[ทดลองอ่าน] ปาปิญอง / แพรวสำนักพิมพ์

PAPILLON

ปาปิญอง

อองรี ชาริเยร์ เขียน

นรา สุภัคโรจน์ แปล

ติดตามการวางจำหน่ายได้ที่เพจ แพรวสำนักพิมพ์

(เวอร์ชันนี้สำหรับทดลองอ่าน ไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์) 

 

——————————————————————————————————————-

สมุดแบบฝึกหัดเล่มแรก

ขจัดลงท่อ

ขึ้นศาล

 

แส้ที่ฟาดลงมานั้นทำให้ผมตะลึงและต้องใช้เวลาถึงสิบสามปีกว่าจะลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง  และนี่ไม่ใช่การฟาดแบบธรรมดาเสียด้วย แต่เป็นการกระหน่ำฟาดลงมาอย่างไม่ยั้งมือ

วันนั้นคือวันที่ 26 ตุลาคม 1931  พวกเขานำตัวออกจากห้องขังในเรือนจำกงเซียเฌอรีที่ผมอยู่ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาในเวลาแปดโมงเช้า  ผมแต่งตัวอย่างประณีตตอนที่พวกเขามาถึง ใบหน้าเกลี้ยงเกลา สวมชุดสูทสั่งตัด เสื้อเชิ้ตสีขาว ผูกหูกระต่ายสีฟ้าตบท้าย

ผมอายุยี่สิบห้าแต่ดูเหมือนยี่สิบ  ตำรวจที่มาเอาตัวผมต่างทึ่งกับการแต่งกายอย่างผู้ดีและปฏิบัติต่อผมอย่างสุภาพ ถึงขนาดถอดกุญแจมือออกให้ด้วย  พวกเราทั้งหก – ผู้คุมห้าและผมนั่งรออยู่บนม้านั่งสองตัวในห้องโล่ง  ด้านนอกท้องฟ้าทึมเทา  ประตูที่อยู่ตรงข้ามน่าจะเปิดออกสู่ห้องพิพากษา เพราะอาคารแห่งนี้คือศาลสถิตยุติธรรมแห่งแซน

ในอีกไม่กี่อึดใจ ผมจะถูกฟ้องดำเนินคดีข้อหาฆ่าโดยตั้งใจ  เมอซิเออร์เรมง อูแบ ทนายที่ปรึกษาประจำตัวเดินเข้ามาหาผม  “ไม่มีหลักฐานมัดตัวคุณ ผมคาดเต็มที่ว่าศาลจะยกฟ้องเรา”  คำว่า “เรา” ทำให้ผมยิ้มออกมา  คนที่ได้ยินทุกคนคงคิดว่าคุณอูแบจะขึ้นไปยืนในคอกจำเลยกับผม ซึ่งถ้าศาลตัดสินว่ามีความผิด เขาจะต้องติดคุกด้วยเช่นกัน

เจ้าพนักงานคนหนึ่งเปิดประตูออกและบอกให้เราเข้าไปได้  ผมเดินผ่านประตูบานคู่โดยมีตำรวจสี่คนล้อมรอบ มีนายสิบอีกคนเดินเคียงข้างเข้าสู่ห้องพิพากษาโอ่อ่ากว้างขวา  ห้องที่พวกเขาลงแส้ผมนี้ได้รับการตกแต่งด้วยสีแดง..แดงเถือกไปทั้งห้อง ไม่ว่าพรมปูพื้น ม่านที่หน้าต่างบานใหญ่ แม้แต่ครุยผู้พิพากษาซึ่งกำลังจะตัดสินผมในอีกสองสามนาทีข้างหน้า

“สุภาพบุรุษ คณะผู้พิพากษา!”

ชายหกคนเดินเรียงเดี่ยวออกจากประตูทางขวา  ประธานคณะผู้พิพากษาและคณะห้าคนสวมหมวกประจำตำแหน่ง  ประธานนั่งลงบนเก้าอี้ตัวกลาง คนอื่นๆ นั่งลงบนเก้าอี้ซ้าย-ขวาของเขา  ทั้งห้องเงียบกริบขณะที่ทุกคนรวมทั้งผมด้วยยืนขึ้น  หลังจากที่คณะผู้พิพากษานั่งลงแล้วทุกคนจึงนั่งลง

ประธานคณะผู้พิพากษาซึ่งเป็นชายหน้าอวบอูม แก้มแดง ดวงตาเย็นชามองตรงมาที่ผมโดยมีไม่ความรู้สึกใดๆ  ชื่อของเขาคือเบอแวง  เมื่อการพิพากษาเริ่มขึ้น เขาได้ไต่สวนอย่างยุติธรรม และกล่าวอย่างชัดเจนกับทุกคนว่าในฐานะนักกฎหมายมืออาชีพว่าไม่แน่ใจว่าพยานหรือตำรวจให้การตรงไปตรงมานัก และไม่ เขาไม่ใช่เป็นผู้ตัดสินลงแส้ผม แต่เป็นเพียงผู้ถ่ายทอดคำตัดสินเท่านั้น

อัยการคือนักกฎหมายชื่อพราเดลซึ่งเป็นที่เกรงกลัวของทนายทุกคน เขามีชื่อเสียงที่เลวร้ายว่าเป็นผู้ที่ส่งเหยื่อไปสู่ตะแลงแกงหรือนักโทษเข้าสู่เรือนจำทั้งในและนอกประเทศฝรั่งเศสมากกว่าทุกคน

พราเดลยืนหยัดในการแก้แค้นให้กับสังคม  เขาเป็นอัยการที่ไร้ความเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนของกฎหมายอันเป็นตราชั่งแห่งความยุติธรรม และเขาเป็นผู้ใช้มันโดยจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อตาชั่งนั้นเอียงมาทางเขา  เขาหรุบตาที่เหมือนอีแร้งมองเขม็งลงมาที่ผม  จากแท่นที่ยืนอยู่และความสูงถึงหกฟุตทำให้เขายืนตระหง่านอยู่เหนือผม  เขาไม่ได้ถอดเสื้อครุยสีแดงออก แต่ถอดหมวกกลมที่สวมอยู่วางลงบนโต๊ะข้างหน้า โน้มตัวลง โดยเอาสองมือที่ใหญ่ขนาดขาหมูแฮมยันโต๊ะไว้  แหวนทองที่สวมอยู่บอกว่าเขาแต่งงานแล้ว ที่นิ้วก้อยสวมแหวนวาววับทำจากตะปูตอกเกือกม้า

เขาเอนตัวลงมาที่ผมเป็นการข่มขวัญ ท่าทางนั้นเหมือนจะพูดว่า “ถ้าคิดว่าจะรอดล่ะก็ แกคิดผิดแล้ว ไอ้ไก่อ่อน มือฉันอาจไม่มีกรงเล็บ แต่ใจฉันมี และฉันจะฉีกแกเป็นชิ้นๆ  การที่ทนายทุกคนเกรงกลัวฉัน ที่ผู้พิพากษามองฉันด้วยความชื่นชมว่าเป็นอัยการที่แสนอันตราย ก็เพราะว่าฉันไม่เคยปล่อยให้เหยื่อเล็ดรอดไปได้ ไม่ว่าแกจะผิดหรือไม่ไม่ใช่กงการของฉัน ฉันอยู่ที่นี่ก็เพื่อใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในการเอาผิดแก..ไม่ว่าชีวิตหลักลอยไร้แก่นสารของแกในมงมาร์ตอันเป็นที่รู้กันทั่ว หลักฐานที่ตำรวจสร้างขึ้นและแถลงการณ์ของตำรวจเอง  สิ่งที่ฉันจะทำคือเอาขยะเหม็นโฉ่กองโตที่เจ้าหน้าที่สืบสวนขุดคุ้ยขึ้นมาทำให้แกน่าสะอิดสะเอียนจนคณะลูกขุนเห็นพ้องว่าแกควรหายลับไปจากชุมชนของเรา’  ผมคงฝันไปเองหรือไม่ก็ได้ยินเขาอย่างชัดเจน  ไอ้มนุษย์กินคนผู้นี้ทำให้ผมกลัวจนตัวสั่น  ‘ไอ้ขี้คุก หุบปากเสียเถอะ อย่าพยายามปกป้องตัวเองเลย ฉันจะส่งแกลงท่อหายลับไปจากสังคมเอง  ฉันเชื่อว่าแกคงไม่หวังอะไรกับพวกลูกขุนจริงไหม  ไม่ต้องหลอกตัวเองหรอก ไอ้งั่งสิบสองคนที่นั่งกันหน้าสลอนตรงข้ามแกนั่นรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับชีวิต ดูแต่ละคนสิ  ตาสีตาสาสิบสองคนที่ถูกเรียกตัวจากบ้านนอกคอกนา เห็นไหม..คนขายของชำ  ข้าราชการบำนาญ  พ่อค้าเร่  พูดกับพวกนี้ไปก็เสียเวลาเปล่า แกคงไม่หวังหรอกนะว่าพวกนี้จะเข้าใจวิถีชีวิตของแกในมงมาร์ตหรือการเป็นหนุ่มวัยยี่สิบห้านั้นเป็นอย่างไร  พวกมันรู้แต่ว่าปิกาลล์กับปลาซบล็อง – ย่านกลางคืนของปารีสอันเต็มไปด้วยไนต์คลับและโสเภณีคือศัตรูของสังคมเช่นเดียวกับนรกกับนกกลางคืนนั่นแหละ  การได้เป็นลูกขุนในศาลสถิตยุติธรรมแห่งแซนเป็นสุดยอดความภูมิใจแล้ว  ฉันจะบอกแกอีกอย่างนะว่า คนพวกนี้เกลียดการเป็นชนชั้นกลางที่ต้อยต่ำต้อยน่าเบื่อหน่ายของตัวเองเข้าไส้ แต่แกโผล่หัวมาที่นี่ หนุ่มฟ้อ หล่อเฟี้ยว  แกคงไม่กล้าคิดหรอกนะว่าฉันจะไม่ทำให้แกดูเหมือนจิ๊กโก๋หนุ่ม ดอนฮวนแห่งมงมาร์ตในสายตาพวกมัน เพียงแค่นี้แกก็ตายแหงแก๋  แกแต่งตัวดีไปนะ ทำไมไม่ใส่อะไรที่ทำให้แกดูน่าสงสารสักหน่อย แกพลาดไปอย่างแรงเลย  เห็นหรือเปล่าว่าไอ้บ้านนอกพวกนี้มองสูทนายด้วยความอิจฉาขนาดไหน  พวกมันซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากราวแขวนกันทั้งนั้น ไม่มีใครฝันว่าจะได้ใส่สูทสั่งตัดพิเศษขนาดพอดีเป๊ะในชีวิตกันหรอก

