รู้จัก เหรินเจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้ง “หัวเว่ย HUAWEI”

จากเด็กยากจนสู่ CEO ระดับโลก

เหรินเจิ้งเฟย คือใคร..?

เหรินเจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและแม่ทัพของหัวเว่ย เป็นชาวมณฑลเจ้อเจียง เกิดเมื่อปี 1944 ในอำเภอเจิ้นหนิง เขตอ่านซุ่น เมืองกุ้ยโจว ซึ่งเป็นเขตภูเขา เป็นที่อาศัยของชนกลุ่มน้อยและยากจน

พ่อของ เหรินเจิ้งเฟย ชื่อเหรินโมซุ่น ทำงานเป็นครูสอนหนังสือที่เมืองติ้งไห่ มณฑลเจ้อเจียง และเมืองหนานจิง มณฑลเจียงซู  ส่วนแม่ชื่อเฉิงหย่วนเจา แม้จะมีความรู้เพียงระดับมัธยมปลายแต่ด้วยอิทธิพลจากสามี จึงพยายามศึกษาด้วยตนเองจนได้เป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์มัธยมปลายผู้มีชื่อเสียง ติดตามสามีสู่เขตภูเขากุ้ยโจวที่แร้นแค้นเพื่อมอบชีวิตให้กับเด็กยากจน เป็นผู้ขยันอดทน จิดใจดีงาม และประหยัดมัธยัสถ์

เหรินเจิ้งเฟยมีพี่น้องเจ็ดคน เขาเป็นคนโต ครอบครัวทั้งเก้าคนต้องยังชีพด้วยเงินเดือนอันน้อยนิดของพ่อแม่ เมื่อลูกเจ็ดคนโตขึ้นทุกวัน เสื้อผ้าก็สั้นลงทุกวัน และเด็กต้องเรียนหนังสือ รายจ่ายครอบครัวสูงมาก เหรินเจิ้งเฟยจำได้ว่าทุกวันเปิดเทอมต้องจ่ายค่าเล่าเรียนสองถึงสามหยวน แม่ก็จะกลุ้มใจ ทุกครั้งพอสิ้นเดือนแม่ต้องขอยืมเงินจากเพื่อนบ้านเพื่อประทังความหิว  บางครั้งก็หายืมไม่ได้  เหรินเจิ้งเฟยตอนก่อนจบมัธยมจึงไม่เคยสวมชุดนักเรียน แม้อากาศร้อนก็ยังคงสวมเสื้อหนาๆ เพื่อนนักเรียนก็ยุให้เขาขอเสื้อใหม่จากแม่ แต่เขาบอกว่าไม่กล้า เพราะรู้ดีว่าแม่ทำไม่ได้

 

หลังสอบเข้ามหาวิทยาลัย แม่ให้เสื้อเชิ้ตแก่เขาสองตัว ยามนั้นเขาอยากจะร้องไห้ เพราะ “ถ้าฉันได้ น้องๆ ก็ต้องลำบากแน่”

 

เหรินเจิ้งเฟย

เหรินเจิ้งเฟียในวัย 74 ปี

Photo by By cellanr

 

…ชีวิตที่ขัดสนด้านวัตถุและการเคี่ยวกรำทางจิตใจ คือโอกาสอย่างหนึ่งที่สร้างเราให้มีวุฒิภาวะในเวลาต่อมา…”เหรินเจิ้งเฟย

 

 

ระหว่างปี 1959 – 1962 เป็นห้วงเวลาสามปีที่ประเทศจีนลำบากมาก สำหรับครอบครัวสกุลเหรินที่มีลูกมากจึงยิ่งขัดสน ตลอดสามปีในโรงเรียนมัธยมปลายความฝันสูงสุดของเหรินเจิ้งเฟยคือ “ได้กินหมั่นโถวขาวล้วนสักลูก” แต่ห้วงเวลานี้เป็นยุคที่ชาวจีนลำบากที่สุดนับแต่มีประเทศจีนมา และความไม่เห็นแก่ตัวของพ่อแม่กลับมีผลอย่างลึกซึ้งต่อเหรินเจิ้งเฟย ในความเรียงเรื่อง “พ่อกับแม่ของผม” เขารำลึกดังนี้

