เกรอลท์คือวิทเชอร์ผู้มีพลังเวทอันกล้าแกร่ง
การฝึกฝนอย่างหนักหน่วงและการดื่มน้ำอมฤตปริศนา
ทำให้เขากลายเป็นนักสู้ผู้ไร้เทียมทานและเป็นนักฆ่าที่ไร้ความปรานี
ทว่าเขาผู้นี้ไม่ใช่ฆาตกร เป้าหมายของเขาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
คือทำลายล้างเหล่าสัตว์ประหลาดที่กัดกินโลกใบนี้ให้หมดสิ้น
แต่ใช่ว่าปีศาจที่มีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวจะร้ายกาจ และทุกสิ่งที่ดูงดงามจะดีจริงเสมอไป…
และในนิทานทุกเรื่องนั้น ย่อมมีเศษเสี้ยวแห่งความจริงซ่อนอยู่
มหากาพย์นิยายแฟนตาซีจากปลายปากกาของ Andrzej Sapkowski
ที่มียอดขายกว่า 17 ล้านเล่มทั่วโลก
และแปลแล้วกว่า 37 ภาษา
*หมายเหตุ ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
เสียงแห่งเหตุผล 1
I
นางมาหาเขาก่อนรุ่งเช้าจะมาเยือน
นางเข้ามาด้วยความระมัดระวัง เคลื่อนกายอย่างเงียบเชียบ โฉบผ่านห้องไปราวกับภูตพราย เสียงเดียวที่ดังมาจากนางคือเสียงชุดคลุมที่ปัดป่ายไปกับผิวกายเปลือยเปล่าของนาง กระนั้นเสียงอันแผ่วเบานี้ก็เพียงพอแล้วที่จะปลุกวิทเชอร์ให้ตื่นจากความหลับใหล – หรือบางทีมันอาจจะแค่ดึงรั้งเขากลับมาจากอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นที่เขารู้สึกเหมือนถูกแกว่งไกวอย่างเอื่อยเฉื่อย ราวกับกำลังเดินทางสู่ความลึกล้ำอันไร้ที่สิ้นสุด ล่องลอยเคว้งคว้างอยู่ระหว่างก้นมหาสมุทรกับพื้นผิวใต้ทะเลที่สงบเงียบ ท่ามกลางสาหร่ายทะเลมากมายที่กระเพื่อมไหวอย่างอ้อยอิ่ง
เขาไม่ขยับกายแม้แต่น้อย หญิงสาวเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้น แล้วโยนชุดคลุมออก นางลังเลใจขณะคุกเข่าลงช้าๆ ที่ขอบเตียงใหญ่ เขาแอบสำรวจดูนางผ่านเปลือกตาหลุบหรี่ ยังคงไม่เผยให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขาตื่นแล้ว หญิงสาวค่อยๆ คลานขึ้นไปบนผ้าปูเตียงและปีนไปบนตัวเขา หนีบต้นขาไว้รอบตัวเขา นางโน้มไปข้างหน้าโดยใช้ท่อนแขนทั้งสองข้างพยุงตัว แล้วลูบไล้ใบหน้าของเขาด้วยเส้นผมที่มีกลิ่นหอมราวดอกคาโมมายล์ของนาง นางลดตัวต่ำลงแล้วใช้ยอดปทุมถันของนางสัมผัสเปลือกตา แก้ม และริมฝีปากของเขาด้วยความมุ่งมั่นจนเกือบจะกลายเป็นความเร่งร้อน เขาเผยยิ้มออกมาก่อนจะบรรจงกุมหัวไหล่นางอย่างทะนุถนอม ขณะที่นางยืดตัวขึ้น พยายามหนีจากนิ้วมือของเขา นางเปล่งประกายเจิดจรัสอยู่ภายใต้แสงสลัวซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหมอกจางๆ ของยามรุ่งสาง เขาจะขยับตัว แต่นางห้ามปรามไม่ให้เขาปรับเปลี่ยนท่าทางโดยเพิ่มแรงกดจากมือทั้งสองข้าง หญิงสาวขยับสะโพกอย่างแผ่วเบาทว่าแม่นยำ เรียกร้องให้เขาตอบสนอง
เขาสนองให้ นางไม่ถอยหนีมือของเขาอีกแล้ว แต่ทำเพียงหงายศีรษะไปด้านหลังจนเส้นผมพลิ้วไหว ผิวกายของนางช่างเย็นสบายและเรียบเนียนอย่างเหลือเชื่อ ดวงตาสีดำกลมโตราวกับดวงตาภูตน้ำของนางหลุบลงเมื่อใบหน้าของนางเคลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าของเขา
เขาสั่นไหวขณะจมดิ่งลงสู่ทะเลดอกคาโมมายล์ที่ปั่นป่วนพลุ่งพล่านขึ้นทุกขณะ
วิทเชอร์
I
ในกาลต่อมา ว่ากันว่าชายผู้นั้นมาจากทิศเหนือ ผ่านทางประตูช่างทำเชือก เขาเดินเท้าโดยกุมบังเหียนจูงม้าที่บรรทุกสัมภาระแน่นขนัด ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นมากแล้ว บรรดาแผงลอยของช่างทำเชือก ช่างทำอานม้า และช่างฟอกหนังจึงปิดหมด ท้องถนนว่างเปล่า อากาศในยามนี้ร้อนยิ่งนัก แต่ชายผู้นั้นกลับสวมเสื้อคลุมสีดำอีกชั้น จึงดึงดูดความสนใจจากผู้อื่น
เขาหยุดตรงหน้าที่พักแรมสตารีนาราคอร์ต ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง และฟังเสียงพูดคุยอึกทึกที่ดังมาจากข้างใน ในช่วงเวลาแบบนี้ ที่พักแรมจะเต็มไปด้วยผู้คนเหมือนเช่นทุกคราว
ชายแปลกหน้าไม่ได้เข้าไปในสตารีนาราคอร์ต แต่จูงม้าเดินต่อไปตามถนนสู่โรงเหล้าอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กกว่าที่ชื่อว่าสุนัขจิ้งจอกแทน ที่พักแห่งนี้ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด ภายในจึงเกือบจะร้างผู้คน
เจ้าของที่พักเงยหน้ามองชายผู้นั้นผ่านถังแตงกวาดองและคาดคะเนอีกฝ่ายด้วยสายตา ชายต่างถิ่นที่ยังคงสวมเสื้อคลุมยืนนิ่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ไม่ไหวติง และไม่เอ่ยปากใดๆ
“ต้องการอะไรหรือ”
“เบียร์” ชายแปลกหน้าเอ่ย เสียงของเขาไม่น่าอภิรมย์นัก
เจ้าของที่พักเช็ดมือของเขากับผ้ากันเปื้อนผ้าใบ แล้วเติมเบียร์ลงไปในแก้วเบียร์ดินเผาปากบิ่น
ชายแปลกหน้ายังไม่แก่ชรา แต่ผมของเขาเป็นสีขาวโพลนเกือบทั้งหมด ภายใต้เสื้อคลุมนั้น เขาสวมเสื้อรัดรูปแขนกุดที่ทำมาจากหนังสัตว์ โดยมีเชือกร้อยบริเวณคอและหัวไหล่
เมื่อเขาถอดเสื้อคลุมออก ผู้คนรอบๆ ก็ได้เห็นว่าเขาพกดาบมาด้วย – ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดแผกอะไรนัก ชายเกือบทุกคนในเมืองวิซิมาต่างพกพาอาวุธกันทั้งนั้น – แต่ไม่มีผู้ใดพกดาบด้วยการสะพายหลังราวกับมันเป็นคันธนูหรือกระบอกใส่ลูกธนูเหมือนชายผู้นี้เลย
ชายแปลกหน้าไม่ได้นั่งร่วมโต๊ะกับลูกค้าคนอื่นๆ ที่มีอยู่เพียงไม่กี่คน เขายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ จ้องมองเจ้าของที่พักด้วยสายตาคมกริบ แล้ววางแก้วเบียร์ลง
“ข้ามองหาห้องพักสำหรับคืนนี้อยู่”
“ที่นี่ไม่ว่าง” เจ้าของที่พักตะคอกขณะจ้องมองรองเท้าบู๊ตสกปรกเปื้อนฝุ่นของแขกผู้มาเยือน “ลองไปถามที่สตารีนาราคอร์ตดูสิ”
“ข้าอยากพักที่นี่มากกว่า”
“ที่นี่ไม่ว่าง” ในที่สุดเจ้าของที่พักก็จับสำเนียงของชายแปลกหน้าได้ เขาเป็นชาวริเวียนี่เอง
“ข้าจะจ่ายค่าห้องให้” คนต่างถิ่นเอ่ยเสียงแผ่วเบาเหมือนลังเลใจ และแล้วความยุ่งเหยิงทั้งหลายก็เริ่มต้นขึ้น ชายร่างผอมสูงหน้าปรุที่จ้องคนต่างถิ่นด้วยสายตาขุ่นมัวตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามาลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงมาทางเคาน์เตอร์ โดยมีสหายอีกสองคนของเขาผุดลุกตามหลังมาและอยู่ห่างออกไปไม่เกินสองก้าว
“บอกแล้วไงว่าไม่มีห้องพัก เจ้าชาวริเวียเร่ร่อน” ชายหน้าปรุขึ้นเสียงพลางขยับมายืนข้างคนต่างถิ่น “พวกเราไม่ต้องการคนอย่างเจ้าที่วิซิมา เมืองนี้ดีพออยู่แล้ว!”
คนต่างถิ่นถือแก้วเบียร์ของตนและถอยออกมา เขาชำเลืองมองดูเจ้าของที่พักซึ่งหลบสายตาของเขา คนผู้นี้ไม่คิดจะปกป้องชาวริเวียเลย แต่จะว่าไปแล้ว มีใครบ้างเล่าที่ชื่นชอบชาวริเวีย
“พวกชาวริเวียมีแต่โจรทั้งนั้น” ชายหน้าปรุเอ่ยต่อ กลิ่นปากของเขาคลุ้งไปด้วยกลิ่นเบียร์ กลิ่นกระเทียม และโทสะ “ได้ยินข้าไหม ไอ้เวร”
“เขาไม่ได้ยินที่เจ้าพูดหรอก รูหูคงเต็มไปด้วยขี้ทั้งนั้นแหละ” ชายที่มาด้วยกันเอ่ยขึ้น ส่วนชายอีกคนหัวเราะเสียงแหลม
“จ่ายเงินแล้วไปซะ!” ชายหน้าปรุตะคอก
ชายชาวริเวียเพิ่งจะหันไปมองเขาเป็นครั้งแรก
“ขอดื่มเบียร์ให้หมดก่อน”
“งั้นเดี๋ยวพวกเราช่วยเอง” ชายหน้าปรุขู่ฟ่อ เขาปัดแก้วเบียร์จากมือของชายแปลกหน้า แล้วจับไหล่อีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะจิกนิ้วลงไปในสายสะพายหนังที่พาดเฉียงไปบนอกของคนต่างถิ่น ชายคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเขายกกำปั้นขึ้นเตรียมชก ทว่าคนต่างถิ่นทิ้งตัวลงตรงนั้นจนชายหน้าปรุเสียหลัก ดาบส่งเสียงขวับออกมาจากฝัก มันส่องประกายวูบหนึ่งภายใต้แสงสลัว แล้วสถานที่แห่งนี้ก็เดือดพล่านขึ้นมาในทันใด เสียงกรีดร้องดังขึ้น หนึ่งในลูกค้าที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนพยายามคลานหาทางออก เก้าอี้หล่นกระแทกพื้นเสียงดัง เครื่องปั้นดินเผาแตกกระจายทั่วพื้น เจ้าของที่พักปากสั่นขณะมองดูชายหน้าปรุที่ใบหน้าถูกฟันเหวอะหวะ นิ้วมือของเขาเกาะอยู่กับขอบเคาน์เตอร์และตัวก็ค่อยๆ ทรุดลงอย่างช้าๆ จนหายลับไปจากสายตา สหายของเขาอีกสองคนนอนกองอยู่บนพื้น คนหนึ่งแน่นิ่งไม่ไหวติง อีกคนนอนชักอยู่ในกองเลือดสีเข้มที่เจิ่งนองไปทั่ว เสียงกรีดร้องอย่างเสียสติของหญิงคนหนึ่งดังก้องอยู่ในอากาศจนแสบแก้วหู ขณะที่เจ้าของที่พักตัวสั่นเทา หายใจติดขัด และอาเจียนออกมา
ชายแปลกหน้าถอยไปทางผนัง ทั่วร่างเกร็งและตื่นตัว เขากุมดาบไว้ด้วยสองมือ กวัดแกว่งคมดาบอยู่ในอากาศ ไม่มีผู้ใดเคลื่อนไหว ความหวาดกลัวที่ปรากฏชัดอยู่บนใบหน้าทุกคนราวกับเป็นโคลนเย็นๆ คือสิ่งที่ทำให้ร่างกายของพวกเขาแข็งทื่อ ลำคอตีบตันพูดไม่ออก
ทหารยามสามนายรีบเข้ามาในโรงเหล้าพร้อมเสียงดังโครมคราม พวกเขาคงอยู่ใกล้ๆ แถวนี้พอดี พวกเขาต่างจับกระบองติดสายหนังในท่าเตรียมพร้อม แต่เมื่อได้เห็นศพทั้งหลายพวกเขาก็ชักดาบออกมาแทน ชายชาวริเวียกดแผ่นหลังเข้ากับกำแพงและใช้มือซ้ายดึงกริชออกมาจากรองเท้าบู๊ตของเขา
“โยนมันทิ้งไป!” หนึ่งในทหารยามตะโกนสั่งเสียงสั่น “โยนมันทิ้งไปเสีย เจ้าอันธพาล! เจ้าต้องมากับเรา!”