สิบโมงแล้ว ทุกคนพร้อมสำหรับการไต่สวนที่จะเริ่มขึ้น  คณะผู้พิพากษาหกคนนั่นอยู่ข้างหน้าผม หนึ่งในนั้นคืออัยการที่ดุดันและกระเหี้ยนกระหือที่จะใช้สติปัญญาและอำนาจเผด็จการเพื่อทำให้ลูกขุนผู้อ่อนต่อโลกทั้งสิบสองเชื่อว่า หนึ่ง ผมผิดจริง และสองผมสมควรได้รับการลงโทษด้วยการส่งไปยังค่ายแรงงานหรือบั่นคอด้วยกิโยติน

ผมเหนื่อยเกินกว่าจะไปฆ่าแมงดาซึ่งเป็นสายให้ตำรวจในโลกใต้ดินของมงมาร์ต  แม้จะไม่มีหลักฐาน แต่ตำรวจสองคน (ซึ่งได้รับความดีความชอบทุกครั้งที่จับอาชญากรได้) จะสาบานและให้การว่าผมผิดจริง  เมื่อรู้ตัวว่าไม่มีหลักฐาน พวกเขาบอกว่าพวกเขามี ‘ข้อมูลลับ’ ที่ชี้ว่าผมทำผิดอย่างไม่มีข้อสงสัย พยานหลักฐานแข็งที่สุดที่อัยการในคดีนี้มีคือพยานคนหนึ่งซึ่งศูนย์บัญชาการใหญ่ของพวกเขาตระเตรียมมาอย่างดี  เครื่องบันทึกเสียงในร่างมนุษย์นี้มีชื่อว่าโปแลน  ณ จุดหนึ่งหลังจากที่ผมปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าว่าผมไม่รู้จักเขา ประธานคณะผู้พิพากษาได้ถามผมด้วยวามยุติธรรมว่า  ‘เป็นอันว่าเธอบอกว่าพยานผู้นี้โกหก  ว่าแต่ทำไมเขาจึงต้องโกหกด้วยล่ะ’

“ท่านประธานที่เคารพ  นับตั้งแต่ที่ถูกจับผมนอนไม่หลับเลย แต่ไม่ใช่เพราะผมเสียใจที่ฆ่าโรลอง เลอ เปอตีเพราะผมไม่ได้ทำ แต่เพราะผมได้แต่นอนคิดวนเวียนไปมาว่าอะไรคือแรงกระตุ้นที่ทำให้พยานผู้นี้ต้องการทำลายผมและพยายามหาหลักฐานใหม่มาสนับสนุนทุกครั้งที่หลักฐานเดิมอ่อนลง  ในที่สุดผมก็สรุปได้ว่าเขาน่าจะถูกตำรวจจับเพราะได้ทำผิดอะไรร้ายแรงบางอย่าง และมีการตกลงกันว่า ‘เราจะลืมเรื่องทั้งหมด ถ้านายเป็นพยานเท็จในคดีของปาปิญง’”

ตอนนั้นผมไม่คิดเลยว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้นจะใกล้เคียงความจริงมาก  ทว่าหลังจากนั้นสองสามปีเจ้าโปแลนซึ่งถูกนำตัวมายังศาลในฐานะสุจริตชนผู้ไม่เคยมีชื่อในแฟ้มอาชญากรรมได้ถูกจับและตัดสินว่ามีความผิดฐานค้ายาเสพติดโคเคน

เมอซิเออร์อูแบได้พยายามปกป้องผม แต่เขาเป็นมวยคนละรุ่นกับไอ้อัยการนั่น  เมอซิเออร์บูเฟเป็นคนเดียวที่ทำให้ไอ้ปราเดลล้มลุกคลุกคลานได้อยู่ประเดี๋ยวหนึ่งด้วยความโกรธ แต่เพียงไม่นานมันก็ลุกขึ้นได้อีกครั้ง  ยิ่งกว่านั้นมันยังยกยอปอปั้นคณะลูกขุน ทำให้พวกตาสีตาสาเหล่านี้รู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมราวกับเป็นเพื่อนร่วมอาชีพตัวพองด้วยความภาคภูมิใจ

เมื่อถึงเวลาห้าทุ่ม หมากรุกกระดานนี้ก็จบลง ทนายของผมถูกรุกฆาต และผมซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ถูกตัดสินว่ามีความผิด

สังคมในร่างของอัยการพราเดลได้ขจัดชายหนุ่มวัยยี่สิบห้าออกไปด้วยการจำคุกตลอดชีวิต โดยไม่มีการลดโทษ ต้องขอขอบพระคุณอย่างสูง!  เบอแวง ประธานคณะผู้พิพากษาคือผู้เสิร์ฟอาหารจานโตนี้ให้กับผมด้วยมือตัวเองทีเดียว

‘นักโทษ ยืนขึ้น’  เขาพูดเสียงราบเรียบ

ผมลุกขึ้นยืน ทั้งห้องเงียบกริบ ทุกคนกลั้นหายใจ หัวใจผมเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย ลูกขุนบางคนมองมาที่ผม บางคนนั่งก้มหน้าเหมือนละอายใจ

‘นักโทษ เนื่องจากคณะลูกขุนลงความเห็นว่าผิดทุกในทุกข้อที่ถาม  ยกเว้นการวางแผนล่วงหน้า ศาลจึงขอตัดสินลงโทษจำคุกในค่ายแรงงานหนักตลอดชีวิต เธอมีอะไรจะพูดหรือไม่’

ผมยืนนิ่ง ไม่แสดงท่าสะทกสะท้าน มีเพียงมือที่จับราวกั้นคอกอยู่เท่านั้นที่บีบแรงขึ้นเล็กน้อย  ‘มีขอรับ สิ่งที่ผมอยากพูดคือ ผมเป็นผู้บริสุทธิ์ และเป็นเหยื่อการใส่ร้ายป้ายสีของตำรวจ’  เสียงพึมพำดังขึ้นจากบริเวณด้านหลังผู้พิพากษาซึ่งเหล่าสตรีแต่งตัวทันสมัยนั่งอยู่ในฐานะผู้ชมกิตติมศักดิ์  และผมพูดเสียงเรียบกับพวกหล่อนว่า ‘หุบปากซะ นังพวกผู้ดีตีนแดงที่มาที่นี่เพื่อหาเรื่องตื่นเต้นไปวันๆ  ละครตลกจบแล้ว  คดีฆาตกรรมนี้ได้รับการตัดสินแล้วโดยตำรวจแสนฉลาดกับระบบยุติธรรมของพวกเธอ พวกเธอได้สิ่งที่ต้องการแล้ว’

‘ผู้คุม’ ประธานคณะผู้พิพากษากล่าว ‘นำนักโทษไปได้’

