แตกสลาย
未来
มินะโตะ คะนะเอะ เขียน
ธนพล ศักดิ์สมุทรานันท์ เเปล
นิยายเล่มเดียวจบ
ติดตามการวางจำหน่ายได้ทางเพจ “เเพรวนิยายเเปล”
บทนำ
ฉันส่งอากาศปริมาณมากเข้าไปในช่องปากเปิดอ้า ประหนึ่งต้องการให้คอแห้งผากยิ่งแห้งเป็นผุยผง ขณะก้าววิ่งสุดพละกำลัง วิ่งไป วิ่งไป…
มองเห็นสถานีรถไฟแล้ว รถบัสขนาดใหญ่จอดอยู่บริเวณจุดรอขึ้นโดยสารสำหรับรถบัสความเร็วสูง ดูเหมือนจะเริ่มตรวจตั๋วกันแล้ว แถวยาวเหยียดก่อตัวขึ้นหน้าประตูขึ้นรถ
แม้อยู่ในช่วงวันหยุดฤดูร้อน แต่คงเพราะเป็นวันธรรมดา จึงมีกลุ่มเด็กวัยราวมัธยมปลายหรือมหาวิทยาลัยมากกว่ากลุ่มครอบครัว แปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นเด็กผู้หญิง การเดินทางราวแปดชั่วโมงด้วยรถบัสรอบดึกกำลังจะเริ่มขึ้นนับจากนี้ ถึงกระนั้นคนส่วนมากก็ยังเสริมแต่งทรงผมและเครื่องสำอางไว้อย่างเพียบพร้อม มีกระทั่งคนสวมที่คาดผมติดหูหมี ทุกคนยิ้มแย้ม เสียงคุยจ้อแว่วมาไม่หยุด
ความคึกครื้นประหนึ่งร้านฟาสต์ฟู้ดช่วงกลางวันไม่อาจทำให้เชื่อว่าขณะนี้เป็นเวลาใกล้ห้าทุ่ม
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ฉันมองเห็นเธอสะดุดตา ร่างของเธอนั่งหลังงองุ้มบนม้านั่งตัวในสุดของห้องพักผู้โดยสาร แม้สวมหมวกแก๊ปปิดลงมาลึกก็รู้ได้ว่ากำลังทำหน้าเศร้าหมอง
เมื่อเห็นฉัน เธอรีบวิ่งมาหาทันที ราวกับคนรักที่เฝ้ารอปรากฏกายต่อหน้ามาแสนนาน เธอใช้สองมือเกาะไหล่ขวาของฉัน
“ค…คือ คือว่า ฉันน่ะ…”
ทั้งที่เธอน่าจะนั่งอยู่เฉยๆ แต่ลมหายใจกลับหนักหน่วงกว่าฉัน เธออาจเพิ่งมาถึงไม่นานก็ได้ ฉันยกนิ้วชี้มือซ้าย แตะริมฝีปากตัวเอง
“ยังไม่ต้องพูดอะไรตอนนี้ ขึ้นรถเถอะ”
ฉันกระซิบเช่นนั้น เธอพยักหน้าเงียบๆ เราเดินไปต่อท้ายแถวที่เริ่มสั้นลง ฉัยหยิบตั๋วรถบัสออกจากกระเป๋าหน้าของเป้ที่แบกไว้บนหลังเมื่อครู่ เธอทำเช่นเดียวกัน
คนที่ซื้อตั๋วทั้งสองใบคือฉัน แต่มอบให้เธอไว้ล่วงหน้าแล้วหนึ่งใบ เผื่อว่าใครสักคนมาไม่ได้ อีกคนก็ยังสามารถขึ้นรถไปคนเดียว แต่สุดท้ายเราก็ได้ขึ้นรถด้วยกัน
เบาะโดยสารแถวคู่เรียงยาวขนาบทั้งสองฝั่งตัวรถ ที่นั่งเราอยู่ฝั่งคนขับ เบาะที่สองนับจากด้านหลัง เบาะหลังสุดใช้เป็นที่วางสัมภาระ ไม่มีผู้โดยสาร ฉันยกที่นั่งริมหน้าต่างให้เธอ
“เมารถเปล่า”
แม้ในสถานการณ์เช่นนี้ เธอยังคอยถามไถ่ด้วยถ้อยคำสั้นห้วนเป็นกันเอง ทำให้ฉันรู้สึกชอบเธอขึ้นมาอีกครั้ง
“ขอบคุณที่ถามนะ ฉันพกยามา”
เป็นยาประเภทที่กินหลังเมารถก็ยังออกฤทธิ์ ดังนั้นไม่ต้องกินมาจากบ้านก็ได้ เราวางกระเป๋าเป้ไว้ที่เท้าแล้วนั่งข้างกัน แม้ไม่ใช่รถโดยสารชั้นเลิศ แต่สำหรับเด็กสาวผอมกะหร่องสองคนก็นับว่ามีพื้นที่เหลือเฟือ ทว่าไหล่ซ้ายของเธอกลับเบียดชิดไหล่ขวาของฉันแนบสนิท สัมผัสได้ถึงความสั่นไหว ฉันใช้มือข้างที่อยู่ใกล้กุมมือเธอไว้แน่น
เสียงปิดประตูรถเมล์ดังชู่ว์ เอาละครับเราจะออกเดินทางกันนับจากนี้ เสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่รถบัสดังขึ้น รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออก
“ไม่เป็นไรแล้วละ นอนได้เลยไม่ต้องคิดอะไร”
ฉันบอกเช่นนั้น เธอพยักหน้าเงียบๆ อีกครั้ง เอนหัวน้อยๆ ของเธอที่ยังใส่หมวกแก๊ปพิงกับหน้าต่าง กะพริบตาซ้ำๆ หลายหนก่อนปิดตาลง
รถโดยสารแล่นออกจากวงเวียนของสถานี ก่อนขึ้นทางด่วน มันต้องวิ่งไปบนเส้นทางชนบทมืดสลัว ไม่ต่างจากพวกเราทั้งคู่ในตอนนี้ แต่กระนั้น ใช่ว่าความมืดมิดจะคงอยู่ตลอดกาล
รถโดยสารจะแล่นไปเรื่อยๆ บนถนนยามค่ำคืนหลายชั่วโมง และจุดหมายที่ไปถึงตอนรุ่งสางคือดินแดนแห่งความฝันที่เจิดจ้าด้วยแสงสว่าง สถานที่ซึ่งตัวฉันในอนาคตเป็นผู้นำทางมา
ฉันค่อยๆ ปล่อยมือเธอที่กุมไว้ พินิจให้แน่ใจว่าเธอไม่มีทีท่าจะตื่นกลางคัน จากนั้นรูดซิปเปิดกระเป๋าเป้ หยิบซองจดหมายจากช่องเก็บของในกระเป๋าออกมา…
ถึงอากิโกะวัยสิบขวบ
สวัสดี อากิโกะ ฉันคือเธอในอีกยี่สิบปีข้างหน้า อากิโกะวัยสามสิบปี
พูดง่ายๆ นี่คือจดหมายจากอนาคต เธอคงเชื่อว่านี่เป็นการเล่นพิเรนทร์ของใครบางคนแน่นอน หรือไม่ก็อาจกำลังโกรธ คิดว่าช่างใจร้ายเหลือเกินที่มาแกล้งกันทั้งที่ฉันเพิ่งสูญเสียคุณพ่อสุดที่รัก (เธอเรียกว่าป๊ะป๋าสินะ) ไปแท้ๆ
