันก็สังเกตเห็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง จะมีเอเอฟทางฝั่งตึกอาร์พีโอให้เห็นมากกว่าฝั่งของเรา และถ้าเอเอฟที่กำลังเดินกับเด็กสักคนบังเอิญผ่านป้ายห้ามจอดอันที่สองมุ่งหน้ามาทางเราในฝั่งของเรา พวกเขามักจะข้ามถนนตรงทางม้าลายและไม่ผ่านร้านเรา ส่วนเอเอฟที่เดินผ่านพวกเราก็มักจะมีท่าทางแปลกๆ พลางเร่งฝีเท้าและหันหน้าไปทางอื่นเกือบทุกตัว ตอนนั้นฉันคลางแคลงว่าพวกเรา – ทั้งร้าน – อาจเป็นสิ่งน่าอับอายสำหรับพวกเขาหรือเปล่า ฉันสงสัยว่าโรซากับฉัน ครั้นได้บ้านอยู่แล้ว จะรู้สึกกระอักกระอ่วนหรือเปล่าเมื่อถูกเตือนความจำว่าเราไม่ได้อยู่กับเด็กๆ ของเรามาโดยตลอด ทว่าเคยอยู่ที่ร้านมาก่อน แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ฉันก็จินตนาการไม่ออกว่าโรซาหรือฉันจะรู้สึกอย่างนั้นกับร้าน กับผู้จัดการ และกับเอเอฟตัวอื่นได้เลย
ขณะมองดูข้างนอกต่อไป ความเป็นไปได้อีกอย่างก็ผุดขึ้นในหัวฉัน เอเอฟไม่ได้รู้สึกอับอาย ทว่าหวาดกลัวต่างหาก พวกเขากลัวเพราะเราเป็นรุ่นใหม่ ทั้งยังกลัวว่าในไม่ช้าเด็กของตนจะตัดสินใจว่าถึงเวลาโยนเขาทิ้งได้แล้ว จะได้เปลี่ยนเป็นเอเอฟรุ่นใหม่อย่างพวกเรา นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเอเอฟข้างนอกถึงได้เดินลากเท้าผ่านไปอย่างเก้ๆ กังๆ โดยไม่ยอมหันหน้ามาทางเราเลย และทำไมเราถึงเห็นเอเอฟน้อยมากจากตู้โชว์สินค้า เท่าที่พวกเรารู้ ถนนถัดไป – เส้นที่อยู่หลังตึกอาร์พีโอ – มีพวกเขาอยู่คลาคล่ำ เท่าที่พวกเรารู้ เอเอฟข้างนอกจะพยายามเต็มที่ในการหาเส้นทางอื่นๆ แทนเส้นทางที่จะพาพวกเขามาผ่านร้านเรา เพราะสิ่งสุดท้ายที่เอเอฟเหล่านั้นต้องการก็คือ เด็กของเขาเห็นเราและปรี่เข้ามาที่ตู้โชว์
ฉันไม่ได้บอกเล่าความคิดนี้ให้โรซาฟัง แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเห็นเอเอฟข้างนอก ฉันจะตั้งข้อสงสัยแทนว่า ไม่รู้เอเอฟตัวนั้นมีความสุขกับเด็กและบ้านของตัวเองหรือเปล่า และมันก็มักจะทำให้โรซาตื่นเต้นดีใจเสมอ เธอเห็นเป็นเกมสนุกสนานกับการชี้และพูดว่า “ดูตรงนั้นสิ! เห็นมั้ยคลารา เด็กผู้ชายคนนั้นรักเอเอฟของเขา! อุ๊ย ดูท่าทางที่พวกเขาหัวเราะด้วยกันสิ!”
แน่นอนว่ามีหลายคู่ที่ดูมีความสุขดี ทว่าโรซาพลาดสัญญาณอะไรไปหลายอย่าง เธอมักจะร้องขึ้นอย่างเบิกบานใจเวลาเห็นเด็กกับเอเอฟเดินผ่านไป ในขณะที่ฉันจะมองดูและตระหนักว่าถึงแม้เด็กหญิงจะกำลังยิ้มให้เอเอฟของเธอ แต่ที่จริงเธอกำลังโกรธเขา และในชั่ววินาทีนั้นอาจกำลังมีความคิดโหดร้ายเกี่ยวกับเขาอยู่ก็ได้ ฉันสังเกตเห็นอะไรทำนองนั้นตลอดเวลา แต่ไม่ได้พูดอะไร และปล่อยให้โรซาเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเชื่อต่อไป

ครั้งหนึ่ง ในเช้าวันที่ห้าของเราในตู้โชว์สินค้า ฉันเห็นแท็กซี่สองคันที่ฝั่งตึกอาร์พีโอกำลังเคลื่อนตัวช้าๆ และอยู่ใกล้กันมากจนคนที่เพิ่งมาใหม่อาจคิดว่าพวกมันเป็นยานพาหนะคันเดียว – เป็นแท็กซี่คู่ จากนั้นคันข้างหน้าแล่นเร็วขึ้นเล็กน้อยทำให้เกิดช่องว่างขึ้น ฉันมองผ่านช่องว่างนั้นไปบนทางเท้าที่อยู่ไกลออกไป เด็กสาวอายุสิบสี่ปีสวมเสื้อลายการ์ตูนกำลังเดินมุ่งหน้าไปยังทางม้าลาย เธอไม่มีผู้ใหญ่หรือเอเอฟมาด้วย ทว่าดูมั่นใจและลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย และเนื่องจากเธอเดินด้วยความเร็วเท่ากับรถแท็กซี่ ฉันจึงมองดูเธอผ่านช่องว่างนั้นไปได้เรื่อยๆ อยู่พักหนึ่ง แล้วช่องว่างระหว่างแท็กซี่สองคันนั้นก็กว้างขึ้น ฉันจึงเห็นว่าแท้จริงแล้วเธออยู่กับเอเอฟ – เอเอฟชาย – ซึ่งกำลังเดินตามหลังเธออยู่สามก้าว ทั้งยังเห็นได้แม้ในระยะห่างแคบๆ นั้นว่าเขาไม่ได้เดินตามหลังด้วยความบังเอิญ แต่เด็กสาวเป็นคนกำหนดว่าพวกเขาจะต้องเดินในลักษณะนี้เสมอ – เธออยู่ข้างหน้าและเขาตามหลังอยู่สองสามก้าว เอเอฟชายยอมรับในข้อนี้ ถึงแม้ผู้สัญจรคนอื่นจะมองเห็นและสรุปว่าเขาไม่ได้รับความรักจากเด็กสาวก็ตาม นอกจากนั้น ฉันยังมองเห็นความเหนื่อยล้าในท่าเดินของเอเอฟชายด้วย และสงสัยว่าเราจะรู้สึกอย่างไรที่อุตส่าห์ได้บ้านแล้ว แต่กลับต้องรับรู้ว่าเด็กไม่ได้ต้องการเรา ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเอเอฟที่ต้องอยู่กับเด็กที่เหยียดหยามเขาและอยากให้เขาไปอยู่ที่อื่น อีกทั้งไม่เคยคิดด้วยว่า แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่พวกเขาก็ยังทนอยู่ด้วยกันได้ จนกระทั่งได้มาเห็นคู่นี้นี่แหละ แท็กซี่คันหน้าชะลอความเร็วลงเพราะเป็นทางม้าลาย และคันหลังเร่งตามมา ฉันจึงมองไม่เห็นเด็กกับเอเอฟคู่นั้นอีก ฉันมองต่อไปเรื่อยๆ เพื่อดูว่าพวกเขาจะข้ามถนนมาหรือเปล่า แต่ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฝูงชนตรงทางม้าลาย และฉันมองไม่เห็นฝั่งตรงข้ามอีกต่อไปเนื่องจากมีแท็กซี่คันอื่นบัง

 

ในช่วงหลายวันนั้น ฉันคงไม่อยากให้ใครมานั่งอยู่ข้างๆ กันในตู้โชว์สินค้านอกจากโรซา ทว่าตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันทำให้รู้ว่าเรามีทัศนคติต่างกันหลายอย่าง ไม่ใช่เพราะฉันกระตือรือร้นอยากเรียนรู้เกี่ยวกับข้างนอกมากกว่าโรซาเสียทีเดียว เธอตื่นเต้นและช่างสังเกตในแบบของเธอ ทั้งยังกังวลใจกับการเตรียมตัวเองให้เป็นเอเอฟที่ใจดีและมีประโยชน์ที่สุดพอๆ กับฉัน แต่ยิ่งมองดูเท่าไรฉันก็ยิ่งอยากจะเรียนรู้เท่านั้น และต่างจากโรซาตรงที่ฉันเริ่มสับสนงุนงง จากนั้นรู้สึกทึ่งขึ้นเรื่อยๆ จากอารมณ์ความรู้สึกอันลึกลับที่ผู้สัญจรแสดงออกตรงหน้าเรา ฉันตระหนักว่าหากฉันไม่ทำความเข้าใจสิ่งลึกลับเหล่านี้บ้างสักหน่อย ฉันจะช่วยเหลือเด็กของฉันได้ไม่ดีเท่าที่ควร ฉันจึงเริ่มเสาะหาพฤติกรรมที่ฉันจำเป็นต้องเรียนรู้ – จากบนทางเท้า ในบรรดารถแท็กซี่ที่แล่นผ่านไป และท่ามกลางฝูงชนที่รอข้ามถนน ทีแรกฉันอยากให้โรซาทำอย่างฉันบ้าง แต่ในไม่ช้าก็เห็นว่าป่วยการเปล่า ครั้งหนึ่ง ในวันที่สามในตู้โชว์สินค้า เมื่อดวงอาทิตย์ลับไปหลังตึกอาร์พีโอแล้ว มีแท็กซี่สองคันมาจอดทางฝั่งเรา คนขับลงจากรถแล้วก็เริ่มชกต่อยกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราได้เห็นการชกต่อย ตอนที่เรายังค่อนข้างใหม่ เราพากันมามุงตรงหน้าต่างเพื่อจะได้ดูตำรวจสามนายต่อสู้กับชายขอทานกับสุนัขของเขาตรงหน้าประตูทางเข้าว่างๆ ให้ชัดๆ แต่นั่นไม่ใช่การต่อสู้ด้วยความโกรธเกรี้ยว และผู้จัดการอธิบายให้ฟังภายหลังว่า ตำรวจรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับชายขอทานเนื่องจากเขาเมาเหล้า และตำรวจเพียงแต่พยายามจะช่วยเหลือเขาอย่างไร ทว่าคนขับแท็กซี่สองคนนี้ต่างจากตำรวจ พวกเขาชกต่อยกันราวกับสิ่งสำคัญที่สุดคือการทำลายกันและกันให้มากที่สุด ใบหน้าพวกเขาบิดเบี้ยวกลายเป็นรูปทรงน่าเกลียดน่ากลัว ด้วยเหตุนั้น คนที่เพิ่งมาใหม่อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทั้งสองเป็นมนุษย์ และตลอดเวลาที่ชกกันนั้น พวกเขาตะโกนถ้อยคำโหดร้ายไม่ขาดปาก ทีแรกผู้สัญจรต่างรู้สึกตื่นตกใจจนยืนห่างออกมา แต่แล้วก็มีพนักงานออฟฟิศสองสามคนกับนักวิ่งคนหนึ่งเข้าไปจับทั้งสองแยกออกจากกัน และถึงแม้คนหนึ่งจะมีเลือดบนใบหน้า แต่ต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันขึ้นรถของตน แล้วทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ชั่วอึดใจต่อมาฉันสังเกตเห็นว่าแท็กซี่สองคันนั้น – ซึ่งคนขับเพิ่งชกต่อยกัน – จอดรถติดไฟแดง คันหนึ่งอยู่หน้าอีกคันบนเลนเดียวกัน รอสัญญาณไฟเปลี่ยนสีอย่างใจเย็น
เมื่อฉันพยายามคุยกับโรซาเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเราเห็น เธอกลับทำหน้างุนงงและพูดว่า “ชกต่อยเหรอ ฉันไม่เห็นเห็นเลย คลารา”
“โรซา เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่เห็น มันเกิดขึ้นตรงหน้าเราเมื่อกี้นี้เอง คนขับรถสองคนนั้นน่ะ”
“อ๋อ เธอหมายถึงคนขับแท็กซี่นั่นเอง! ฉันไม่รู้ว่าเธอหมายถึงสองคนนั้น คลารา โธ่ ฉันก็ต้องเห็นสิ แต่ไม่คิดว่าเขาทะเลาะกันนะ”
“โรซา พวกเขาทะเลาะกันแน่นอน”
“ไม่หรอกน่า พวกเขาแกล้งทำ แค่เล่นๆ กันน่ะ”
“โรซา สองคนนั้นทะเลาะกัน”
“อย่างี่เง่าไปหน่อยเลย คลารา! เธอคิดอะไรแปลกๆ สองคนนั้นแค่เล่นกัน และพวกเขาก็มีความสุข เช่นเดียวกับผู้สัญจรคนอื่นๆ”
สุดท้ายฉันพูดแค่ว่า “เธออาจพูดถูก โรซา” และฉันไม่คิดว่าเธอจะคิดถึงเรื่องนี้อีก