ก่อนจะหายลับไป ผมได้ยินเสียงหนึ่งตะโกนขึ้น  ‘ไม่ต้องกังวลนะที่รัก ฉันจะไปหาเธอที่นั่น’  เนเน็ตต์แสนสวยและกล้าหาญของผมส่งความรักของเธอมาให้ผมเต็มเสียง  ภายในศาล เหล่าสหายในโลกใต้ดินของผมพากันปรบมือ  พวกเขารู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไรกันแน่ และนี่คือวิธีอกให้ผมรู้ว่าพวกเขาภูมิใจในตัวผมที่ผมไม่พูดอะไรออกไปหรือกล่าวโทษใคร

ทันทีที่กลับเข้าไปในห้องเล็กที่เรานั่งรอกันก่อนการพิจารณาคดีจะเริ่ม ตำรวจก็จัดการใส่กุญแจมือผม คนหนึ่งเอาโซ่สั้นๆ คล้องข้อมือขวาของผมกับมือซ้ายของเขาโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง  ผมขอบุหรี่สูบ  จ่าที่มาด้วยกันส่งมวนหนึ่งให้และจัดการจุด  ทุกครั้งที่ผมดึงบุหรี่ออกหรือใส่กลับเข้าปาก จ่าต้องยกมือขึ้นหรือลงตาม

ผมยืนอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งบุหรี่หมดไปสามส่วนสี่  ทุกคนนิ่งเงียบจน ผมต้องเป็นฝ่ายหันไปที่จ่าและบอกว่า ‘ไปกันเถอะ’

ผมและตำรวจราวสิบคนที่ล้อมรอบเดินลงบันไดสู่ลานด้านในของอาคารศาลซึ่งรถบรรทุกสีดำของเรือนจำจอดรออยู่  มันไม่ใช่รถแบบที่แบ่งออกเป็นตอน  พวกเราสิบคนนั่งเรียงรายกันบนม้ายาว

‘กงเซียเฌอรี’  จ่าบอกกับคนขับ

 

 

 

กงเซียเฌอรี

 

เมื่อถึงพระราชวังแห่งสุดท้ายของพระนางมารี-อังตัวแนตต์  ตำรวจได้ทำการส่งมอบผมให้แก่หัวหน้าพัสดีซึ่งเซ็นชื่อลงในใบรับมอบ  ทุกอย่างทำกันอย่างเงียบๆ โดยไม่จำเป็นต้องพูด ก่อนไปจ่าเดินเข้ามากุมสองมือผมที่ใส่กุญแจมืออยู่  คิดไม่ถึงเลยพับผ่า!

หัวหน้าพัศดีถามผมว่า ‘ได้อะไรมาล่ะ’

‘ตลอดชีวิต’

‘ไม่จริง!’  เขาอุทานและหันไปทางพวกตำรวจ แล้วก็รู้ว่าผมพูดจริง  พัศดีวัยห้าสิบซึ่งเห็นอะไรต่อมิอะไรมามากมายเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น  และมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีพอที่จะหันมาพูดกับผมว่า  ‘บ้าไปแล้ว ไอ้พวกสารเลว!’

เขาถอดกุญแจมือออกจากมือผมอย่างระมัดระวังและมีเมตตาพอที่จะเดินไปส่งผมในห้องขังบุนวมซึ่งปกติมีไว้สำหรับพวกต้องโทษประหาร นักโทษวิกลจริต นักโทษที่อันตรายมาก และพวกที่จะถูกส่งไปยังค่ายแรงงานโดยเฉพาะ

‘สู้ๆ นะ ปาปิญง’ เขาบอก แล้วปิดประตู ‘เดี๋ยวจะย้ายข้าวของและอาหารของนายจากห้องเดิมมาให้’

‘ขอบคุณมากหัวหน้า ใจผมสู้อยู่แล้ว คุกแรงงานนั่นไม่มีวันชนะผมหรอก’

จากนั้นไม่กี่นาทีก็มีเสียงครืดคราดดังขึ้นที่หน้าประตู  ‘อะไรน่ะ’ ผมถามออกไป

‘เปล่า ไม่มีอะไร แค่เอาป้ายมาติดเท่านั้น’  เสียงด้านนอกตอบ

‘ทำไม ป้ายเขียนว่าอะไร’

‘จำคุกตลอดชีวิต เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด’

บ้าไปแล้ว ผมคิด พวกมันคงนึกว่าอิฐหนึ่งตันที่เพิ่งหล่นใส่หัวผมจะทำให้ผมถอดใจถึงขนาดฆ่าตัวตายเลยหรือไง  โทษนะ กูเป็นคนสู้ เป็นคนกล้าหาญ และจะกล้าหาญตลอดไป ผมจะสู้กับทุกคน กับทุกสิ่งทุกอย่าง และพรุ่งนี้ผมจะเริ่มเลย’

ขณะนั่งดื่มกาแฟในเช้าวันรุ่งขึ้นผมนั่งคิดว่าควรจะอุทธรณ์หรือไม่  แต่เพื่ออะไรล่ะ  คิดว่าอาจจะโชคดีขึ้นกับอีกศาลงั้นสิ  แล้วต้องเสียเวลาอีกแค่ไหน..หนึ่งปี หรือสิบแปดเดือน และเพื่ออะไร..ติดคุกยี่สิบปีแทนที่จะตลอดชีวิตงั้นรึ

เนื่องจากผมตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะหนี เรื่องที่ว่าจะติดคุกกี่ปีจึงไร้ความหมาย จำได้ว่านักโทษคนหนึ่งเคยถามศาลว่า  ‘ใต้เท้าขอรับ ติดคุกแรงงานตลอดชีวิตในฝรั่งเศสนี่มันกี่ปีรึขอรับ’

ผมเดินย่ำเท้าไปมาในห้องขัง ก่อนหน้านี้ผมได้ส่งโทรเลขไปปลอบใจภรรยา และอีกฉบับไปถึงพี่สาวได้พยายามอย่างที่สุดในการปกป้องน้องชายคนนี้อย่างโดดเดี่ยว  ทุกอย่างจบแล้ว ม่านปิดลงแล้ว  ครอบครัวของผมคงทุกข์มากกว่าผม สงสารแต่พ่อที่บ้านนอกซึ่งต้องแบกกางเขนหนักอึ้งนี้

ผมหยุดหายใจทันใด เฮ้ย แต่ฉันบริสุทธิ์นะ! ใช่สิ ผมบริสุทธิ์ แต่บริสุทธิ์กับใคร บริสุทธิ์ในสายตาใครล่ะ นายกล้าเที่ยวบอกใครต่อใครมั้ยล่ะว่านายบริสุทธิ์ คนจะได้หัวเราะใส่หน้าประไร  คนคงขำกันตายห่า ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตฐานเป็นแมงดาฆ่าคนตาย แล้วมีหน้ามาบอกว่าคนอื่นเป็นคนทำ หุบปากไว้น่ะดีแล้ว

ตลอดเวลาที่นั่งรอการไต่สวนทั้งที่ซองเตและที่กงเซียเฌอรี  ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะถูกลงโทษแบบนี้..ไม่เคยคิดจริงจังเลยว่าการ ‘ถูกกวาดลงท่อ’ นั้นเป็นอย่างไร

เอาเถอะ สิ่งแรกที่ต้องทำตอนนี้คือผูกมิตรกับเพื่อนนักโทษที่ได้รับการตัดสินแล้วซึ่งอาจจะเป็นเพื่อนแหกคุกไปด้วยกัน  แล้วผมก็เลือกเดอกา ชายจากมาร์เซย์  ผมเคยเจอเขาที่ห้องตัดผม เขาไปโกนหนวดที่นั่นทุกวัน  ดังนั้นผมจึงขอผู้คุมว่าผมอยากไปตัดผมด้วย แน่นอน เมื่อไปถึงก็เห็นเขาอยู่ที่นั่น ยืนหันหน้าเข้าหากำแพงและได้ขยับตัวให้คนข้างหลังแซงขึ้นไปก่อนจะได้อยู่นอกห้องขังได้นานขึ้น  ผมเดินเข้าผลักคนที่ยืนข้างเขาออก และกระซิบทักทายเขาว่า ‘เป็นไง’

‘โอเค สิบห้าปี นายล่ะ ได้ยินว่าเต็มเหนี่ยวเลยรึ’

‘เออ ตลอดชีวิต’

‘จะอุทธรณ์หรือเปล่า’

‘ไม่ ฉันจะกิน จะออกกำลังกายให้แข็งแรง กล้ามเนื้อเป็นสิ่งสำคัญนะ นายมีเงินไหม’

‘มี เงินปอนด์ราวหมื่นฟรังค์ นายล่ะ’

‘ไม่มีเลย’