แต่นี่คือจดหมายจากอนาคตของจริง
หากปล่อยให้สงสัยต่อไป เธอคงไม่ยอมอ่านส่วนที่เหลือ ดังนั้นฉันจึงขอแนบหลักฐานมาด้วย นั่นคือที่คั่นหนังสือดรีมแคท ตัวละครสัญลักษณ์ของโตเกียวดรีมเมาน์เทน ดินแดนที่เธอสัญญากับคุณพ่อไว้เป็นว่าหากออกจากโรงพยาบาลแล้วจะไปเที่ยวด้วยกันให้ได้
นั่นไง ดูตัวอักษรที่สลักไว้ตรงมุมขวาล่างสิ
[TOKYO DREAM MOUNTAIN 30th Anniversary]เธอยังอ่านภาษาอังกฤษไม่ออกกระมัง มันแปลว่า ที่ระลึกครบรอบสามสิบปีโตเกียวดรีมเมาน์เทน
ใช่แล้ว ครบรอบสามสิบปี หนังสือนำเที่ยวฉบับตีพิมพ์ใหม่ที่เธอถือมุดขึ้นเตียงผู้ป่วยของคุณพ่อแล้วเปิดดูด้วยกันสองคน เล่มที่เธอใช้เงินปีใหม่จากคุณพ่อซื้อมานั่นละ มันน่าจะเขียนไว้ว่าครบรอบสิบปีใช่ไหม
นี่ไม่ใช่ของปลอม การนำตัวละครดรีมคาแรคเตอร์ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจะถูกควบคุมตรวจสอบอย่างเข้มงวด เธอน่าจะรู้เรื่องนี้ดีที่สุด
ภาพนั้นยังอยู่ในความทรงจำของฉันอย่างชัดเจน
ในชั่วโมงงานฝีมือของเทอมสาม เธอเลือกดรีมแคทเป็นแบบร่างสำหรับแกะสลักส่วนฝาของกล่องไม้ใบเล็กที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง เธอคัดลอกแบบร่างของดรีมแคทสวมหมวกผ้าสักหลาดที่ปรากฏบนปกหนังสือนำเที่ยวออกมาได้อย่างงดงาม ไม่ว่าจะเป็นขนนกที่ประดับบนหมวก ไปจนถึงแผงขนบนตัวดรีมแคทเส้นต่อเส้น แยกใช้สิ่วขนาดต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะสิ่วครึ่งวงกลมหรือสิ่วแบน ค่อยๆ แกะสลักไปด้วยความมานะอุตสาหะ
ทุกอย่างเป็นเพราะเธออยากมอบผลงานที่เสร็จสมบูรณ์ให้คุณพ่อเป็นของขวัญ เมื่อคุณพ่อออกจากโรงพยาบาล สามคนพ่อแม่ลูกจะไปเที่ยวทั้งโตเกียวดรีมแลนด์และดรีมเมาน์เทน เธอตั้งใจจะใส่รูปถ่ายที่ระลึกไว้ในกล่องจนเต็ม จึงใช้ชิ้นผ้ากำมะหยี่สีแดงแปะผนังด้านในกล่องทีละด้านอย่างประณีต ไม่ให้มีรอยยับแม้สักแห่ง
เธอตั้งตารออยากไปดรีมเมาน์เทนมากกว่าดรีมแลนด์เสียอีก แหม ก็วันเปิดดรีมเมาน์เทน วันที่เก้ากันยายนเป็นวันที่เธอถือกำเนิดนี่นา
กล่องไม้ที่ประดิษฐ์เสร็จเรียบร้อยจะถูกนำไปวางบนโต๊ะที่เรียงอยู่บนทางเดินนอกห้องเรียนพักหนึ่ง เพื่อรอให้กาวแห้ง เด็กๆ เกือบทุกคนในชั้นเรียนต่างยืนอยู่หน้ากล่องของเธอ พากันส่งเสียงฮือฮาว่าสุดยอด สุดยอด
“อย่างกับของแท้ที่ขายในร้านกิ๊ฟท์ชอปเลย”
เมื่อได้ยินเด็กที่เคยไปดรีมเมาท์เทนจริงๆ พูดแบบนั้น เธอจึงรู้สึกภูมิใจ
“อากิโกะจังไม่ได้เก่งแค่เขียนเรียงความ แต่ยังถนัดงานฝีมือด้วยนะเนี่ย”
มีคนชมเธอแบบนั้นด้วย ให้ฉันพูดเองก็รู้สึกแปลกๆ อยู่ แต่จุดเด่นของเธอ รวมทั้งของฉัน คงจะเป็นพลังจินตนาการและสมาธิละมั้ง
แม้ห้องเรียนในเวลาพักจะจอแจแค่ไหน มือของเธอก็ไม่เคยหยุดพลิกหน้าหนังสือ ที่สำคัญ หากเป็นเพียงข้อความในตำราเรียน แค่อ่านออกเสียงสามครั้งก็สามารถท่องจำขึ้นใจ
ระหว่างคาบภาษาญี่ปุ่น ขณะที่เธอเหม่อลอยเป็นกังวลเรื่องคุณพ่อ ก็ถูกอาจารย์เรียกให้อ่านออกเสียง เธอลนลานยืนขึ้น แต่ไม่ได้เปิดตำราเรียนไว้ เมื่อเด็กผู้ชายข้างๆ กระซิบเสียงค่อยบอกส่วนต้นของประโยค เธอจึงตระหนักได้ว่า “อ้อ ตรงนั้นนี่เอง” แล้วใช้หลังมือปาดเหงื่อผุดพรายบนหน้าผากแม้เป็นฤดูกาลอันหนาวเหน็บ พลางเงยหน้ามองตรง จากนั้นเริ่มเปล่งเสียงท่องทั้งย่อหน้าโดยไม่มีตำราเรียนในมือ ทำให้ทุกคนในห้องต่างตะลึงตาค้าง
นับแต่นั้น เธอเริ่มถูกเรียกว่าสาวน้อยอัจฉริยะ “พอได้แล้ว เรียกอัคโกะแบบเดิมเถอะน่า” คนขี้อายอย่างเธอได้แต่หน้าแดงพลางอ้อนวอนเช่นนั้นสุดชีวิต
กระทั่งตอนนี้ นิสัยดังกล่าวก็ยังเหมือนเดิม
แม้เธอจะเป็นเธอเช่นนั้น ก็ยังมีเด็กบางคนพูดจาไม่ดีใส่ ตอนนี้เธออาจกลุ้มใจเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนเงียบๆ ทำให้ถูกมองว่ามีบุคลิกเศร้าซึม บรรดาเด็กผู้หญิงผู้ร่าเริงสดใสและเป็นดังศูนย์กลางของห้องเรียนก็คอยหลบเลี่ยงเธอ แต่ฉันซึ่งโตเป็นผู้ใหญ่แล้วรู้ดีว่านั่นเป็นการคาดเดาผิดพลาดโดยสิ้นเชิง
เธอแค่ถูกคนอื่นอิจฉาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นมิโนริจังผู้เป็นหัวหน้าห้องจึงพูดแบบนี้