ฉันไม่อาจลืมคนขับแท็กซี่สองคนนั้นได้โดยง่าย ฉันจะกลอกตามองคนคนหนึ่งไปตามทางเท้า พลางนึกข้องใจว่าเขาจะโกรธจัดเหมือนคนขับแท็กซี่สองคนนั้นได้หรือเปล่า หรือไม่ฉันก็จะพยายามจินตนาการว่าผู้สัญจรสักคนจะมีสีหน้าท่าทางอย่างไร หากเขาหรือเธอโกรธจนใบหน้าบิดเบี้ยว ที่สำคัญที่สุด – ซึ่งเรื่องนี้โรซาคงจะไม่มีวันเข้าใจ – ฉันพยายามรู้สึกถึงความโกรธแบบเดียวกับคนขับแท็กซี่ภายในใจตัวเอง พยายามจินตนาการว่าฉันกับโรซาโกรธกันมากๆ จนเราเริ่มทะเลาะกัน พยายามตั้งหน้าตั้งตาทำร้ายร่างกายกันละกัน ความคิดนั้นช่างน่าขัน แต่ฉันได้เห็นคนขับแท็กซี่แล้ว ฉันจึงพยายามค้นหาจุดเริ่มต้นของความรู้สึกนั้นในใจตัวเองบ้าง ทว่าไร้ประโยชน์ และฉันมักจะลงเอยด้วยการหัวเราะความคิดตัวเองเสมอ
ถึงกระนั้น ยังมีอย่างอื่นอีกที่เรามองเห็นจากตู้โชว์สินค้า – อารมณ์ความรู้สึกอื่นที่ฉันยังไม่เข้าใจในทีแรก – ซึ่งในที่สุดฉันก็ค้นพบในบางรูปแบบภายในตัวเอง แม้ว่าบางทีมันอาจจะเหมือนกับเงาที่ทอดลงบนพื้นโดยโคมไฟเพดานหลังจากลูกกรงเหล็กถูกดึงลงมาแล้วก็ตาม ตัวอย่างเช่น สิ่งที่เกิดขึ้นกับหญิงถ้วยกาแฟ
ผ่านมาสองวันแล้วหลังจากที่ฉันได้พบกับโจซีครั้งแรก ยามเช้ามีฝนโปรยปรายไม่ขาดสาย ผู้สัญจรพากันเดินพร้อมดวงตาหรี่เล็กอยู่ภายใต้ร่มกับหมวกที่มีน้ำหยดติ๋งๆ ตึกอาร์พีโอไม่เปลี่ยนไปมากนักท่ามกลางฝนกระหน่ำ ถึงแม้จะเห็นไฟเปิดอยู่ที่หน้าต่างหลายบานของตึกราวกับเป็นตอนเย็นแล้วก็ตาม ตึกหนีไฟที่อยู่ติดกันมีหย่อมเปียกๆ ขนาดใหญ่ไล่ลงมาทางด้านซ้ายของด้านหน้าอาคารคล้ายกับมีน้ำผลไม้ไหลซึมลงมาจากมุมหลังคา แล้วจู่ๆ ดวงอาทิตย์ก็โผล่ออกมา ส่องแสงลงบนถนนเปียกชุ่มและบนหลังคารถแท็กซี่ เมื่อผู้สัญจรเห็นดังนั้นจึงพากันออกมาข้างนอกเป็นจำนวนมาก และในความเร่งรีบที่ตามมานั้นเองที่ฉันเห็นชายร่างเล็กในเสื้อกันฝน เขาอยู่ทางฝั่งตึกอาร์พีโอ ฉันคะเนอายุของเขาว่าเจ็ดสิบเอ็ดปี เขากำลังโบกไม้โบกมือพลางตะโกนลั่น เดินมาใกล้ขอบทางเท้าจนฉันกังวลว่าเขาจะก้าวตัดหน้ารถแท็กซี่ที่เคลื่อนตัวอยู่ ขณะนั้นผู้จัดการบังเอิญอยู่ตู้โชว์สินค้ากับเราพอดี – เธอกำลังจัดป้ายหน้าโซฟา – และเธอเห็นชายที่กำลังโบกมือพร้อมๆ กับฉัน เขาสวมเสื้อกันฝนสีน้ำตาล เข็มขัดของมันห้อยต่องแต่งลงมาด้านหนึ่งยาวเกือบถึงข้อเท้าของเขา แต่เหมือนเขาจะไม่ได้สังเกตและยังคงโบกมือพลางตะโกนมาทางฝั่งเราต่อไป ผู้สัญจรกลุ่มหนึ่งยืนออกันอยู่นอกร้าน ไม่ได้มองมาที่พวกเรา แต่เนื่องจากทางเท้ามีคนแออัดยัดเยียดจึงไม่มีใครเคลื่อนตัวไปไหนได้ครู่หนึ่ง แล้วบางอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป ฝูงชนบางตาลงและฉันเห็นหญิงร่างเล็กคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าหันหลังให้เรา เธอกำลังมองตัดถนนสี่เลนที่มีแท็กซี่แล่นอยู่ไปยังชายที่กำลังโบกมือ ฉันมองไม่เห็นใบหน้าของเธอ แต่คะเนจากรูปร่างท่าทางว่าเธอน่าจะอายุหกสิบเจ็ดปี ฉันตั้งชื่อให้เธอในใจว่าหญิงถ้วยกาแฟ เพราะดูจากด้านหลังและเมื่อสวมเสื้อโค้ตขนสัตว์ตัวหนาอย่างนั้น เธอเหมือนจะตัวเตี้ยทว่าลำตัวกว้างและไหล่กลมมนเหมือนถ้วยกาแฟเซรามิกที่วางคว่ำอยู่บนชั้นสีแดง แม้ชายคนนั้นจะยังคงโบกมือพลางร้องตะโกนและเธอเห็นเขาอย่างชัดเจน แต่เธอก็ไม่ได้โบกมือหรือตะโกนตอบ เธอยังยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้ในตอนที่นักวิ่งสองคนวิ่งตรงเข้ามาหาเธอ แหวกออกเป็นสองทางแล้วจึงค่อยกลับไปวิ่งด้วยกันใหม่ รองเท้ากีฬาของพวกเขาทำให้มีน้ำกระเซ็นเล็กน้อยไปตามทางเท้า

ในที่สุดหญิงถ้วยกาแฟก็ขยับเขยื้อนตัว เธอเดินไปที่ทางม้าลาย – ตามที่ชายคนนั้นทำท่าชี้บอก – เริ่มจากก้าวช้าๆ ก่อนแล้วจึงค่อยเร่งฝีเท้าขึ้น เธอต้องหยุดอีกครั้งเพื่อรอตรงสัญญาณไฟเหมือนทุกคน แล้วชายร่างเล็กในเสื้อกันฝนก็หยุดโบกมือ ทว่าเขากำลังมองดูเธออย่างวิตกกังวลมากๆ ฉันคิดเหมือนเดิมว่าเขาอาจจะก้าวลงมาตัดหน้ารถแท็กซี่ แต่เขาสงบสติอารมณ์ตัวเองแล้วเดินมารอเธอตรงปลายทางม้าลายฝั่งตัวเอง เมื่อแท็กซี่จอดและหญิงถ้วยกาแฟเริ่มข้ามถนนไปพร้อมกับคนอื่นๆ ฉันเห็นชายคนนั้นยกกำปั้นขึ้นมาจ่อที่ตาข้างหนึ่ง แบบที่ฉันเคยเห็นเด็กบางคนทำในร้านเวลาพวกเขาหัวเสีย เมื่อหญิงถ้วยกาแฟข้ามไปถึงฝั่งตึกอาร์พีโอ เธอกับชายในเสื้อกันฝนก็กอดกันแน่นจนเหมือนเป็นคนตัวใหญ่ๆ คนเดียว และเมื่อดวงอาทิตย์สังเกตเห็นก็ส่องสารบำรุงกำลังลงมาที่พวกเขา ฉันยังคงมองไม่เห็นใบหน้าของหญิงถ้วยกาแฟ แต่ชายร่างเล็กในเสื้อกันฝนหลับตาปี๋ ฉันจึงไม่แน่ใจว่าเขามีความสุขมากหรือหัวเสียมากกันแน่
“สองคนนั้นท่าทางมีความสุขมากที่ได้เจอกัน” ผู้จัดการเอ่ย ฉันจึงตระหนักว่าเธอก็มองดูพวกเขาอย่างตั้งอกตั้งใจพอกับฉัน
“ใช่ค่ะ พวกเขาดูมีความสุขมาก” ฉันตอบ “แต่น่าแปลก เพราะพวกเขาดูเหมือนจะหัวเสียด้วยเหมือนกัน”
“เฮ้อ คลารา” ผู้จัดการเอ่ยเสียงแผ่ว “เธอไม่เคยพลาดอะไรสักอย่างเลยใช่มั้ยเนี่ย”
จากนั้น ผู้จัดการเงียบไปเนิ่นนาน พลางถือป้ายค้างอยู่ในมือและจ้องไปยังฝั่งตรงข้ามถนนแม้คนทั้งสองพ้นจากสายตาไปแล้ว ในที่สุดเธอก็เอ่ยขึ้น
“พวกเขาอาจไม่ได้เจอกันนานมาก นานแสนนาน บางทีตอนที่ทั้งสองได้กอดกันอย่างนั้นเป็นครั้งสุดท้าย พวกเขาอาจจะยังเด็กอยู่ก็ได้”
“ผู้จัดการหมายถึง พวกเขาพลัดพรากจากกันเหรอคะ”
เธอเงียบไปอีกครู่หนึ่ง “ใช่” เธอตอบในที่สุด “คงจะเป็นอย่างนั้น ทั้งสองพลัดพรากจากกัน และเพิ่งได้พบกันโดยบังเอิญเดี๋ยวนี้เอง”
เสียงของผู้จัดการต่างจากปกติ และถึงแม้สายตาของเธอจะมองออกไปข้างนอก แต่ฉันคิดว่าขณะนี้เธอไม่ได้จ้องมองอะไรเป็นพิเศษ ฉันเริ่มคลางแคลงด้วยซ้ำว่าผู้สัญจรจะคิดอย่างไรที่เห็นผู้จัดการมาอยู่ในตู้โชว์สินค้ากับพวกเรานานขนาดนี้
เธอหันหลังจากกระจกแล้วเดินผ่านเราไป ระหว่างนั้นเธอแตะไหล่ฉันเบาๆ
“บางครั้ง” เธอเอ่ย “ณ ช่วงเวลาพิเศษเช่นนั้น คนเราอาจจะรู้สึกเจ็บปวดไปพร้อมๆ กับมีความสุขได้ ฉันดีใจที่เธอมองดูทุกอย่างอย่างตั้งอกตั้งใจนะ คลารา”
ผู้จัดการเดินจากไปแล้ว โรซาพูดขึ้นว่า “แปลกชะมัด เธอหมายความว่าอะไรน่ะ”
“ช่างเถอะ โรซา” ฉันพูดกับเธอ “เธอแค่พูดถึงข้างนอกน่ะ”
แล้วโรซาก็เริ่มคุยเรื่องอื่น แต่ฉันยังคิดถึงหญิงถ้วยกาแฟกับชายในเสื้อกันฝนของเธอและสิ่งที่ผู้จัดการพูดต่อ ฉันพยายามจินตนาการว่าตัวเองจะรู้สึกอย่างไรหากเนิ่นนานนับจากนี้ นานหลังจากเราได้บ้านและแยกย้ายกันไป แล้วโรซากับฉันได้มาพบกันอีกครั้งโดยบังเอิญบนถนนอย่างนี้ ในตอนนั้นฉันจะรู้สึกเจ็บปวดไปพร้อมกับมีความสุขอย่างที่ผู้จัดการพูดหรือเปล่า

