Ep แรกของรายการ เราชวนสองสาว เมอา-พรพรรณ เรืองปัญญาธรรม และ พิมฐา-ฐานิดา มานะเลิศเรืองกุล มาคุยกันในหัวข้อ การพบกันคือเรื่องมหัศจรรย์ การจากกันเป็นเรื่องปกติ มาฟังมุมมองเรื่องความสัมพันธ์ที่ว่าด้วยการพบกันและการจากลาจากสองสาว บอกเลยว่า อื้อหือจ้ะแม่!
เป็นไร ไหนเล่าซิ EP.การพบกันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ การจากกันเป็นเรื่องปกติ เป็นรายการที่นำคนหลากหลายแวดวงมาเป็นผู้รับฟังปัญหาและบอกเล่าความคิดอีกมุมมองหนึ่งของพวกเขา
แขกรับเชิญในตอนนี้คือ เมอา และ พิมฐา สองสาวสุดน่ารักนั่นเอง
จะเรียกว่าเป็นบล็อกเกอร์ก็ได้ เป็นยูทูปเบอร์ก็ได้ หรืออินสตาแกรมเมอร์ก็ได้ เคยออกหนังสือกับสำนักพิมพ์อมรินทร์ด้วยนั่นก็คือ “โลกสดใสเวลาเรามีใครสักคน” และนี่คือครั้งแรกของ เมอา และ พิมฐาในรายการ Podcast!
แนะนำตัวให้กับคนที่เพิ่งมาฟัง ยังไม่รู้จักว่าทั้งสองคนเป็นใคร
เมอา: ทำวิดิโอลงยูทูปแชแนล Mayy R มีแฟนเพจ และอินสตาแกรม หลักๆ จะเป็นคอนเทนต์ไลฟ์สไตล์ ทำวิดีโอลงยูทูป
พิมฐา: มีอินสตาแกรม pimtha ทำงานโฆษณา เป็นพรีเซนเตอร์บ้าง ส่วนใหญ่คนจะติดตามไลฟ์สไตล์ของตัวเองในอินสตาแกรมเป็นส่วนใหญ่
ถ้าให้เรียกอาชีพตัวเอง มีอาชีพอะไร
เมอา: อย่างพิมฐาอาจจะเป็น อินฟลูเอนเซอร์เวลามีลูกค้าจ้างเพราะเราสามารถโฆษณาสินค้าทำให้คนอยากซื้ออยากใช้ตาม
การพูดคุยในวันนี้คือ การพบกันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ การจากกันเป็นเรื่องปกติ
ปกติเวลาคุยกัน ส่วนใหญ่คุยเรื่องอะไร
เมอา: คุยแทบทุกเรื่อง ทั้งเรื่องไร้สาระจะมากหน่อย
พิมฐา: เหมือนเป็นเรื่องประจำวัน เจออะไรเจอใครมา หรือเล่าเรื่องในอดีตซ้ำไปซ้ำมา
เมอา: บางทีก็เล่าเรื่องชีวิตกัน คุยเม้ามอยกัน ปรึกษากัน เรื่องซีเรียสแบบร้องไห้เลยก็มี
ปกติคุยกับแบบไหน โทรหากัน หรือแชทกัน
เมอา: ส่วนใหญ่จะคุยกันเวลาเจอหน้ากัน
พิมฐา: ถ้าคุยในเรื่องจริงจัง เรื่องที่ต้องเล่ายาวๆ เล่าให้เห็นภาพมื้อไม้ต้องมา จะเก็บมาเล่าให้ฟังกันตอนมาเจอกัน เมื่อก่อนเป็นคนที่เจออะไรต้องเล่าทันที แต่ตอนหลังเก็บมาเล่า มาปรึกษากันทีเดียว
เมอา: ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้น แต่ก็มีบ้างที่บางปัญหารู้สึกไม่ไหวก็ไลน์ไปหาโทรหากันบ้างก็มีนานๆ ที
ถ้าเกิดเป็นเพื่อนคนอื่นๆที่ไม่ใช่เมอา ไม่ใช่พิมฐา จะคุยกันเรื่องอะไร
เมอา: เรื่องทั่วไป แล้วแต่ความสนิท แล้วแต่เรื่องที่เราคุยได้
พิมฐา: อย่างเพื่อนสนิทชื่อฝนส่วนใหญ่จะปรึกษาทุกเรื่อง หลักๆ ก็จะเป็นเรื่องงาน เพราะทำคล้ายๆกัน ต้องการกำลังใจก็จะคุยกับเพื่อนคนอื่นๆ
ถ้ามีคนมาปรึกษาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องอะไร
เมอา: ส่วนใหญ่จะชอบปรึกษาเรื่องการทำงาน เช่น คุยกับลูกค้ายังไง หรือปฏิเสธลูกค้ายังไง วิธีไกล่เกลี่ยทำยังไง หรือเรื่องบัญชีเอกสารภาษีต่างๆ
พิมฐา: ครั้งแรกที่เจอเมอยากถามเมเหมือนกันว่า ใช้ชีวิตยังไง เวลาออกไปเดินข้างนอกแล้วคนจำได้เป็นยังไง อยากรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเขาเหมือนกัน และคิดว่าคนอื่นก็คงอยากรู้การใช้ชีวิตของเมเหมือนกัน
ทั้งสองคนเจอกันได้ยังไง
พิมฐา: เห็นตัวเป็นๆ กันครั้งแรกที่งานต้องมาถ่ายด้วยกัน ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เจอเมจริงๆ
เมอา: ก่อนหน้านั้นเราก็ได้รับรู้ว่ามีคนที่ชื่นพิมฐาอยู่ มีตัวตนอยู่ในอินสตาแกรม
พิมฐา: ส่วนตอนนั้นพิมดูคลิปแต่งหน้า โดยที่ไม่รู้ว่าคนคนนี้เป็นใคร เขาแค่มาโผล่หน้าช่องยูทูปเฉยๆ ที่แต่งหน้าเป็นยุนอา ก็คล้ายอยู่นะ ก็เลยกดเข้าไปดู และรับรู้ว่าเมอามีตัวตนยังไงก็จากคลิปนั้นเป็นคลิปแรก
เมอา: ที่ช็อคคือก่อนหน้านั้นเคยทำแต่งหน้าตามพิมฐาด้วยนะ ต่างฝ่ายต่างติดตามกันโดยที่เมก็ไม่ได้คิดว่าพิมเค้าจะมาดูช่องเม เมเลยแต่งหน้าตามเค้าในคลิปนั้น
ใครเป็นคนทักใครก่อน
เมอา: เชื่อมั้ยว่าตอบคำถามมากี่ที่ ไม่เคยตอบเหมือนกันเลย บางทีก็บอกว่า DM ในอินสตาแกรม บางทีก็บอกว่า Inbox เฟซบุ๊ก แต่จะได้ว่าเคยทักพิมไปในช่วงแรกๆ ตอนนั้นไปต่างจังหวัดแล้วเห็นป้ายโฆษณาของพิม เลยถ่ายรูปแล้วส่งไปหาใน inbox เฟซบุ๊กว่า เห็นด้วยแหละ แต่จำไม่ได้ว่าก่อนหน้านั้นมีคุยอะไรกันก่อนไหม เพราะยังงงๆ ตัวเองเลยว่าทำไมถึงกล้าไปส่งรูปให้เขาในเฟซบุ๊ก แล้วเป็นเฟซบุ๊กส่วนตัวด้วย
เชื่อเรื่องนิสัยต่างกันแต่เป็นเพื่อนหรือแฟนกันไหม คิดว่าอยู่ด้วยกันได้ไหม
พิมฐา: คิดว่าได้ อย่างเพื่อนสนิท ก็ไม่ได้มีอะไรที่เหมือนกัน แต่บางสิ่งที่เราไม่มีเขาไม่มีก็มาเติมเต็มกันได้
เมอา: คนเรามีความแตกต่างกันอยู่แล้ว ไม่แปลกที่คนที่ต้องกันอย่างสุดขั้วหรือไม่สุดขั้วมาอยู่ด้วยกัน ต้องมีสักอย่างที่ทำให้อยู่ด้วยกันได้ อย่างฝาแฝดความคิดยังต่างกันแต่มันจะมีพื้นที่ตรงกลางไว้ยอมรับข้อดีข้อเสียกันและกัน
ถ้าใครติดตามจะรู้ว่าเมอาจะเป็นคนพูดเก่ง ต่างจากพิมฐาจะเป็นคนเงียบๆ
พิมฐา: บุคลิกเราจะต่างกัน เมอาจะเป็นคนที่รู้จักการเข้าหาคนมากกว่า แต่พื้นฐานความคิดคล้ายกันมากกว่า เราอาจจะต่างกันที่บุคคลิก แต่ว่าความคิดหรือทัศนคติใกล้เคียงกัน
มีแฟนคลับบอกว่าพอพิมฐามาอยู่กับเมอาจะเป็นอีกคน
เมอา: คิดว่าพิมเขาก็เป็นคนตลกๆ เฮฮาของเขาอยุ่แล้วนะ แต่คนทั่วไปอาจไม่ได้เห็นมุมนั้นของพิม แค่เขามาอยู่กับเราก็ดูเป็นตัวเองมากขึ้น และคนดูก็จะได้เห็นด้วย