“ขณะนั้นผมอายุสิบสี่ – สิบห้า เป็นลูกคนโต น้อง ๆ ยังเล็กอยู่และไม่รู้ความพ่อกับแม่จะแอบกินอาหารเองสักคำย่อมทำได้ แต่พวกท่านไม่เคยทำ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น อาจมีน้องๆ คนสองคนไม่รอดถึงวันนี้”

“ใกล้ถึงวันสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมอ่านหนังสืออยู่กับบ้านแล้วหิวจนทนไม่ไหว จึงเอารำข้าวคลุกกับผักแล้วย่างกิน พ่อได้เห็นเข้าหลายครั้ง ท่านปวดใจมาก เวลานั้นที่บ้านจนสุดๆ แม้แต่ตู้ที่ล็อกกุญแจได้สักใบก็ไม่มี อาหารต้องเก็บใส่กระปุกดิน แต่ผมไม่เคยแอบหยิบกินเลย ถ้าทำเช่นนั้น อาจมีน้องๆ คนสองคนไม่รอดถึงวันนี้”

ระหว่างการเติบโตอันยากลำบากของเหรินเจิ้งเฟย ในฐานะบุตรชายคนโตเขารู้ซึ้งที่สุดถึงความลำบาก ทุกข์สุข ความคิดและมุมมองที่มีต่อโลกของพ่อและแม่ ซึ่งพ่อของเขามีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ ยอมอดออมถนอมตน ทุ่มเทให้กับการพัฒนาของชาติ และจิตใจที่เปี่ยมรักของมารดาซึ่งเป็นผู้ให้และดูแลครอบครัวอย่างประหยัดมัธยัสถ์ ต่าง ๆ เหล่านี้ย่อมซึมซับอยู่ในสายเลือดของเหรินเจิ้งเฟยและความดีงามเหล่านี้คือบุคลิกแห่งราชัน ดังนั้นเมื่อประจวบกับกระแสการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนที่โหมกระหน่ำ เหรินเจิ้งเฟยจึงกลายเป็นผู้โดดเด่นและประสบความสำเร็จในกิจการหัวเว่ย

 

 

 

หัวเว่ยถือกำเนิดด้วยธุรกิจค้าขาย

สำนักงานใหญ่หัวเว่ย เมืองเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง

Photo by Brücke Osteuropa

ปี 1987  เหรินเจิ้งเฟย ก่อตั้งหัวเว่ยด้วยเงินทุนจดทะเบียนสองหมื่นหนึ่งพันหยวน ปัจจุบันมีธุรกิจหลักแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่กลุ่มเครือข่ายโทรคมนาคม กลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการสำหรับภาคธุรกิจและองค์กร และกลุ่มอุปกรณ์สื่อสารสำหรับผู้บริโภค  นอกจากนี้หัวเว่ยยังมีศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอีกกว่า 20 แห่งทั่วโลก

 

แม้ปัจจุบันหัวเว่ยจะได้ชื่อว่า “ไฮเทค” แต่ธุรกิจที่หัวเว่ยทำเมื่อแรกเริ่มคือการค้า เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ทางการค้า ยามนั้นพวกเขาทั้งหกคนจึงยังหาทิศทางไม่พบอะไรที่ทำเงินได้ก็ทำ เคยขายเครื่องส่งสัญญาณเตือนไฟไหม้และยังเคยขายยาลดความอ้วนด้วย