 

เช้าวันหนึ่งตอนต้นสัปดาห์ที่สองของพวกเราในตู้โชว์สินค้า ฉันกำลังคุยอยู่กับโรซาเกี่ยวกับอะไรสักอย่างบนฝั่งตึกอาร์พีโอ ทันใดนั้นฉันก็เงียบไปเมื่อตระหนักว่าโจซีมายืนอยู่บนทางเท้าตรงหน้าพวกเรา แม่ยืนอยู่ข้างเธอ คราวนี้ไม่มีแท็กซี่อยู่ข้างหลังพวกเธอ แต่เป็นไปได้ว่าทั้งสองลงมาจากแท็กซี่แล้วรถก็แล่นออกไปโดยที่ฉันไม่ทันสังเกต เพราะมีกลุ่มนักท่องเที่ยวกั้นอยู่ระหว่างตู้โชว์กับตำแหน่งที่พวกเธอยืนอยู่ ทว่าตอนนี้ผู้สัญจรกลับมาเคลื่อนที่ได้อย่างลื่นไหลดังเดิมแล้วและโจซีกำลังยิ้มแป้นอย่างมีความสุขให้ฉัน ใบหน้าของเธอ – ฉันคิดเหมือนเดิม – ดูเปี่ยมล้นด้วยความใจดีเวลายิ้ม แต่เธอยังเดินมาที่ตู้โชว์ไม่ได้เพราะแม่กำลังโน้มตัวลงไปพูดด้วยโดยวางมือข้างหนึ่งบนไหล่ของเธออยู่ แม่สวมเสื้อโค้ต – ผ้าบางสีเข้มแบบระดับสูง – ซึ่งถูกลมพัดปลิวไหวอยู่รอบตัว ทำให้ฉันนึกถึงนกสีดำทะมึนที่เกาะอยู่บนสัญญาณไฟจราจรสูงชะลูดแม้ลมพัดโหมกระหน่ำขึ้นมาแวบหนึ่ง ทั้งโจซีและแม่มองมาที่ฉันไม่วางตาระหว่างพูดคุยกัน ฉันสังเกตเห็นว่าโจซีอยากเข้ามาหาฉันเต็มที แต่แม่ยังไม่ยอมปล่อยตัวเธอและยังพูดต่อไปเรื่อยๆ ฉันรู้ว่าฉันควรจะมองตึกอาร์พีโอเข้าไว้เหมือนที่โรซาทำ แต่ฉันอดเหลือบมองทั้งสองไม่ได้ ฉันกลัวมากว่าพวกเธอจะหายไปกับฝูงชน
ในที่สุดแม่ก็ยืดตัวขึ้น แม้จะยังจ้องฉันอยู่สลับกับเอียงศีรษะมองเวลามีผู้สัญจรบัง แต่เธอชักมือออกจากไหล่ของโจซีแล้ว โจซีก้าวมาข้างหน้าด้วยท่าเดินระมัดระวัง ฉันคิดว่ามันเป็นการท้าทายแม่พอสมควรที่ปล่อยให้โจซีเดินมาคนเดียว ทว่าสายตาของแม่ซึ่งไม่เคยอ่อนโยนลงหรือวอกแวก บวกกับท่าที่เธอยืนกอดอกนิ่ง และนิ้วมือกำวัสดุของเสื้อโค้ตไว้แน่น ทำให้ฉันตระหนักว่ามีสัญญาณหลายอย่างที่ฉันยังไม่ได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจ แล้วโจซีก็มายืนอยู่ตรงหน้าฉันที่อีกฟากของกระจก
“เฮ้! เป็นไงบ้าง”
ฉันยิ้ม พยักหน้าแล้วชูนิ้วโป้ง – ท่าทางที่ฉันสังเกตเห็นบ่อยๆ ในนิตยสารที่น่าสนใจ
“โทษทีที่ฉันมาเร็วกว่านี้ไม่ได้” เธอพูด “ฉันคิดว่า…นานแค่ไหนแล้วนะ”
ฉันชูสามนิ้ว แล้วเติมอีกครึ่งนิ้วจากมืออีกข้าง
“นานจัง” เธอเอ่ย “ขอโทษนะ คิดถึงฉันมั้ย”
ฉันพยักหน้าพร้อมทำหน้าเศร้า แต่ฉันระมัดระวังที่จะแสดงให้เห็นว่าฉันไม่ได้จริงจังและไม่ได้หัวเสีย
“ฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกัน ฉันคิดจริงๆ นะว่าจะมาได้เร็วกว่านี้ เธออาจคิดว่าฉันจะไม่มาแล้ว ฉันเสียใจจริงๆ” รอยยิ้มของเธอจางลงเมื่อพูดว่า “เดาว่าคงมีเด็กหลายคนมาดูเธอ”
ฉันส่ายหัว แต่โจซีทำท่าไม่เชื่อ เธอเหลียวกลับไปมองแม่ ไม่ใช่เพื่อขอความมั่นใจแต่เพื่อตรวจดูว่าเธอยังไม่เข้ามาใกล้มากกว่า จากนั้นลดเสียงลง
“แม่ดูแปลกๆ ที่ยืนมองอย่างนั้น ฉันรู้ เป็นเพราะฉันบอกว่าเธอคือตัวที่ฉันต้องการ บอกว่าต้องเป็นเธอเท่านั้น แม่เลยกำลังสำรวจตรวจตราเธออยู่น่ะ โทษที” ฉันคิดว่าฉันเห็นวี่แววความเศร้าเหมือนที่เคยเห็นเมื่อครั้งก่อน “เธอจะมาใช่มั้ย ถ้าแม่บอกว่าโอเค”
ฉันพยักหน้าอย่างให้กำลังใจ แต่ความไม่แน่ใจยังคงค้างอยู่บนใบหน้าเธอ
“เพราะฉันไม่อยากให้เธอฝืนใจ อย่างนั้นคงไม่ยุติธรรม ฉันอยากให้เธอมาจริงๆ แต่ถ้าเธอพูดว่า โจซี ฉันไม่อยากไป ฉันก็จะพูดกับแม่เองว่า โอเค เราพาเธอไปด้วยไม่ได้ ไม่มีทาง แต่เธออยากไปแน่ใช่มั้ย”
ฉันพยักหน้าอีกครั้ง และคราวนี้เหมือนโจซีจะมั่นใจแล้ว
“ดีมากๆ เลย” รอยยิ้มกลับมาบนใบหน้าเธอดังเดิม “เธอจะต้องชอบ ฉันจะต้องทำให้เธอชอบให้ได้” คราวนี้เธอหันกลับไปอย่างมีชัยพร้อมกับร้องลั่น “แม่คะ เห็นมั้ย เธอบอกว่าอยากไปค่ะ!”
แม่พยักหน้าน้อยๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไร ยังคงจ้องมองฉัน นิ้วกำวัสดุของเสื้อโค้ตแน่น เมื่อโจซีหันกลับมาหาฉันใบหน้าเธอหม่นหมองลงอีก
“ฟังนะ” เธอเอ่ย ทว่ายังคงเงียบงันอยู่ราวสองสามวินาทีแล้วค่อยพูดว่า “มันเยี่ยมมากที่เธออยากไป แต่ฉันอยากให้อะไรๆ ระหว่างเราชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่ม ฉันจึงจะพูดสิ่งต่อไปนี้ ไม่ห้องห่วง แม่ไม่ได้ยินหรอก คืองี้ ฉันคิดว่าเธอจะชอบบ้านของเรา คิดว่าเธอจะชอบห้องของฉัน และเธอจะได้อยู่ที่นั่น ไม่ใช่ในตู้หรืออะไรทั้งสิ้น แล้วเราจะทำสิ่งยอดเยี่ยมทั้งหลายด้วยกันตลอดเวลาในช่วงที่ฉันเติบโตขึ้น เพียงแต่ว่าบางครั้ง เอ่อ…” เธอเหลียวกลับไปมองเร็วๆ จากนั้นลดเสียงลงอีก “อาจเป็นเพราะบางวันฉันอาการไม่ค่อยดีนัก ไม่รู้สิ แต่อาจมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันไม่ดีหรือเปล่า แต่บางครั้งอะไรๆ ก็ เอ่อ ไม่ปกติ อย่าเข้าใจฉันผิดนะ โดยมากแล้วเธอจะไม่รู้สึกหรอก แต่ฉันอยากบอกตามตรงเพราะเธอก็รู้ว่ามันน่ารังเกียจแค่ไหนเวลาผู้คนบอกว่าสิ่งต่างๆ จะยอดเยี่ยมเพียงใด ทว่าพวกเขาไม่ได้พูดตรงๆ ฉันจึงบอกเธอเสียตั้งแต่ตอนนี้ ได้โปรดพูดทีเถอะว่าเธอยังอยากจะไปกับฉัน ฉันรู้ว่าเธอจะต้องชอบห้องของฉัน และเธอก็จะได้เห็นด้วยว่าดวงอาทิตย์ตกตรงไหน เหมือนที่ฉันบอกเมื่อคราวก่อน เธอยังอยากจะไปใช่มั้ย”
ฉันพยักหน้าตอบผ่านกระจกอย่างจริงจังที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันอยากบอกด้วยว่าหากมีอะไรยากเย็น อะไรที่น่ากลัวซึ่งต้องเผชิญในบ้านของเธอ เราจะเผชิญหน้ากับมันด้วยกัน แต่ฉันไม่รู้จะถ่ายทอดข้อความที่ซับซ้อนขนาดนั้นผ่านกระจกโดยไม่ใช้คำพูดได้อย่างไร จึงประกบมือเข้าด้วยกันแล้วชูขึ้นพร้อมกับเขย่าเบาๆ ด้วยท่าทางที่เคยเห็นคนขับแท็กซี่ทำในรถซึ่งกำลังเคลื่อนที่ให้คนที่โบกรถของเขาจากทางเท้า แม้ว่าเขาจะต้องยกมือทั้งสองออกจากพวงมาลัยก็ตาม ไม่ว่าโจซีจะเข้าใจอย่างไรจากท่านั้น มันก็เหมือนจะทำให้เธอมีความสุข
“ขอบคุณมาก” เธอพูด “อย่าเข้าใจฉันผิดนะ มันอาจไม่มีอะไรเลวร้ายก็ได้ อาจมีแต่ฉันที่คิดไปเองว่าสิ่งต่างๆ…”
แม่ร้องเรียกและเริ่มเดินเข้ามาหาเราพอดี ทว่ามีนักท่องเที่ยวขวางอยู่โจซีจึงมีเวลาพูดเร็วๆ “ฉันจะรีบกลับมา ฉันสัญญา พรุ่งนี้เลยถ้าทำได้ ฉันไปก่อนนะ”

 