ทหารยามนายที่สองเตะโต๊ะที่อยู่ระหว่างเขากับชายชาวริเวียออกไปให้พ้นทาง
“ไปจับชายผู้นั้นมา เทรสก้า!” เขาตะโกนสั่งทหารยามนายที่สามซึ่งยืนอยู่ใกล้ประตู
“ไม่จำเป็นหรอก” ชายแปลกหน้าเอ่ยพลางลดดาบลง “ข้าจะไปเอง”
“เจ้าต้องถูกมัดเชือกลากไป ไอ้ระยำ!” ทหารยามที่ยืนตัวสั่นตะคอก “โยนดาบของเจ้าทิ้งไปซะ ไม่งั้นข้าฟันหัวเจ้าแน่!”
ชายชาวริเวียยืดตัวขึ้น เขาหนีบดาบไว้ใต้แขนซ้ายอย่างรวดเร็วแล้วยกมือขวาไปทางทหารยาม พลางวาดตราหัตถ์บางอย่างที่ดูซับซ้อนกลางอากาศด้วยความว่องไว ตะปูหัวแบนที่กลัดอยู่กับเสื้อทูนิก ของเขาตั้งแต่ข้อมือจนถึงข้อศอกเปล่งประกายวูบวาบ
เหล่าทหารยามถอยหลังไปแล้วยกแขนขึ้นป้องกันใบหน้า ลูกค้าคนหนึ่งผุดลุกขึ้นทันที ขณะที่อีกคนรีบพุ่งไปยังประตู หญิงคนเดิมกรีดร้องอีกครั้ง เสียงดังคลุ้มคลั่งจนแก้วหูสะเทือน
“ข้าจะไปเอง” ชายแปลกหน้าทวนคำด้วยสุ้มเสียงทุ้มกังวาน “พวกเจ้าทั้งสามจะต้องเดินนำข้าและพาข้าไปพบท่านเจ้าเมือง ข้าไม่รู้ทาง”
“ได้ขอรับท่าน” ทหารยามนายหนึ่งคอตกและพูดตะกุกตะกัก ก่อนจะเดินไปยังทางออกโดยมองดูรอบๆ อย่างลังเล ในขณะที่ทหารยามอีกสองนายเดินถอยหลังตามเขาออกไปอย่างร้อนรน ชายแปลกหน้าเดินตามไปติดๆ ขณะเก็บดาบและกริชของตน ระหว่างที่พวกเขาเดินผ่านโต๊ะอื่นๆ ไป ลูกค้าที่เหลืออยู่ต่างพากันหลบซ่อนใบหน้าจากชายแปลกหน้าแสนอันตรายผู้นี้
II
เวเลแร็ด เจ้าเมืองวิซิมาเกาคาง เขาไม่เชื่อในเรื่องงมงายและไม่ใช่คนตาขาว แต่ก็ไม่ชอบความคิดที่ว่าเขาจะต้องอยู่กับชายผมขาวผู้นี้เพียงลำพังเช่นกัน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้
“ออกไปได้” เขาสั่งทหารองครักษ์ “ส่วนเจ้าก็นั่งลงได้ ไม่ ไม่ใช่ตรงนั้น ห่างออกไปอีกหน่อย หากเจ้าจะไม่ว่าอะไรนะ”
ชายแปลกหน้านั่งลง เขาไม่ได้พกดาบหรือสวมเสื้อคลุมสีดำแล้ว
“ข้าคือเวเลแร็ด เจ้าเมืองวิซิมา” เวเลแร็ดเอ่ยพลางพลิกคทาอันใหญ่ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะไปมา “ข้ากำลังรอฟังว่าเจ้ามีอะไรจะบอกข้าบ้าง ก่อนที่เจ้าจะถูกโยนเข้าคุกใต้ดิน เจ้าโจรเถื่อน เจ้าฆ่าไปสามศพ มิหนำซ้ำยังพยายามจะร่ายคาถาอีก ไม่เลว ไม่เลวเลยทีเดียว ผู้ที่กระทำการเช่นนี้ในเมืองวิซิมาย่อมต้องถูกตัดหัว แต่ข้าเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง ดังนั้นข้าจะฟังสิ่งที่เจ้าพูดก่อนจะถูกประหาร จงว่ามา”
ชายชาวริเวียปลดกระดุมเสื้อรัดรูปแขนกุด แล้วดึงหนังแพะสีขาวออกมาปึกหนึ่ง
“ท่านติดประกาศนี้ไว้ในโรงเหล้าหลายแห่ง” เขาเอ่ยเสียงเบา “สิ่งที่เขียนไว้เป็นความจริงหรือไม่”
“อ้อ” เวเลแร็ดส่งเสียงในลำคอขณะมองดูตัวอักษรที่สลักอยู่บนแผ่นหนัง “เรื่องนี้เองรึ ข้าคาดไม่ถึงเลย ใช่แล้ว มันเป็นความจริง ท่านฟอลเทสท์ กษัตริย์แห่งเทเมเรีย พอนทาร์ และมาฮาคัม ได้ลงนามกำกับไว้ ดังนั้นจึงเป็นความจริงแน่ คำประกาศก็คือคำประกาศ วิทเชอร์เอ๋ย แต่กฎย่อมเป็นกฎ – และข้าคือผู้ดูแลกฎระเบียบในเมืองวิซิมาแห่งนี้ ข้าจะปล่อยให้มีคนถูกฆ่าตายแบบนี้ไม่ได้! เจ้าเข้าใจหรือไม่”
ชายชาวริเวียพยักหน้าแสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจ ขณะที่เวเลแร็ดแค่นเสียงทางจมูกด้วยความขุ่นเคือง
“เจ้ามีตราสัญลักษณ์ของวิทเชอร์หรือเปล่า” ชายแปลกหน้าล้วงเข้าไปในเสื้ออีกครั้งและดึงเอาเหรียญตราที่ห้อยอยู่กับโซ่เงินออกมา บนเหรียญนั้นมีรูปหน้าหมาป่ากำลังแยกเขี้ยว “แล้วเจ้ามีชื่อหรือเปล่า ชื่ออะไรก็ได้ จะได้คุยกันง่ายขึ้นหน่อย”
“ข้าชื่อเกรอลท์”
“เกรอลท์ จากริเวียสินะ เดาจากสำเนียงของเจ้าแล้ว”
“จากริเวีย”
“เอาละ เจ้ารู้อะไรไหม เกรอลท์ เรื่องนี้น่ะ” เวเลแร็ดใช้มือตบใบประกาศ “ปล่อยมันไปเถอะ มันเป็นเรื่องที่ยากมาก มีผู้คนที่ลองพยายามและล้มเหลวกันมากมาย นี่น่ะไม่เหมือนกับการจัดการกับอันธพาลสองสามคนหรอก สหายเอ๋ย”
“ข้ารู้ แต่นี่คืองานของข้า เวเลแร็ด และในใบประกาศนั่นก็เสนอรางวัลถึงสามพันโอเร็น ด้วย”
“เงินสามพัน” เวเลแร็ดนิ่วหน้า “แล้วยังได้องค์หญิงเป็นเมียด้วย อย่างน้อยข่าวลือก็ว่ามาแบบนั้น ถึงท่านฟอลเทสท์จะไม่ได้ประกาศไว้เช่นนั้นก็เถอะ”
“ข้าไม่สนใจองค์หญิง” เกรอลท์เอ่ยอย่างสงบ เขานั่งนิ่งไม่ขยับ มือทั้งสองอยู่บนเข่า “ขอแค่เงินสามพันโอเร็นเท่านั้น”
“นี่มันยุคใดกัน” ท่านเจ้าเมืองถอนหายใจ “ช่างเป็นทุรยุคโดยแท้!ยี่สิบปีที่แล้ว ต่อให้เมามายจนไร้สติก็คงไม่มีใครคาดคิดเลยว่าอาชีพอย่างวิทเชอร์จะมีอยู่จริง นักฆ่าบาซิลิสก์เร่ร่อน มือสังหารมังกรและดราวเนอร์พเนจร บอกข้าทีซิ เกรอลท์ ว่าอาชีพอย่างเจ้าดื่มเบียร์ได้หรือไม่”
“ได้แน่นอน”
เวเลแร็ดตบมือ
“เอาเบียร์มา!” เขาร้องเรียก “แล้วมานั่งใกล้ๆ ข้านี่ เกรอลท์ มีอะไรที่ข้าต้องกังวลกันล่ะ”
เบียร์ที่เพิ่งมาถึงทั้งเย็นฉ่ำและมีฟองฟอด
“ทุรยุค” เวเลแร็ดพึมพำ แล้วดื่มเบียร์จากแก้วอึกใหญ่ “พวกสวะหลากหลายประเภทโผล่ออกมา มาฮาคัมที่อยู่ในภูเขาก็เต็มไปด้วยภูตผี ในอดีตจะมีเพียงพวกหมาป่าเห่าหอนอยู่ในพงไพร เดี๋ยวนี้มีแต่พวกโคโบลด์กับสปริกกันอยู่ทุกหนแห่ง ไหนจะยังพวกมนุษย์หมาป่าและสัตว์ร้ายอื่นๆ อีก พวกพรายและรูซัลกาก็เที่ยวออกจับตัวเด็กๆ จากหมู่บ้านไปเป็นร้อยๆ คน มิหนำซ้ำเรายังเจอโรคร้ายที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนด้วย ทำให้ข้าขนลุกไปหมด ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เรายังมีเจ้านี่เพิ่มมาอีก!” เขาผลักปึกหนังแพะบนโต๊ะกลับไป “ไม่น่าแปลกใจเลย เกรอลท์ ที่ตอนนี้บริการจากวิทเชอร์อย่างพวกเจ้าถึงได้เป็นที่ต้องการนัก”
“ท่านเจ้าเมือง คำประกาศขององค์ราชาน่ะ” เกรอลท์เงยหน้าขึ้นมอง “ท่านพอจะทราบถึงรายละเอียดหรือไม่”
เวเลแร็ดเอนหลังพิงเก้าอี้ มือประสานไว้บนหน้าท้อง
“รายละเอียดงั้นรึ รู้สิ ข้ารู้อยู่แล้ว อาจจะไม่ได้รู้เองโดยตรง แต่ก็ได้ข้อมูลมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้”
“นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ”
“หากเจ้ายืนกรานเช่นนั้นก็จงฟังข้า” เวเลแร็ดดื่มเบียร์และลดเสียงลง “ในช่วงรัชสมัยที่เมเดลล์เฒ่า บิดาของราชาผู้งามสง่าของเรายังครองราชย์อยู่ เมื่อครั้งที่พระองค์ยังเป็นเพียงองค์ชาย ท่านฟอลเทสท์ก็ได้แสดงให้พวกเราเห็นแล้วว่าพระองค์ทำสิ่งใดได้บ้าง และทำได้อย่างมากมายเสียด้วย เราหวังว่าพอพระองค์โตขึ้นก็จะเลิกราไป แต่ไม่นานหลังจากพิธีราชาภิเษก ท่านฟอลเทสท์ก็กลับทำเรื่องที่ทำให้ทุกคนต้องอ้าปากค้าง เขาทำให้น้องสาวตัวเองตั้งครรภ์ แอ็ดดาอายุน้อยกว่าเขา และทั้งคู่มักจะอยู่ด้วยกันเสมอ ทว่าไม่มีผู้ใดระแคะระคายถึงความสัมพันธ์นี้เลย เว้นก็แต่เพียงองค์ราชินี...เล่าแบบรวบรัดคือ จู่ๆ แอ็ดดาก็ท้องป่องขึ้นมา และท่านฟอลเทสท์ก็เริ่มเกริ่นถึงเรื่องการแต่งงานกับน้องสาวของตัวเอง สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดเข้าไปอีกเมื่อวิซิเมียร์แห่งโนวิแกรดต้องการให้ดัลคา บุตรีของเขาแต่งงานกับท่านฟอลเทสท์ ทั้งยังได้ส่งคณะทูตเดินทางมาแล้ว เราต้องพยายามยับยั้งไม่ให้ท่านฟอลเทสท์พูดจาดูถูกคนเหล่านั้น และโชคดีที่เราทำสำเร็จ ไม่เช่นนั้นท่านวิซิเมียร์คงฉีกเราเป็นชิ้นๆ แน่ จากนั้นเราก็สามารถโน้มน้าวให้พระองค์เปลี่ยนใจจากการแต่งงานอันรวบรัดได้ แน่นอนว่าต้องอาศัยความช่วยเหลือจากแอ็ดดาด้วย – เพราะนางมีอิทธิพลต่อพี่ชายนางเป็นอย่างมาก