‘งั้นจะบอกให้นะ  รีบไปหามาซะ อูแบเป็นทนายนายใช่ไหม ไอ้นี่เป็นคนซื่อ ไม่กล้าเอามาให้นายหรอก เอางี้นะ ให้เมียนายเอาเงินใส่ไว้ในที่ซ่อนไปที่ดังเต’ส์ แล้วบอกว่าฝากให้คนชื่อโดมินิค เลอ ริเชอ รับรองว่าถึงมือนาย’

‘จุ๊ จุ๊ ไอ้ผู้คุมมองอยู่’

‘ไง เวลาพักนินทากันสินะ’  ผู้คุมนั่นเปรย

‘ไม่มีอะไรหรอกครับ’ เดอกาพูด ‘เขาแค่บ่นกับผมว่าไม่ค่อยสบาย’

‘เป็นอะไรล่ะ จุกมาจากศาลงั้นสิ’  ผู้คุมหัวเราะชอบใจ

โอเค นี่แหละชีวิต ก็ผมถูกขจัดลงท่อ..ที่ที่เห็นคนหนุ่มวัยยี่สิบห้าต้องอยู่คุกตลอดชีวิตที่เหลือตลกจนทำให้คุณหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง

แล้วผมก็ได้ที่ซ่อนเงินซึ่งเป็นแท่งอลูมิเนียมมันวาวสวยงามหมุนถอดออกมาได้ตรงกลาง ท่อนหนึ่งเป็นตัวผู้ อีกท่อนเป็นตัวเมีย ข้างในมีธนบัตรใหม่เอี่ยม 5,600 ฟรังค์ ผมยกขึ้นจูบเมื่อรับมันมา  ใช่แล้ว ผมจูบไอ้ที่ซ่อนเงินขนาดเท่านิ้วโป้งยาวสามนิ้วครึ่งนั่นก่อนจะยัดมันเข้าไปในรูทวารลึกเข้าไปถึงลำไส้ นี่คือที่ซ่อนที่ปลอดภัย ถึงจะจับผมแก้ผ้า ถ่างขา สั่งให้ไอหรือก้มตัวลงจนสุดก็ไม่มีทางเจอ เพราะมันอยู่เข้าไปถึงลำไส้ใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งของตัวผม  มันคือชีวิตและอิสรภาพของผม..เป็นวิธีแก้แค้น ผมตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะแก้แค้น ความจริงแล้วมันเป็นสิ่งเดียวที่วนเวียนอยู่ในความคิดผมตอนนี้

 

ข้างนอกมืดแล้ว ผมอยู่คนเดียวในห้องขัง ไฟที่เพดานสว่างจ้าเพื่อที่ผู้คุมจะมองผ่านรูเล็กๆ ที่ประตูเข้ามาดูผมได้  มันแยงตาจนผมรู้สึกปวด ต้องเอาผ้าเช็ดหน้าปิดไว้ขณะที่นอนอยู่บนฟูกบนเตียงเหล็ก ไม่มีหมอน ภาพการไต่สวนอันเลวร้ายวนเวียนอยู่ในหัว

เอาล่ะ ตอนนี้อาจจะน่าเบื่อสักหน่อย แต่ผมต้องเล่าเพื่อคุณจะได้เข้าใจเรื่องราวที่ค่อนข้างยาวนี้ และเพื่ออธิบายว่าอะไรที่ทำให้ผมต่อสู้อย่างไม่ลดละ ผมจะต้องเล่าทุกอย่างที่ผุดขึ้นมาในความคิดของผมในตอนนั้น..ทุกภาพในหัวผมในวันแรกๆ ที่ผมถูกฝังทั้งเป็น

ผมจะทำอะไรถ้าหนีออกไปได้… ตั้งแต่ได้ที่ซ่อนเงินมาผมไม่เคยสงสัยแม้แต่วินาทีเดียวว่าผมจะแหกคุก  ถ้าสำเร็จ สิ่งแรกที่จะทำคือตรงเข้าปารีส คนแรกที่ผมจะฆ่าคือโปแลน..ไอ้พยานเท็จ จากนั้นก็ไอ้ตำรวจสองคนที่เป็นเจ้าของคดี แต่เท่านั้นยังไม่พอ ผมจะฆ่าพวกมันให้หมดทั้งกรมเลย หรืออย่างน้อยก็มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  เฮ้ย..ผมได้ความคิดแล้ว ทันทีที่ออกจากที่นี่ได้  ผมจะเข้าปารีส เอาระเบิดยัดใส่หีบให้มากเท่าที่จะมากได้ อาจจะสิบ ยี่สิบ หรือสี่สิบปอนด์ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันใส่ได้เท่าไหร่ จากนั้นก็คิดหาทางที่จะฆ่าคนให้ได้มากที่สุด

ระเบิดไดนาไมต์ดีไหมนะ  ไม่สิ เชดไดต์ดีกว่า ว่าแต่ทำไมไม่เอาไนโตรกรีเซอรีนเลยล่ะ  โอเค ไว้จะขอคำแนะนำจากพวกข้างในที่น่าจะรู้ดีกว่าผม  ยังไงแน่ใจได้เลยว่าผมจัดให้เต็มที่แน่

ผมยังคงหลับตาซึ่งมีผ้าเช็ดหน้าปิดสนิทอยู่ แต่ผมเห็นหีบใบนั้นอย่างชัดเจน หน้าตาของมันดูไม่มีพิษสง แต่ข้างในยัดระเบิดเต็มเอียด นาฬิกาปลุกถูกตั้งเวลาไว้เรียบร้อย  ผมต้องดูให้แน่ใจว่ามันจะระเบิดตอนสิบโมงเช้าในห้องประชุม สำนักปราบปรามอาชญากรรม ชั้นหนึ่ง อาคารเลขที่ 36  ตอนนั้นน่าจะมีตำรวจอย่างน้อยร้อยห้าสิบคนเข้าฟังรายงานและรับคำสั่ง  ว่าแต่ต้องขึ้นบันไดกี่ขั้นนะ  ต้องรู้ให้แน่ด้วย

ผมต้องรู้ให้แน่ชัดด้วยว่าจากถนนไปยังห้องประชุมต้องใช้เวลาเท่าไหร่  อันนี้ต้องรู้ละเอียดยิบถึงระดับวินาทีเลยทีเดียว  ว่าแต่ใครจะยกเข้าไปล่ะ เอาล่ะ เรื่องนี้ต้องใช้อุบายสักหน่อย  ผมจะขึ้นแท็กซี่ไปที่หน้าอาคาร แล้วทำเสียงเข้มสั่งยามสองตัวที่ยืนเฝ้าประตูว่า  ‘ช่วยยกหีบนี่ขึ้นไปที่ห้องประชุมที บอกผู้การดูปองต์ว่าหัวหน้านักสืบดูบัวส์ส่งมา เดี๋ยวฉันจะตามขึ้นไป’

ว่าแต่พวกมันจะเชื่อหรือเปล่าน่ะสิ  ถ้ามันเกิดฉลาดผิดกับคนอื่นๆ ขึ้นมาคงจบเห่   ต้องหาแผนอื่น  ยังไงก็ต้องมีวิธีอยู่แล้ว

ผมลุกขึ้นไปดื่มน้ำหลังจากนั่งคิดนอนคิดจนปวดหัว แล้วกลับมานอนที่เตียงโดยไม่มีผ้าปิดตา  เวลาผ่านไปช้าๆ  โอย ไอ้แสงห่านั่น พระเจ้า!  ผมเอาผ้าชุบน้ำวางลงบนตาอีกครั้ง  น้ำเย็นเฉียบทำให้รู้สึกดี ผ้าที่อุ้งน้ำและหนักขึ้นทำให้ปิดตาได้สนิทขึ้น  ตั้งแต่นี้ไปผมต้องทำแบบนี้

ตลอดเวลาอันยาวนานในห้องขังผมนั่งคิดนอนคิดถึงแผนการแก้แค้นจนภาพปรากฏอย่างชัดเจนราวกับผมกำลังลงมือทำอยู่  ตลอดคืนวันเหล่านั้นผมท่องไปทั่วปารีส ราวกับว่าหนีออกไปได้แล้ว ผมตั้งใจแน่วแน่ว่าผมจะหนีและกลับไปที่ปารีสอีกครั้ง  แน่นอนว่าสิ่งแรกที่จะทำคือ คิดบัญชีกับไอ้โปแลน ตามด้วยไอ้พวกตำรวจ  แล้วพวกลูกขุนล่ะ ควรจะปล่อยให้มันอยู่อย่างสงบสุขงั้นรึ  ไอ้พวกบ้านนอกนั่นคงกระหยิ่มยิ้มย่องกลับบ้านด้วยความภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่สำคัญ คงเที่ยวคุยโม้คุยโตอวดโอ้กับเพื่อนบ้านและนังเมียเซื่องๆ ที่คอยรับใช้พวกมันงกๆ