โจซีไม่ได้กลับมาในวันรุ่งขึ้น หรือวันถัดจากนั้น แล้วพอถึงกลางสัปดาห์ที่สอง ตาของเราในตู้โชว์สินค้าก็สิ้นสุดลง
ตลอดเวลาที่เราอยู่ในตู้โชว์สินค้า ผู้จัดการอบอุ่นและให้กำลังใจเรามาก แต่ละเช้าระหว่างที่เราเตรียมตัวเองอยู่บนโซฟาลายทางและรอให้ลูกกรงเหล็กถูกยกขึ้น เธอจะพูดทำนองว่า “เมื่อวานนี้พวกเธอวิเศษมาก มาดูกันว่าวันนี้พวกเธอจะทำได้ดีเท่ากับเมื่อวานหรือเปล่า” และตอนสิ้นสุดวันแต่ละวัน เธอจะยิ้มและพูดว่า “ทั้งสองทำได้ดีมากจ้ะ ฉันภูมิใจมาก” ฉันจึงไม่เคยคิดเลยว่าพวกเราทำอะไรผิดพลาด และเมื่อลูกกรงเหล็กปิดลงในวันสุดท้ายของเรา ฉันก็หวังให้ผู้จัดการชื่นชมอีก แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อหลังจากล็อกลูกกรงเหล็กแล้ว เธอเพียงแต่เดินจากไปโดยไม่คอยเราเลย โรซามองฉันด้วยสีหน้างุนงง และเรายังคงนั่งอยู่บนโซฟาลายทางต่ออีกสักพัก แต่ด้วยความที่ลูกกรงเหล็กปิดลงแล้ว พวกเราจึงอยู่ในความใกล้มืด และหลังจากนั้นสักครู่ ค่อยลุกขึ้นแล้วก้าวลงมาจากยกพื้น
ในตอนนั้นเราหันหน้าเข้าหาร้าน และฉันก็มองทะลุไปจนถึงโต๊ะกระจกที่หลังร้านได้ ทว่าพื้นที่ตรงนั้นถูกแบ่งออกเป็นสิบช่อง ภาพตรงหน้าฉันจึงไม่ได้เป็นภาพรวมหนึ่งเดียวอีกต่อไป เวิ้งด้านหน้าอยู่ในช่องไกลสุดทางด้านขวามือตามคาด แต่ถึงกระนั้น โต๊ะวางนิตยสารซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดกับเวิ้งด้านหน้ากลับถูกแบ่งอยู่ระหว่างช่องต่างๆ ด้วยเหตุนั้น จึงมองเห็นส่วนหนึ่งของโต๊ะได้แม้ในช่องไกลสุดทางด้านซ้ายมือ ตอนนี้ไฟหรี่ลงแล้ว และฉันเห็นเอเอฟตัวอื่นอยู่ทางด้านหลังของหลายช่อง ตั้งเรียงชิดผนังกลางร้านกำลังเตรียมตัวนอนหลับ ทว่าความสนใจของฉันถูกดึงไปที่สามช่องตรงกลาง ซึ่งขณะนั้นมีลักษณะท่าทางของผู้จัดการที่กำลังหันหน้ามาทางเรา ในช่องหนึ่งเห็นเฉพาะช่วงเอวขึ้นไปถึงลำคอของเธอ ในขณะที่ช่องซึ่งติดกันถูกยึดครองโดยดวงตาของเธอเกือบทั้งช่อง ดวงตาข้างที่อยู่ใกล้กับเราที่สุดใหญ่กว่าอีกข้างมาก ทว่าทั้งสองข้างเปี่ยมด้วยความใจดีระคนเศร้าสร้อย แต่ถึงกระนั้น ช่องที่สามแสดงภาพกรามของเธอส่วนหนึ่งกับปากเกือบทั้งหมด และฉันจับได้ว่ามีความโกรธและความหัวเสียอยู่ในนั้น จากนั้นเธอหันหน้ามาเต็มๆ และกำลังเดินเข้ามาหาเรา แล้วร้านก็เปลี่ยนเป็นภาพเดียวอีกครั้ง
“ขอบคุณเธอทั้งสองมาก” เธอพูดพร้อมกับยื่นมือออกมาจับตัวเราทีละตัว “ขอบคุณมากๆ”
ถึงกระนั้น ฉันสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป – เราทำให้เธอผิดหวังพอสมควร

 

หลังจากนั้นเราเริ่มต้นการอยู่กลางร้านช่วงที่สอง โรซากับฉันยังคงได้อยู่ด้วยกันบ่อยๆ แต่เดี๋ยวนี้ผู้จัดการจะเปลี่ยนตำแหน่งของเราไปเรื่อยๆ และฉันอาจได้มีวันที่ยืนอยู่ข้างเอเอฟชายเร็กซ์หรือเอเอฟหญิงกิกู แต่โดยมากฉันจะยังมองเห็นตู้โชว์สินค้าสักส่วนหนึ่ง และจึงได้ศึกษาข้างนอกต่อไป อย่างเช่น ตอนที่เครื่องคูติงส์ปรากฏตัว ฉันอยู่ทางด้านโต๊ะวางนิตยสารหน้าเวิ้งกลางร้าน และได้เห็นวิวเกือบจะพอๆ กับตอนที่อยู่ในตู้โชว์สินค้าเลยเห็นได้ชัดมาหลายวันแล้วว่าเครื่องคูติงส์กำลังจะเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา เริ่มจากมีคนงานมาถึงเพื่อเตรียมเครื่อง กำหนดพื้นที่พิเศษบนถนนด้วยเครื่องกั้นไม้ คนขับแท็กซี่ไม่ชอบใจสักนิดและพากันบีบแตรเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จากนั้นคนงานเริ่มเจาะและแซะผิวถนนรวมถึงบางส่วนของทางเท้า ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับเอเอฟสองตัวในตู้โชว์สินค้า ครั้งหนึ่ง เมื่อเสียงดังโหวกเหวกเลวร้ายสุดทน โรซาถึงกับยกมือขึ้นอุดหูและค้างไว้อย่างนั้นแม้จะมีลูกค้าอยู่ในร้านก็ตาม ผู้จัดการขอโทษลูกค้าทุกคนที่เข้ามาในร้านทั้งที่เสียงนั้นไม่เกี่ยวกับเราเลย มีอยู่ครั้งหนึ่ง ลูกค้าคนหนึ่งเริ่มพูดเรื่องมลพิษพร้อมกับชี้ไปที่คนงานข้างนอก บอกว่ามลพิษอันตรายสำหรับทุกคนแค่ไหน ด้วยเหตุนั้น เมื่อตอนที่เครื่องคูติงส์มาถึงใหม่ๆ ฉันจึงคิดว่ามันอาจจะเป็นเครื่องจักรที่เอามาสู้กับมลพิษ ทว่าเอเอฟชายเร็กซ์บอกว่าไม่ใช่ มันเป็นสิ่งที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อก่อมลพิษมากขึ้นต่างหาก ฉันบอกว่าฉันไม่เชื่อเขาหรอก เขาสวนกลับว่า “ตามใจ คลารา คอยดูก็แล้วกัน”
ปรากฏว่าเอเอฟชายเร็กซ์พูดถูกเผง เครื่องคูติงส์ – ฉันตั้งชื่อให้มันอย่างนั้นในใจเพราะมันมีคำว่า คูติงส์ เขียนด้วยอักษรตัวใหญ่อยู่ด้านข้าง – เริ่มด้วยเสียงครวญครางแหลมปรี๊ด ซึ่งไม่ได้เลวร้ายใกล้เคียงกับเครื่องขุดเจาะถนนและไม่ได้แย่กว่าเครื่องดูดฝุ่นของผู้จัดการ ทว่ามีปล่องสั้นๆ สามปล่องยื่นออกมาจากด้านบนของเครื่อง และควันก็เริ่มพุ่งออกจากปล่องเหล่านั้น ทีแรกมันมีลักษณะเป็นกลุ่มควันสีขาว จากนั้นสีค่อยๆ ดำคล้ำขึ้น จนกระทั่งไม่ได้ลอยขึ้นมาเป็นกลุ่มควันแยกกันอีกต่อไป แต่เป็นควันหนาทึบต่อเนื่องเป็นสายเดียว
เมื่อฉันหันไปมองครั้งถัดไป ถนนข้างนอกถูกแบ่งออกเป็นแผงแนวตั้งหลายแผง – จากตำแหน่งที่ฉันอยู่มองเห็นแผงสามแผงได้ค่อนข้างชัดเจนโดยไม่ต้องโน้มตัวไปข้างหน้า ปริมาณของควันสีดำปรากฏแตกต่างกันไปในแต่ละแผง ด้วยเหตุนั้น มันจึงเกือบจะดูเหมือนเอาเฉดสีเทาที่ต่างกันมาวางไว้ให้เลือก ทว่าแม้ในตำแหน่งที่ควันเข้มข้นที่สุดฉันยังแยกแยะรายละเอียดได้มากมาย ตัวอย่างเช่น ในแผงหนึ่งมีเครื่องกั้นไม้ของคนงานส่วนหนึ่ง และขณะนี้ดูจะมีส่วนหน้าของรถแท็กซี่อยู่ติดกับเครื่องกั้นนั้น ในแผงใกล้เคียงซึ่งตัดมุมด้านบนในแนวเฉียงเป็นแท่งโลหะที่ฉันจำได้ว่าเป็นของหนึ่งในสัญญาญไฟจราจรสูงๆ ครั้นมองดูดีๆ ฉันก็ถอดรหัสขอบสีเข้มๆ ของเค้าโครงนกที่เกาะอยู่บนนั้นได้ ระหว่างนั้นฉันเห็นนักวิ่งวิ่งผ่านแผงหนึ่งเข้าไปในแผงติดกัน และขณะที่ข้ามผ่านไปนั้น ตัวเขาก็เปลี่ยนไปทั้งในแง่ขนาดและแนววิถี จากนั้นมลพิษก็เลวร้ายลงถึงขนาดที่ว่าฉันมองไม่เห็นช่องว่างบนท้องฟ้าจากด้านโต๊ะวางนิตยสารอีกต่อไป และหน้าต่างซึ่งชายเช็ดกระจกทำความสะอาดให้ผู้จัดการอย่างภาคภูมิใจก็มีคราบสกปรกเป็นจุดๆ ทั้งบาน

ฉันสงสารเอเอฟชายสองตัวนั้นมากที่อุตส่าห์รอให้ถึงตาตัวเองได้เข้าไปนั่งในตู้โชว์มาตั้งนาน พวกเขาไปนั่งในนั้นด้วยท่าทางดูดีเชียว แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งฉันเห็นหนึ่งในนั้นยกแขนขึ้นมาปิดหน้าราวกับมลพิษอาจทะลุผ่านกระจกเข้ามาได้ ผู้จัดการเห็นดังนั้นจึงก้าวขึ้นไปบนยกพื้นเพื่อกระซิบคำปลอบประโลมใจต่างๆ กับเขา และเมื่อเธอกลับลงมาในที่สุด เธอก็เริ่มจัดสร้อยข้อมือในรถเข็นโชว์กระจก ฉันเห็นว่าเธอเองก็หัวเสียเช่นกัน ฉันคิดว่าเธออาจจะออกไปคุยกับคนงานข้างนอกด้วยซ้ำ แต่พอสังเกตเห็นพวกเรา เธอยิ้มและพูดว่า “ทุกคนช่วยฟังทางนี้หน่อยจ้ะ แย่จังเลยเนอะ แต่ไม่ต้องกังวลนะ เราจะอดทนกันอีกสองสามวัน เดี๋ยวมันก็จบแล้วละ” ทว่าในวันรุ่งขึ้นและถัดจากนั้น เครื่องคูติงส์ยังคงทำงานต่อไปเรื่อยๆ และช่วงกลางวันก็แทบจะเหมือนกับกลางคืน ในระหว่างนั้นฉันมองหาลวดลายของดวงอาทิตย์บนพื้น บนเวิ้ง และบนผนัง แต่พวกมันไม่อยู่ตรงนั้นอีกต่อไป ฉันรู้ว่าดวงอาทิตย์พยายามสุดความสามารถแล้ว และในช่วงท้ายของบ่ายอันเลวร้ายวันที่สอง ถึงแม้จะมีควันหนักหนาสาหัสกว่าเดิม แต่ลวดลายของเขาก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทว่าเพียงเลือนรางเท่านั้น ฉันเริ่มวิตกกังวลและถามผู้จัดการว่าเราจะยังได้รับสารบำรุงกำลังหรือเปล่า เธอหัวเราะก่อนตอบว่า “สิ่งเลวร้ายนั้นเคยเกิดขึ้นกับที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีใครในร้านต้องทุกข์ทรมานจากมัน ฉะนั้น ลบเรื่องนั้นออกไปจากหัวได้เลยจ้ะ คลารา” ถึงกระนั้น หลังจากมีมลพิษติดต่อกันสี่วัน ฉันรู้สึกได้ว่าตัวเองเริ่มอ่อนแอลง ฉันพยายามไม่แสดงออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามีลูกค้าในร้าน แต่บางทีอาจเป็นเพราะเจ้าเครื่องคูติงส์ พักนี้จึงไม่มีลูกค้าเข้าร้านติดต่อกันหลายวันแล้ว และบางครั้งฉันก็อนุญาตให้ตัวเองยืนห่อเหี่ยวจนเอเอฟชายเร็กซ์ต้องแตะแขนฉันเบาๆ เพื่อเตือนให้ฉันกลับมายืนตัวตรงเหมือนเดิม