“อืม จากนั้นแอ็ดดาก็ได้ให้กำเนิดบุตรี ทีนี้ฟังให้ดี เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เห็นว่านางคลอดอะไรออกมา หมอตำแยคนหนึ่งกระโดดออกจากหน้าต่างหอคอยลงมาตาย ส่วนอีกคนก็เสียสติและยังคงมึนงงมาจนถึงทุกวันนี้ ข้าจึงเดาเอาเองว่าเชื้อพระวงศ์นอกสมรสคนนั้น – เด็กหญิงผู้นั้น – คงจะไม่งามนัก และเสียชีวิตในทันทีโดยไม่มีผู้ใดรีบตัดสายสะดือให้ทั้งนั้น แอ็ดดาเองก็ไม่รอดชีวิตจากการคลอดบุตรเช่นกัน ซึ่งอาจจะเป็นโชคดีของนาง
“แต่แล้วท่านฟอลเทสท์ก็เข้ามายุ่งอีก ธรรมเนียมปฏิบัติกำหนดไว้ว่า เชื้อพระวงศ์นอกสมรสจะต้องถูกเผาหรือไม่ก็ต้องนำไปฝังในที่รกร้าง แต่กลับกัน ด้วยคำสั่งของราชาผู้สง่างามของเรา เด็กผู้นั้นกลับได้นอนในโลงหินภายในห้องลับใต้พระราชวัง”
“ตอนนี้สายเกินไปเสียแล้วที่จะทำตามธรรมเนียมปฏิบัตินั่น” เกรอลท์เงยหน้าขึ้น “ควรจะต้องมีการส่งตัวพวกผู้รอบรู้ไปดูสักคนสิ”
“เจ้าหมายถึงพวกสิบแปดมงกุฎที่สวมหมวกประดับรูปดาวนั่นน่ะหรือ แน่นอน พอเริ่มจะเป็นที่รู้กันว่าอะไรนอนอยู่ในโลงหินนั่นและตะกายออกมาในตอนกลางคืน ก็มีเจ้าพวกนั้นสักประมาณสิบคนได้ที่รีบเสนอหน้าเข้ามา ทว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใดหรอกนะ เปล่าเลย เจ็ดปีหลังจากพิธีศพมีเพียงความสงบสุข จนกระทั่งในคืนหนึ่ง – คืนที่จันทร์เต็มดวง – ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นในพระราชวัง มีทั้งเสียงตะโกนและความโกลาหล! ข้าคงไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า เพราะนี่คืองานของเจ้าและเจ้าก็ได้อ่านคำประกาศนั่นแล้ว แต่ทารกนั่นเติบโตขึ้นภายในโลงศพ และมีเขี้ยวฟันอันน่าทึ่งงอกจากปากนางด้วย กล่าวคือนางได้กลายเป็นสตริกาไปเสียแล้ว
“น่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้เห็นบรรดาซากศพเหมือนที่ข้าเห็น ถ้าเจ้าได้เห็นละก็ เจ้าย่อมหาทางอ้อมไปให้ไกลเพื่อหลีกเลี่ยงเมืองวิซิมาแน่”
เกรอลท์ยังคงนิ่งเงียบ
“จากนั้นก็เป็นอย่างที่ข้าบอก” เวเลแร็ดพูดต่อ “ท่านฟอลเทสท์เรียกพวกผู้วิเศษเข้ามามากมาย ซึ่งพวกนั้นก็เอาแต่พูดพล่ามไปเรื่อย และเกือบจะสร้างความวุ่นวายโดยใช้ไม้เท้าที่พกมาด้วยเพราะต้องโจมตีหมาที่ปล่อยออกมาไล่พวกเขาอีกที ข้าคิดว่าพวกนี้ก็มักจะเป็นแบบนี้แหละ ต้องขออภัยด้วยนะ เกรอลท์ หากเจ้าคิดเห็นต่างออกไปเกี่ยวกับพวกจอมเวท ซึ่งด้วยอาชีพของเจ้าก็ไม่น่าแปลกใจนักหากเจ้าจะคิดเช่นนั้น แต่สำหรับข้า พวกนี้ก็แค่พวกต้มตุ๋นและพวกโง่เง่า วิทเชอร์อย่างเจ้ายังจะทำให้ผู้คนมั่นใจได้มากกว่า อย่างน้อยพวกเจ้าก็ตรงไปตรงมา”
เกรอลท์ยิ้มแต่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด
“แต่จะว่าไปแล้ว” ท่านเจ้าเมืองหรี่ตามองแก้วเบียร์ตนเองและรินเบียร์เพิ่มให้ทั้งคู่ “คำแนะนำบางอย่างของพวกผู้ใช้เวทก็ไม่ได้โง่นักหรอก มีคนหนึ่งเสนอให้เผาสตริกาไปพร้อมๆ กับพระราชวังและโลงหิน อีกคนเสนอให้ตัดหัวนางซะ ส่วนพวกที่เหลือก็สนับสนุนให้ตอกลิ่มไม้แอสเพนเข้าที่ร่างของนางในเวลากลางวัน ระหว่างที่ปีศาจหญิงตนนั้นยังหลับใหลอยู่ในโลงหลังจากเหนื่อยล้ากับความหฤหรรษ์ในตอนกลางคืน แต่โชคไม่ดี มีเจ้าฤาษีงั่งหัวโล้นหลังค่อมสวมหมวกปลายแหลมคนหนึ่งแย้งว่า นี่เกิดจากมนตร์สะกด ซึ่งสามารถคลายลงได้ และสตริกาก็จะกลับมาเป็นธิดาองค์น้อยผู้แสนน่ารักราวกับภาพจิตรกรรมของท่านฟอลเทสท์ดังเดิม เพียงแต่ต้องมีใครสักคนอยู่ในห้องใต้ดินนั่นตลอดคืนเท่านั้น หลังจากนั้น – เจ้าคงพอจินตนาการถึงการกระทำของเจ้างั่งนี่ออกใช่ไหม – เจ้าฤาษีนั่นไปที่พระราชวังในตอนกลางคืน พอถึงตอนเช้าก็เหลือเศษซากของเขาอยู่ไม่มากแล้ว ข้าว่าคงจะเหลือแค่หมวกกับไม้เท้าเท่านั้น แต่ท่านฟอลเทสท์ก็ยังคงยึดติดอยู่กับความคิดของพระองค์เองเหมือนกับหญ้าเจ้าชู้ที่เกาะติดหางหมาแน่น พระองค์สั่งห้ามความพยายามทุกอย่างในการฆ่าสตริกา และเรียกตัวพวกสิบแปดมงกุฎทั้งหลายมาจากทั่วทุกมุมของวิซิมาเพื่อคลายมนตร์สะกดและเปลี่ยนนางให้กลับมาเป็นองค์หญิง พวกนั้นช่างเป็นกลุ่มคนที่มีสีสันจริงๆ! มีทั้งพวกหญิงเสียสติ คนพิการ และคนจรจัดที่ร่างกายสกปรกโสโครกเต็มไปด้วยเห็บโลน น่าสมเพชยิ่งนัก
“พวกมันเริ่มแสดงฝีมือร่ายคาถากันเต็มที่ –ส่วนใหญ่ก็ร่ายอยู่แค่หน้าจานอาหารกับแก้วเบียร์นั่นแหละ แน่นอนว่าบางคนก็ถูกเปิดโปงอย่างรวดเร็วว่าเป็นพวกต้มตุ๋นโดยท่านฟอลเทสท์หรือไม่ก็คนในคณะที่ปรึกษาของพระองค์ มีสองสามคนถูกแขวนคอที่รั้วพระราชวัง ซึ่งแค่นั้นยังไม่เพียงพอหรอก ถ้าเป็นข้าคงจะแขวนคอพวกมันทั้งหมด ข้าคงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าในระหว่างนั้น วันดีคืนดีเจ้าสตริกาก็จะออกมาขย้ำคนไปอีกมากมายไม่เลือกหน้า โดยไม่สนใจคณะต้มตุ๋นและมนตร์คาถาของพวกมันเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งท่านฟอลเทสท์เองก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในพระราชวังนั่นแล้ว ไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นั่นอีกต่อไป”
เวเลแร็ดหยุดพูดแล้วยกเบียร์ขึ้นดื่ม ขณะที่วิทเชอร์นิ่งเงียบรอให้อีกฝ่ายพูดต่อ
“และก็เป็นเช่นนั้นมานานถึงเจ็ดปีแล้ว เกรอลท์ นางถือกำเนิดเมื่อราวๆ สิบสี่ปีที่แล้ว นอกจากนี้เรายังมีเรื่องอื่นให้ต้องกังวลอีก อย่างเรื่องสงครามกับวิซิเมียร์แห่งโนวิแกรด – ที่สู้รบกันอย่างจริงจังและมีเหตุผลที่เข้าใจได้ – ตามแนวชายแดน ซึ่งไม่ใช่ต่อสู้เพื่อองค์หญิงหรือเพื่อการแต่งงานทางการเมืองหรอกนะ นานๆ ครั้งท่านฟอลเทสท์จะคิดเรื่องการแต่งงานที ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นพระองค์ก็จะดูรูปเหมือนที่ถูกส่งมาจากสำนักราชวังของดินแดนใกล้เคียงก่อนจะโยนมันทิ้งลงถังขยะ วันดีคืนดีความบ้าคลั่งก็จะกลับมาเล่นงานพระองค์อีกครั้ง และพระองค์ก็จะส่งทหารม้าเที่ยวออกตามหาพวกผู้วิเศษหน้าใหม่ รางวัลสามพันเหรียญที่พระองค์ให้สัญญาไว้ดึงดูดคนบ้าและอัศวินพเนจรมากมาย แม้กระทั่งเจ้าคนเลี้ยงแกะที่รู้กันทั่วทั้งดินแดนว่ามันสติไม่ดีก็ยังมา ขอให้เจ้านั่นพักผ่อนอย่างสงบสุขนะ ทว่าสตริกาก็ยังอยู่ดีมีสุขและได้ขย้ำใครสักคนเป็นระยะ อย่างน้อยพวกผู้กล้าที่พยายามจะคลายมนตร์สะกดนี้ก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง – เจ้าสัตว์ร้ายนั่นจะได้กินอิ่มอยู่ในที่ของนางโดยไม่ต้องเที่ยวเร่ร่อนออกไปจากพระราชวังเดิมนั่น ท่านฟอลเทสท์ได้สร้างพระราชวังแห่งใหม่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเป็นพระราชวังที่งดงามเลยทีเดียว”
“ช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา” เกรอลท์เงยหน้าขึ้น “ในเจ็ดปีนั้น ไม่มีใครจัดการเรื่องนี้ได้เลยรึ”