“ถึงจะเป็นของที่ทำโดยมือสมัครเล่น ไม่ได้ทำเพื่อขายเอากำไรก็เถอะ แต่เอาดรีมคาแรคเตอร์มาใช้ตามใจแบบนี้ไม่ได้นะจะบอกให้ โรงเรียนประถมของคนรู้จักพี่ชายฉันน่ะ พอทุกคนวาดรูปดรีมแบร์ ตัวละครหลักของดรีมแลนด์บนกำแพงโรงยิมเป็นที่ระลึกจบการศึกษา บริษัทดรีมที่อเมริกาก็ติดต่อมาทักท้วงให้ลบออกทันทีเลย”
ทันใดนั้น หน้าของเธอซีดเผือด เพราะคิดว่าถ้าเรื่องไม่จบแค่ถูกริบกล่องไม้ แต่ถึงขั้นต้องจ่ายค่าปรับเพราะทำผิดกฏหมายล่ะ จะทำอย่างไร ยิ่งกว่านั้น หากถูกห้ามเข้าดรีมแลนด์หรือดรีมเมาท์เทนด้วยล่ะ จะทำอย่างไร
เธอร้องไห้พร้อมกับรีบไปปรึกษาอาจารย์ไมโกะ ชิโนมิยะ ครูประจำชั้น จากนั้น อาจารย์ปลอบใจเธอด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่ถูกจับได้ ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ” และให้เธอนำกล่องไม้กลับบ้านไปในวันนั้นเพราะให้คะแนนเต็มร้อยไปแล้ว
“ป๊ะป๋าชมว่าเก่งมากด้วยละ”
เธอแวะไปโรงพยาบาลหลังกลับจากโรงเรียน เช้าวันรุ่งขึ้นก็มารายงานอาจารย์ตามนั้นใช่ไหม
แต่กล่องไม้ใบนั้นกลับไม่สามารถใส่รูปถ่ายตอนไปเที่ยวดรีมแลนด์กับดรีมเมาน์เทนสามคนพ่อแม่ลูกได้ เพราะหนึ่งสัปดาห์ต่อมาหลังกล่องไม้เสร็จสมบูรณ์ คุณพ่อของเธอก็เดินทางสู่สรวงสวรรค์
นั่นเป็นเรื่องราวเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้า
หากตอนนั้นฉันสามารถส่งจดหมายฉบับนี้ได้ก็คงดี…
จดหมายจากอนาคตไม่อาจส่งไปยังอดีตได้ง่ายๆ ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดว่าจะส่งไปเวลาไหน ใครส่งให้ใคร และด้วยจุดประสงค์อะไร
ลองคิดดูให้ดี ถ้าส่งจดหมายได้ง่ายๆ ฉันคงบอกเลขล็อตเตอรีที่ถูกรางวัลให้เธอได้จริงไหม หากทุกคนทำแบบนั้น คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น นั่นอาจเป็นตัวอย่างที่ดูไม่เข้าท่าเท่าไร แต่ลองนึกเล่นๆ ดู หากเรารู้ถึงอนาคตบางส่วนที่เป็นทุกข์ อาจมีใครบางคนพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์นั้น
ทั้งที่ความจริง หากไม่รู้อะไรมาก่อน ปลายทางหลังก้าวพ้นสถานการณ์เหล่านั้นไป อาจมีความสุขอันยิ่งใหญ่รออยู่ก็ได้
เหตุผลที่ฉันไม่เขียนทั้งนามสกุลปัจจุบันและอาชีพตัวเองไว้ในจดหมายฉบับนี้ เพราะมีข้อห้ามเรื่องดังกล่าวนั่นเอง เบื้องหน้านับจากนี้ หากเติบโตขึ้นอีกนิด เธออาจครุ่นคิดอย่างจริงจังยิ่งกว่าที่ผ่านมาว่าตนเกิดมาบนโลกนี้เพื่ออะไร
ชีวิตคือการพากเพียรบากบั่นไปสู่สิ่งที่ดีกว่าด้วยตัวเอง ระหว่างทางอาจต้องสับสนกลุ้มใจบ้าง ว่าจะอยู่เพื่อพบใคร อยู่เพื่อทำอะไร ได้ลองหาหนทางต่างๆ นานาๆ เพื่อนำไปสู่คำตอบ แต่กระนั้น หากล่วงรู้เรื่องราวในอนาคตเข้า หลงคิดเองเออเองว่ากำลังก้าวเดินอยู่บนเส้นทางชีวิตที่ใครบางคนกำหนด ก็อาจกลายเป็นมนุษย์ที่ไม่คิดพยายามอะไรอีกต่อไป หรือไม่ก็อาจจงใจแสดงปฏิกริยาต่อต้านตัวเองเลยก็ได้
เรื่องอนาคต หากไม่รู้ย่อมดีกว่า
แต่ถึงอย่างนั้น ที่ฉันตัดสินใจเขียนจดหมายถึงเธอ เพราะต้องการบอกให้รู้ว่าอนาคตของเธอเป็นสิ่งที่อบอุ่นซึ่งเปี่ยมด้วยความหวัง
ไม่ใช่เธอคนเดียวที่เศร้าโศกเพราะสูญเสียคุณพ่อแสนใจดี ในวันพิธีศพ คุณแม่ไม่อาจทนรับความเสียใจอันหนักหน่วง จนต้องล้มป่วยไป เธอนั่งอยู่คนเดียวบนที่นั่งครอบครัวผู้ตาย เก็บกลั้นน้ำตาสุดชีวิตราวกับต้องการแสดงความตั้งใจว่าจะเป็นตัวแทนคุณแม่เพื่อส่งวิญญาณคุณพ่อ
หลังจากนั้น บ่อยครั้งคุณแม่ไม่สามารถลุกจากที่นอน สามีภรรยาเจ้าของบริษัทคุณพ่อและผู้คนในแมนชั่นเดียวกันต่างบอกเธอว่า คอยดูแลคุณแม่ให้แข็งแรงหน่อยนะ ช่วยคุณแม่ทำงานด้วยนะ แต่ฉันรู้ดีกว่าใครว่าเธอกำลังพยายามสุดชีวิตเพื่อช่วยเหลือคุณแม่อยู่แล้ว
ไม่ใช่แค่เรื่องที่บ้านอย่างการซื้อข้าวกล่องอาหารเย็นหรือเอาขยะไปทิ้งเท่านั้น แม้มีนิสัยประหม่ายามอยู่ต่อหน้าคนเยอะ แต่เธอต้องการให้คุณแม่ดีใจ จึงยกมือสมัครเป็นคนอ่านจดหมายอำลาในงานเลี้ยงส่งรุ่นพี่ประถมหก ซึ่งจะมีเพียงคนเดียวในชั้นเรียนเท่านั้นที่ถูกเลือก
สำหรับเธอ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นสัปดาห์ที่แล้ว เรื่องนี้แม้แต่มิโนริจังที่รอให้ตัวเองถูกเสนอชื่อก็ยังตกใจ เลยไม่ปริปากบ่นอะไรเหมือนที่ผ่านมา