เช้าวันหนึ่งเมื่อลูกกรงเหล็กถูกดึงขึ้น เราพบว่าไม่เพียงเครื่องคูติงส์เท่านั้นที่หายไป แต่พื้นที่พิเศษทั้งหมดของมันก็หายไปด้วย มลพิษก็ไม่มีแล้วเช่นกัน ช่องว่างบนท้องฟ้ากลับคืนมา และเป็นสีฟ้าสดใส ดวงอาทิตย์ก็ส่องสารบำรุงกำลังของเขาเข้ามาในร้าน รถแท็กซี่เคลื่อนตัวอย่างลื่นไหลอีกครั้ง คนขับของมันล้วนมีความสุข แม้แต่นักวิ่งยังวิ่งผ่านไปพร้อมรอยยิ้ม ตลอดเวลาที่เครื่องคูติงส์อยู่ตรงนั้น ฉันกังวลว่าโจซีอาจจะพยายามกลับมาที่ร้านแต่ถูกมลพิษสกัดกั้นไว้ ทว่าตอนนี้มันจบลงแล้ว และบรรยากาศก็มีชีวิตชีวาทั้งในร้านและนอกร้าน ฉันรู้สึกว่าหากจะมีสักวันที่โจซีกลับมาก็ต้องเป็นวันดีๆ อย่างนี้ แต่พอตกบ่ายฉันก็ตระหนักว่ามันช่างเป็นความคิดที่ไร้เหตุผล ฉันเลิกมองหาโจซีบนถนนและเพ่งความสนใจกับการเรียนรู้ข้างนอกให้มากขึ้นแทน

สองวันหลังเครื่องคูติงส์จากไป เด็กหญิงผมสั้นชี้โด่เด่คนหนึ่งเข้ามาในร้าน ฉันคะเนว่าเธออายุสิบสองปีครึ่ง เช้าวันนั้นเธอแต่งตัวเหมือนนักวิ่งด้วยเสื้อกล้ามสีเขียวสด เผยให้เห็นแขนผอมแห้งของเธอจนถึงหัวไหล่ เธอเข้ามากับพ่อซึ่งอยู่ในชุดสูททำงานแบบลำลองค่อนข้างระดับสูง ทีแรกทั้งคู่ไม่พูดอะไรมากนักขณะเดินดูรอบร้าน ฉันบอกได้ทันทีว่าเด็กหญิงสนใจฉันแม้ว่าเธอจะเหลือบมาทางฉันแค่แวบๆ ก่อนกลับไปที่หน้าร้าน แต่สักพักก็กลับมาอีกและแสร้งทำเป็นสนอกสนใจกำไลข้อมือในรถเข็นโชว์กระจกข้างหน้าตรงที่ฉันยืนอยู่ จากนั้นมองซ้ายมองขวาเพื่อตรวจดูว่าพ่อหรือผู้จัดการไม่ได้มองอยู่ เธอถ่ายน้ำหนักลงบนรถเข็นให้ล้อเลื่อนไปข้างหน้าเล็กน้อย ขณะทำเช่นนี้เธอมองฉันพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ราวกับการเคลื่อนที่ของรถเข็นเป็นความลับพิเศษระหว่างเรา เธอดึงรถเข็นกลับไปตรงตำแหน่งเดิม ยิ้มแป้นให้ฉันอีกครั้งก่อนร้องเรียก “พ่อคะ” เมื่อพ่อไม่ตอบ – เขากำลังหมกมุ่นกับเอเอฟสองตัวที่นั่งอยู่บนโต๊ะกระจกด้านหลังร้าน – เด็กหญิงมองฉันครั้งสุดท้ายก่อนเดินไปสมทบกับพ่อ ทั้งสองเริ่มคุยกันด้วยเสียงกระซิบแผ่วพลางมองมาทางฉันเป็นระยะๆ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขากำลังคุยกันเรื่องฉัน ผู้จัดการซึ่งสังเกตอยู่ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานแล้วเข้ามายืนใกล้ๆ ฉัน มือของเธอประสานกันอยู่ด้านหน้า
หลังจากกระซิบกระซาบกันอยู่นาน ในที่สุดเด็กหญิงก็กลับมา เธอก้าวยาวๆ ผ่านผู้จัดการจนกระทั่งมายืนตรงหน้าฉัน เธอแตะข้อศอกฉันทีละข้าง จากนั้นใช้มือขวาของตัวเองจับมือซ้ายฉันค้างไว้ ดวงตาจดจ้องใบหน้าฉัน สีหน้าเธอดูเคร่งขรึม แต่มือที่จับมือฉันอยู่บีบเบาๆ อย่างอ่อนโยน ฉันเข้าใจได้ว่าเธอตั้งใจให้เป็นความลับเล็กๆ อีกอย่างระหว่างเรา แต่ฉันไม่ได้ยิ้มให้เธอ ฉันยังคงวางสีหน้าเรียบเฉย มองข้ามศีรษะที่มีผมชี้โด่เด่ของเด็กหญิงไปยังชั้นสีแดงบนผนังด้านตรงข้าม และมองที่ถ้วยกาแฟเซรามิกซึ่งวางคว่ำเรียงเป็นแถวโชว์อยู่บนชั้นสามเป็นพิเศษ เด็กหญิงบีบมือฉันอีกสองที ครั้งที่สองอ่อนโยนน้อยลง แต่ฉันก็ไม่ได้หลุบตามองเธอหรือยิ้มแต่อย่างใด

ระหว่างนั้นพ่อเดินเข้ามาใกล้ด้วยการก้าวเท้าอย่างแผ่วเบาจะได้ไม่รบกวนสิ่งที่อาจจะเป็นช่วงเวลาพิเศษ ผู้จัดการก็ขยับเข้ามาใกล้เช่นกัน และหยุดยืนอยู่ข้างหลังพ่อ ฉันมองเห็นทุกอย่างนี้แต่ยังคงจ้องเขม็งบนชั้นสีแดงกับถ้วยกาแฟเซรามิก และปล่อยให้มือที่อยู่ในมือของเด็กหญิงหย่อนห้อยจนถ้าหากว่าเธอปล่อยมือ มือของฉันก็จะหล่นตุ้บลงมาอยู่ข้างลำตัว
ฉันตระหนักถึงสายตาของผู้จัดการที่มองฉันอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นได้ยินเธอพูดว่า
“คลารายอดเยี่ยมมากค่ะ เธอเป็นหนึ่งในตัวที่ดีที่สุดของเรา แต่สาวน้อยคนนี้อาจจะสนใจไปดูบีทรีรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้ามา”
“บีทรีเหรอครับ” พ่อทำเสียงตื่นเต้น “คุณมีรุ่นนั้นแล้วเหรอ”
“เรามีสัมพันธ์พิเศษกับผู้จัดจำหน่ายน่ะค่ะ รุ่นที่ว่าเพิ่งมาถึงหมาดๆ ยังไม่ได้ตรวจดูเลยด้วยซ้ำ แต่ฉันยินดีจะเอาออกมาให้คุณดูค่ะ”
เด็กหญิงผมชี้โด่เด่บีบมือฉันอีกครั้ง “แต่พ่อคะ หนูอยากได้ตัวนี้ เธอใช่สุดๆ”
“แต่ที่ร้านมีบีทรีรุ่นใหม่นะจ๊ะ ลูกไม่อยากลองดูก่อนเหรอ เพื่อนๆ ลูกยังไม่มีใครมีรุ่นนี้เลยนะ”
เกิดการรอคอยที่เนิ่นนานขึ้น แล้วเด็กหญิงก็ปล่อยมือฉัน ฉันปล่อยแขนให้ตกลงและยังคงจ้องมองชั้นสีแดงต่อไป
“จะอะไรกันนักกันหนากับรุ่นบีทรีใหม่พวกนี้นะ” เด็กหญิงพูดขณะผละไปหาพ่อ
ฉันไม่ได้นึกถึงโรซาเลยในระหว่างที่เด็กหญิงจับมือฉัน แต่ตอนนี้ฉันตระหนักถึงเธอซึ่งยืนอยู่ทางด้านซ้ายมือพลางมองฉันอย่างประหลาดใจแล้ว ฉันอยากบอกให้เธอมองไปทางอื่น แต่ตัดสินใจจ้องชั้นสีแดงต่อไปจนกระทั่งเด็กหญิง พ่อของเธอ และผู้จัดการไปทางด้านหลังร้านอย่างวางใจได้แล้ว ฉันได้ยินพ่อหัวเราะอะไรบางอย่างที่ผู้จัดการพูด จากนั้นเมื่อฉันมองไปทางพวกเขาในที่สุด ก็เห็นผู้จัดการกำลังเปิดประตูสำหรับพนักงานเท่านั้นทางด้านหลังสุดของร้าน
“ต้องขออภัยด้วยนะคะ” เธอพูด “ในนี้รกนิดหน่อย”
พ่อตอบว่า “เราต่างหากครับที่ได้รับอภิสิทธิ์ให้เข้ามาในนี้ ใช่มั้ยลูก”
พวกเขาเข้าไปในห้อง ประตูปิดตามหลัง และฉันไม่ได้ยินเสียงของทั้งสามคนอีกต่อไป ถึงแม้มีอยู่ช่วงหนึ่งฉันจะได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กหญิงผมชี้โด่เด่ก็ตาม
ตลอดช่วงเช้ายังคงมีลูกค้าเข้าร้านเรื่อยๆ แม้ในระหว่างที่ผู้จัดการกำลังกรอกแบบฟอร์มการส่งเอเอฟบีทรีรุ่นใหม่กับพ่อ ก็ยังมีลูกค้าเข้าในร้านอีก ด้วยเหตุนั้น กว่าผู้จัดการจะได้เข้ามาหาฉันก็เป็นเวลาบ่ายซึ่งลูกค้าซาแล้ว
“เมื่อเช้าฉันประหลาดใจกับเธอมากนะ คลารา” เธอเอ่ย “เธอน่าจะรู้ดีกว่าใครสิ”
“ฉันเสียใจค่ะ ผู้จัดการ”
“เป็นอะไรไป เหมือนไม่ใช่เธอเลยนะ”
“ฉันเสียใจจริงๆ ค่ะผู้จัดการ ฉันไม่ได้ตั้งใจทำเรื่องน่าขายหน้า ฉันแค่คิดว่าฉันอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเด็กคนนั้น”
ผู้จัดการจ้องฉันไม่วางตา “เธออาจจะพูดถูก” เธอพูดออกมาในที่สุด “ฉันเชื่อว่าเด็กคนนั้นจะต้องมีความสุขกับเอเอฟชายบีทรี แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังประหลาดใจมาก คลารา”
“ฉันเสียใจจริงๆ ค่ะ ผู้จัดการ”
“คราวนี้ฉันเข้าข้างเธอ แต่จะไม่มีครั้งหน้านะ ลูกค้าเป็นฝ่ายเลือกเอเอฟ ไม่ใช่เอเอฟเลือกลูกค้า”
“ฉันเข้าใจค่ะ ผู้จัดการ” จากนั้นพูดเสียงแผ่ว “ขอบคุณมากนะคะ ผู้จัดการ สำหรับสิ่งที่คุณทำในวันนี้”
“ไม่เป็นไร คลารา แต่จำไว้ว่าฉันจะไม่ทำอีก”
เธอเริ่มเดินจากไป แต่สักพักก็หันหลังและย้อนกลับมา
“ไม่ใช่ใช่มั้ย คลารา ไม่ใช่เพราะเธอเชื่อว่าตัวเองสัญญาไว้ใช่มั้ย”
ฉันคิดว่าผู้จัดการจะดุฉันเหมือนที่เคยดุเอเอฟชายสองตัวที่หัวเราะชายขอทานจากตู้โชว์สินค้าเสียอีก แต่ผู้จัดการวางมือลงบนไหล่ฉันก่อนพูดด้วยเสียงที่เบากว่าเดิม
“ฉันจะบอกอะไรให้ คลารา เด็กๆ น่ะให้คำมั่นสัญญาตลอดเวลา พวกเขามาที่ตู้โชว์ สัญญาทุกอย่าง สัญญาว่าจะกลับมาบ้างละ ขอให้พวกเธอไม่ไปกับคนอื่นบ้างละ มันเกิดขึ้นเสมอ แต่บ่อยครั้งที่เด็กคนนั้นจะไม่กลับมาอีก หรือที่แย่กว่านั้น เขากลับมาแต่ไม่สนใจเอเอฟน่าสงสารที่เฝ้ารอตัวนั้น แล้วก็เลือกตัวอื่นไปแทน เด็กๆ ก็เป็นอย่างนี้แหละ เธอก็ได้เห็นได้เรียนรู้มาตั้งเยอะแล้วนี่คลารา เอาละ ถือซะว่านี่เป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำหรับเธอก็แล้วกัน เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจค่ะ ผู้จัดการ”
“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นก็อย่าทำอีกละ” เธอแตะแขนฉันก่อนเดินจากไป