“ไม่มีเลย” สายตาของเวเลแร็ดจับจ้องไปที่วิทเชอร์ “เพราะเรื่องนี้มันจัดการไม่ได้อย่างไรเล่า เราจึงต้องหาทางรับมือกับมันไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะท่านฟอลเทสท์ เจ้าเหนือหัวผู้สง่างามอันเป็นที่รักยิ่ง ซึ่งคอยเอาประกาศไปติดไว้ตามทางแยกอยู่เป็นประจำ แม้ว่าเดี๋ยวนี้จะมีคนอาสาเข้ามาน้อยลงทุกทีก็ตาม เมื่อไม่นานนี้ก็มีอยู่คนหนึ่ง แต่เจ้านั่นยืนยันว่าจะขอเงินสามพันเหรียญล่วงหน้า เราเลยจับมันยัดใส่กระสอบแล้วโยนลงทะเลสาบไปซะ”
“พวกต้มตุ๋นยังมาอยู่เรื่อยๆ สินะ”
“ใช่ ไม่ขาดสายเลยละ” ท่านเจ้าเมืองยอมรับโดยไม่ละสายตาไปจากวิทเชอร์ “นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเจ้าจึงห้ามเรียกร้องเหรียญทองนั่นล่วงหน้าเมื่อไปถึงพระราชวัง หากเจ้าจะไปที่นั่นจริง”
“ข้าจะไปที่นั่น”
“ก็แล้วแต่เจ้า แต่จงจำคำแนะนำของข้าไว้ให้ดี พอพูดถึงเรื่องรางวัล เมื่อไม่นานมานี้ก็มีข่าวลือเกี่ยวกับรางวัลอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งข้าได้เปรยกับเจ้าไปแล้ว รางวัลนั่นก็คือการได้องค์หญิงมาเป็นภรรยา ข้าไม่รู้ว่าผู้ใดเริ่มเรื่องนี้ แต่หากสตริกามีหน้าตาอย่างที่เขาว่ากันจริง นี่ก็นับเป็นเรื่องตลกที่โหดร้ายมาก อย่างไรก็ดี เราไม่เคยขาดเจ้าพวกโง่เง่าที่แข่งกันมายังพระราชวังเพื่อไขว่คว้าโอกาสที่จะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์อยู่แล้ว ถ้าจะให้ระบุลงไปเลยก็คือ มีช่างทำรองเท้าฝึกหัดสองคน ทำไมพวกช่างทำรองเท้าถึงได้โง่นักนะ เกรอลท์”
“ข้าไม่ทราบ แล้ววิทเชอร์ล่ะ ท่านเจ้าเมือง ได้มาลองฝีมือบ้างหรือไม่”
“มีบ้าง แต่พอได้ยินว่าจะต้องคลายมนตร์สะกดและสตริกาต้องไม่ถูกฆ่าโดยเด็ดขาด ส่วนใหญ่ก็ถอดใจและจากไปกันทั้งนั้น นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมความเคารพที่ข้ามีให้กับเหล่าวิทเชอร์จึงเพิ่มมากขึ้น เกรอลท์ มีอยู่คนหนึ่ง – ยังหนุ่มกว่าเจ้าด้วย ข้าลืมชื่อเขาไปแล้ว ถ้าเขาเคยบอกชื่อไว้นะ เขาขอลองดู”
“แล้วไงต่อ”
“องค์หญิงเขี้ยวยาวฉีกไส้ของเขากระจายไปไกลพอสมควรเลย”
เกรอลท์พยักหน้า “มีวิทเชอร์ลองแค่นี้งั้นรึ”
“ยังมีอีกคนหนึ่ง”
เวเลแร็ดนิ่งเงียบไปชั่วครู่ โดยที่วิทเชอร์เองก็ไม่ได้เร่งรัดเขาแต่อย่างใด
“ใช่แล้ว” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยขึ้นในที่สุด “ยังมีอีกคนหนึ่ง ทีแรกท่านฟอลเทสท์ขู่ว่าจะแขวนคอเขาหากเขาฆ่าหรือทำร้ายสตริกา ซึ่งเขาก็หัวเราะออกมาแล้วเริ่มลงมือเก็บข้าวของ แต่แล้ว–” เวเลแร็ดชะโงกหน้าข้ามโต๊ะมา และลดเสียงลงจนเกือบจะเป็นเสียงกระซิบ “–แต่แล้วเขาก็รับภารกิจนี้ คืองี้นะเกรอลท์ พวกคนยศสูงๆ ที่ฉลาดๆ ในเมืองวิซิมาต่างก็เหลืออดกับเรื่องนี้แล้ว ลือกันว่าคนเหล่านั้นแอบโน้มน้าววิทเชอร์อย่างลับๆ ให้ไม่ต้องไปสนใจมนตร์สะกดอะไรนั่น และรีบจัดการส่งสตริกาไปสู่ความตายซะ จากนั้นก็ค่อยมาบอกกับท่านฟอลเทสท์ว่าการคลายเวทไม่ได้ผล ว่าธิดาสุดที่รักของพระองค์ถูกฆ่าตายจากการพยายามป้องกันตัว – ซึ่งเป็นเพียงอุบัติเหตุจากการทำตามหน้าที่ แต่องค์ราชันย่อมต้องพิโรธเป็นอย่างมากและปฏิเสธที่จะจ่ายเงินรางวัลแน่ และเรื่องก็คงจบลงแค่นั้น เจ้าวิทเชอร์หัวไวนั่นจึงตอบว่า หากไม่มีรางวัลให้ พวกเราก็ต้องไปไล่สตริกากันเอาเอง แล้วพวกเราจะทำอย่างไรได้เล่า เรารวบรวมเงินมาก็แล้ว ต่อรองก็แล้ว...แต่เงินนั่นกลับไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดเลย”
เกรอลท์เลิกคิ้วสูง
“ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เลยจริงๆ” เวเลแร็ดย้ำอีกครั้ง “ในคืนแรกวิทเชอร์คนนั้นดูจะยังไม่ค่อยอยากลองเท่าไหร่ เขาเดินอ้อยอิ่งไปมา นอนรอ และเตร็ดเตร่ไปทั่วบริเวณนั้น ในที่สุดว่ากันว่าเขาได้เห็นสตริกาลงมือกับตาตนเอง และใช่ว่านางจะคลานออกมาจากโลงเพื่อยืดแข้งยืดขาเฉยๆ เสียเมื่อไหร่ เขาเห็นนาง จากนั้นก็เผ่นแน่บไปในคืนเดียวกันโดยไม่เอ่ยปากสักคำ”
สีหน้าเกรอลท์เปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนจะมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้านั้น
“พวกคนฉลาดนั่น” เขาเอ่ยขึ้น “ยังมีเงินจำนวนที่ว่าอยู่อย่างไม่ต้องสงสัยเลยใช่ไหม วิทเชอร์ไม่รับค่าจ้างล่วงหน้าอยู่แล้วนี่”
“พวกนั้นมีเงินอยู่แน่นอน” เวเลแร็ดเอ่ย
“ข่าวลือได้บอกไหมว่าพวกเขาเสนอเงินให้เท่าไหร่”
เวเลแร็ดยิ้มยิงฟัน “บางคนบอกว่าแปดร้อย–”
เกรอลท์ส่ายหน้า
“แต่บางคน” ท่านเจ้าเมืองพึมพำ “ก็บอกว่าหนึ่งพันเหรียญ”
“นับว่าไม่เยอะเลยเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าข่าวลือมักจะพูดเกินจริงเสมอ และองค์ราชายังเสนอให้ถึงสามพันเหรียญอีกต่างหาก”
“อย่าลืมข้อเสนอเรื่องการแต่งงานสิ” เวเลแร็ดหยัน “เจ้าพูดอะไรของเจ้า เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าเจ้าจะไม่ได้เงินสามพันเหรียญนั่นหรอก”
“ทำไมกัน”
เวเลแร็ดทุบโต๊ะเสียงดัง “เกรอลท์ เจ้าอย่าทำให้ข้าหมดความประทับใจในตัวเหล่าวิทเชอร์สิ! เหตุการณ์นี้ดำเนินมานานกว่าเจ็ดปีแล้วนะ! สตริกาฆ่าคนไปถึงห้าสิบคนทุกปี ทุกวันนี้อาจจะน้อยลงบ้างแล้วเพราะผู้คนต่างหลีกเลี่ยงพระราชวังนั่น สหายเอ๋ย ข้าเชื่อในเวทมนตร์นะ ข้าเห็นอะไรมามากมาย และข้าก็เชื่อในความสามารถของบรรดาจอมเวทกับพวกวิทเชอร์ในระดับหนึ่ง แต่เรื่องไร้สาระทั้งหมดเกี่ยวกับการคลายเวทนี่เป็นแค่เรื่องที่ถูกกุขึ้นมาโดยเจ้าฤาษีเฒ่าหลังค่อมมารยาทต่ำทรามที่เสียสติเพราะการอดอาหารมันคือเรื่องไร้สาระที่ไม่มีใครเชื่อนอกจากท่านฟอลเทสท์ แอ็ดดาให้กำเนิดสตริกาก็เพราะนางหลับนอนกับพี่ชายตัวเอง นั่นคือความจริงที่มนตร์สะกดใดก็ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เจ้าสตริกานั่นไล่เขมือบผู้คน – เหมือนกับสตริกาตัวอื่นๆ – มันจึงจำเป็นต้องถูกฆ่า เรื่องมันก็มีอยู่เท่านั้นแหละ ฟังนะ เมื่อสองปีก่อน พวกชาวบ้านจากหลืบที่พระเจ้าหลงลืมใกล้ๆ กับมาฮาคัมถูกมังกรตัวหนึ่งก่อกวนโดยการไล่กัดกินฝูงแกะของพวกเขา พวกเขาจึงรวมตัวกันออกล่าและใช้ท่อนไม้ตีมังกรจนตาย พวกนั้นไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องที่น่าเอามาคุยโอ้อวดเลยด้วยซ้ำ ขณะที่พวกเราในเมืองวิซิมาได้แต่เฝ้ารอปาฏิหาริย์และลงกลอนประตูให้แน่นหนาในทุกๆ คืนที่จันทร์เต็มดวง หรือไม่ก็ได้แต่พยายามเอาพวกผู้กระทำผิดไปผูกไว้กับหลักตรงหน้าพระราชวัง ร้องขอให้เจ้าอสุรกายนั่นกินให้อิ่มแล้วกลับไปยังโลงหินของนางซะ”
“เป็นวิธีที่ไม่เลวนี่” วิทเชอร์ยิ้ม “หรือว่ามีพวกผู้กระทำผิดน้อยเกินไป”
“ไม่น้อยเลยสักนิด”
“แล้วพระราชวังไปทางไหน พระราชวังใหม่น่ะ”
“ข้าจะพาเจ้าไปเอง แล้วเจ้าจะว่าอย่างไรกับข้อเสนอของพวกคนฉลาดนั่นล่ะ”
“ท่านเจ้าเมือง” เกรอลท์เอ่ย “เหตุใดจึงได้รีบร้อนนัก อย่างไรเสียอุบัติเหตุอาจจะเกิดขึ้นระหว่างที่ข้าลงมือจริงๆ ก็ได้ ใช่ว่าข้าตั้งใจจะให้เป็นเช่นนั้นหรอกนะ คนฉลาดพวกนั้นควรจะคิดเผื่อไว้เลยว่าจะช่วยข้าให้พ้นจากโทสะขององค์ราชาได้อย่างไร รวมทั้งเตรียมเงินหนึ่งพันห้าร้อยเหรียญโอเร็นตามข่าวลือนั่นเอาไว้ให้พร้อมด้วย”
“แค่หนึ่งพันเหรียญต่างหาก”