พิมฐา: เวลาที่พิมสนิทกับใครพิมก็จะสนุกเฮฮาเหมือนที่ทุกคนเห็น แต่เวลาไม่สนิทกับใครมากๆ จะเป็นบุคลิกเงียบๆ
เคยเชื่อเรื่องโชคชะตา พรหมลิขิตไหม
เมอา: จริงๆ เป็นคนไม่เชื่อ โชคชะตา ฟ้าลิขิต อย่างที่เขาบอกกันว่าคนสองคนมาเจอกันแล้วคบกันเป็นเพราะฟ้าลิขิตมา แต่คิดว่าการที่คนสองคนมาเจอกัน คบกัน เกิดขึ้นเพราะการกระทำของทั้งสองคน ความคิดของทั้งสองคนมากกว่า
พิมฐา: แต่พิมเชื่อ เพราะคิดว่าบนโลกนี้ก็มีคนหลายล้านคน ทำไมเราถึงต้องมาเจอกับคนคนนี้ บางทีอาจไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องไปอยู่ในสถานการณ์นั้นด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายเราก็ได้จับพลัดจับผลูได้มาเจอคนนี้ มันดูเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้น และเราไม่ได้เป็นคนควบคุม
มีวิธีรักษาความสัมพันธ์ไหม
เมอา: ความสัมพันธ์ของแต่ละคนการรักษาก็จะแตกต่างกันไป อย่างเพื่อนสนิทจะคุยตอนมีปัญหาชีวิต มีปัญหาจะนึกถึงคนๆ นี้ โทรคุยแล้วสบายใจก็จะโทรคุยเลย หรือไม่ก็นัดกินข้าวกันเลย ส่วนครอบครัวก็ใช้ชีวิตตามปกติ หากทะเลาะกันก็จะเดินหน้าปรับความเข้าใจกัน
พิมฐา: การรักษาความสัมพันธ์มันยาก มันต้องใช้เวลา ถ้าพูดถึงเพื่อนก็มีปัญหาก็มาพูดคุยกัน เป็นส่วนหนึ่งที่รักษาความสัมพันธ์ และสิ่งสำคัญที่สุดของการรักษาความสัมพันธ์ก็คือการให้เวลากัน เวลาของคนเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดแล้ว เวลาเราให้เวลาใครสักคนมันคือการที่เราอยากอยู่กับเขา อยากใช้เวลาร่วมกับเขา ส่วนครอบครัว พิมจะได้เจอครอบครัวตลอดเวลาอยู่แล้ว เวลามาทำงานกรุงเทพฯ คุณพ่อ คุณแม่ก็จะมาด้วย เลยไม่ได้มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปช่วงที่เรียนต่างประเทศ เกือบ 10 ปีที่ไม่ค่อยได้เจอครอบครัว เลยคิดว่าการกลับมาคราวนี้คือเป็นโชคดีมากในการรักษาความสัมพันธ์กับครอบครัว ได้ใช้เวลาร่วมกัน
รู้สึกยังไงที่มีคนจิ้น
เมอา: มีน้องทีมงานส่งจอยลดามาให้ดู ลักษณะการอ่านเป็นแบบไลน์ มีรูปโปรไฟล์เรา เป็นบทสนทนาที่แต่งขึ้น พอเป็นตัวเราเอง ตอนอ่านรู้สึกตลกมาก แต่ก็ขอบคุณที่ชื่นชอบกัน
มาพูดคุยเรื่องการจากกันบ้าง คิดยังไงกับคำว่าลาก่อน ของความสัมพันธ์ทั้งสองคน
พิมฐา: น่าจะเป็นพื้นฐานของความเศร้าอย่างหนึ่ง ยังไงการจากลามันก็ต้องเศร้า ไม่ว่าจะรูปแบบไหน เพราะการเจอกันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การจากลาก็คือการหมดเวลา แต่หลังจากนั้นจะดีขึ้น