 

เอเอฟรุ่นบีทรีใหม่ – เอเอฟชายสามตัว – ได้รับการตรวจสอบและนำมาประจำตำแหน่งในไม่ช้า สองตัวได้ไปอยู่ในตู้โชว์สินค้าทันทีพร้อมป้ายใหม่ใหญ่เบ้อเริ่ม อีกตัวถูกนำไปตั้งไว้ในเวิ้งด้านหน้า ส่วนบีทรีตัวที่สี่ แน่นอนว่าเด็กหญิงผมชี้โด่เด่ซื้อไปแล้ว และถูกส่งไปโดยที่ไม่มีใครได้พบกับเขา โรซากับฉันยังคงอยู่ตรงกลางร้าน แต่เราถูกขยับไปทางด้านชั้นสีแดงทันทีที่รุ่นบีทรีใหม่มาถึง หลังจากตาของเราในตู้โชว์สินค้าสิ้นสุดลง โรซาเริ่มพูดซ้ำๆ ถึงสิ่งที่ผู้จัดการเคยบอกว่าทุกตำแหน่งในร้านดีหมด และพวกเราที่อยู่กลางร้านมีแนวโน้มจะถูกเลือกพอๆ กับพวกที่อยู่ในตู้โชว์สินค้าหรือเวิ้งด้านหน้า ซึ่งปรากฏว่าคำพูดนี้เป็นจริงในกรณีของโรซา วันนั้นเริ่มต้นขึ้นเหมือนกับทุกวัน ไม่มีอะไรบ่งชี้เลยว่าจะมีเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้น ไม่มีอะไรแตกต่างทั้งรถแท็กซี่หรือผู้สัญจร หรือลักษณะที่ลูกกรงเหล็กถูกยกขึ้น หรือที่ผู้จัดการพูดทักทายเรา ทว่าเย็นนั้นมีคนซื้อโรซา และเธอหายเข้าไปหลังประตูสำหรับพนักงานเท่านั้นเพื่อเตรียมตัวสำหรับการจัดส่ง ฉันคงคิดมาตลอดว่าก่อนที่เราตัวใดตัวหนึ่งจะได้ไปจากร้าน เราจะมีเวลาเหลือเฟือคุยกันถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ฉันแทบไม่ทันได้เก็บข้อมูลที่มีประโยชน์เกี่ยวกับเด็กชายคนนั้นกับแม่ของเขาซึ่งเข้ามาในร้านและเลือกเธอเลย ทันทีที่ทั้งสองจากไป ผู้จัดการก็ยืนยันว่ามีคนซื้อโรซาแล้ว โรซาตื่นเต้นมากจนเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะได้คุยกันอย่างจริงจัง ฉันอยากทบทวนอะไรหลายๆ อย่างที่เธอต้องจำไว้เพื่อจะเป็นเอเอฟที่ดี อยากเตือนเธอถึงสิ่งที่ผู้จัดการเคยสอน และอยากอธิบายทุกอย่างที่ฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับข้างนอกให้เธอฟัง แต่เธอก็เอาแต่เร่งพูดเรื่องนั้นต่อด้วยเรื่องนี้ไม่หยุดหย่อน ห้องของเด็กชายจะมีเพดานสูงหรือเปล่า ครอบครัวนั้นจะมีรถสีอะไร เธอจะได้เห็นทะเลไหม เธอจะถูกขอให้เก็บของใส่ตะกร้าไปปิกนิกหรือเปล่า ฉันพยายามเตือนเธอว่าสารบำรุงกำลังของดวงอาทิตย์สำคัญแค่ไหน และถามเธอด้วยความข้องใจว่าห้องของเธอจะอยู่ในตำแหน่งที่ดวงอาทิตย์มองเข้ามาได้ง่ายหรือเปล่า แต่โรซาก็ไม่สนใจ ไม่ทันไรก็ถึงเวลาที่โรซาต้องไปที่ห้องด้านหลังแล้ว และฉันเห็นเธอหันมายิ้มให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนหายเข้าไปหลังประตูบานนั้น

 

หลายวันต่อมาหลังโรซาจากไป ฉันยังคงอยู่ตรงกลางร้าน รุ่นบีทรีสองตัวในตู้โชว์สินค้าถูกซื้อไปแล้วในระยะห่างกันแค่วันเดียว และเอเอฟชายเร็กซ์ก็ได้บ้านในช่วงเวลานั้นเช่นกัน ในไม่ช้าก็มีรุ่นบีทรีมาเพิ่ม – เป็นเอเอฟชายเช่นเคย – และผู้จัดการจัดให้พวกเขามาอยู่ติดกับเอเอฟชายสองตัวจากซีรีส์เก่า ซึ่งอยู่เกือบจะตรงข้ามกับฉันทางด้านโต๊ะวางนิตยสารพอดี ระหว่างฉันกับเอเอฟกลุ่มนี้มีรถเข็นโชว์กระจกคั่นอยู่ ฉันจึงไม่ได้คุยกับพวกเขามากนัก แต่ฉันมีเวลามากมายที่จะสังเกตพวกเขาและเห็นว่าเอเอฟชายตัวเก่ากว่ายินดีต้อนรับเพื่อนใหม่ พร้อมให้คำแนะนำที่มีประโยชน์ทุกอย่างกับบีทรีใหม่กลุ่มนี้แค่ไหน ฉันจึงคิดว่าพวกเขาคงจะเข้ากันได้ดี แต่แล้วฉันก็เริ่มสังเกตเห็นอะไรแปลกๆ อย่างเช่น ในช่วงเช้า บีทรีใหม่ทั้งสามตัวจะค่อยๆ ขยับออกห่างจากเอเอฟเก่าสองตัวทีละนิด บางครั้งก้าวไปด้านข้างนิดๆ หรือไม่บีทรีตัวหนึ่งจะเกิดสนใจอะไรสักอย่างนอกตู้โชว์ขึ้นมาจึงเดินไปดู จากนั้นกลับมาอยู่ตรงตำแหน่งซึ่งต่างจากที่ผู้จัดการเลือกไว้ให้เล็กน้อย หลังจากผ่านไปสี่วันก็ไม่มีอะไรต้องสงสัยอีก บีทรีใหม่ทั้งสามตัวจงใจขยับออกห่างจากเอเอฟรุ่นเก่า เพื่อที่เวลาลูกค้าเข้าร้าน พวกบีทรีจะได้ดูเป็นกลุ่มที่แยกออกมาเป็นเอกเทศ ทีแรกฉันไม่อยากจะเชื่อเลย – ว่าเอเอฟ โดยเฉพาะตัวที่ผู้จัดการเลือกมากับมือจะมีพฤติกรรมเช่นนี้ ฉันสงสารเอเอฟชายรุ่นเก่ามาก แต่ก็ตระหนักว่าพวกเขาไม่ได้รู้สึกอะไร หรือไม่ได้สังเกต อย่างที่ฉันสังเกตเห็นในไม่ช้าว่าพวกบีทรีแอบมองและส่งสัญญาณกันอย่างไรบ้างเวลาเอเอฟชายรุ่นเก่าอุตส่าห์เสียเวลาอธิบายอะไรให้ฟัง ว่ากันว่ารุ่นบีทรีใหม่ได้รับการพัฒนาในทุกด้าน แต่พวกเขาจะเป็นเอเอฟที่ดีสำหรับเด็กๆ ได้อย่างไร หากในหัวเขาสร้างความคิดทำนองนี้ขึ้นมาได้ ถ้าโรซายังอยู่ฉันคงจะได้ถกกับเธอถึงสิ่งที่ตัวเองเห็น แต่แน่นอนว่าเธอไม่อยู่แล้ว

 