“ไม่ใช่หรอก ท่านเวเลแร็ด” วิทเชอร์เอ่ยเสียงเด็ดขาด “วิทเชอร์คนที่ได้รับข้อเสนอหนึ่งพันเหรียญจากไปทันทีที่ได้เห็นสตริกาโดยไม่ต่อรองใดๆ ดังนั้นความเสี่ยงย่อมต้องมากกว่าแค่หนึ่งพันเหรียญแน่นอน แต่จะมากกว่าหนึ่งพันห้าร้อยเหรียญหรือไม่นั้น อีกเดี๋ยวเราคงได้เห็นกัน แต่แน่นอนว่าข้าจะมาร่ำลาก่อนจากไปนะ”
“เกรอลท์” เวเลแร็ดเกาศีรษะ “หนึ่งพันสองร้อยเป็นยังไง”
“ไม่ได้ นี่ไม่ใช่งานที่ง่ายเลย องค์ราชายังเสนอให้ถึงสามพัน บางทีการคลายเวทอาจง่ายกว่าการฆ่าก็เป็นได้ แต่วิทเชอร์ที่มาก่อนหน้าข้าคงจะทำเช่นนั้นหรือไม่ก็ฆ่าสตริกาสำเร็จไปแล้ว หากนี่เป็นงานที่ง่ายดายจริงๆ ท่านคิดว่าพวกเขาจะปล่อยให้ตัวเองถูกกินเพียงเพราะเกรงกลัวต่อองค์ราชาอย่างนั้นรึ”
“ถ้างั้นวิทเชอร์” เวเลแร็ดพยักหน้าอย่างประนีประนอม “เราตกลงกันตามนี้ แต่ข้าขอแนะนำอะไรสักอย่าง – อย่าได้พูดถึงอันตรายของการเกิดอุบัติเหตุระหว่างลงมือกับองค์ราชาเชียว”
III
ฟอลเทสท์เป็นคนรูปร่างสะโอดสะองที่มีใบหน้าแสนงดงาม – งดงามจนเกินไปด้วยซ้ำ วิทเชอร์คิดว่าเขาน่าจะอายุไม่เกินสี่สิบปี องค์ราชาประทับอยู่บนเก้าอี้เท้าแขนตัวเตี้ยซึ่งแกะสลักจากไม้แบล็กวู้ด ขาทั้งสองข้างเหยียดไปทางเตาไฟซึ่งมีสุนัขสองตัวนอนอุ่นสบายอยู่ โดยมีชายรูปร่างกำยำล่ำสันไว้เคราที่อายุมากกว่าพระองค์นั่งอยู่บนหีบใบใหญ่ข้างๆ กัน ด้านหลังขององค์ราชามีชายอีกคนยืนอยู่ เขาแต่งตัวภูมิฐาน และมีความภาคภูมิฉายชัดอยู่บนใบหน้า ท่าทางจะเป็นขุนนางใหญ่
“วิทเชอร์แห่งริเวีย” องค์ราชาเอ่ยหลังจากเงียบอยู่นานเมื่อเวเลแร็ดแนะนำตัววิทเชอร์เสร็จ
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เกรอลท์โค้งศีรษะ
“เหตุใดผมของเจ้าจึงเป็นสีเทาเช่นนี้ เวทมนตร์งั้นหรือ ข้าว่าเจ้ายังไม่แก่ชราเลยนะ ล้อเล่นน่ะ ไม่มีอะไรหรอก ข้าขอเดาว่าเจ้าคงผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเลยสิท่า”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ข้าอยากฟังยิ่งนัก”
เกรอลท์ค้อมศีรษะลงต่ำกว่าเดิม “ฝ่าบาท พระองค์ควรทราบดีว่าเรามีกฎที่ห้ามเอ่ยถึงงานของเรา”
“ช่างเป็นกฎที่เหมาะเจาะดีจริงๆ วิทเชอร์ เหมาะมาก แต่ช่วยบอกข้าทีว่าเจ้าเคยจัดการกับสปริกกันมาก่อนหรือไม่”
“เคยพ่ะย่ะค่ะ”
“แวมไพร์กับพวกเลชี่ล่ะ”
“พวกนั้นก็เช่นกัน”
ฟอลเทสท์เอ่ยอย่างลังเล “แล้วสตริกาล่ะ”
เกรอลท์เงยหน้าขึ้นสบตากับองค์ราชา “เคยพ่ะย่ะค่ะ”
ฟอลเทสท์หันหน้าไปอีกทาง “เวเลแร็ด!”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“เจ้าได้เล่ารายละเอียดให้เขาฟังหรือยัง”
“เล่าแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทผู้งามสง่า เขาบอกว่ามนตร์คาถาที่สาปองค์หญิงอยู่สามารถคลายได้”
“ข้ารู้เรื่องนั้นมานานแล้ว แต่ทำอย่างไรเล่าเจ้าวิทเชอร์ อ้อ ใช่สิ ข้าลืมไป เจ้ามีกฎของเจ้าอยู่ เอาละ ข้าขอเอ่ยอะไรสักอย่างแล้วกัน วิทเชอร์หลายคนเคยมาที่นี่แล้ว เวเลแร็ด เจ้าได้บอกเขาแล้วใช่ไหม ดีมาก ข้ารู้ว่าความสามารถพิเศษของพวกเจ้าคือการสังหารมากกว่าการคลายเวท แต่นี่ไม่ใช่ทางเลือก หากผมแม้เพียงเส้นเดียวร่วงหล่นจากศีรษะของบุตรสาวข้า ศีรษะของเจ้าจะได้ไปอยู่บนแท่นประหารแน่ แค่นี้แหละ ออสตริท ลอร์ดเซเกลิน พวกเจ้าอยู่ให้ข้อมูลตามที่เขาต้องการนะ พวกวิทเชอร์ชอบถามคำถามมากมาย เลี้ยงดูเขาและให้เขาพักอยู่ในวัง อย่าให้ไปเตร็ดเตร่อยู่ตามโรงเหล้าล่ะ”
องค์ราชาลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ผิวปากเรียกสุนัขของพระองค์แล้วเดินไปทางประตูจนเศษฟางกระจายเกลื่อนไปทั่วพื้นห้อง เขาหยุดเดินเมื่อไปถึงประตู
“วิทเชอร์ หากเจ้าทำสำเร็จ รางวัลจะเป็นของเจ้า และหากเจ้าทำได้ดี บางทีข้าอาจจะเพิ่มรางวัลให้อีกก็เป็นได้ ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องไร้สาระที่ชาวบ้านลือกันไปทั่วเกี่ยวกับการได้อภิเษกสมรสกับองค์หญิงนั้นเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ ข้ามั่นใจว่าเจ้าคงไม่เชื่อหรอกใช่ไหมว่าข้าจะยกบุตรสาวของข้าให้กับคนแปลกหน้าน่ะ”
“ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ข้าไม่เชื่อเช่นนั้นอยู่แล้ว”
“ดี นั่นแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีความฉลาดอยู่บ้าง”
เมื่อฟอลเทสท์จากไปโดยปิดประตูตามหลัง เวเลแร็ดและขุนนางใหญ่ที่ยืนมาโดยตลอดต่างพากันนั่งลงที่โต๊ะในทันใด เจ้าเมืองยกแก้วที่เหลือเหล้าอยู่เพียงครึ่งหนึ่งขององค์ราชาขึ้นดื่มจนหมด จากนั้นก็หรี่ตามองเหยือกแล้วสบถออกมา ออสตริทที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของฟอลเทสท์ถลึงตามองวิทเชอร์ พลางใช้มือลูบไล้รอยแกะสลักบนเท้าแขนของเก้าอี้ไม้ เซเกลิน ชายไว้เคราพยักหน้าให้เกรอลท์
“นั่งลงเถิด วิทเชอร์ นั่งลงเถิด อีกประเดี๋ยวก็จะมีอาหารค่ำมาส่งแล้ว เจ้าอยากรู้อะไรล่ะ เจ้าเมืองเวเลแร็ดคงเล่าทุกอย่างให้เจ้าฟังหมดแล้ว ข้ารู้จักเขาดี เขาคงบอกเจ้ามากเกินไปเสียด้วยซ้ำ”
“ข้ามีเพียงไม่กี่คำถามเท่านั้น”
“ว่ามา”
“ท่านเจ้าเมืองเล่าว่า หลังจากสตริกาปรากฏตัว องค์ราชาก็เรียกตัวผู้รอบรู้ทั้งหลายเข้ามา”
“ถูกต้อง แต่อย่าใช้คำว่าสตริกาเลย เรียกว่าองค์หญิงจะดีกว่า นี่จะช่วยให้เจ้าไม่ทำผิดพลาดต่อหน้าองค์ราชัน – และช่วยให้เจ้าเลี่ยงผลกระทบอันไม่น่าอภิรมย์นักที่จะตามมาได้ด้วย”
“ในบรรดาผู้รอบรู้นั่น พอจะมีใครที่มีชื่อเสียงบ้างหรือไม่ ใครสักคนที่โด่งดังน่ะ”
“ก็พอจะมีอยู่บ้างเป็นครั้งคราว ข้าจำชื่อพวกเขาไม่ได้หรอก เจ้าจำได้บ้างไหม ลอร์ดออสตริท”
“ข้าเองก็จำไม่ได้” ขุนนางใหญ่เอ่ย “ข้ารู้แต่ว่า พวกนั้นบางคนยินดีกับการมีชื่อเสียงและการได้รับการยอมรับ เพราะพวกนั้นเอาแต่พล่ามเรื่องนี้ไม่หยุด”
“พวกเขาเห็นพ้องต้องกันไหมว่ามนตร์สะกดนั้นสามารถคลายได้”
“พวกนั้นห่างไกลจากคำว่าเห็นพ้องต้องกันเหลือเกิน” เซเกลินยิ้ม “ไม่ว่าจะในเรื่องใดก็ตาม แต่ก็มีการเสนอความคิดเห็นหนึ่งขึ้นมา วิธีการนั้นเรียบง่ายมากและไม่ต้องใช้ความสามารถในการร่ายเวทด้วยซ้ำ ตามที่ข้าเข้าใจก็คือ ขอเพียงใครสักคนใช้เวลาทั้งคืน – ตั้งแต่อาทิตย์ตกดินไปจนถึงยามที่ไก่ขันเป็นครั้งที่สาม – อยู่กับโลงหินนั่นก็พอแล้ว”
“เรียบง่ายเสียจริง” เวเลแร็ดเย้ยหยัน
“ข้าอยากรู้เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของ...องค์หญิง”
เวเลแร็ดผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที “องค์หญิงก็ดูเหมือนสตริกาอย่างไรเล่า!” เขาตะโกนลั่น “หน้าตาเหมือนพวกสตริกาที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินนั่นแหละ! องค์หญิงน่ะคือเชื้อพระวงศ์นอกสมรสผู้ถูกสาป นางสูงถึงสี่คิวบิต รูปร่างเหมือนถังเบียร์ ส่วนปากก็ฉีกกว้างจากหูข้างหนึ่งไปยังหูอีกข้างหนึ่ง ภายในปากเต็มไปด้วยฟันที่แหลมคมดุจกริช ดวงตาของนางแดงฉาน และผมก็ดกหนาเป็นสีแดงสด! อุ้งมือของนางที่มีกรงเล็บแบบเดียวกับเล็บของแมวป่าห้อยยาวจรดพื้น! ข้าละแปลกใจนักที่เรายังไม่ได้ส่งภาพเหมือนของนางไปให้ราชสำนักของดินแดนพันธมิตรดู! องค์หญิงต้องคำสาปองค์นี้อายุสิบสี่ปีแล้ว ได้เวลาคิดหาองค์ชายสักองค์ให้นางแต่งงานด้วยแล้ว!”