เมอา: คงเป็นเรื่องปกติ เพราะสุดท้ายเราก็ต้องจากลากับอะไรบางอย่างอยู่ดี เราไม่สามารถอยู่กับอะไรตลอดไปได้ กับคนใกล้ตัว กับสิ่งของ หรือกระทั่งชีวิตเรา มันไม่มีอะไรยั่งยืนอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องปกติที่ต้องเจอในชีวิต
มีวิธีรับมือกับการจากลาอย่างไร
เมอา: ถ้าเรามองว่าเป็นเรื่องปกติได้ มันก็จะเป็นเรื่องที่เราเข้าใจได้ถ้ามันเกิดขึ้น สมมติว่าวันหนึ่งชื่อเสียงอาชีพที่เราทำมา สุดท้ายแล้วมันจะต้องสิ้นสุดลงไป มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ปกติ เราอาจจะเสียใจ เศร้า เราก็รู้สึกกับมันไป แล้วเราจะได้เรียนรู้มัน และสิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้เรามีความสุขจริงๆ มันก็เป็นความทรงจำที่ดี ทีเรายังเก็บไว้ได้อยู่ดี
พิมฐา: พิมมองว่าการจากลาเป็นเรื่องปกติ มองว่าชีวิตคนมันยาว มันมีการพบและการจากลาแทบจะทุกชั่วโมง วิธีรับมือก็คือคิดซะว่าเป็นความเข้าใจ เราก็จะไม่เศร้า
เคยมองย้อนกลับไปในเรื่องที่เสียใจไหม
พิมฐา: ก็มีบ้าง แต่มันจะตามมากับความคิดที่ว่า มันก็มีเหตุผลของมันในวันนั้น ถ้าย้อนกลับไปก็ไม่อยากกลับไปแก้ไข เพราะชีวิตมันมีทั้งความสุขและเสียใจ ถ้าวันนี้เสียใจมากๆ ก็ร้องไห้ เสียใจไปเลย พอวันรุ่งขึ้นก็เริ่มต้นใหม่แค่นั้นเอง แต่ถ้าเลิกเสียใจไม่ได้ ก็ปล่อยให้มันเสียใจไปเรื่อยๆ จนกว่าความเสียใจนั้นจะจางไปเอง
เมอา: ตอนนั้นที่เราเจอความเสียใจ เราจะรู้สึกว่ามันหนักมากๆ แต่เราจะผ่านมันไปได้ แล้วก็มองย้อนกลับไป เวลาเราเจอปัญหาใหม่ มันก็หนักมากๆ เหมือนกัน สุดท้ายเราก็ไม่รู้หรอก เราเรียนรู้กับมัน เมื่อเราพร้อมก็ก้าวต่อไป เมื่อคนเราเจอเรื่องไม่ดีจะทำให้เรามีภูมิคุ้มกันมากขึ้น ถ้าเราเจอแต่เรื่องดีๆ มาตลอด วันนึงถ้าเราเดินสะดุดนิดเดียวเราอาจจะเจ็บมากก็ได้ แต่ถ้าเราสะดุดบ่อยๆ วันหนึ่งเราล้มเราก็อาจจะชิลๆ กับมัน เลยคิดว่าเรียนรู้ความเจ็บปวดบ้างก็ไม่เป็นไร
มาคุยกันอีกหนึ่งเรื่องในหัวข้อซีรี่ส์ที่เพิ่งจบไปหมาดๆ รักฉุดใจนายฉุกเฉิน
ให้สมมติว่าตัวเองเป็น ทานตะวัน จะเลือกใคร
เมอา/พิมฐา: หมอฉลาม
ทำไมถึงไม่เลือก หมอเป้ง
เมอา: มันไม่ผิดที่หมอเป้งจะเลือกทางชีวิตเขาแบบนั้นมาตั้งแต่แรก ไม่ผิดที่เขาจะรักอาชีพหรือทุ่มเทกับอะไรบางอย่าง เพราะนั่นทำให้เขามีความสุข สิ่งที่ทำ ทุ่มเท มันทำให้มีความสุข เขารู้สึกดีกับมัน มันก็ไม่ผิด แต่มันไม่ได้ดีกับความสัมพันธ์ซะทีเดียว
พิมฐา: ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดของใครเลย ความรักมีหลายรูปแบบ แต่ความรักหมอเป้งอาจจะไม่เข้ากับทานตะวัน เลยเกิดจุดแตกหัก