อนาคตเบื้องหน้าที่เกิดจากความอุตสาหะย่อมมีเรื่องสนุกๆ รออยู่ นี่คือสิ่งที่คุณพ่อพูดอยู่บ่อยๆ ทุกจังหวะที่น้ำตาจวนเอ่อล้นขึ้นทุกที เธอกัดฟันกรอด อ่านเสียงดังฟังชัดถึงประโยคสุดท้าย แม้เป็นงานสาธารณะเปิดกว้างสำหรับทุกคน แต่คุณแม่ก็ไม่ปรากฏตัวที่นั่น ทว่าเสียงปรบมือกึกก้องทั่วโรงยิมคงส่งไปถึงคุณพ่อที่อยู่บนสวรรค์แน่นอน
เธออาจเป็นกังวลว่าหากอาการของคุณแม่ไม่ดีขึ้นเลยจะทำอย่างไร ที่ผ่านมาเธอร้องไห้อยู่บนฟูกที่นอนทุกคืน ไปโรงเรียนทั้งตาบวมแดงตลอดเลยใช่ไหม ระหว่างนั้นก็ยังฝืนปั้นรอยยิ้มบอกอาจารย์ว่าไม่เป็นไร ส่วนตอนนี้ เธอกลัวว่าหากคนอื่นรู้เรื่องร้องไห้ จะมีคนไปพูดกับคุณแม่ตรงๆ ว่าให้ทำตัวเข้มแข็งหน่อย เธอจึงเริ่มอดทนไม่หลั่งน้ำตาออกมา แม้ในที่ที่ไม่มีใครก็ตาม
ได้โปรด อย่าเศร้าโศกขนาดนั้นเลย อย่าบีบคั้นตัวเองอีกเลย
เมื่อว้าเหว่ก็ให้อ่านหนังสือ ลองเขียนสิ่งที่ผุดขึ้นในใจออกมาก็ได้
เธอรู้ความรู้สึกของคุณพ่อที่หล่อหลอมอยู่ในชื่อของเธอไหม อาจเป็นการฝ่าฝืนกฎก็ได้หากฉันนำเรื่องที่เธอน่าจะรู้ในอนาคตมาเขียนในจดหมาย แต่ฉันอยากบอกเรื่องนั้นกับเธอในตอนนี้
ถ้อยคำต่างๆ มีพลังในการปลอบประโลมผู้คน มีพลังที่ทำให้จิตใจแข็งแกร่ง มีพลังที่มอบความกล้าหาญให้ สามารถเยียวยา ให้กำลังใจ และถ่ายทอดความรัก แต่ถ้อยคำที่ออกจากปากไม่อาจมองเห็นด้วยตา เลือนหายไปเพียงชั่ววูบ แม้แต่ถ้อยคำที่เราอยากฝังลึกเข้าไปในหูหรือแก่นกลางของสมอง เมื่อเวลาผ่านไปก็จะแปรเปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์อันเลือนลางไปอย่างสิ้นเชิง
ด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนนับแต่อดีตจึงเลือกเขียนสิ่งสำคัญเก็บไว้ เพื่อเปลี่ยนถ้อยคำให้เป็นรูปร่าง ทำให้มันเป็นสิ่งที่คงอยู่ตลอดกาล
สิ่งนั้นคือ “文章(ข้อความ)” นั่นเอง
คุณพ่อเคยบอกว่าช่วงอายุสิบกว่าปี ท่านเคยอยากเป็นนักเขียนนิยาย หากลองค้นหาตามที่ต่างๆ ในบ้าน อาจพบนิยายที่คุณพ่อเขียนไว้ก็ได้
ชื่อคุณแม่ของเธอ 文乃(อายาโนะ) มีตัวอักษร “文” อยู่ในนั้น คุณพ่อจึงเลือกใช้ตัวอักษร “章” ในชื่อของเธอ ช่วงขึ้นชั้นประถม เธอเคยร้องงอแงใส่คุณพ่อ บอกว่าอยากได้ชื่อที่เท่กว่านี้ใช่ไหม
“ไว้อากิโกะโตกว่านี้อีกหน่อยแล้วป๊ะป๋าจะบอกให้นะว่าทำไมถึงตั้งชื่อนี้”
คุณพ่อพูดประมาณนั้นสินะ คำตอบที่ว่าอยู่ในประโยคที่ฉันเขียนไปเมื่อครู่
“章” ใน章子(อากิโกะ) คือ “章” ใน文章(ข้อความ) เธอผู้เป็นเจ้าของชื่อนี้ ไม่มีทางที่ตัวอักษร ถ้อยคำ ข้อความ และเรื่องเล่าจะไม่เข้าพวกเป็นพันธมิตรกับเธอ
เธอเองคงรู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมฉันจึงเลือกที่คั่นหนังสือจากของที่ระลึกดรีมกู๊ดส์มากมายหลายชนิด เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่านี่คือจดหมายจากอนาคต
จริงอยู่ที่ฉันเขียนไว้ว่าไม่สามารถบอกอาชีพตัวเองได้ แต่การอ่านหนังสือและการเขียนข้อความของเธอ ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งปฏิบัติเพื่อกลบเกลื่อนความเดียวดายขณะนี้เท่านั้น แต่น่าจะกลายเป็นสิ่งซึ่งทำหน้าที่สำคัญในการนำทางไปสู่ตัวเธอในอนาคต พูดง่ายๆ คือนำเธอมาสู่ฉันนั่นเอง
อากิโกะ ตัวเธอในอีกยี่สิบปีให้หลังกำลังก้าวเดินบนเส้นทางชีวิตที่สามารถยืดอกพูดได้เต็มปากว่ามีความสุข
เบื้องหน้าถัดจากความเศร้าโศกนี้ มีอนาคตส่องสว่างรออยู่ ฉันอยากบอกเธอเรื่องนั้น
สู้เขานะ อากิโกะ! ขอให้จดหมายฉบับนี้เป็นเสียงเชียร์เล็กๆ น้อยๆ ให้แก่ชีวิตของเธอด้วยเถิด
จากอากิโกะวัยสามสิบปี
ปล. อย่าให้ใครเห็นที่คั่นหนังสือล่ะ ให้มันเป็นสิ่งของแห่งความลับระหว่างเธอกับฉันเท่านั้นพอ
เสียงประกาศแว่วมาว่าจะดับไฟในอีกห้านาที
ฉันเก็บกระดาษจดหมายเข้าซอง ใช้ปลายนิ้วสัมผัสเพื่อตรวจสอบแผ่นโลหะด้านใน แล้วเก็บจดหมายลงกระเป๋าเป้ ฉันจับมือเธออีกครั้ง ค่อยๆ หลับตาลง
จดหมายฉบับนี้ส่งมาถึงตอนสิ้นสุดชั้นประถมปีที่สี่ ช่วงปลายเดือนมีนาคม
หลังเสร็จสิ้นพิธีปิดภาคการศึกษาของเทอมสาม ฉันกลับมาที่แมนชั่นคนเดียว แล้วพบว่ามีจดหมายปิดผนึกฉบับหนึ่งใส่ไว้ในกล่องรับไปรษณีย์ ซองจดหมายสีขาวแนวตั้งที่อาจกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษแม้แต่น้อย ชนิดที่วางอยู่ตามมุมขายเครื่องเขียนในร้านใดสักแห่ง บนนั้นเขียนด้วยปากกาหมึกดำว่า “คุณอากิโกะ ซาเอกิ” ไม่มีทั้งชื่อและที่อยู่ผู้ส่ง ไม่มีทั้งแสตมป์แปะไว้