“ใจเย็นๆ เวเลแร็ด” ออสตริทนิ่วหน้าพลางชำเลืองมองประตู ส่วนเซเกลินได้แต่ยิ้มเจื่อน
“ถึงแม้จะฟังดูแจ่มแจ้งไปหน่อย แต่คำบรรยายนี้ก็ถือว่าถูกต้องทีเดียว นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการใช่ไหม วิทเชอร์ เวเลแร็ดยังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ว่าองค์หญิงสามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ นางแข็งแรงกว่าส่วนสูงและรูปร่างของนางจนผู้ใดก็คาดไม่ถึง และตอนนี้นางก็อายุสิบสี่ปีแล้ว หากเรื่องนี้พอจะมีความสำคัญอยู่บ้างนะ”
“มีสิ” วิทเชอร์เอ่ย “การทำร้ายผู้คนเกิดขึ้นเฉพาะในคืนที่จันทร์เต็มดวงหรือเปล่า”
“ใช่แล้ว” เซเกลินตอบ “เฉพาะกรณีที่นางออกมาโจมตีผู้คนนอกพระราชวังเก่าน่ะ ส่วนภายในรั้วพระราชวังนั้นมีคนตายเสมออยู่แล้ว โดยไม่เกี่ยวกับข้างขึ้นข้างแรมเลย ทว่านางจะออกมาข้างนอกเฉพาะในคืนที่จันทร์เต็มดวงเท่านั้น และก็ไม่ได้ออกมาเสมอไป”
“นางเคยโจมตีตอนกลางวันบ้างไหม”
“ไม่เคยเลย”
“นางเขมือบกินเหยื่อของนางเป็นประจำเลยหรือ”
เวเลแร็ดถ่มน้ำลายลงบนฟางอย่างฉุนเฉียว
“ไม่เอาน่า เกรอลท์ นี่ก็จะได้เวลาอาหารค่ำอยู่แล้ว ถุย! มีทั้งเขมือบกินจนหมด ขย้ำกินเป็นคำๆ และทิ้งไว้ข้างทางหลากกันไปนั่นแหละ – เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของนางโดยไม่ต้องสงสัย กัดหัวคนหนึ่ง กระชากไส้อีกสองคน และอีกหลายคนก็โดนกินเกลี้ยงจนเหลือแต่กระดูก จะกล่าวว่าสูบกินจนแห้งก็ได้ ขอให้นางนั่น–!”
“ระวังคำพูดด้วย เวเลแร็ด” ออสตริทตะคอก “เจ้าจะพูดถึงสตริกาอย่างไรก็ได้ แต่อย่าลบหลู่แอ็ดดาต่อหน้าข้าเป็นอันขาด เช่นเดียวกับที่เจ้าต้องยำเกรงเวลาอยู่ต่อหน้าองค์ราชันนั่นแหละ!”
“เคยมีคนถูกโจมตีแล้วยังรอดชีวิตกลับมาบ้างไหม” วิทเชอร์ถาม ปรากฏว่าเขาไม่ได้สนใจการระเบิดอารมณ์ของขุนนางใหญ่เลยแม้แต่น้อย
เซเกลินและออสตริทหันมามองหน้ากัน
“มีสิ” ชายมีเคราเอ่ยขึ้น “ตั้งแต่เริ่มแรกเลย เมื่อเจ็ดปีก่อน นางกระโจนใส่ทหารสองนายที่ยืนเฝ้าห้องใต้ดิน หนึ่งในนั้นหนีรอดมาได้–”
“หลังจากนั้น” เวเลแร็ดเอ่ยแทรก “ก็มีอีกคนหนึ่ง เจ้าของโรงสีที่นางโจมตีใกล้ตัวเมือง ท่านจำได้ไหม...”
IV
ค่ำวันต่อมา เจ้าของโรงสีถูกนำตัวมายังห้องเล็กๆ ซึ่งอยู่เหนือป้อมทหารยามที่ถูกจัดไว้สำหรับวิทเชอร์ เขาถูกพาตัวมาโดยนายทหารที่อยู่ในชุดคลุมมีหมวกฮู้ด
การพูดคุยครั้งนี้ไม่ได้ผลลัพธ์ที่มีประโยชน์มากนัก เจ้าของโรงสีขวัญผวาไปหมด เขาพูดพึมพำตะกุกตะกัก แต่รอยแผลเป็นของเขาบอกวิทเชอร์ได้มากกว่าคำพูด สตริกาสามารถอ้าปากได้กว้างอย่างน่าอัศจรรย์และมีฟันที่แหลมคมอย่างยิ่ง ทั้งยังมีเขี้ยวบนที่ยาวมากอีกสี่ซี่ ข้างละสองซี่ กรงเล็บของนางคมกว่ากรงเล็บของแมวป่าแต่ไม่โค้งงอเท่า และนั่นเป็นสาเหตุเดียวที่เจ้าของโรงสีกระชากตัวเองหลุดออกมาได้
หลังเสร็จสิ้นการสอบถาม เกรอลท์ก็พยักหน้าให้เจ้าของโรงสีและนายทหารเพื่ออนุญาตให้พวกเขาออกไปได้ นายทหารผลักเจ้าของโรงสีผ่านประตูไปแล้วปลดหมวกคลุมศีรษะของเขาลง เขาคือฟอลเทสท์นั่นเอง
“นั่งเถอะ ไม่ต้องลุกหรอก” องค์ราชาเอ่ย “นี่คือการเสด็จเยือนอย่างไม่เป็นทางการ เจ้าพอใจกับการสอบถามครั้งนี้หรือไม่ ข้าได้ยินว่าเจ้าไปที่พระราชวังเดิมเมื่อเช้านี้ด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“แล้วเจ้าจะเริ่มลงมือเมื่อใด”
“อีกสี่วันจึงจะเป็นคืนจันทร์เต็มดวง ข้าจะลงมือหลังจากนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าอยากเห็นนางด้วยตาตนเองก่อนหน้านั้นหรือไม่”
“ไม่จำเป็นพ่ะย่ะค่ะ แต่หากนางได้กินจนอิ่ม เจ้า– องค์หญิงก็จะมีความว่องไวน้อยลง”
“เจ้าสตริกา วิทเชอร์ เรียกสตริกาเถอะ อย่ามาสำบัดสำนวนกันเลย นางจะได้กลับมาเป็นองค์หญิงหลังจากนี้ และนี่ก็คือสิ่งที่ข้าต้องการมาพูดกับเจ้า เจ้าจงตอบข้ามาสั้นๆ อย่างชัดเจน และไม่ต้องเป็นทางการว่าเจ้าจะทำสำเร็จหรือไม่ และอย่าได้เอากฎของเจ้ามาเป็นข้ออ้างเชียว”
เกรอลท์ลูบคิ้วของตน
“ข้าขอยืนยันกับฝ่าบาทว่ามนตร์สะกดนี้สามารถคลายได้ และหากข้าเข้าใจไม่ผิด แค่อยู่ในพระราชวังนั่นทั้งคืนจนถึงยามที่ไก่ขันเป็นครั้งที่สาม โดยที่สตริกาต้องอยู่นอกโลงหินของนาง มนตร์สะกดก็จะสลายไป นั่นคือวิธีการปกติที่จะใช้จัดการกับสตริกา”
“ง่ายดายเพียงนั้นเชียวรึ”
“ไม่ง่ายดายนักหรอก อย่างแรกคือต้องเอาชีวิตรอดในคืนนั้นให้ได้ นอกจากนี้ก็ยังมีข้อยกเว้นอยู่อีกอย่าง ไม่ใช่เพียงคืนเดียว แต่ต้องอยู่สามคืนต่อเนื่องกัน และยังมีบางกรณีที่เรียกได้ว่า...เอ่อ...สิ้นหวัง”
“ใช่แล้ว” ฟอลเทสท์ขนลุก “ข้าเองก็ได้ยินเช่นนั้นมาโดยตลอดจากคนบางคน ฆ่าเจ้าสัตว์ร้ายนั่นเสียเพราะมันเกินจะเยียวยาแล้ว วิทเชอร์ ข้ามั่นใจว่าพวกเขาได้มาพูดกับเจ้าแล้ว ข้าพูดถูกไหม สังหารเจ้าสัตว์กินคนนั่นเสียตั้งแต่ต้นโดยไม่ต้องรีรอ แล้วค่อยบอกองค์ราชาว่าไม่สามารถทำสิ่งอื่นได้แล้ว ข้าจะไม่จ่ายเงินให้เจ้า แต่พวกนั้นจะจ่ายให้ เป็นวิธีการที่ทั้งสะดวกทั้งประหยัด เพราะองค์ราชาจะสั่งตัดหัวหรือไม่ก็สั่งแขวนคอวิทเชอร์ ส่วนทองนั่นก็จะยังคงอยู่ในกระเป๋าของพวกเขาต่อไป”
“องค์ราชันจะสั่งตัดหัววิทเชอร์อย่างไม่มีเงื่อนไขเลยรึ” เกรอลท์ทำหน้าบึ้ง
ฟอลเทสท์จ้องตาชายชาวริเวียอยู่ครู่ใหญ่
“องค์ราชันยังไม่ทราบ” ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้น “แต่วิทเชอร์ควรคำนึงถึงจุดจบเช่นนั้นเอาไว้เสมอ”
เกรอลท์เงียบไปครู่หนึ่ง “ข้าตั้งใจจะทำสุดความสามารถ” เขาเอ่ย “แต่หากสถานการณ์เลวร้ายลง ข้าก็จำเป็นต้องปกป้องชีวิตตนเองเช่นกัน องค์ราชัน ท่านเองก็ต้องคำนึงถึงจุดจบเช่นนั้นด้วย”
ฟอลเทสท์ลุกขึ้นยืน “เจ้าไม่เข้าใจข้า เห็นได้ชัดว่าเจ้าจะฆ่านางหากจำเป็น ไม่ว่าข้าจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม เพราะไม่เช่นนั้นแล้วนางก็จะฆ่าเจ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน ข้าจะไม่ลงโทษผู้ที่ฆ่านางเพราะการป้องกันตัว แต่ข้าจะไม่ปล่อยให้นางถูกฆ่าโดยปราศจากความพยายามที่จะช่วยเหลือนางเสียก่อน เคยมีคนพยายามจุดไฟเผาพระราชวังเดิมมาแล้ว พวกเขาระดมยิงนางด้วยธนู ขุดหลุมดัก และวางกับดักสารพัน จนกระทั่งข้าจับคนที่โจมตีนางจำนวนหนึ่งมาแขวนคอ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ วิทเชอร์ จงฟังให้ดี!”