บ่ายวันหนึ่ง เมื่อดวงอาทิตย์มองเข้ามาถึงด้านหลังร้าน ผู้จัดการเดินตรงมาที่ฉันและพูดว่า “คลารา ฉันตัดสินใจจะให้เธอไปอยู่ในตู้โชว์อีกครั้ง คราวนี้เธอจะต้องอยู่คนเดียว แต่ฉันรู้ว่าเธอคงไม่เกี่ยง เธอสนอกสนใจข้างนอกเสมอนี่” ฉันประหลาดใจมากจนได้แต่จ้องหน้าเธอและไม่พูดอะไร “คลาราเอ๋ย” ผู้จัดการเรียก “โรซาซะอีกที่ฉันเป็นห่วงมาตลอด เธอไม่ได้กังวลใช่มั้ย ไม่ต้องคิดมากนะ ยังไงฉันก็จะต้องหาบ้านให้เธอให้ได้” “ฉันไม่ได้กังวลค่ะ ผู้จัดการ” ฉันเกือบพูดอะไรเกี่ยวกับโจซีแล้ว แต่ห้ามตัวเองไว้ทัน เมื่อนึกถึงบทสนทนาของเราหลังเด็กหญิงผมชี้โด่เด่มาที่ร้าน
“งั้นเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป” ผู้จัดการพูด “แค่หกวันเท่านั้นจ้ะ ฉันจะตั้งราคาพิเศษให้เธอด้วย จำไว้นะคลารา เธอจะเป็นตัวแทนร้านเราอีกครั้ง ฉะนั้นต้องทำให้ดีที่สุด”
การอยู่ในตู้โชว์สินค้าครั้งที่สองของฉันให้ความรู้สึกต่างจากครั้งแรก และไม่เพียงเพราะว่าไม่มีโรซาอยู่ด้วยเท่านั้น ถนนข้างนอกยังคงมีชีวิตชีวาเหมือนเคย แต่ฉันต้องใช้ความพยายามมากขึ้นเพื่อจะตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็น บางครั้งรถแท็กซี่จะชะลอตัว ผู้สัญจรก้มตัวลงเพื่อพูดกับคนขับ ฉันจะพยายามเดาว่าพวกเขาเป็นเพื่อนหรือเป็นศัตรูกัน หลายครั้งฉันจะมองดูร่างเล็กๆ เดินตัดผ่านหน้าต่างของตึกอาร์พีโอ และพยายามเข้าใจว่าการเคลื่อนไหวของเขาแปลว่าอะไร และจินตนาการว่าแต่ละคนทำอะไรอยู่ก่อนจะมาปรากฏตัวในช่องสี่เหลี่ยมของตนและจะทำอะไรหลังจากนั้น
สิ่งสำคัญที่สุดที่ฉันสังเกตเห็นระหว่างอยู่ในตู้โชว์สินค้าครั้งที่สองคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับชายขอทานกับสุนัขของเขา วันนั้นเป็นวันที่สี่ – ในยามบ่ายอันมืดครึ้มจนรถแท็กซี่บางคันต้องเปิดไฟต่ำ – ที่ฉันสังเกตว่าชายขอทานไม่ได้อยู่ทักทายผู้สัญจรตรงตำแหน่งประจำจากประตูทางเข้าว่างๆ ระหว่างตึกอาร์พีโอกับตึกหนีไฟ ทีแรกฉันไม่ได้คิดอะไรมากเพราะชายขอทานมักจะเดินไปจากตำแหน่งนั้นบ่อยๆ บางครั้งก็เป็นเวลานาน แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันมองไปฝั่งตรงข้ามแล้วฉันก็ตระหนักว่าเขายังอยู่ตรงนั้น เช่นเดียวกับสุนัขของเขา และที่ฉันไม่เห็นพวกเขาเพราะทั้งสองนอนอยู่บนพื้น โดยไถตัวมาอยู่ชิดกับประตูทางเข้าว่างๆ เพื่อไม่ให้ขวางทางผู้สัญจร ด้วยเหตุนั้น เมื่อมองจากฝั่งเราก็อาจเข้าใจผิดได้ว่าพวกเขาเป็นกระเป๋าของคนทำงานในเมืองที่บางครั้งลืมทิ้งไว้ แต่ขณะนี้ฉันจับตามองทั้งสองผ่านช่องว่างในกลุ่มผู้สัญจรและได้เห็นว่าชายขอทานไม่ขยับเขยื้อนตัวเลย รวมทั้งสุนัขในอ้อมแขนเขาด้วย บางครั้งผู้สัญจรจะสังเกตเห็นและชะงักฝีเท้า แต่แล้วก็เดินต่อ ในที่สุดดวงอาทิตย์ก็เกือบจะอยู่หลังตึกอาร์พีโอแล้ว ชายขอทานกับสุนัขยังคงอยู่ที่เดิมที่อยู่มาทั้งวันและเห็นได้ชัดว่าพวกเขาตายแล้ว ถึงผู้สัญจรจะยังไม่รู้ ในตอนนั้นฉันรู้สึกเศร้า แม้จะเป็นเรื่องดีที่ทั้งสองได้ตระกองกอดและพยายามช่วยเหลือกันจนกระทั่งจากไปพร้อมกัน ฉันภาวนาให้ใครสักคนสังเกตเห็น พวกเขาจะได้ถูกนำตัวไปยังที่ที่ดีกว่าและเงียบสงบกว่า ฉันคิดจะพูดอะไรบางอย่างกับผู้จัดการ แต่เมื่อถึงเวลาที่ฉันจะต้องก้าวลงจากตู้โชว์สินค้าในคืนนั้น เธอดูเหนื่อยล้าและจริงจังจนฉันตัดสินใจไม่พูดอะไร

เช้าวันรุ่งขึ้น ลูกกรงเหล็กถูกยกขึ้นและวันนี้ก็เป็นวันที่แสนวิเศษ ดวงอาทิตย์กำลังส่องสารบำรุงกำลังลงบนถนนและเข้าไปในตึก พอฉันมองไปตรงที่ชายขอทานกับสุนัขเสียชีวิต ฉันก็ได้เห็นว่าทั้งสองยังไม่ตาย – สารบำรุงกำลังชนิดพิเศษจากดวงอาทิตย์ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ ชายขอทานยังไม่ลุกขึ้นยืน แต่เขากำลังยิ้มและนั่งตัวตรงหลังพิงประตูทางเข้าว่างๆ ขาข้างหนึ่งเหยียดออกมา อีกข้างงออยู่เพื่อจะได้พาดแขนไว้บนหัวเข่า เขากำลังลูบคอเจ้าสุนัขซึ่งกลับมามีชีวิตเช่นกันด้วยมืออีกข้าง พลางมองดูคนผ่านไปมาทางซ้ายทีทางขวาที ทั้งสองต่างกำลังดูดซับสารบำรุงกำลังพิเศษของดวงอาทิตย์อย่างหิวกระหายและแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ และในไม่ช้า บางทีอาจจะบ่ายวันนั้นเลยด้วยซ้ำ ฉันเห็นว่าชายขอทานลุกขึ้นมาพูดคุยอย่างร่าเริงจากประตูทางเข้าว่างๆ เหมือนเคยแล้ว
แล้วอีกไม่นาน ระยะเวลาหกวันของฉันก็สิ้นสุดลง ผู้จัดการบอกว่าฉันเป็นความภาคภูมิใจของร้าน เธอบอกว่ามีลูกค้าเข้าร้านมากกว่าจำนวนเฉลี่ยระหว่างที่ฉันอยู่ตู้โชว์สินค้า ฉันมีความสุขมากที่ได้ยินเช่นนั้น ฉันขอบคุณที่เธอให้ฉันได้ไปอยู่ในนั้นเป็นครั้งที่สอง เธอยิ้มก่อนพูดว่า เธอแน่ใจว่าฉันจะไม่ต้องรอนานแล้ว

 

สิบวันต่อมาฉันถูกย้ายไปที่เวิ้งด้านหลัง ผู้จัดการซึ่งรู้ว่าฉันชอบมองเห็นวิวข้างนอกแค่ไหนรับปากว่าฉันจะอยู่ตรงนั้นแค่ไม่กี่วันแล้วก็จะได้กลับมาอยู่ตรงกลางร้านเหมือนเดิม เธอบอกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เวิ้งด้านหลังก็เป็นตำแหน่งที่ดีมาก และฉันรู้ว่าฉันไม่ได้รังเกียจมันเลย ฉันชอบเอเอฟสองตัวที่นั่งอยู่บนโต๊ะกระจกตั้งชิดผนังด้านหลังเสมอมา และตอนนี้ฉันอยู่ใกล้มากพอที่จะร้องเรียกพวกเขาแล้วคุยกันยาวๆ ได้แล้วเวลาไม่มีลูกค้าในร้าน อย่างไรก็ดี เวิ้งด้านหลังอยู่ถัดจากซุ้มประตูเข้าไปอีก ด้วยเหตุนั้น ฉันจึงมองไม่เห็นวิวข้างนอก ทั้งส่วนหน้าของร้านก็แทบมองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ ถ้าฉันอยากจะเห็นลูกค้าตั้งแต่ตอนเข้ามาในร้าน ฉันต้องชะโงกไปข้างหน้าสุดตัวเพื่อมองอ้อมด้านข้างของซุ้มประตู แต่ถึงจะทำเช่นนั้น – ต่อให้ฉันก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว – ภาพที่เห็นก็ยังถูกบังด้วยแจกันสีเงินบนโต๊ะวางนิตยสาร และหุ่นบีทรีที่ยืนอยู่ตรงกลางร้านอยู่ดี ในทางกลับกัน อาจเพราะพวกเราอยู่ไกลจากถนน – หรือเพราะเพดานลาดลงตรงหลังร้าน – ฉันจึงได้ยินเสียงชัดเจนขึ้น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมแค่ได้ยินเสียงฝีเท้าฉันก็รู้ได้ตั้งนานก่อนเธอเอ่ยปากพูดเสียอีกว่าโจซีเข้ามาในร้าน
“ทำไมพวกเขาต้องใส่น้ำหอมด้วยนะ หนูเกือบสำลักแน่ะ”
“สบู่ต่างหากละโจซี” เสียงของแม่พูด “ไม่ใช่น้ำหอม สบู่ตัดด้วยมือ และก็เป็นสบู่ที่ดีมากๆ ด้วย”
“เห็นมั้ยคะ ไม่ใช่ร้านนั้นสักหน่อย ร้านนี้ต่างหาก หนูบอกแม่แล้ว” ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ เหยาะย่างเคลื่อนไปตามพื้น จากนั้นเธอพูดว่า “ร้านนี้แน่นอน แต่เธอไม่อยู่แล้ว”
ฉันก้าวสั้นๆ ไปข้างหน้าสามก้าวจนกระทั่งมองเห็นตรงช่องระหว่างแจกันสีเงินกับหุ่นบีทรีว่าแม่กำลังจ้องอะไรบางอย่างที่อยู่นอกการมองเห็นของฉัน ฉันเห็นใบหน้าเธอแค่ด้านเดียว แต่คิดว่าเธอดูเหนื่อยล้ากว่าครั้งที่ฉันเห็นเธอบนทางเท้า เธอดูคล้ายนกที่เกาะอยู่สูงท่ามกลางสายลมพัดหวิว ฉันเดาว่าเธอกำลังมองดูโจซี – และโจซีกำลังจ้องมองเอเอฟบีทรีหญิงตัวใหม่ในเวิ้งด้านหน้าอยู่
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่นาน แล้วแม่ก็พูดว่า “ลูกคิดว่าไงจ๊ะ โจซี”
โจซีไม่ตอบ ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้จัดการตัดผ่านพื้นห้อง ขณะนี้ฉันสัมผัสได้ถึงความนิ่งเป็นพิเศษภายในร้านเมื่อเอเอฟทุกตัวกำลังเงี่ยหูฟัง พลางนึกข้องใจว่ากำลังจะมีการซื้อขายเกิดขึ้นหรือไม่
“ซังอีเป็นรุ่นบีทรีค่ะ” ผู้จัดการเอ่ย “หนึ่งในรุ่นที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่ฉันเคยเห็น”
ตอนนี้ฉันมองเห็นไหล่ของผู้จัดการ แต่ยังไม่เห็นโจซี จากนั้นได้ยินเสียงโจซีพูดว่า
“เธอยอดเยี่ยมจริงๆ ซังอี ฉะนั้นได้โปรดอย่าเข้าใจผิดนะ มันแค่…” เสียงของเธอขาดหายไป ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ เหยาะย่างของเธออีก แล้วก็มองเห็นเธอเป็นครั้งแรก โจซีกำลังกวาดตามองทั่วร้าน
แม่พูดว่า “ได้ยินมาว่ารุ่นบีทรีใหม่เก่งมากเรื่องการรับรู้และการจำ แต่บางครั้งไม่ค่อยมีความเข้าอกเข้าใจเท่าไหร่”
ผู้จัดการทำเสียงถอนหายใจกลั้วหัวเราะ “บีทรีตัวสองตัวแรกอาจขึ้นชื่อเรื่องเอาแต่ใจนิดหน่อย แต่ฉันรับรองได้ว่าซังอีจะไม่มีปัญหาที่ว่าค่ะ”
“คุณจะรังเกียจมั้ย” แม่พูดกับผู้จัดการ “ถ้าฉันจะขอพูดกับซังอีโดยตรง ฉันมีคำถามสองสามข้ออยากถามเธอน่ะค่ะ”
“แม่คะ” โจซีแทรกขึ้น – เธอพ้นไปจากสายตาฉันอีก – “จะถามเพื่ออะไรคะ ซังอียอดเยี่ยมมาก หนูรู้ แต่เธอไม่ใช่ตัวที่หนูต้องการ”
“เราจะตามหาตลอดไปไม่ได้นะ โจซี”
“แต่มันคือร้านนี้แหละ หนูบอกแม่แล้ว เธออยู่ที่นี่ หนูเดาว่าเราแค่มาช้าเกินไป”
โชคร้ายที่โจซีเข้ามาตอนที่ฉันมาอยู่หลังร้านพอดี ถึงกระนั้น ฉันก็ยังแน่ใจว่าเธอจะมาตรงตำแหน่งที่ฉันอยู่และเห็นฉันทันการ และนั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉันยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ส่งเสียงใด แต่บางทีอาจจะมีเหตุผลมากกว่านั้นก็ได้ เนื่องจากความกลัวได้แล่นเข้ามาในใจฉันเกือบจะในวินาทีเดียวกับที่ฉันรู้สึกมีความสุขเมื่อตระหนักว่าใครเข้ามาในร้าน – ความกลัวซึ่งเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้จัดการพูดกับฉันวันนั้นว่า เด็กๆ มักจะให้คำมั่นสัญญาแล้วก็ไม่กลับมา หรือต่อให้กลับมา เขาก็จะไม่สนใจเอเอฟที่ตัวเองสัญญาด้วย แล้วก็เลือกตัวอื่นหน้าตาเฉย นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันยืนคอยอยู่เงียบๆ ต่อไป
แล้วผู้จัดการก็พูดขึ้นอีกด้วยน้ำเสียงแปลกไปเล็กน้อย
“ขอโทษนะคะ ฉันเข้าใจว่าคุณกำลังมองหาเอเอฟตัวใดเป็นพิเศษอยู่ ตัวที่คุณเคยเห็นที่นี่ก่อนหน้านี้ใช่มั้ยคะ”
“ใช่ค่ะ ก่อนหน้านี้คุณโชว์เธอไว้ในตู้โชว์ เธอน่ารักมากๆ และฉลาดมากเลยค่ะ เกือบจะเหมือนคนฝรั่งเศสละมั้ง ผมสั้นสีเข้มและเสื้อผ้าก็เหมือนจะสีเข้มทั้งชุดเช่นกัน เธอมีดวงตาที่ใจดีที่สุดและก็ฉลาดมากด้วย”
“ฉันว่าฉันรู้นะคะว่าคุณหมายถึงตัวไหน” ผู้จัดการพูด “ถ้าคุณตามฉันมา เราจะได้คำตอบค่ะ”
ได้ยินดังนั้นฉันจึงขยับไปตรงที่พวกเขาจะมองเห็นฉัน ฉันอยู่พ้นจากลวดลายของดวงอาทิตย์มาตลอดช่วงเช้า แต่ขณะนี้ฉันก้าวเข้าไปอยู่ในลำแสงสี่เหลี่ยมตัดกันสองลำจังหวะเดียวกับที่ผู้จัดการและโจซีซึ่งตามมาเดินมาถึงซุ้มประตูพอดี เมื่อโจซีเห็นฉัน ใบหน้าของเธอก็เปี่ยมด้วยความสุข เธอเร่งฝีเท้าขึ้น
“เธอยังอยู่!”