โอเค ฉันจะทำอะไรดีกับไอ้พวกบ้านนอกดี  อย่าเลย  ไอ้พวกโง่เป็นควายนี่ไม่ได้มีคุณสมบัติใดๆ ที่จะมาตัดสินลงโทษใครทั้งนั้น  ไอ้คนที่เคยเป็นตำรวจหรือคนเก็บภาษีมาก่อน ก็คงทำตัวเหมือนตำรวจหรือคนเก็บภาษี  ไอ้คนที่เคยเป็นคนส่งนม ก็คงทำตัวเหมือนคนส่งนมทึ่มๆ  อัยการนั่นว่ายังไงพวกมันก็ว่าตามนั่นแหละ และไอ้สารเลวนั่นก็ต้อนพวกบ้านนอกมาเป็นพวกได้ไม่ยากเสียด้วย เพราะฉะนั้นไม่ใช่ความผิดพวกมันเสียทีเดียว  เอาเป็นว่าปล่อยพวกมันไปแล้วกัน

ขณะที่เขียนอยู่นี้ภาพที่ผุดขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อนานนมมาแล้วตอนอยู่ในห้องขังได้ผุดขึ้นอย่างชัดเจนอีกครั้ง  จำได้ว่าความเงียบและความโดดเดี่ยวสามารถกระตุ้นจินตนาการของคนหนุ่มที่ถูกขังอยู่ให้ห้องขังแคบๆ คนเดียวจนกลายเป็นความบ้าคลั่งได้ขนาดไหน  มันชัดและจริงจังจนทำให้คนๆ หนึ่งแตกออกเป็นสองภาค ภาคหนึ่งนั้นติดปีกบินออกไปเดินเที่ยวท่องทุกหัวระแหงตามแต่ใจพาไป..ที่บ้านในชนบท พ่อ แม่ ครอบครัว วัยเด็ก..ทุกบททุกตอนของชีวิตที่ผ่านมา เลยไปถึงปราสาทราชวังในสเปน ภาพเหล่านั้นปรากฏชัดเจนจนเขาคิดว่าเขามีชีวิตอยู่ในความฝันพวกนั้นจริงๆ

สามสิบหกปีล่วงไปแล้ว แต่ผมยังถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างที่ผุดขึ้นในหัวผมตอนนั้นได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามแม้แต่น้อยนิด

ไม่ ผมไม่ควรทำอะไรลูกขุนพวกนั้น ปากกาของผมขยับไปอย่างรวดเร็ว แต่ไอ้อัยการนั่นยังไงผมก็ไม่ปล่อยให้มันลอยนวลแน่  ผมมีวิธีจัดการมันอย่างถึงกึ๋นชนิดโขกออกมาจาก ท่านเคานต์แห่งมองเตคริสโต ของอเล็กซานเดอร์ ดูมาส์ ที่ไอ้ตัวร้ายถูกผลักเข้าไปในห้องใต้ดินและปล่อยให้อดตายเลยทีเดียว

และไอ้ประธานคณะผู้พิพากษานั่นด้วย มันต้องรับผิดชอบเหมือนกัน อีแร้งในเสื้อครุยสีแดงนั่นสมควรตายอย่างทรมาน มันจะต้องเป็นคนต่อไปหลังจากจัดการกับไอ้โปแลนกับพวกตำรวจแล้ว  ฉันจะทุ่มเวลาทั้งหมดจัดการกับไอ้หมอนี่ จะไปเช่าบังกะโลที่มีห้องใต้ดินลึก มี กำแพงหนา ประตูแข็งแรง ถ้ายังไม่หนาพอ ฉันจะเอาเชือกมัดฟูกติดไว้กันเสียงอีกที พอจัดการเรื่องสถานที่เสร็จ ฉันก็จะติดตามการเคลื่อนไหวของมัน แล้วลักพาตัวมันมา กำแพงติดห่วงไว้พร้อมแล้ว ฉะนั้นพอมาถึงฉันก็จะล่ามมันไว้ทันที แล้วเราก็จะเริ่มสนุกกัน

มันยืนอยู่หน้าผม ผมสามารถเห็นมันได้อย่างชัดเจนภายใต้ดวงตาที่ปิดอยู่  ใช่แล้ว ผมจะมองมันอย่างที่มันมองผมในศาล  ภาพนั้นโดดเด่นชัดเจนจนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจของมันที่ลดลงบนหน้า ผมอยู่ใกล้มันมาก หน้าต่อหน้า ใกล้จนจะชนกัน  ตาเหยี่ยวของมันมีแววตื่นกลัวและพร่าจากแสงสป็อตไลต์ที่ผมสาดใส่มัน เหงื่อไหลเป็นทางจากใบหน้าบวมฉึ่งแดงก่ำ  ผมได้เสียงตัวเองถามออกไป และขณะที่ฟังคำตอบของมัน  ผมสัมผัสได้ถึงประสบการณ์นั้นอย่างชัดเจน

‘จำฉันได้มั้ย ไอ้อ้วน ปาปิญงไง ปาปิญงที่แกส่งเข้าคุกตลอดชีวิตด้วยความสะใจ  แกอุตส่าห์นั่งหลังขดหลังแข็งอ่านตำรากฎหมายโรมัน และอะไรห่าเหวพวกนั้นมาเป็นปีๆ เพื่อจะได้ชื่อว่ามีการศึกษา อุตส่าห์ทุ่มเวลาในวัยหนุ่มร่ำเรียนภาษาลาตินและกรีกเพื่อจะได้เป็นนักพูดผู้ยิ่งใหญ่  แล้วแกคิดว่าคุ้มมั้ยล่ะ  มันให้อะไรกลับมาบ้างล่ะไอ้งั่ง  เพื่อที่นายจะได้เขียนกฎหมายใหม่ให้กับชุมชน  เพื่อที่จะโน้มน้าวคนให้เชื่อว่าความสงบสุขเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลก  เพื่อที่จะเทศนาป่าวประกาศศาสนา  หรือเพื่อที่จะใช้อิทธิพลหรือการศึกษาที่สูงกว่าของนายโน้มน้าวให้คนเป็นคนดีหรืออย่างน้อยก็หยุดทำชั่วงั้นรึ  งั้นบอกฉันหน่อยสิว่าแกใช้ความรู้ของแกดึงคนขึ้นจากน้ำหรือจับคนถ่วงน้ำ  ไม่เลย แกไม่เคยช่วยใครแม้แต่คนเดียว แรงกระตุ้นเดียวของแกคือ ความทะเยอทะยาน!  เพื่อแกจะได้ไต่เต้าสูงขึ้นๆ เรื่อยๆ จากงานที่ต้อยต่ำ  หึ..ผู้พิพากษาที่ส่งคนไปทัณฑนิคมมากที่สุด ผู้พิพากษาที่ป้อนคนให้เพชฌฆาตและกิโยตินได้ไม่เคยขาด นั่นไงล่ะชื่อเสียงอันเกรียงไกรของแก  ถ้าไอ้เพชรฆาตแดแบร์สำนึกบุญคุณแกสักหน่อย มันคงส่งแชมเปญที่ดีที่สุดมาเป็นของขวัญปีใหม่แกทุกปี  เพราะมิใช่แกหรอกรึที่ทำให้มันได้ตัดหัวคนไปห้าหกหัวในสิบสองเดือนที่ผ่านมา  เอาเถอะ ตอนนี้ฉันได้ตัวแกมาแล้ว และได้จัดการล่ามนายติดกับกำแพงนี่ ได้เห็นสีหน้ามีชัยของแกตอนอ่านคำพิพากษา  สิบปี หรือยี่สิบปีแล้วนะ ..เหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวานเอง

ว่าแต่ทำไมต้องรออีกสิบปี  หรือยี่สิบปีด้วยล่ะ  คิดให้ดีสิวะปาปิญง นายยังหนุ่มแน่นแข็งแรง และยังมีเงินสดๆห้าพันหกร้อยฟรังค์ในท้องอีกต่างหาก  เอาเถอะ สองปีก็ได้  ฉันจะยอมติดคุกสักสองปี ไม่มากกว่านี้.. ผมสัญญากับตัวเอง