นี่ไม่ใช่จดหมายจากไปรษณีย์ หม่าม้าทิ้งจดหมายนี้ให้ฉันแล้วหายออกจากบ้านไปแล้วหรือเปล่า ตั้งใจบอกลาตามป๊ะป๋าไปงั้นหรือ แม้ยังเป็นฤดูกาลอันหนาวเหน็บ ฉันกลับสัมผัสได้ถึงเหงื่อเย็นเยียบไหลลงมาตามสีข้าง
ฉันไม่อาจแยกแยะได้ในทันทีว่าลายมือที่เขียนชื่อผู้รับเป็นของหม่าม้าหรือเปล่า
เพราะชื่อของฉันที่ปรากฏบนของใช้ติดตัว รวมทั้งเอกสารต่างๆ ที่ส่งไปยังโรงเรียน ป๊ะป๋าเป็นคนเขียนให้ทั้งหมด แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ลายมือป๊ะป๋า
หลังจากป๊ะป๋าตาย คืนหนึ่ง ฉันวางแผ่นเอกสารต่างๆ บนโต๊ะกินข้าว โดยขอให้หม่าม้าช่วยกรอกข้อมูลไว้ให้ แต่ถึงตอนเช้าก็ยังไม่มีอะไรเขียนลงไป ฉันจึงจำใจต้องกรอกเอง พยายามเขียนตัวอักษรให้หวัด เขียนให้ชิดติดกันเป็นพรืด เพื่อให้ดูเหมือนผู้ใหญ่เขียน
ฉันเอื้อมมือหยิบซองจดหมายอย่างหวาดหวั่น พลางสัมผัสถึงแรงสะเทือนตึกตักของหัวใจเต้น ด้านหลังไม่มีอะไรเขียนไว้ ปากซองจดหมายติดกาวผนึกไว้แนบสนิท ไม่มีแม้แต่ช่องว่างให้นิ้วเล็กๆ ของเด็กสอดเข้าไป ฉันรู้สึกเล็กน้อยว่าดูไม่เป็นหม่าม้าเท่าไร จึงสูดหายใจโล่งอก แม้ไม่ใช่เรื่องต้องหลบซ่อนใคร แต่ฉันใช้มือข้างหนึ่งถือจดหมายซ่อนไว้ในเสื้อฮู้ดกันหนาว ใช้มืออีกข้างล้วงกุญแจออกมาแล้วเปิดเข้าบ้าน
กลับมาแล้วจ้า ฉันลองเปล่งเสียงให้ดังกว่าทุกครั้ง ไม่มีเสียงตอบรับ
นิตยสารแฟชั่นเล่มหนาที่วางซ้อนทับเป็นกองก่อนหน้านี้ร่วงทลายคล้ายหิมะถล่มออกมาจากประตูห้องนั่งเล่นที่เปิดอยู่ เกลื่อนกลาดทั่วระเบียงทางเดินบ้าน ฉันเดินข้ามพวกมันพลางชะเง้อมองห้องนั่งเล่น เห็นร่างของหม่าม้าในนั้น นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายตัวโปรดหันหน้าไปทางริมหน้าต่าง มองไปยังที่ไหนสักแห่งไกลแสนไกล
เสี้ยววินาทีหนึ่ง ฉันตลกตัวเองที่กังวลกับเรื่องเมื่อครู่ หม่าม้าไม่มีทางออกไปข้างนอกคนเดียวได้อยู่แล้ว
นั่นก็เพราะ หม่าม้าในตอนนี้เป็นตุ๊กตา
สภาวะของหม่าม้ามีเพียงสองแบบ คือตอนที่อาการดีสุดๆ กับตอนที่อาการแย่สุดๆ ป๊ะป๋ากับฉันเรียกสภาวะแรกว่าร่างมนุษย์หรือไม่ก็ออน และเรียกสภาวะหลังว่าร่างตุ๊กตาหรือไม่ก็ออฟ อาการโดยรวมคือมีช่วงที่เป็นมนุษย์ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ และเป็นตุ๊กตาแปดสิบเปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม หม่าม้าตอนเป็นมนุษย์ก็ไม่ได้คึกคักสดใส เพียงแค่ลุกจากเตียง พอทำงานบ้านง่ายๆ ได้ อย่างดีที่สุดคือลงมือทำขนม ถ้าอยู่กับป๊ะป๋าหรือฉัน ก็สามารถไปข้างนอกได้ แต่ส่วนมากเมื่อถึงวันรุ่งขึ้นก็กลับไปสู่ร่างตุ๊กตา เป็นตุ๊กตาที่ไม่ยอมลุกจากเตียง หรือไม่ก็ใช้ชีวิตทั้งวันด้วยการนั่งเหม่อบนเก้าอี้
ฉันดูท่าทีของหม่าม้าให้แน่ใจ เรื่องเตรียมอาหารไว้ทีหลังคงไม่เป็นไร ฉันคิดเช่นนั้นแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องตัวเองที่มีขนาดสี่เสื่อครึ่ง[1] ฉันเองก็หิวข้าวเพราะคุยกับอาจารย์ชิโนมิยะครูประจำชั้นเสียนาน แต่รู้สึกสนใจเนื้อความในจดหมายมากกว่า
หรือว่า อาจารย์ชิโนมิยะจะเขียนจดหมายให้เด็กในชั้นเรียนทุกคน ฉันคิดแบบนั้นก็จริง แต่ตัวหนังสือที่อาจารย์ชิโนมิยะเขียนบนกระดานดำซึ่งผ่านตาฉันทุกวันเป็นเวลาหนึ่งปีจะตัวใหญ่ๆ ดูเหลี่ยมๆ คล้ายลายมือผู้ชาย ส่วนตัวอักษรในจดหมายนี้เรียงเป็นระเบียบไหลลื่นเหมือนลายมือผู้หญิงมากกว่า
พอเปิดดูก็ทำเอาตกใจ! ไม่อยากเชื่อว่ามันคือจดหมายของตัวฉันจากอนาคต
แม้เป็นเด็กสิบขวบก็ใช่จะเชื่อเรื่องนี้ง่ายๆ แต่ที่เชื่อเพราะตัวฉันในตอนนั้นรู้ว่าจดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายจากอนาคตของจริง หลังจากคืนนั้น ฉันจึงตัดสินใจเขียนจดหมายตอบ
ถึงตัวเองในอนาคต–
อากิโกะ
ถึงอากิโกะวัยผู้ใหญ่ อายุสามสิบปี
ขอบคุณสำหรับจดหมายค่ะ หลังกลับจากพิธีปิดภาคการศึกษา พอมองเข้าไปในกล่องรับไปรษณีย์ หนูก็ตกใจเพราะมีจดหมายใส่ไว้ แถมยังส่งมาจากตัวหนูในอนาคตอีกด้วย!