“ข้าฟังอยู่”
“หากข้าเข้าใจถูกต้อง หลังจากไก่ขันครั้งที่สาม เจ้าสตริกาก็จะหายไป แล้วจะเหลืออะไรอยู่”
“หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ก็จะเป็นเด็กสาวอายุสิบสี่ปี”
“ที่มีดวงตาแดงฉานกับฟันแบบจระเข้งั้นรึ”
“เป็นเด็กอายุสิบสี่ปีธรรมดาทั่วไป เว้นเสียแต่ว่า...”
“ว่าอะไร”
“สภาพร่างกาย”
“เข้าใจละ แล้วสภาพจิตใจเล่า ทุกวันต้องเอาเลือดใส่ถังให้เป็นอาหารเช้างั้นรึ หรือต้องคอยหาต้นขาเด็กผู้หญิงมาให้กิน”
“ไม่ใช่เช่นนั้น เรื่องของสภาพจิตใจ...ข้าบอกไม่ได้เลย ข้าคิดว่าอาจจะอยู่ในระดับเดียวกับเด็กอายุสามหรือสี่ขวบ นางจะต้องการความรักความห่วงใยไปอีกนานทีเดียว”
“นั่นก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ วิทเชอร์”
“ข้าฟังอยู่”
“มันจะสามารถเกิดขึ้นกับนางอีกไหม ในอนาคตน่ะ”
เกรอลท์เงียบ
“อ่าฮะ” องค์ราชาเอ่ย “เกิดขึ้นได้อีกสินะ แล้วจากนั้นจะเป็นอย่างไรต่อ”
“นางควรจะตายหลังจากสลบไสลไปหลายวัน จากนั้นร่างกายของนางจะต้องถูกเผาทันที”
สีหน้าฟอลเทสท์หม่นหมองขึ้นมาทันใด
“ข้าไม่คิดว่ามันจะไปถึงจุดนั้นหรอก” เกรอลท์เสริม “แต่เพื่อความแน่ใจ ข้าจะให้แนวทางปฏิบัติแก่ท่าน ฝ่าบาท เพื่อลดทอนความอันตรายลง”
“ตอนนี้เลยรึ ไม่เร็วไปหน่อยหรือ วิทเชอร์ และหาก–”
“ตอนนี้เลย” ชายชาวริเวียขัดจังหวะ “หลายสิ่งหลายอย่างอาจเกิดขึ้นได้ ฝ่าบาท เป็นไปได้เช่นกันว่าท่านจะได้พบกับองค์หญิงในตอนเช้าโดยที่มนตร์สะกดได้คลายไปแล้ว พร้อมกับศพของข้า”
“อย่างนั้นเลยรึ ทั้งๆ ที่ข้าอนุญาตให้เจ้าป้องกันตัวได้แล้ว ซึ่งเอาจริงๆ นั่นก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่สำคัญสำหรับเจ้าเลยสักนิด”
“นี่คือเรื่องที่ร้ายแรงมาก ฝ่าบาท เป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงมหาศาล ท่านจึงต้องฟังข้าให้ดี องค์หญิงจะต้องห้อยไพลินเอาไว้รอบคอตลอดเวลา หรือจะให้ดียิ่งขึ้น ต้องเป็นไพลินชนิดพิเศษ ร้อยกับสร้อยที่ทำจากเงิน ใส่ไว้ทั้งกลางวันกลางคืน”
“ไพลินชนิดพิเศษคืออะไร”
“เป็นไพลินที่มีฟองอากาศขังอยู่ภายใน นอกจากนั้นแล้ว ให้ท่านจุดไม้สนจูนิเปอร์ ไม้บรูม และไม้แอสเพนในเตาผิงที่ห้องของนางเป็นครั้งคราวด้วย”
ฟอลเทสท์มีท่าทีวิตกกังวล “ข้าขอบใจสำหรับคำแนะนำของเจ้า วิทเชอร์ ข้าจะจำไว้ให้ดี หาก– ทีนี้เจ้าจงฟังข้าให้ดีบ้าง หากเจ้าเห็นว่าหมดหวังแล้ว จงสังหารนางซะ หากเจ้าคลายเวทมนตร์ได้แล้ว แต่เด็กคนนั้นกลับไม่...ปกติ หากเจ้ามีความเคลือบแคลงว่าเจ้าทำสำเร็จดีหรือไม่ เจ้าจงสังหารนางซะ อย่าได้เป็นกังวล เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวข้า ข้าจะตะโกนใส่เจ้าต่อหน้าคนอื่นๆ ไล่เจ้าออกไปจากพระราชวังและเมืองแห่งนี้ จะไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น แน่นอนว่าข้าจะไม่ตกรางวัลให้เจ้า แต่บางทีเจ้าอาจพอเจรจาให้ได้อะไรติดมือกลับไปบ้างกับคนที่เจ้ารู้ว่าใครได้”
ทั้งคู่ต่างเงียบไปพักหนึ่ง
“เกรอลท์” เป็นครั้งแรกที่ฟอลเทสท์เรียกวิทเชอร์ด้วยชื่อของเขา
“พ่ะย่ะค่ะ”
“จริงเท็จแค่ไหนที่เขาลือกันว่า เด็กคนนั้นต้องกลายเป็นเช่นนี้เพราะแอ็ดดาคือน้องสาวของข้า”
“ไม่จริงนัก มนตร์สะกดนั้นต้องมีผู้ร่ายเวท มันไม่สามารถร่ายด้วยตัวเองได้ แต่ข้าคิดว่าการที่ท่านยุ่งเกี่ยวกับน้องสาวของท่านคือเหตุผลที่ทำให้มีการร่ายเวท และนี่ก็คือผลลัพธ์ของมัน”
“เป็นอย่างที่ข้าคิด นี่คือสิ่งที่ผู้รอบรู้บางคนได้บอกเอาไว้ ถึงแม้จะไม่ใช่ทุกคนที่พูดเช่นนี้ก็ตาม เกรอลท์ เจ้าพวกนี้มันมาจากที่ไหนหรือ พวกเวทมนตร์คาถาทั้งหลายนี่”
“ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน ฝ่าบาท บรรดาผู้รอบรู้ทั้งหลายต่างก็พยายามศึกษาถึงสาเหตุของปรากฏการณ์นี้ สำหรับพวกเราเหล่าวิทเชอร์ ความรู้ที่ว่า พลังใจที่แน่วแน่สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ก็เพียงพอแล้ว รวมถึงความรู้ที่ว่าจะสู้กับพวกมันได้อย่างไรด้วย”
“และฆ่าพวกมันด้วยใช่ไหม”
“โดยปกติก็ใช่ นอกจากนี้ นั่นยังเป็นสิ่งที่พวกเรามักถูกว่าจ้างให้ทำ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ร้องขอให้คลายมนตร์สะกด ฝ่าบาท เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนต้องการป้องกันตัวเองจากภยันตราย และหากสัตว์ประหลาดยังคำนึงถึงเหล่ามนุษย์อยู่ ก็อาจจะเกิดการล้างแค้นได้เช่นกัน”
องค์ราชาลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปยังอีกด้านหนึ่งของห้อง และหยุดลงตรงหน้าดาบของวิทเชอร์ที่แขวนอยู่บนผนัง
“ด้วยสิ่งนี้น่ะหรือ” เขาถามโดยไม่ได้หันมามองเกรอลท์
“ไม่ใช่ นั่นมีไว้สำหรับมนุษย์”
“ข้าก็ได้ยินมาเช่นนั้น เจ้ารู้อะไรไหม เกรอลท์ ข้าว่าจะลงไปยังห้องใต้ดินกับเจ้า”
“ไม่ได้เด็ดขาด”
ฟอลเทสท์หันกลับมา ดวงตาของเขาเป็นประกายวูบ “เจ้ารู้อะไรไหม เจ้าผู้ใช้เวท ข้ายังไม่เคยได้เห็นนางเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่นางเพิ่งเกิดหรือหลังจากนั้น ข้าเคยกลัว แต่ข้าอาจจะไม่ได้เห็นนางอีกแล้วใช่ไหมล่ะ อย่างน้อยๆ ข้าก็มีสิทธิ์ที่จะได้เห็นบุตรสาวของตัวเองขณะที่เจ้ากำลังสังหารนาง”
“ข้าขอย้ำอีกครั้ง เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด ผลลัพธ์คือความตายแน่นอน ทั้งข้าและท่าน หากความตั้งใจกับพลังจิตของข้าเกิดสั่นคลอนขึ้นมา– ไม่ได้จริงๆ ฝ่าบาท”
ฟอลเทสท์หันไปอีกทาง แล้วเดินไปยังประตู ครู่หนึ่งเกรอลท์คิดว่าอีกฝ่ายคงจากไปโดยไม่เอ่ยคำใด ไม่มีแม้แต่คำร่ำลา แต่องค์ราชากลับหยุดฝีเท้าและหันมามองเขา
“เจ้าทำให้ข้าเชื่อใจ” เขาเอ่ย “แม้ข้าจะรู้ว่าเจ้าร้ายกาจเพียงใดก็ตาม ข้าได้รับแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเหล้าแล้ว ข้าเชื่อว่าเจ้าฆ่าพวกอันธพาลนั่นเพียงเพราะต้องการให้ผู้คนเล่าลือกันปากต่อปาก ต้องการให้ผู้คนตื่นตะลึง และทำให้ข้าตื่นตะลึงด้วย เจ้าสามารถจัดการกับคนพวกนั้นได้โดยไม่ต้องลงมือฆ่าชัดๆ ข้าเกรงว่าข้าจะไม่มีทางรู้เลยว่าเจ้าลงไปที่นั่นเพื่อช่วยบุตรสาวข้าหรือฆ่านางกันแน่ แต่ข้ายอมรับ ข้าต้องยอมรับ เจ้ารู้ไหมว่าทำไม”
เกรอลท์ไม่ตอบ
“เพราะข้าคิดว่า” องค์ราชาเอ่ย “ข้าคิดว่านางกำลังทุกข์ทรมาน ข้าพูดถูกหรือไม่”
วิทเชอร์จ้องมององค์ราชาเขม็ง เขาไม่ได้ตอบรับ ไม่ได้พยักหน้า และไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย แต่ฟอลเทสท์รู้ เขารู้คำตอบอยู่แก่ใจ
V
เกรอลท์มองออกไปนอกหน้าต่างพระราชวังเป็นครั้งสุดท้าย เวลาพลบค่ำมาถึงอย่างรวดเร็ว เลยทะเลสาบออกไปเขามองเห็นแสงไฟจากเมืองวิซิมาที่อยู่ไกลลิบ รอบพระราชวังเก่ามีเพียงความรกร้าง – เป็นพื้นที่แถบใหญ่ซึ่งปราศจากผู้อยู่อาศัยในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา และตัดขาดสถานที่อันตรายแห่งนี้ออกจากตัวเมือง ทิ้งไว้เพียงเศษซากปรักหักพัง คานไม้ผุๆ และซากแนวรั้วไม้เว้าแหว่งซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ควรค่าแก่การรื้อถอนโยกย้าย อีกฟากหนึ่งของเมืองซึ่งอยู่ห่างไกลจากที่นี่ที่สุด องค์ราชาได้สร้างพระราชวังแห่งใหม่เอาไว้ เขามองเห็นหอคอยอันเด็ดเดี่ยวของพระราชวังแห่งใหม่เป็นสีดำทะมึนจากระยะไกล ตัดกับสีน้ำเงินของท้องฟ้าที่เข้มขึ้นทุกขณะ