เฮ้ย! กลับมาได้แล้วปาปิญง นายบ้าไปแล้ว ไอ้ห้องแคบๆ กับความเงียบทำให้นายเสียสติไปแล้ว  บุหรี่หมดแล้ว ตัวสุดท้ายสูบไปเมื่อวาน ผมเริ่มเดินไปมา ยังไงผมก็เห็นภาพพวกนั้นได้โดยไม่ต้องหลับตาหรือเอาผ้าเช็ดหน้าปิด เอาล่ะ ผมลุกขึ้นมาแล้ว ห้องขังนี้ยาวสี่หลาจากประตูถึงกำแพง เท่ากับห้าก้าวสั้นๆ  ผมเริ่มเดิน มือไขว้หลัง แล้วก็เริ่มพูดอีกครั้ง  ‘โอเค อย่างที่บอก ฉันเห็นสีหน้ามีชัยของแกอย่างชัดเจน แต่ตอนนี้ฉันจะเปลี่ยนมันให้เป็นอย่างอื่น ว่าไปแล้วฉันลำบากกว่าแกมาก ฉันต้องปิดปากเงียบ กรีดร้องออกมาไม่ได้ แต่แก เอาเลย กรีดร้องออกมาดังเท่าที่แกต้องการเลย  ฉันจะทำอะไรกับแกรึ ทำแบบดูมา..ปล่อยให้แกอดตายหรือเปล่า  ไม่ เท่านั้นไม่พอ  แรกสุดฉันจะควักลูกตาแกก่อน หึ แกยังมองฉันอย่างมีชัยอีกรึ  แกคงคิดว่าถ้าฉันควักลูกตาแกออกมาก็ดีสิแกจะได้ไม่เห็นฉันอีก แต่ฉันก็จะได้อดเห็นแววตาสยดสยองของแกด้วย  ถูกของแก ฉันไม่ควรควักลูกตาแกออก อย่างน้อยก็ในทันที อาจทำตอนหลังก็ได้ ยังไงก็ตามแต่ฉันจะตัดลิ้นแกแน่นอน ไอ้ลิ้นสารพัดพิษที่คมเหมือนมีดของแก ไม่สิ คมกว่า คมราวกับใบมีดโกน  ลิ้นที่พาแกไต่เต้าขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้ ลิ้นที่พูดคำหวานกับเมียแก ลูกแก อีหนูแก อีหนูรึ ไม่สิ ไอ้หนูต่างหาก แกจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากไอ้กะเทยนุ่มนิ่มติ๋มๆ หงิมๆ  ใช่แล้ว ฉันต้องตัดลิ้นแกก่อนอื่น เพราะถัดจากสมองแกก็ลิ้นแกนี่แหละที่อันตราย แกรู้ดีใช่ไหม ว่าลิ้นแกนี่แหละที่พูดโน้มน้าวให้พวกลูกขุนเออออเห็นดีเห็นงามกับแกไปทั้งหมด ทำให้ตำรวจเลวๆ กลายเป็นตำรวจที่ซื่อตรงทุ่มเทกับหน้าที่  ทำให้คำให้การเท็จของไอ้พยานนั่นฟังดูมีเหตุผล ทำให้ลูกขุนสิบสองคนนั่นคิดว่าฉันเป็นไอ้วายร้ายที่อันตรายที่สุดในปารีส  ถ้าแกไม่มีลิ้นสารพัดพิษที่เก่งกาจในการบิดเบือนข้อเท็จจริงคอยตะล่อมคน ตอนนี้ฉันก็คงยังนั่งดื่มกาแฟอย่างสบายอกสบายใจที่หน้าร้านกร็องด์คาเฟที่ปลาซบล็อง  เอาล่ะ ตอนนี้แกเห็นด้วยกับฉันแล้วใช่ไหมว่าฉันควรตัดลิ้นแกออกเป็นอันดับแรก  แต่ฉันจะใช้อะไรตัดดีล่ะ”

ผมเดินย่ำเท้าไปมา หัวหมุนติ้ว และขณะที่ยืนประจันหน้ากับมันนั้น จู่ๆ ไฟก็ดับลง แสงสลัวของวันใหม่เล็ดลอดผ่านแผ่นไม้ที่ปิดหน้าต่างอยู่

อะไรกัน เช้าแล้วรึ นี่ฉันนั่งคิดหาวิธีแก้แค้นมาตลอดคืนเลยหรือนี่  ช่างเป็นช่วงเวลาที่หอมหวานเสียเหลือเกิน กลางคืนที่แสนยาวนานผ่านไปราวกับติดปีก!

ผมนั่งเงี่ยหูฟังเสียงด้านนอกอยู่บนเตียง เงียบกริบ ไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงคลิกเป็นครั้งคราวที่ประตู  ผู้คุมซึ่งสวมรองเท้าแตะเพื่อไม่ให้มีเสียงเดินมาเปิดแผ่นโลหะเล็กๆ บนตาแมวที่ประตูเพื่อแอบดูผมโดยที่ผมไม่เห็นเขานั่นเอง

กลไกที่สาธารณรัฐฝรั่งเศสประดิษฐ์ขึ้นเข้าสู่ขั้นที่สองแล้วในตอนนี้ กลไกนี้ทำงานได้เยี่ยมยอดทีเดียว แรกสุดคือการขจัดผู้ที่อาจสร้างความปั่นป่วนให้กับสาธารณรัฐ  แต่เท่านั้นยังไม่พอ คนผู้นั้นจะต้องไม่ตายเร็วเกินไป  เขาจะต้องไม่อาจหนีเงื้อมมือของมันไปง่ายๆ ด้วยการฆ่าตัวตาย  เขายังเป็นที่ต้องการ  เพราะหากไม่มีนักโทษแล้วกรมราชทัณฑ์จะอยู่ได้อย่างไร  เพราะฉะนั้นหมอนี่จึงต้องถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด เพื่อจะถูกส่งไปยังทัณฑนิคมในสภาพที่ยังหายใจอยู่เพื่อเจ้าหน้าที่รัฐอีกจำนวนหนึ่งจะได้มีงานทำ  เสียงคลิกดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้

ไอ้เบื๊อกเอ๊ย ไม่ต้องห่วง ฉันไม่หนีหรอก อย่างน้อยก็ไม่หนีด้วยการฆ่าตัวตายอย่างที่แกกลัว  สิ่งเดียวที่ฉันต้องการคือมีลมหายใจและมีร่างกายที่แข็งแรงที่สุดเท่าที่จะมีได้ เพื่อที่พวกแกจะได้ส่งฉันไปเฟรนช์เกียนา ฉันอยากไปเต็มทีแล้ว ไอ้พวกงั่งเอ๊ย ขอบคุณพระเจ้า

ผู้คุมสูงอายุที่ทำเสียงดังคลิกๆ หน้าห้องผมตลอดเวลานี้เรียกได้ว่าเป็นเทวดาทีเดียวถ้าเทียบกับคนอื่นๆ  คนพวกนี้เป็นเด็กคณะนักร้องประสานเสียงในโบสถ์เสียเมื่อไหร่  ผมรู้มาตลอดว่าตอนที่นโปเลียนสร้างทัณฑนิคมขึ้นมานั้นมีคนถามเขาว่า ‘แล้วจะให้ใครมาดูแลวายร้ายพวกนี้’ และนโปเลียนตอบว่า ‘ก็พวกที่ร้ายกว่าไง’  ต่อไปผมจะได้เจอกับตัวเองว่าที่บิดาผู้ก่อตั้งแห่งทัณฑสถานพูดนั้นเป็นความจริง

เคร้ง เคร้ง ช่องขนาดแปดนิ้วเปิดออกที่ประตู กาแฟและขนมปังปอนด์ครึ่งถูกส่งเข้ามา  เมื่อเป็นนักโทษเต็มตัวแล้วผมไม่สามารถสั่งอาหารจากร้านข้างนอกได้อีก แต่ถ้ามีเงินก็ยังซื้อบุหรี่และอาหารเล็กๆ น้อยๆ จากโรงอาหารของเรือนจำได้ ขนมปังนี้คงอยู่ได้สักสองสามวัน  เรือนจำกงเซียเฌอรีเป็นที่คุมขังนักโทษก่อนถูกส่งตัวไปยังทัณฑนิคม  ผมสูบบุหรี่ลัคกีสไตรค์ราคาซองละ 6.60 ฟรังค์อย่างดื่มด่ำเต็มที่  ผมซื้อมาสองซองจากเบี้ยเลี้ยงนักโทษเพราะหลังจากนี้พวกเขาจะยึดเงินทั้งหมดคืนเป็นค่าใช้จ่ายในการพิจารณาคดี

เดอกาส่งโน้ตเล็กๆ มาในขนมปัง บอกว่าให้ผมไปเจอเขาที่เรือนขจัดเหา ‘มีเหาสามตัวในกล่องไม้ขีด’  ผมเทไม้ขีดไฟออกจากกล่อง เห็นเหากระปรี้ประเปร่าแข็งแรงสามตัวและรู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป  ผมเอาไปให้ผู้คุมดู เพื่อว่าพรุ่งนี้เขาจะได้ส่งผมและสมบัติทุกอย่างที่มีรวมทั้งที่นอนไปยังห้องอบไอน้ำเพื่อปรสิตทุกตัวจะถูกฆ่า..แน่นอนว่ายกเว้นพวกเรา  พรุ่งนี้ผมจะเจอเดอกาที่นั่น  ในนั้นไม่มีผู้คุม มีเราสองคนเพียงลำพัง