ทั้งที่ความจริง ไปรษณีย์จ่าหน้าซองถึงหนูส่วนมากมีแค่โปสต์การ์ดอวยพรปีใหม่กับแผ่นพับโฆษณาเท่านั้นเอง
จนถึงกลางคืนแล้วหนูก็ยังไม่อยากเชื่อ แต่ป๊ะป๋าเคยบอกว่า “ความเคลือบแคลงจะทำให้ความฝันแสนสนุกหายไปทีละอย่าง” ดังนั้นหนูจึงเลิกคิดว่านี่คือเรื่องเป็นไปไม่ได้หรือแค่การเล่นพิเรนทร์ของใครสักคน
ป๊ะป๋าบอกหนูเรื่องนั้นเมื่อปีที่แล้ว แต่ตอนนี้เป็นเดือนมีนาคม (ซับซ้อนชวนงงนะว่าไหมคะ) เพราะฉะนั้นที่ถูกต้องจริงๆ คือสองปีที่แล้วหรือเปล่านะ ช่วงก่อนคริสต์มาสตอนอยู่ประถมสาม อากิโกะวัยผู้ใหญ่จำได้ไหมคะ
ตอนพักกินอาหารกลางวัน ระหว่างที่หนูคุยกับเด็กๆ กลุ่มเดียวกันว่าปีนี้จะขออะไรจากซานตาคลอส จู่ๆ อาริสะจังที่อยู่กลุ่มข้างๆ ก็พูดออกมาว่า “บ้าหรือเปล่า ซานตาคลอสอะไรนั่นไม่มีจริงหรอก” มีทั้งเด็กที่ตอบเธอว่า ไม่จริงสักหน่อย รวมถึงเด็กที่เข้าข้างอาริสะจัง โดยบอกว่าพี่ชายของฉันก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน
หนูเองเชื่อว่าซานตาคลอสมีอยู่จริง ก็เลยช็อกจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ฟังคนอื่นเถียงกันเจี๊ยวจ๊าวไปมา
เรื่องที่หนูตกใจคือ ในกลุ่มเด็กที่เชื่อเรื่องซานตาคลอส ก็ยังแบ่งได้เป็นสองกลุ่ม คือพวกเด็กที่คิดว่ามีอาณาจักรซานต้าอยู่อีกฝั่งของท้องฟ้า (หนูเป็นกลุ่มนี้) กับพวกเด็กที่คิดว่ามีหมู่บ้านซานตาคลอสอยู่ที่ฟินแลนด์ และของขวัญถูกส่งมาจากที่นั่น
“ถ้าเป็นซานต้าแบบที่ว่า ฉันจะยอมเออออด้วยก็ได้” แม้แต่อาริสะจังก็พูดแบบนั้น แล้วหัวเราะเหมือนเยาะเย้ยนิดหน่อย สรุปคือมีทั้งพวกเชื่อเทพนิยายกับพวกเชื่อความเป็นจริง
อัคโกะจังล่ะว่ายังไง เด็กกลุ่มที่เชื่อถามแบบนั้น หนูเลยตอบไปว่า “ฉันเขียนจดหมายถึงซานต้าทุกปี แล้วให้ป๊ะป๋าไปส่งให้น่ะ”
“เดี๋ยวป๊ะป๋าจะเอาจดหมายไปใส่กล่องไปรษณีย์ซานต้านะ พ่อแม่ที่มีลูกเท่านั้นถึงจะรู้ว่าอยู่ที่ไหน”
ตั้งแต่เล็ก หนูเชื่อที่ป๊ะป๋าพูดแบบนั้นมาตลอด แต่ไม่เคยคิดจริงจังว่าจดหมายถูกนำไปส่งที่ไหน บนอาณาจักรซานต้าที่อยู่อีกฝั่งของท้องฟ้า มีโรงงานซานต้าของโลกอยู่ในป่าลึก เหล่าซานต้าจำนวนมากคอยเตรียมของขวัญไว้… หนูไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าที่นั่นอาจเป็นประเทศใดประเทศหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนแผนที่
ไม่ใช่หนูคนเดียวที่เคยเขียนจดหมายหาซานต้า เด็กส่วนมากที่เชื่อเรื่องซานต้า ไม่ว่าพวกที่เชื่อเทพนิยาย (รู้สึกไม่ชอบคำนี้ยังไงไม่รู้) หรือพวกที่เชื่อความเป็นจริง ต่างก็บอกว่าเขียนจดหมายทุกปี มีทั้งเด็กที่เอาจดหมายให้พ่อแม่เหมือนหนู เด็กที่วางจดหมายไว้ใต้หมอน เด็กที่ใส่จดหมายในถุงเท้าอันใหญ่แขวนไว้ข้างเตียง และเด็กที่ผูกเชือกห้อยจดหมายกับต้นคริสต์มาสเหมือนการอธิษฐานขอพรในเทศกาลทานาบาตะ[2]
มิโนริจังเรียนสนทนาภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ตอนอยู่อนุบาล จึงคุยโวอย่างภูมิใจว่าเธอเขียนจดหมายเป็นภาษาอังกฤษเพราะซานต้าเป็นชาวต่างชาติ ทำให้เด็กในกลุ่มที่เธอสนิทต่างพากันชื่นชมว่าสุดยอด
ระหว่างที่ทุกคนกำลังฮือฮาเรื่องจดหมาย อาริสะจังพูดอีกครั้งว่า บ้าหรือเปล่า คราวนี้ถอนหายใจไปด้วย บางครั้งอาริสะจังดูเหมือนผู้ใหญ่เลย
“นั่นยิ่งเป็นหลักฐานไม่ใช่หรือไงว่าพ่อแม่เป็นคนเตรียมของขวัญให้”
ทั้งที่กำลังกินอาหารกลางวันกัน แต่เธอกลับยืนขึ้น เอามือเท้าเอว แล้วพูดออกมาเหมือนภูมิใจในชัยชนะ
“ถ้าคิดว่าไม่จริงละก็ ลองเอาซองจดหมายใส่กระดาษเปล่ายื่นให้แล้วบอกว่าอย่าดูข้างในเด็ดขาดสิ แบบนั้นรับรองว่าพ่อแม่ต้องทำหน้าลำบากใจ แล้วบอกให้ลองเขียนใหม่อีกรอบแน่ๆ แสดงว่าดูข้างในไปแล้วจริงไหม ถ้าซานต้าเป็นคนเตรียมของขวัญให้ พ่อแม่ก็ไม่จำเป็นต้องอ่านจดหมายเลย”