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เหรินเจิ้งเฟยบังเอิญทราบจากเพื่อนว่าธุรกิจเหมืองแร่ โรงแรมและหน่วยงานตำรวจมีความต้องการตู้สาขาโทรศัพท์3 หลังพยายามสืบเสาะ สุดท้ายเขาเลือกเป็นตัวแทนจำหน่ายตู้สาขาโทรศัพท์ HAX จากบริษัทหงเหยียนของฮ่องกง แม้ขณะนั้นทั่วประเทศจะมีบริษัทกว่าสองร้อยแห่งจำหน่ายตู้สาขาโทรศัพท์ แต่คุณภาพแตกต่างกันมาก บ้างประกอบเองจึงคุณภาพไม่ดี บ้างนำเข้าจากต่างประเทศจึงมีราคาแพง แต่ตู้สาขาโทรศัพท์ HAX ของฮ่องกงที่หัวเว่ยเป็นตัวแทนมีคุณภาพดีกว่าของท้องถิ่นและถูกกว่าของที่นำเข้า บวกกับหัวเว่ยให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขาย จึงเปิดตลาดได้อย่างรวดเร็ว ได้รับออร์เดอร์มากมายจนบริษัทหงเหยียนของฮ่องกงเคยจัดส่งไม่ทันด้วยซ้ำ  เมื่อตลาดให้การตอบรับอย่างดีมากเช่นนี้ เหรินเจิ้งเฟยจึงรีบให้เจิ้งเป่าย่งตั้งทีมขาย และนำเสนอตู้สาขาโทรศัพท์รุ่น HJD48 อย่างรวดเร็ว แม้จะมีเพียงสี่สิบแปดช่องเสียบสัญญาณคู่สาย แต่เนื่องจากเป็นสินค้าที่วิจัยและทำการผลิตเองจึงได้กำไรมาก เพียงปีเดียวก็ทำยอดขายทะลุหนึ่งร้อยล้านหยวน จำนวนพนักงานเพิ่มเป็นกว่าหนึ่งร้อยคน นี่น่าจะเป็นตอนจบที่สวยงามเช่นเดียวกับเหล่าเศรษฐีใหม่เซินเจิ้นทั้งหลายที่แบ่งปันผล ปันหุ้น แล้วเดินทางไปต่างประเทศ แต่เหรินเจิ้งเฟยผู้มีหัวทางการค้า ยามนี้กลับมองโอกาสทางธุรกิจที่ใหญ่กว่าเดิม – ตู้สาขาโทรศัพท์ที่ควบคุมด้วยโปรแกรม และหลังจากผ่านความล้มเหลวมานับไม่ถ้วน ผลาญเงินทุนไปนับร้อยล้านหยวน นักศึกษาเพิ่งเรียนจบกลุ่มหนึ่งเสาะหาและทดลองภายใต้เงื่อนไขและอุปกรณ์ที่มีจำกัด ในที่สุดก็ผลิตตู้สาขาโทรศัพท์ที่ควบคุมด้วยโปรแกรมสำเร็จ

 

วันที่ 25 ตุลาคม ปี 1994 ในนิทรรศการโทรคมนาคมนานาชาติครั้งที่หนึ่งที่ปักกิ่ง ท่ามกลางบู๊ธของต่างชาติ หัวเว่ยเป็นบริษัทจีนบริษัทเดียว ที่ร่วมแสดงในนิทรรศการและเป็นธงชาติดาวห้าดวงผืนเดียวที่ประดับในโซนของผู้ผลิตชาวต่างชาติ งานนิทรรศการครั้งนี้เหรินเจิ้งเฟยประกาศต่อลูกค้าชาวจีนว่า “สิบปีข้างหน้า ตลาดอุปกรณ์โทรคมนาคมจะถูกแบ่งเป็นสามส่วน ซีเมนส์ อัลคาเทล และหัวเว่ย”

 

สำหรับบริษัทที่เป็นเพียงห้องทำงานเล็ก ๆ ที่เพิ่งเข้าสู่วงการแล้ว การกล่าวเช่นนี้เท่ากับเป็นการท้าทายยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมทั่วโลก เมื่อเรามองกลับไปในอดีต น่าจะพอเห็นภาพว่ายามที่เหรินเจิ้งเฟยกล่าวคำพูดสุดอหังการเช่นนี้ห้าวหาญเพียงใด ทว่าใครบ้างจะนึกถึง บริษัทเทคโนโลยีจีนบริษัทนี้แหละในยี่สิบปีให้หลังท่ามกลางประกายดาบและมรสุมคลื่นลม หัวเว่ยไม่เพียงจะเป็นตัวป่วนของโลกโทรคมนาคม แต่ยังกลายเป็นฝันร้ายที่ไล่ไม่ไปของบรรดายักษ์ใหญ่ในยุโรปและสหรัฐอเมริกาด้วย

 

 

“ในประวัติศาสตร์มีเพียงคนกล้าคิดจึงจะกล้าทำ มีเพียงคนที่กล้าปฏิวัติจึงสามารถปฏิวัติได้ มีเพียงการปฏิวัติจึงจะพบโอกาสใหม่” 

คำพูดนี้ของเหรินเจิ้งเฟยคือคติพจน์ในชีวิตของเขาและคือเส้นทางแห่งความสำเร็จของหัวเว่ย

 

 

หัวใจของหัวเว่ยคือพนักงานและเหมาเจ๋อตุง

Photo by Kārlis Dambrāns

 