‘ขอบใจสำหรับที่ซ่อนเงิน  นายช่างดีจริง’ ผมว่า

‘ไม่รู้สึกรำคาญบ้างรึ’

‘ไม่’

‘ทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำ ล้างให้สะอาดก่อนแล้วค่อยยัดกลับเข้าไป’

‘โอเค มันปิดสนิทดี น้ำไม่เข้าเลย แบ็งค์ข้างในแห้งสนิท เพิ่งได้มาเมื่ออาทิตย์ก่อน’

‘แปลว่าทุกอย่างเรียบร้อยนะ’

‘ว่าแต่นายจะทำยังไงต่อ’

‘ฉันว่าจะแกล้งบ้า ฉันไม่อยากไปเกียนา อาจจะติดคุกในฝรั่งเศสนี่สักแปดหรือสิบปี  ฉันมีเส้น บางทีอาจจะได้ลดโทษ..อย่างน้อยก็ห้าปี’

‘นายอายุเท่าไหร่’

‘สี่สิบสอง’

‘งั้นนายก็บ้าแล้ว!  ถ้านายติดสักสิบปีจากสิบห้าปี ออกมาก็แก่พอดี นายกลัวถูกส่งไปนิคมหรือ’

‘ใช่ ยอมรับแบบหน้าไม่อายเลย ปาปิญง ฉันกลัว ที่นั่นเลวร้ายมาก อัตราการตายสูงถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ทุกปี  นักโทษใหม่เข้าไปแทนที่นักโทษเก่า แต่ละรอบมีนักโทษถูกส่งเข้าไปพันแปดถึงสองพัน  ถ้าไม่เป็นโรคเรื้อน ก็ไข้เหลือง หรือไข้เลือดออก ไม่ก็ท้องร่วงแบบใดแบบหนึ่งที่มีแต่ตายเท่านั้น ถ้านายหนีออกมาได้ ก็น่าจะตายเพราะถูกฆ่าชิงที่ซ่อนเงิน  ไม่ก็ตายตอนที่พยายามหนี  เชื่อฉันเถอะ ปาปิญง ฉันไม่ได้จะดับฝันนายหรอกนะ แต่ฉันรู้จักหลายคนที่กลับมาหลังจากไปอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง..ห้าถึงเจ็ดปี  ฉันรู้ว่าฉันกำลังพูดอะไร คนที่กลับมานี่ไม่เหลือสภาพเลย เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลปีละเก้าเดือนได้ พวกมันบอกว่ามันไม่ได้หนีได้ง่ายๆ อย่างที่คนคิดกันหรอก’

‘เดอกา ฉันเชื่อนายที่นายพูด แต่ก็เชื่อตัวเองด้วย ฉันจะไม่เสียเวลากับที่นั่นนานหรอก นายแน่ใจได้เลย ฉันเป็นกะลาสี ฉันรู้จักทะเลดี นายเชื่อได้เลยว่าฉันจะแหกคุกเร็วๆ นี้แหละ ว่าแต่นายเถอะ นายนึกภาพตัวเองอยู่ในคุกสิบปีได้รึ  ถึงจะได้ลดโทษเหลือห้าปีก็เถอะ นายคิดว่าความโดดเดี่ยวที่นั่นจะไม่ทำให้นายบ้าตายก่อนรึ  และไอ้ลดโทษห้าปีนี่ก็ยังไม่แน่ด้วยนะ ดูฉันสิ นั่งจ่อมอยู่ในห้องขังคนเดียวทั้งวัน ไม่มีหนังสือ ไม่ได้ออกไปข้างนอก ไม่ได้พูดกับใครตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงทุกวันเหี้ยๆ นี่  มันไม่ได้แค่หกสิบนาทีที่นายต้องนั่งนับทุกชั่วโมงหรอกนะ  แต่นายเหมือนหกร้อยนาทีทีเดียว ..ที่พูดมานี่ยังไม่ใกล้ความจริงซะด้วยซ้ำ’

‘ก็ใช่ แต่นายยังหนุ่ม ฉันน่ะสี่สิบสองแล้ว’

‘ฟังนะ เดอกา บอกมาตรงๆ เลยนะ นายกลัวอะไรที่สุด นักโทษด้วยกันนี่ใช่ไหม’

“ใช่ ปาปี พูดตรงๆ เลย ทุกคนรู้ว่าฉันเป็นเศรษฐี  ฉันจะถูกปาดคอได้ง่ายๆ เลยเพราะพวกมันคิดว่าฉันคงมีเงินติดตัวมาเป็นหมื่นเป็นแสน”

“เอาล่ะ นายอยากจับมือกับฉันหรือเปล่าล่ะ  ขอแค่ให้นายสัญญาว่าจะไม่บ้าไปเสียก่อนเท่านั้นพอ  ฉันสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างนายตลอดเวลา เราจะช่วยกันและกัน ฉันแข็งแรงและเร็วด้วย เรื่องชกต่อยนี่ฉันถนัดมาแต่เด็ก เรื่องใช้มีดไม่ต้องพูดถึง เพราะฉะนั้นปัญหากับนักโทษด้วยกันนี่นายวางใจได้เลย  พวกมันจะต้องนับถือเราสองคน ที่สำคัญคือเกรงกลัวด้วย ส่วนเรื่องแหกคุก เราไม่ต้องการคนอื่นอีก นายมีเงิน ฉันมีเงิน และฉันใช้เข็มทิศและแล่นเรือได้ นายจะเอาอะไรอีก’

เดอกาจ้องตาผมเขม็ง แล้วเราก็กอดกัน เราสองคนเป็นคู่หูกันแล้ว

ประตูเปิดออกหลังจากนั้นไม่กี่นาที  ต่างคนต่างหอบสมบัติของตนและเดินแยกย้ายไปคนละทาง  เราสองคนอยู่ไม่ไกลกันนัก และเจอกันอยู่เนืองๆ ไม่ที่ห้องตัดผมก็ที่ห้องหมอหรือที่โบสถ์ในวันอาทิตย์

เดอกาต้องโทษฐานปลอมพันธบัตรของกระทรวงกลาโหม นักปลอมแปลงสมองใสผู้นี้ทำด้วยวิธีที่ไม่เหมือนใคร คือ นำพันธบัตรห้าร้อยฟรังค์มากัดสีให้ซีด แล้วพิมพ์คำว่าหนึ่งหมื่นฟรังค์ลงไปอย่างแนบเนียน เนื่องจากเนื้อกระดาษเหมือนกันคนจึงดูไม่ออก ทั้งธนาคารและนักธุรกิจต่างรับกันอย่างสนิทใจเป็นเวลานานหลายปี  หน่วยงานรัฐบาลที่รับผิดชอบด้านการเงินการคลังจับมือใครดมไม่ได้จนกระทั่งกระทาชายนายหนึ่งนามบริอูเลต์ถูกจับได้คาหนังคาเขา

หลุยส์ เดกานั่งดูบาร์ของเขาในมาร์เซย์ที่ซึ่งบรรดาเสือ สิงห์ กระทิง แรดในโลกใต้ดินมาชุมนุมกันทุกคืน และเป็นที่นัดพบของวายร้ายจากทั่วโลกจนเรียกว่าเป็นแหล่งชุมนุมดาวร้ายสากลก็ว่าได้  นั่นคือปี 1929 และเขาคือมหาเศรษฐี  และแล้วคืนหนึ่งหญิงสาวสวย แต่งตัวอย่างงดงามก็ปรากฏกายขึ้นและขอพบเมอซิเออร์หลุยส์ เดอกา

“ผมเองครับ มาดาม มีอะไรให้ช่วยไหมครับ ไปคุยกันในห้องข้างๆ ดีกว่า”

“ฉันเป็นภรรยาของบริอูเลต์ ตอนนี้เขาติดคุกอยู่ในปารีสข้อหาหลอกขายพันธบัตรปลอม ฉันไปเยี่ยมเขาที่ซองเต เขาบอกให้ฉันมาหาคุณตามที่อยู่ที่เขาให้มา และบอกว่าเขาอยากได้เงินสองหมื่นฟรังค์ไปจ่ายค่าทนาย”