แม้จะเชื่อเรื่องซานต้า แต่ทั้งหนูและทุกคนในกลุ่มที่เชื่อก็ไม่มีใครตอบว่า ถ้าอย่างนั้นจะลองทำดู หนูไม่พูดอะไรตอบ ก้มหน้าตักสตูว์มื้อกลางวันใส่ปาก มันเย็นชืดหมดแล้ว หนูรู้สึกอยากร้องไห้อย่างบอกไม่ถูก
มีแค่อาริสะจังที่ทำหน้ามั่นใจ แต่เป็นสีหน้าแตกต่างจากในชั่วโมงเล่นดอดจ์บอลตอนที่เธอทำผลงานได้โดดเด่นที่สุด ตอนเล่นดอดจ์บอล มุมปากด้านขวาของเธอจะยกขึ้นเบาๆ แวบหนึ่ง แต่ริมฝีปากของอาริสะจังในตอนนั้นเผยอขึ้นตรงกลางเล็กน้อย
หลังจากนั้นก็ไม่มีเด็กที่คุยเรื่องซานต้าในโรงเรียนอีกต่อไป แต่ไม่ว่าอย่างไรหนูก็อยากทดสอบดู พอกลับถึงบ้านจึงตั้งใจไปถามหม่าม้าทันที แต่วันนั้นหม่าม้าเป็นตุ๊กตา หนูเลยตัดสินใจถามป๊ะป๋าแทน เพราะวันที่หม่าม้าเป็นตุ๊กตา ป๊ะป๋าจะกลับบ้านเร็วนั่นเอง
“ป๊ะป๋า ซานต้ามีจริงหรือ”
หลังอาหารเย็น หนูยืนข้างป๊ะป๋าในครัว รับจานชามที่ป๊ะป๋าล้างมาล้างน้ำเปล่าอีกที ระหว่างนั้นก็ลองถามดูด้วยท่าทางไม่คิดมาก
นี่ อากิโกะวัยผู้ใหญ่ จำได้ไหมป๊ะป๋าตอบว่าอะไร
ต่อให้ลืมเรื่องน่าเบื่อสมัยเป็นเด็กไป หนูคิดว่าเรื่องสำคัญที่ป๊ะป๋าคอยสอนน่าจะยังก้องอยู่ในส่วนลึกของหู ทั้งน้ำเสียงและวิธีพูดของป๊ะป๋า ราวกับเป็นเรื่องที่ได้ยินมาเมื่อวานแน่ๆ แต่ตอนนี้หนูอยากได้ยินเสียงของป๊ะป๋า จึงขอเขียนไว้ตรงนี้ค่ะ
“ซานต้าจะมาหาเด็กที่เชื่อในซานต้านะ”
แค่ประโยคสั้นๆ นั้นก็เพียงพอ หนูรู้สึกว่าหากพูดอะไรไปมากกว่านี้ ทั้งคำว่าซานต้ามีอยู่จริง หรือคำว่าไม่มีอยู่จริง ซานตาคลอสคงจะสลายหายไปจากใจหนูแน่ๆ เข้าใจแล้ว หนูตอบไปแค่นั้นแล้วตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับจานชามต่อไป หนูคิดว่าบางที ถ้าป๊ะป๋าไม่ได้ถือฟองน้ำที่เต็มไปด้วยฟองอยู่ คงลูบหัวหนูไปแล้ว
หลังอ่านหนังสือเสร็จ ป๊ะป๋ามักจะเรียกหนูไปหา เปิดหนังสือหน้าที่คั่นไว้แล้วบอกให้ลองอ่าน จำได้ไหม หนังสือผู้ใหญ่เข้าใจยากก็จริง แต่พอหนูพยายามถ่ายทอดความรู้สึกที่ได้อย่างเต็มที่ ป๊ะป๋าจะยิ้มเล็กน้อยแล้วลูบหัว
“อัคโกะไม่ใช่แค่เด็กฉลาด แต่ยังใจดี สามารถคำนึงถึงความรู้สึกผู้อื่นได้ด้วย”
ป๊ะป๋าพูดแบบนั้น น้ำตาหนูไหลออกมาจนได้ เวลานึกถึงเรื่องป๊ะป๋าอากิโกะวัยผู้ใหญ่ยังรู้สึกเศร้าอยู่ไหมคะ ใช่แล้ว เรื่องซานต้านั่นแหละ
คืนนั้น หนูเขียนจดหมายถึงซานต้าทันที บอกว่าขอรองเท้าที่ทำให้วิ่งเร็วในการแข่งมาราธอน แต่แล้วมันก็กลายเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่หนูได้จากซานต้า
สามเดือนก่อน วันคริสต์มาสปีที่แล้ว หนูเขียนจดหมายว่าขอยารักษาอาการป่วยของป๊ะป๋า แล้วเอาไปให้ป๊ะป๋าที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล พอหนูกังวลว่าป๊ะป๋าจะเอาไปส่งที่กล่องไปรษณีย์ซานต้าได้หรือเปล่า ป๊ะป๋าก็พูดด้วยรอยยิ้มว่าจะฝากหม่าม้าไปให้ ไม่ต้องห่วง ช่วงนั้นหม่าม้าเป็นมนุษย์ตลอด (ตั้งแต่ป๊ะป๋าป่วย หม่าม้าก็พยายามอยู่ในร่างมนุษย์ใช่ไหมล่ะ) หนูก็เลยเบาใจ หรือเปล่านะ
แต่ตอนนั้น หนูรู้สึกคล้ายได้ยินเสียงของอาริสะจังในหูลึกๆ
สุดท้ายแล้ว สิ่งที่วางอยู่ข้างหมอนในเช้าวันคริสต์มาสคือผ้าพันคอกับถุงมือ บนการ์ดเขียนว่า “อย่ายอมแพ้ความหนาวล่ะ มาราธอนปีนี้ก็สู้ๆ นะ!” ด้วยตัวอักษรที่พิมพ์จากคอมพิวเตอร์
หนูไม่ได้ขอของแบบนี้เสียหน่อย สิ่งที่ขอไปไม่ส่งมาถึงเพราะซานต้าไม่มีจริงหรือเปล่านะ หรือเป็นเพราะหนูเผลอคิดไปแล้วว่าซานต้าไม่มีจริง แม้จะคิดเพียงนิดเดียวก็ตาม
จดหมายฉบับนี้ก็เช่นกัน ถ้าหนูรู้สึกเคลือบแคลงขึ้นมา มันก็จะไม่ใช่จดหมายจากอนาคตอีกต่อไป