เธอผอมลงกว่าเดิม เธอก้าวยาวๆ อย่างไม่มั่นคงเข้ามาเรื่อยๆ และฉันคิดว่าเธอจะกอดฉัน แต่โจซีหยุดกึกในวินาทีสุดท้ายและแหงนหน้าจ้องฉันเขม็ง
“ให้ตายเถอะ! ฉันคิดว่าเธอไม่อยู่แล้วซะอีก!”
“ทำไมฉันถึงจะไม่อยู่ล่ะ” ฉันพูดเสียงเบา “ก็เราสัญญากันแล้วนี่”
“ใช่” โจซีรับคำ “ใช่ เราสัญญากันแล้ว เดาว่าฉันเป็นคนทำพัง แบบว่าหายไปนานเลย”
ขณะที่ฉันยิ้มให้เธอ เธอหันไปร้องเรียก “แม่คะ! เธออยู่นี่ค่ะ ตัวที่หนูตามหามาตลอด!”
แม่เดินมาที่ซุ้มประตูช้าๆ แล้วหยุด ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งสามคนต่างมองมาที่ฉัน โจซีซึ่งอยู่ข้างหน้ากำลังยิ้มแป้นอย่างมีความสุข ผู้จัดการที่อยู่ข้างหลังเธอก็กำลังยิ้มอยู่เช่นกัน ทว่าด้วยสีหน้าระมัดระวังอยู่ในที ซึ่งฉันรับรู้ได้ว่าเป็นสัญญาณสำคัญจากเธอ แล้วก็แม่ ดวงตาของเธอหรี่เล็กเหมือนผู้คนบนทางเท้าเวลาพยายามดูว่ารถแท็กซี่ว่างหรือมีผู้โดยสารแล้ว เมื่อฉันเห็นเธอและท่าทางที่เธอมองฉัน ความกลัว – ที่มีมาตลอดทว่าหายวับไปเมื่อโจซีร้องว่า “เธอยังอยู่!” – ก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวฉันอีก
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหายไปนานขนาดนั้น” โจซีพูด “ฉันป่วยนิดหน่อย แต่หายดีแล้วละ” เธอหันไปร้องถาม “แม่คะ เราซื้อเธอตอนนี้เลยได้มั้ยคะ ก่อนที่คนอื่นจะมาเอาเธอไป”
เกิดความเงียบขึ้น สักพักแม่พูดเบาๆ “ตัวนี้ไม่ใช่บีทรีนี่”
“คลาราเป็นรุ่นบีทูค่ะ” ผู้จัดการชี้แจง “จากซีรีส์ที่สี่ ซึ่งบางคนบอกว่ายังไม่มีรุ่นไหนเหนือกว่า”
“แต่ก็ไม่ใช่บีทรี”
“นวัตกรรมบีทรียอดเยี่ยมมากจริงๆ ค่ะ แต่ลูกค้าบางคน เด็กบางคนน่ะค่ะ รู้สึกว่ารุ่นท็อปของบีทูเป็นคู่ที่ทำให้พวกแกมีความสุขที่สุด”
“อ้อ”
“แม่คะ คลาราเป็นตัวที่หนูอยากได้ค่ะ หนูไม่ต้องการตัวอื่น”
“แป๊บหนึ่งนะ โจซี” เธอหันไปถามผู้จัดการ “เอเอฟทุกตัวมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวใช่มั้ยคะ”
“ถูกต้องค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่นระดับนี้”
“ถ้าอย่างนั้นตัวนี้พิเศษยังไง คลารา…เนี่ย”
“คลารามีคุณสมบัติพิเศษหลายอย่างค่ะ ใช้เวลาทั้งเช้าก็บอกไม่หมด แต่ถ้าจะให้เน้นแค่อย่างเดียวก็คงจะเป็นความกระหายในการสังเกตและการเรียนรู้ของเธอค่ะ ความสามารถในการดูดซับและผสมผสานทุกอย่างรอบตัวที่เธอพบเห็นนั้นน่าทึ่งมากๆ ส่งผลให้เธอมีความเข้าใจอันซับซ้อนที่สุดในบรรดาเอเอฟทุกตัวในร้านนี้ ไม่เว้นแม้แต่รุ่นบีทรี”
“งั้นเหรอ”
แม่มองฉันด้วยดวงตาหรี่เล็กอีก สักพักก้าวเข้ามาหาฉันสามก้าว
“จะเป็นอะไรมั้ย ถ้าฉันจะถามคำถามเธอสักสองสามข้อ”
“ตามสบายเลยค่ะ”
“แม่คะ ได้โปรด…”
“ขอโทษนะโจซี ช่วยไปยืนตรงนั้นสักครู่ระหว่างที่แม่คุยกับคลาราทีนะ”
จากนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างแม่กับฉัน ถึงฉันจะพยายามค้างยิ้มไว้บนหน้าแต่มันไม่ง่ายเลย และฉันอาจจะเผยความกลัวออกไปด้วยซ้ำ
“คลารา” แม่เรียก “ฉันอยากให้เธอไม่มองไปทางโจซี ทีนี้ก็บอกฉันโดยไม่มองนะว่า ดวงตาของโจซีสีอะไร”
“สีเทาค่ะ”
“ดีมาก โจซี แม่อยากให้ลูกเงียบกริบเลยนะ เอาละ คลารา เสียงของลูกสาวของฉัน เธอเพิ่งได้ยินเธอพูดไปหยกๆ บอกได้มั้ยว่าเสียงของเธอแหลมหรือเปล่า”
“เสียงสนทนาของเธออยู่ระหว่างเอแฟลตเหนือซีกลางถึงซีออกเตฟค่ะ”
“อย่างนั้นรึ” เกิดความเงียบขึ้นอีก แล้วแม่ก็พูดว่า “คำถามสุดท้ายนะ คลารา เธอสังเกตเห็นอะไรเกี่ยวกับท่าเดินของลูกสาวฉันบ้าง”
“น่าจะมีความอ่อนแอในสะโพกด้านซ้าย ไหล่ขวาของเธอก็มีแนวโน้มจะเจ็บปวด โจซีจึงเดินด้วยท่าที่จะป้องกันมันจากการเคลื่อนไหวฉับพลันหรือการกระแทกโดยไม่จำเป็นค่ะ”
แม่ใคร่ครวญคำตอบสักพัก จากนั้นพูดว่า “เอาละ คลารา เหมือนเธอจะรู้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอช่วยเลียนแบบท่าเดินของโจซีให้ฉันดูตอนนี้เลยได้มั้ย ท่าเดินของลูกสาวฉันน่ะ”
ทางด้านหลังไหล่ของแม่ ฉันเห็นริมฝีปากของผู้จัดการอ้าออกคล้ายจะพูดอะไร แต่ก็ไม่ได้พูด เมื่อสายตาเราประสานกัน เธอพยักหน้าน้อยๆ ให้ฉันแทน
ฉันจึงเริ่มเดิน ฉันตระหนักดีเช่นเดียวกับแม่ – และโจซีด้วยแน่นอน – ว่าทั้งร้านกำลังมองดูและฟังอยู่ ฉันก้าวออกไปยืนใต้ซุ้มประตูบนลวดลายของดวงอาทิตย์ที่ทอดอยู่บนพื้น จากนั้นเดินไปยังทิศทางที่มีหุ่นรุ่นบีทรียืนอยู่ตรงกลางร้านและรถเข็นโชว์กระจก ฉันพยายามเต็มที่ที่จะเลียนแบบท่าเดินของโจซีตามที่ตัวเองเห็นในครั้งแรกหลังเธอลงจากรถแท็กซี่ ตอนที่โรซากับฉันอยู่ในตู้โชว์สินค้า จากนั้นในอีกสี่วันต่อมาตอนเธอเดินเข้ามาที่ตู้โชว์หลังแม่ยกมือออกจากไหล่เธอ และครั้งสุดท้ายเมื่อไม่กี่อึดใจก่อนตอนฉันเห็นเธอปรี่เข้ามาหาพร้อมดวงตาเปี่ยมด้วยความโล่งใจ
เมื่อเดินไปถึงรถเข็นโชว์กระจกฉันก็เริ่มเดินอ้อมมัน พยายามไม่หลุดจากท่าเดินของโจซีแม้ในตอนที่บังคับตัวเองให้ไม่เฉียดโดนเอเอฟชายบีทรีที่ยืนอยู่ข้างๆ รถเข็น
ขณะที่ฉันกำลังจะเริ่มเดินย้อนกลับไป ฉันเหลือบขึ้นมองและได้เห็นสายตาของแม่ อะไรบางอย่างในสิ่งที่ฉันเห็นทำให้ฉันหยุดกึก เธอยังคงจ้องมองฉันอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่คล้ายกับว่าสายตาเธอเพ่งทะลุผ่านฉันไป ราวกับฉันเป็นกระจกในหน้าต่างและเธอกำลังพยายามมองอะไรบางอย่างที่อยู่ไกลออกไปทางด้านหลัง ฉันยังคงยืนนิ่งอยู่ข้างรถเข็นโชว์กระจก เท้าข้างหนึ่งตั้งขึ้น ส้นเท้ายกจากพื้น และมีความนิ่งงันประหลาดภายในร้าน จากนั้นผู้จัดการพูดขึ้นว่า
“อย่างที่คุณเห็น คลารามีความสามารถในการสังเกตที่ไม่ธรรมดา ฉันไม่เคยเจอหุ่นตัวไหนเหมือนเธอเลยละค่ะ”
“แม่คะ” คราวนี้เสียงของโจซีแผ่วเบา “แม่คะ ได้โปรด”
“ก็ได้จ้ะ เราจะซื้อเธอ”
โจซีปรี่เข้ามาหาฉัน เธอโอบแขนรอบตัวฉันแล้วกอดแน่น เมื่อฉันมองข้ามศีรษะของเด็กหญิงไป ฉันเห็นผู้จัดการกำลังยิ้มอย่างมีความสุข และแม่ซึ่งใบหน้าบึ้งตึงและดูจริงจังกำลังก้มหาของในกระเป๋าสะพาย

 

ติดตามต่อได้ในนิยายฉบับเต็ม

วางจำหน่ายเร็วๆ นี้

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า