ในห้องหนึ่งที่ถูกปล้นสะดมจนว่างเปล่า วิทเชอร์กลับมายังโต๊ะเขรอะฝุ่นที่เขาใช้สำหรับการเตรียมตัวอย่างสุขุมและรอบคอบ เขารู้ดีว่าเขายังมีเวลาอีกมากมาย สตริกาจะยังไม่ออกมาจากห้องใต้ดินจนกว่าจะถึงเวลาเที่ยงคืน
บนโต๊ะตรงหน้าเขามีหีบใบเล็กประดับโลหะวางอยู่ เขาเปิดมันออก ภายในนั้นมีขวดแก้วสีเข้มขนาดเล็กหลายใบบรรจุอยู่แน่นในช่องที่บุไว้ด้วยหญ้าแห้ง วิทเชอร์หยิบออกมาสามขวด
เขาหยิบห่อสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวๆ ที่ถูกหุ้มด้วยหนังแกะแน่นหนาและมีสายหนังมัดไว้ขึ้นมาจากพื้นห้อง ก่อนจะแกะมันออก แล้วหยิบดาบซึ่งมีด้ามดาบอันประณีตที่อยู่ในฝักดาบสีดำเงาประดับลวดลายสัญลักษณ์อักษรรูนออกมา เขาชักดาบ คมดาบฉายประกายส่องสว่างบริสุทธิ์ราวกับกระจกใส นี่เป็นดาบที่ทำมาจากเงินบริสุทธิ์
เกรอลท์ร่ายมนตร์เสียงแผ่วเบาและดื่มสิ่งที่อยู่ภายในขวดแก้วใบเล็กสองขวดติดต่อกัน โดยวางมือซ้ายลงบนคมดาบหลังจากการดื่มแต่ละครั้ง จากนั้นเขาก็ห่มตัวเองอย่างมิดชิดด้วยชุดคลุมสีดำและนั่งลงบนพื้น ไม่มีเก้าอี้ทั้งในห้องนี้และในส่วนอื่นๆ ของพระราชวัง
เขานั่งนิ่งไม่ไหวติง ปิดเปลือกตาทั้งสองข้าง เริ่มแรกนั้นลมหายใจของเขาสม่ำเสมอ จากนั้นก็กลายเป็นกระชั้นถี่รุนแรงขึ้นมาในทันใด แล้วก็หยุดลงโดยสิ้นเชิง ส่วนผสมหลักที่ช่วยให้วิทเชอร์สามารถควบคุมร่างกายได้อย่างสมบูรณ์นั้นทำมาจากต้นเวอราทรัม ต้นลำโพง ต้นฮอว์ธอร์น และต้นสลัดได ส่วนประกอบอื่นๆ นั้นไม่มีชื่อเรียกในภาษามนุษย์ และสำหรับคนอื่นๆ ที่ไม่คุ้นชินกับส่วนผสมเหล่านี้มาตั้งแต่เด็กเหมือนเช่นเกรอลท์ นี่คงถือเป็นยาพิษร้ายแรง
วิทเชอร์หันศีรษะอย่างรวดเร็ว ในความเงียบเช่นนี้ ความสามารถในการได้ยินที่เพิ่มสูงเกินกว่าจะวัดได้ของเขาจับเสียงฝีเท้าสวบสาบที่กำลังเดินผ่านสนามหญ้าซึ่งเต็มไปด้วยดงตำแยแสนแสบคันได้อย่างง่ายดาย นี่ต้องไม่ใช่เจ้าสตริกาแน่ๆ เสียงฝีเท้าเบาเกินไป เกรอลท์เหวี่ยงดาบไปเก็บไว้ที่แผ่นหลัง ก่อนจะซ่อนห่อของเอาไว้ในซากเตาผิง แล้ววิ่งลงไปยังชั้นล่างด้วยฝีเท้าที่เงียบกริบราวกับค้างคาว
ที่สนามหญ้ายังคงมีแสงสว่างมากพอให้ชายที่กำลังเดินเข้ามามองเห็นใบหน้าของวิทเชอร์ ชายผู้นั้น หรือก็คือออสตริทผงะถอยหลังในทันใด สีหน้าบูดบึ้งโดยไม่รู้ตัวซึ่งเกิดจากความหวาดกลัวผสมกับความสะอิดสะเอียนทำให้ริมฝีปากของเขาบิดเบี้ยว วิทเชอร์ยิ้มเย้ยหยัน – เขารู้ตัวดีว่าตัวเองในตอนนี้มีหน้าตาเป็นเช่นไรหลังจากได้ดื่มยาที่มีส่วนผสมของต้นเบนวอร์ต มังส์ฮู้ด และอายไบรท์ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีขาว ส่วนรูม่านตาขยายออกจนเต็มทั้งดวงตา ทว่าส่วนผสมนี้จะทำให้ผู้ดื่มสามารถมองเห็นได้แม้ในความมืดมิดที่สุด และนี่คือสิ่งที่เกรอลท์ต้องการ
ออสตริทกลับมาควบคุมสติได้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว
“ดูเหมือนเจ้ากลายเป็นศพไปแล้วเลยวิทเชอร์” เขาเอ่ยขึ้น “คงจะกลัวมากอย่างไม่ต้องสงสัย อย่าตกใจไปเลย ข้ามาช่วยปลดปล่อยเจ้าแล้ว”
วิทเชอร์ไม่ตอบกลับ
“ไม่ได้ยินที่ข้าบอกหรือไง เจ้าชาวริเวียจอมลวงโลก เจ้าปลอดภัยแล้ว แถมยังรวยขึ้นอีก” ออสตริทยกถุงเงินขนาดเหมาะมือขึ้นมาแล้วโยนไปที่เท้าของเกรอลท์ “หนึ่งพันโอเร็น รับไว้ซะ แล้วรีบขี่ม้าออกไปจากที่นี่!”
ชายชาวริเวียยังคงไม่เอ่ยอะไร
“อย่าเมินข้านะ!” ออสตริทขึ้นเสียง “และอย่าทำให้ข้าเสียเวลาด้วย ข้าไม่คิดจะยืนอยู่ตรงนี้ไปจนถึงเที่ยงคืนหรอกนะ เจ้าไม่เข้าใจหรือไง ข้าไม่อยากให้เจ้าคลายมนตร์สะกดนั่น เจ้าคงคาดไม่ถึงสินะว่าข้าไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับเวเลแร็ดและเซเกลิน ข้าไม่ต้องการให้เจ้าฆ่านาง เจ้าเพียงแต่ต้องจากไปเท่านั้น ทุกๆ อย่างจะต้องเป็นเช่นนี้ต่อไป”
วิทเชอร์ยังคงไม่ขยับเขยื้อน เขาไม่ต้องการให้ขุนนางใหญ่คนนี้รู้ว่าการเคลื่อนไหวและปฏิกิริยาตอบสนองของเขาในตอนนี้รวดเร็วเพียงใด ฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาโล่งใจขึ้น เพราะแม้กระทั่งแสงกึ่งมืดกึ่งสว่างในช่วงพลบค่ำเช่นนี้ก็ยังสว่างเกินไปสำหรับรูม่านตาที่เปิดกว้างของเขา
“เพราะเหตุใดเล่า ทำไมทุกๆ อย่างจะต้องเป็นเช่นนี้ต่อไปด้วย” เขาถามโดยพยายามพูดทุกคำอย่างเชื่องช้าและชัดเจน
“เรื่องนั้นน่ะ” ออสตริทเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิ “เป็นเรื่องที่เจ้าควรจะกังวลน้อยที่สุดจริงๆ”
“แล้วถ้าข้ารู้สาเหตุอยู่แล้วล่ะ”
“ว่าต่อสิ”
“การกำจัดฟอลเทสท์จากบัลลังก์จะทำได้ง่ายกว่า หากสตริกาทำให้ผู้คนหวาดกลัวมากขึ้นใช่ไหมล่ะ หากเชื้อพระวงศ์ที่แสนบ้าคลั่งนี้ล้วนกลายเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับทั้งฝ่ายขุนนางและประชาชนทั่วไป ข้าพูดถูกหรือไม่ ข้าเดินทางผ่านเมืองเรดาเนียและโนวิแกรดเพื่อมายังที่นี่ และแถวนั้นมีแต่คนร่ำลือกันว่าผู้คนในวิซิมามองว่าราชาวิซิเมียร์ต่างหากคือผู้กอบกู้และผู้ที่เป็นราชันที่แท้จริง แต่ข้า ลอร์ดออสตริท ไม่สนใจเรื่องการเมือง การสืบทอดราชบัลลังก์ หรือการปฏิวัติในพระราชวังทั้งสิ้น ข้ามาที่นี่เพื่อปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จเท่านั้น ท่านไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องความรับผิดชอบและความซื่อสัตย์จริงใจเลยงั้นหรือ แล้วจริยธรรมในหน้าที่ล่ะ เคยได้ยินหรือไม่”
“ระวังด้วยว่าเจ้ากำลังพูดกับใครอยู่ เจ้าคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า!” ออสตริทตะคอกด้วยความโมโหพลางวางมือบนด้ามดาบ “ข้าได้ยินเรื่องพวกนี้มามากพอแล้ว ข้าไม่เคยต้องมาเจรจาเช่นนี้หรอกนะ! ดูเจ้าสิ – พูดพล่ามถึงเรื่องจริยธรรม ข้อปฏิบัติ และศีลธรรมเนี่ยนะ! เจ้าเป็นใครกันถึงได้มาพูดเรื่องเช่นนี้ เป็นเพียงโจรชั่วที่ลงมือฆ่าคนทันทีที่มาถึงเองไม่ใช่หรือ ใครกันที่ยอมค้อมศีรษะให้ฟอลเทสท์ถึงสองครั้ง แต่พอลับหลังกลับมาต่อรองกับเวเลแร็ดไม่ต่างจากพวกอันธพาลรับจ้าง เจ้ายังมีหน้ามาทำตัวหยิ่งยโสกับข้าอีกงั้นรึ เจ้าขี้ข้า ทำตัวเป็นผู้รอบรู้หรือเป็นนักเวทล่ะ เจ้าวิทเชอร์ลวงโลก! ไสหัวไปซะก่อนที่ข้าจะเอาดาบฟาดปากเจ้า!”
วิทเชอร์ไม่สะทกสะท้าน เขาเพียงยืนนิ่งอย่างสงบ
“ท่านต่างหากที่ควรไปได้แล้ว ลอร์ดออสตริท” เขาเอ่ยขึ้น “เริ่มจะมืดแล้วนะ”
ออสตริทถอยไปหนึ่งก้าว แล้วชักดาบออกมาอย่างรวดเร็ว
“เจ้ารนหาที่เองนะ เจ้านักเวท ข้าจะฆ่าเจ้า กลของเจ้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้หรอก ข้าพกหินนักกะมาด้วย”
เกรอลท์เผยยิ้มออกมา สรรพคุณของหินนักกะนั้นเป็นที่เข้าใจผิดมากพอๆ กับความนิยมของมัน แต่วิทเชอร์ผู้นี้จะไม่ยอมเสียพลังของเขาไปกับการร่ายคาถา และยิ่งไม่ต้องการให้ดาบเงินของเขาสัมผัสถูกคมดาบของออสตริท เขาก้มตัวหลบดาบที่เหวี่ยงมา และใช้ส้นมือกับหมุดเงินตรงข้อมือกระแทกขมับอีกฝ่าย
ตัวหนังสือเล็กจัง อ่านลำบาก แถมหน้าเว็บเป็นสีขาว มันจ้าาา…ซะเหลือเกิน ส่องนานๆกลัวตาจะบอด
แปลดีใช้ได้เลย หวังว่าคนแปลคงไม่ล้าซะก่อนหมดเล่มนะ 5555
อยากทราบว่าทำไมใช้ “ท” สะกดคำว่า Witcher หว่า ตามหลักการออกเสียงมันควรจะเป็น “ช” รึปล่าวครับ อันนี้อยากทราบเป็นข้อมูลเฉยๆ
รีบๆตีพิมพ์นะครับ ✨