ประสบการณ์ที่เหรินเจิ้งเฟยเคยประสบมากับตัวเองทำให้เขาให้ความนับถือต่อผู้มีความรู้และยอดฝีมือ เขาเคยประกาศว่า “แรงงาน ความรู้ นักธุรกิจ และทุน คือผู้สร้างคุณค่าของบริษัท” “พนักงานคือสมบัติของหัวเว่ย เคารพความรู้ เคารพบุคลิกภาพ ทำงานเป็นทีม และไม่คล้อยตามเพื่อเอาใจพนักงานดีเด่น คือปัจจัยที่ช่วยธุรกิจเติบโต”  และภายใต้ทฤษฎีพื้นฐานนี้ เขากำหนดมาตรการต่างๆ ในการให้กำลังใจและกลไกการตรวจสอบ จึงยิ่งได้มาซึ่งผู้มีฝีมือทางเทคโนโลยี ทำให้หัวเว่ยพัฒนาสู่ความเป็นเลิศด้านไฮเทคระหว่างการก่อร่างสร้างตัวของหัวเว่ย เนื่องจากเขาเกาะกุมอาวุธทางปัญญาไว้ด้วยแนวคิดของเหมาเจ๋อตุง ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการวิจัยพัฒนา “สงครามทำลายล้างด้วยการรวมความได้เปรียบและกำลังพล” หรือยุทธศาสตร์การตลาดแบบ “ป่าล้อมเมือง” ตลอดจนการวิพากษ์ตนเองและการรณรงค์มหาชน การวางยุทธศาสตร์สำคัญระดับนโยบายของหัวเว่ยในแต่ละช่วงเวลา ล้วนประทับด้วยร่องรอยที่เด่นชัดของแนวคิดของเหมาเจ๋อตุง เขาถึงกับเคยแถลงบทความภายในองค์กรร่วมร้อยชิ้น เช่น สถานการณ์ปัจจุบันกับภารกิจของเรา ธงแดงของหัวเว่ยจะอยู่ได้อีกนานเท่าใด ละทิ้งความเหิมเกริมและพึงพอใจ ต่อสู้ทางความคิดอย่างยากลำบาก เป็นต้น ไม่เพียงตั้งหัวข้อเรื่องคล้ายกับบทความของเหมาเจ๋อตุง วิธีการนำเสนอเนื้อหาก็คล้ายคลึงกับวิธีที่เหมาเจ๋อตุงใช้ คือ เปิดหน้าชก ฮุกตรงเข้าประเด็น

 

การใช้แนวคิดของเหมาเจ๋อตุงเสริมกลยุทธ์ ใช้แนวคิดของเหมาเจ๋อตุงบุกเบิกธุรกิจ ทำให้หัวเว่ยสามารถใช้ความเล็กชนะความใหญ่ในวันเวลาที่เลวร้าย และใช้ความอ่อนแอสู้กับความแข็งแกร่งจนทะลุทะลวงวงล้อมมุ่งสู่การเติบโตได้ในที่สุด

 

“ชีวิตที่ราบรื่นเกินไปอาจเป็นหายนะ ถ้าพิสูจน์ดูให้ดีคุณจะพบว่าอุปสรรคของคุณเป็นบุญญามิใช่เภทภัย” “ถ้าผมไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ในยุคนั้น ทิ้งโอกาสของยุคนั้น ผมจะไม่มีทางยืนอยู่ที่นี่ในวันนี้” สองประโยคข้างต้นคือคำพูดของเหรินเจิ้งเฟยที่เน้นย้ำบ่อยครั้งในการสัมมนากับพนักงาน

 

 

จดหมายถึงพนักงานใหม่

คุณโชคดีที่ได้เข้ามาที่หัวเว่ย เราเองก็โชคดีที่ได้คุณมาร่วมงาน เราจะร่วมมือกันบนพื้นฐานของความเชื่อถือ ตลอดเวลาที่คุณทำงานในบริษัทนี้ ความเข้าใจและความเชื่อถือนี้คือสะพานและสายใยของการร่วมกันต่อสู้อย่างมีความสุข

เหรินเจิ้งเฟย

 

จากมดสู่มังกร ด้วยแนวคิด “ไม่เห็นแก่ตัว”

 