นอกจากนี้ ถ้าเป็นการเล่นพิเรนทร์ของใครสักคน หนูก็นึกไม่ออกว่าใครจะสามารถเขียนเล่าได้อย่างละเอียดขนาดนี้ เรื่องคำสัญญากับป๊ะป๋าว่าจะไปดรีมแลนด์กับดรีมเมาน์เทน หนูไม่เคยคุยกับใคร ไม่ว่าจะเป็นเด็กในชั้นเรียนหรือคุณครูก็ตาม
ถึงหม่าม้าจะรู้เรื่องนี้ก็เถอะ…
ความจริง ตอนหนูไล่อ่านจดหมายไปเรื่อยๆ หัวใจก็เต้นตึกตักขึ้นมา เพราะหนูคิดว่านี่อาจเป็นจดหมายจากป๊ะป๋าก็ได้ ป๊ะป๋าอาจจะคิดถึงกรณีที่อาการป่วยรักษาไม่หาย แล้วเขียนจดหมายไว้เพื่อปลอบใจหนู ป๊ะป๋าฝากมันไว้กับคนที่บริษัทหรือโรงพยาบาล แล้วส่งมาให้หนูในวันพิธีปิดภาคการศึกษา
จดหมายไม่ได้เขียนไว้ว่าอากิโกะวัยผู้ใหญ่รู้ที่มาของชื่อ ซึ่งหนูยังไม่รู้ในตอนนี้ได้อย่างไร แต่ถ้าป๊ะป๋าเป็นคนเขียน คำตอบก็ง่ายแสนง่ายทีเดียว
แต่ป๊ะป๋าไม่รู้เรื่องที่หนูถูกมิโนริจังต่อว่าเรื่องกล่องไม้ที่โรงเรียน หนูไปเยี่ยมป๊ะป๋าทุกวันหลังกลับจากโรงเรียน คุยกันเยอะแยะก็จริง แต่หนูจะไม่พูดเรื่องที่ทำให้ป๊ะป๋าเป็นห่วงเด็ดขาด แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม และแน่นอน หนูคุยแต่เรื่องดีๆ กับหม่าม้าเช่นกัน จึงไม่มีทางร้อยเปอร์เซ็นต์ที่หม่าม้าจะบอกป๊ะป๋าเรื่องนั้น
เรื่องสำคัญที่สุดคือที่คั่นหนังสือของดรีมเมาน์เทน
คอมพิวเตอร์ของป๊ะป๋ายังไม่ได้ยกเลิกสัญญาอินเทอร์เน็ต หนูเลยลองหาข้อมูลของที่ระลึกดรีมกู๊ดส์ดู แต่ไม่พบหัวข้อข่าวว่ามีปลอมวางขายตามท้องตลาด ความจริงการทำของปลอมอย่างสินค้าที่ระลึกครบรอบสามสิบปีดรีมเมาน์เทนก็ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร แม้แต่ฝั่งดรีมแลนด์ วาระครบรอบสามสิบปีก็ยังเหลือเวลาอีกตั้งสองปี
ดังนั้นหนูจึงเชื่อว่านี่คือจดหมายจากอนาคตของจริง
เรื่องที่ป๊ะป๋าพูดยังมีอีก
ตอนป๊ะป๋าเป็นเด็กยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่เคยแม้แต่จินตนาการว่าสักวันหนึ่งยุคสมัยที่ผู้คนสามารถถือโทรศัพท์เดินไปเดินมาได้จะมาถึง อีเมลในโทรศัพท์มือถือก็เช่นกัน ทั้งที่เริ่มแรกส่งได้เพียงอักษะคาตาคานะ[3]ไม่กี่ตัว ผ่านไปไม่นานก็สามารถโต้ตอบกันด้วยข้อความยาวๆ ต่อมาก็เริ่มส่งรูปภาพและวิดีโอได้ นั่นเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่สิบปี ดังนั้นในอนาคต หากเราสามารถทำเรื่องที่สุดยอดกว่านี้ก็คงไม่แปลกอะไร ป๊ะป๋าบอกแบบนั้น
การส่งจดหมายข้ามเวลาก็เช่นกัน แม้เป็นสิ่งที่ไม่อาจจินตนาการได้ในตอนนี้ แต่สักวันหนึ่ง หากยุคสมัยที่สิ่งนั้นกลายเป็นเรื่องปกติจะมาถึง ก็ไม่แปลกแต่อย่างใด
หลังจากนี้ยี่สิบปี ในยุคสมัยของอากิโกะวัยผู้ใหญ่ สิ่งนี้ดูจะยังไม่กลายเป็นเรื่องปกติสินะคะ เพราะเขียนไว้ว่ามีการตรวจสอบจดหมาย แถมยังไม่ได้บอกวิธีตอบกลับจากทางนี้ด้วย แต่หนูคิดว่าในอนาคตอันใกล้ วันที่เราสามารถเขียนจดหมายโต้ตอบกันอาจมาถึงก็ได้
ดังนั้น หนูจะเขียนจดหมายทีละนิดจนกว่าจะรู้สถานที่ของตู้ไปรษณีย์แห่งอนาคต เหมือนที่ป๊ะป๋ารู้ที่อยู่ของตู้ไปรษณีย์ซานต้า ส่วนจดหมาย หนูจะเก็บไว้ในกล่องไม้อย่างดีค่ะ
เพราะ “章” ใน章子(อากิโกะ)คือ章ใน文章(ข้อความ)ไงล่ะ
หนูเองก็จะเอาใจช่วยอากิโกะวัยผู้ใหญ่ อย่างที่อากิโกะวัยผู้ใหญ่เอาใจช่วยหนูเหมือนกัน
เราทั้งคู่ สู้ไปด้วยกันนะ
จากอากิโกะวัยสิบขวบ
[1] มาตรวัดขนาดห้องของญี่ปุ่น สี่เสื่อครึ่งเท่ากับขนาดประมาณ 7.29 ตารางเมตร
[2] 七夕 (Tanabata) เทศกาลที่มีต้นกำเนิดจากตำนานเกี่ยวกับดวงดาวของญี่ปุ่น จัดขึ้นในวันที่ 7 กรกฎาคมของทุกปี ผู้คนจะเขียนคำอธิษฐานลงบนกระดาษแล้วนำไปแขวนประดับกิ่งไม้
[3] หนึ่งในรูปแบบตัวอักษรของภาษาญี่ปุ่น โดยพื้นฐานใช้เขียนคำที่ถอดเสียงจากภาษาต่างประเทศ และใช้เขียนแทนคำอื่นๆ ในบางกรณี เช่น เพื่อความสะดวก หรือเพื่อแฝงความหมายบางอย่าง