เมอา: แล้วมันก็มีจุดที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างก็คือหมอฉลาม พอมีหมอฉลามเข้ามาเลยทำให้จุดรูโหว่ของหมอเป้งกับทานตะวันชัดขึ้น แล้วหมอฉลามเขาก็มาเติมเต็มจุดตรงนั้นของทานตะวันได้ มันก็เลยชัดขึ้นมาว่าคนนี้แหละที่เหมาะกับทานตะวัน
มันไม่ใช่การเปรียบเทียบใช่ไหม ว่าหมอฉลามดีกว่าหมอเป้ง
เมอา: พอเราต้องเลือกอะไรสักอย่าง มันต้องมีการเปรียบเทียบอยู่ดี ว่าคนนี้อยู่แล้วมีความสุขหรือไม่มีความสุขเรื่องอะไร แล้วคนนี้เป็นยังไง สุดท้ายก็เกิดการเปรียบเทียบอยู่ดี
การที่เรารู้สึกว่าอีกคนมีเวลาให้ แต่ในขณะที่อีกคนไม่มีเวลาให้ ไม่รู้สึกเป็นคนไม่ดีเหรอ
เมอา: มองว่าทานตะวันเข้าใจหมอเป้งมาตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ยอมให้หมอเป้งได้ทำตามสิ่งที่เขาต้องการ เห็นความสุขของหมอเป้งเป็นที่ตั้งว่าหมอเป้งมีความสุขเวลาได้ช่วยเหลือคนยังไง ทานตะวันก็ยอมที่เก็บความรู้สึกตัวเองไว้ ความอยากที่จะใช้เวลาอยู่กับหมอเป้ง สะสมความน้อยใจไว้ และมันไม่แปลกที่มีความรู้สึกไม่อยากทนต่อไปแล้ว และอยากให้ความสุขตัวเองบ้าง
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนสองคนต้องจากกัน
พิมฐา: อาจจะเป็นการเติบโตก็เป็นไปได้ สิ่งใดที่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งนั้นคือคือสิ่งที่ตายไปแล้วหรือไม่เคยมีอยู่จริง ทุกสิ่งที่มีชีวิตจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น การเติบโต สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทำให้คนเปลี่ยนความคิด บุคลิก สิ่งที่เคยเข้าใจกันก็อาจจะไม่เข้าใจกัน สิ่งที่เคยชอบ อาจจะไม่ชอบแล้ว จะรู้สึกว่าความสัมพันธ์มันเดินมาถึงได้แค่นี้ อาจจะเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนความสัมพันธ์ไปได้
เมอา: สิ่งที่คนตัดสินใจว่าจะจากกันขึ้นอยู่ว่าทั้งสองคนพร้อมที่จะปรับเข้าหากันหรือเปล่า พร้อมที่จะปรับทัศนคติบางอย่าง พร้อมที่จะปรับปรุงนิสัยบางอย่าง หรือปรับความคิดบางอย่างเพื่อให้เราสองคนไปต่อกันได้ ถ้าวันหนึ่งมีใครสักคนปรับไม่ได้ ความสัมพันธ์นั้นจะไปต่อยากและจะเกิดปัญหาอะไรสักอย่างอยู่ดี
ฝากถึงคนฟัง
พิมฐา: ชีวิตคือความโชคดีอย่างหนึ่ง ชีวิตที่ดีมีทุกรสชาติ ถ้าเราจะสุขก็ปล่อยให้ตัวเองสุข ถ้าเศร้าก็ปล่อยให้ตัวเองเศร้า และเราก็จะเติบโตไปเรื่อยๆ และใช้ชีวิตดำเนินต่อไป เวลาของเรามันมีค่า อยากทำอะไรก็รีบทำ อย่าไปคิดเยอะ ชีวิตก็แค่การเรียนรู้ไป ไม่มีอะไรที่ยากและง่ายเกินไป ชีวิตมันก็เทาๆ อยากให้มีความสุขกับการใช้ชีวิต
เมอา: ชีวิตคือการเรียนรู้ที่จะสุขและทุกข์ ไม่มีอะไรยั่งยืน และมันก็จะผ่านไป อยู่ที่เรียนรู้และยอมรับมัน