ปี 1997 หลังพากเพียรสร้างธุรกิจมาสิบปี จากห้องทำงานเล็ก ๆ หัวเว่ย กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมในประเทศจีน และเพื่อขยายตลาดในลาตินอเมริกา เหรินเจิ้งเฟยจึงร่วมลงทุนทำธุรกิจด้วยเงินสามสิบล้านดอลลาร์ที่บราซิล หลังลงนามในสัญญาร่วมทุน หุ้นส่วนฝ่ายบราซิลจัดแจงให้เหรินเจิ้งเฟยฃไปท่องเที่ยวในป่าเขตร้อนแอมะซอน ก่อนออกเดินทาง บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหัวเว่ยพากันเลือกรองเท้าไนกี้และอาดิดาส แต่เหรินเจิ้งเฟยกลับซื้อรองเท้ายางราคาถูกที่สุด หลังการเดินป่า พอกลับถึงโรงแรม ทุกคนทิ้งรองเท้าเปื้อนโคลนไป แต่เหรินเจิ้งเฟยกลับขัดล้างรองเท้ายางคู่นั้นจนสะอาด ผึ่งให้แห้งแล้วเก็บกลับประเทศจีน

เขามือเติบมากกับสาธารณกุศล แต่ตนเองกลับกระเหม็ดกระแหม่ นี่คือบทเรียนที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหัวเว่ย และในเวลาต่อมา ไม่ว่าไปดูงานหรือพาลูกค้าไปเที่ยว ยามต้องซื้อข้าวของส่วนตัว บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงรอบตัวเขาไม่มีใครกล้ามือเติบอีกต่อไป ทุกคนพากันเลือกซื้อของราคาถูกและใช้ได้ทน

นอกจากความประหยัดแล้ว เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของเหรินเจิ้งเฟยคือเขาไม่ให้ความสำคัญกับทรัพย์สินและความร่ำรวย เขายินดีแบ่งปันผลลัพธ์จากการต่อสู้แก่พนักงาน จึงทำให้มียอดฝีมือจำนวนมากยินดีร่วมงานกับเขาเพื่อช่วยให้กิจการของหัวเว่ยเติบโตยิ่งขึ้น

หากลองหวนมองประวัติการพัฒนาตลอดยี่สิบเจ็ดปีของหัวเว่ย การที่เหรินเจิ้งเฟยสามารถดึงดูดคนนับพันนับหมื่นให้ร่วมแรงร่วมใจกันมุ่งสู่เป้าหมาย และพนักงานส่วนมากก็เคารพนับถือเหรินเจิ้งเฟยจากใจจริง ก็เพราะเขารู้จักกระจายทรัพย์และกล้าที่จะมอบอำนาจ นี่คือประเด็นสำคัญที่ทำให้หัวเว่ยซึ่งเริ่มจากห้องทำงานเล็ก ๆ ที่มีคนหกคน เติบโตเป็นบริษัทข้ามชาติที่มีพนักงานหนึ่งแสนห้าหมื่นคนเช่นปัจจุบัน

“ความไม่เห็นแก่ตัวของผมได้มาจากพ่อแม่ สาเหตุที่หัวเว่ยประสบความสำเร็จเช่นทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความไม่เห็นแก่ตัวของผม” เหรินเจิ้งเฟยกล่าวเช่นนี้ เป็นการรำลึกถึงบิดามารดา แสดงความสำนึกบุญคุณ และได้ถ่ายทอดแนวคิดง่าย ๆ แต่ลึกซึ้งแก่ชาวหัวเว่ย

 

เรียบเรียงจากหนังสือ

เขียนโดย  หยางเช่าหลง

แปลโดย ชาญ ธนประกอบ

สำนักพิมพ์ Amarin How – To


บทความอื่นๆ

5 วาทะเด็ดสอนพนักงานของ เหรินเจิ้งเฟย CEO หัวเว่ย

จากมดงานสู่มังกรรบ ด้วย 4 คติพจน์ของ ‘หัวเว่ย’

5 กลยุทธ์การทำธุรกิจแบบ หัวเว่ย HUAWEI

6 องค์ประกอบของการสร้างแบรนด์ให้ปัง! ในยุค 4.0

จากศูนย์สู่ ZARA อามันซิโอ ออร์เตกา จากลูกจ้างการรถไฟสู่อาณาจักรแฟชั่นหมื่นล้าน

4 เทคนิคขายของให้รุ่ง ขายได้ขายดี ไม่มีสต๊อกสินค้า

รู้จักกับฟิล ไนต์ ผู้ก่อกำเนิด Nike

5 กลยุทธ์สร้างแบรนด์ไฮเอนด์จาก CEO ระดับโลก

 

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า