ขณะที่เผชิญกับอันตรายจากผู้หญิงซึ่งรู้ว่าเขามีส่วนในการปลอมแปลงพันธบัตรนี้เองที่เดอกา..วายร้ายระดับพระกาฬของฝรั่งเศสได้พูดอะไรบางอย่างที่เขาไม่สมควรพูดออกไป  “ฟังนะมาดาม ผมไม่รู้จักสามีของมาดาม ถ้ามาดามอยากได้เงิน ก็ออกไปที่หน้าถนนนั่น มาดามยังสาวและสวย น่าจะได้เงินมากกว่าที่ต้องการ”  ผู้หญิงที่น่าสงสารนั่นวิ่งออกไปทั้งน้ำตาด้วยความโกรธ และกลับไปเล่าให้สามีหล่อนฟัง  วันรุ่งขึ้นบริอูเลต์ก็สารภาพทุกสิ่งทุกอย่างที่รู้กับตำรวจ และบอกว่าเดอกาคือตัวการในการปลอมแปลงพันธบัตร  จากนั้นทีมนักสืบฝีมือเยี่ยมที่สุดของประเทศก็ออกตามล่าเขา เพียงหนึ่งเดือน เดอกา..ผู้ปลอมแปลง คนแกะพิมพ์และผู้สวมรู้ร่วมคิดอีกสิบเอ็ดคนก็ถูกจับกุมพร้อมกันจากที่ต่างๆ และนำตัวเข้าคุก  ทนายของทุกคนที่ถูกจับล้วนมีชื่อเสียง แต่บริอูเลต์ไม่กลับคำ ผลคือจอมวายร้ายของฝรั่งเศสต้องติดคุกแรงงานสิบห้าเพราะเงินเพียงสองหมื่นฟรังค์กับความปากเสียของเขา  ตอนนี้เขานั่งโทรมอยู่ตรงหน้าผม ดูแก่กว่าอายุสิบปีได้  นี่คือผู้ชายที่ผมเพิ่งตกว่าจะร่วมหัวจมท้ายด้วย

เมอซิเออร์เรมง อูแบมาเยี่ยมผม เขารู้สึกไม่ดีนักกับผลที่ออกมา แต่ผมไม่ตำหนิเขาสักคำ

หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หัน… หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หัน  ผมนั่งลงสูบบุหรี่หลังจากเดินไปกลับระหว่างประตูกับหน้าต่างห้องขังมาหลายชั่วโมง  รู้สึกว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม  ผมสามารถรับมือได้ไม่ว่าอะไรจะเข้ามา  ณ จุดนี้ผมสัญญากับตัวเองว่าจะพักเรื่องคิดแก้แค้นไปก่อน  ผมยังตัวสินใจไม่ได้ว่าจะทำอะไรกับไอ้ผู้พิพากษาดี  เอาเป็นว่าล่ามมันไว้ตรงกำแพงนี่แหละ ให้มันยืนประจันหน้ากับผมไปแบบนี้แล้วกัน

จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังโหยหวนลอดทะลุผ่านประตูเข้ามา เสียงอะไรน่ะ ฟังเหมือนคนกำลังถูกทรมาน แต่นี่ไม่ใช่กองอาชญากรรมนี่นา ไม่มีทางที่ผมจะรู้ได้เลยว่าอะไรเกิดขึ้น เสียงกรีดร้องโหยหวนในตอนกลางคืนปลุกผมตื่น  มันต้องดังมากทีเดียวถึงทะลุผ่านประตูบุนวมเข้ามาได้  อาจจะเป็นนักโทษที่เสียสติไปแล้วก็ได้  การที่จะเสียสติในห้องที่ไม่มีอะไรเล็ดลอดเข้ามาได้นี้ง่ายมา  ผมบอกกับตัวเอง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วย ผมถามตัวเอง สนใจแต่เรื่องตัวเองก็พอ ไม่ต้องยุ่งกับใครทั้งนั้นนอกจากตัวนายเอง แล้วก็เดอกา..คู่หูนาย  ผมก้มตัวลง ยืดตัวขึ้น แล้วทุบอกตัวเองอย่างแรง  โอยเจ็บจริง แสดงว่าทุกอย่างยังดีอยู่ กล้ามแขนยังใช้ได้ดี แล้วขาล่ะ  แสดงความยินดีกับมันได้เลย เพราะมันเพิ่งเดินมาสิบหาชั่วโมงโดยไม่รู้สึกเมื่อยแม้แต่น้อย

ชาวจีนค้นพบวิธีหยดน้ำลงบนหัว แต่พวกฝรั่งเศสค้นพบการใช้ความเงียบ  พวกเขาจะขจัดทุกอย่างที่ให้ความเพลิดเพลิน ไม่ว่าหนังสือ กระดาษ ดินสอ พวกเขาเอาแผ่นไม้มาปิดทับหน้าต่างลูกกรง  แสงเล็กน้อยที่มีคือพวกที่เล็ดลอดเข้ามาตามรูเล็กๆ

เสียงกรีดร้องโหยหวนทำให้ผมหนาววาบและลุกขึ้นเดินไปมาเหมือนเสือติดจั่น รู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้คนเดียว คนอื่นไปกันหมดแล้ว เรียกว่าผมถูกฝังทั้งเป็นก็ว่าได้  ที่นี่มีผมคนเดียว คนเดียวอย่างแท้จริง สิ่งที่แทรกซอนมาได้มีเพียงเสียงกรีดร้อง

ประตูเปิดออก  บาทหลวงชราคนหนึ่งปรากฏขึ้น  ทันใดนั้นผมก็ไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป  มีบาทหลวงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าผมนี่

“สวัสดีลูก ขอโทษนะที่พ่อไม่ได้มาเร็วกว่านี้ พอดีพ่อหยุดพักร้อนน่ะ เป็นยังไงบ้างล่ะ”  ว่าแล้วบาทหลวงชราหน้าตาใจดีก็เดินเข้ามาในห้องขังอย่างสงบและนั่งลงบนที่นอน  “ลูกเป็นคนที่ไหนล่ะ”

“อาแดชครับ”

“พ่อแม่ล่ะ”

“แม่เสียตั้งแต่ผมอายุสิบเอ็ด พ่อดีกับผมมากครับ”

“พ่อทำงานอะไรรึ”

“เป็นครูครับ”

“ยังอยู่ใช่ไหม”

“ครับ”

“ถ้าพ่อของลูกยังมีอยู่ทำไมลูกจึงพูดถึงพ่อในรูปอดีตกาลล่ะ”

“เพราะถึงพ่อยังอยู่ แต่ผมตายแล้วน่ะสิครับ”

“โอ อย่าพูดอย่างนั้นสิ  ลูกไปทำอะไรมาล่ะ”

ความคิดผุดขึ้นแวบหนึ่งว่า คงจะตรงเกินไปถ้าจะบอกว่าผมบริสุทธิ์ แล้วก็ตอบไปว่า “ตำรวจบอกว่าผมฆ่าคนตาย ถ้าพวกเขาพูดแบบนั้น ก็น่าจะเป็นแบบนั้น’

“พ่อค้ารึ”

“ไม่ครับ แมงดา”

“แปลว่าลูกต้องติดคุกตลอดชีวิตเพราะเรื่องทะเลาะวิวาทในโลกใต้ดินน่ะรึ พ่อไม่เข้าใจจริงๆ  ฆาตกรรมรึ”

“ไม่ครับ ฆ่าคนตาย”

“โธ่..ลูกเอ๋ย ไม่น่าเชื่อจริงๆ พ่อช่วยอะไรเจ้าได้บ้างล่ะ  จะให้พ่อสวดให้ไหม”

“ผมไม่เคยเรียนคำสอนมาก่อนครับพ่อ ผมสวดไม่เป็น”

“ไม่เป็นไรลูก พ่อจะสวดให้เอง พระเจ้ารู้จักลูกของพระองค์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่ก็ตาม พูดตามพ่อนะ”  สายตาที่บาทหลวงชรามองมาจากใบหน้าอ้วนกลมเต็มเปี่ยมด้วยเมตตาจนผมรู้สึกละอายใจหากจะปฏิเสธ  เมื่อเขาคุกเข่าลง ผมจึงคุกเข่าลงตาม  ‘ข้าแต่พระบิดาของเรา…’  น้ำตาผมรื้นขึ้นมา  คุณพ่อเห็นและใช้นิ้วอวบอูมรองรับน้ำตาหยดใหญ่ซึ่งไหลลงมาตามแก้มผมและนำเข้าปาก  “ลูกเอ๋ย น้ำตานี้คือรางวัลที่ดีที่สุดที่พระเจ้าประทานให้พ่อผ่านตัวเจ้าในวันนี้ ขอบใจมากนะ” แล้วเขาก็ลุกขึ้นมาจูบหน้าผากผม

เราสองคนลุกขึ้นมานั่งบนเตียงอีกครั้ง  “เจ้าร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”

“สิบสี่ปีที่แล้วครับ”

“ทำไมถึงสิบสี่ปีล่ะ”

“มันเป็นวันที่แม่เสีย”

คุณพ่อจับมือผมและบอกว่า “จงให้อภัยผู้ที่ทำให้ลูกต้องเจ็บปวด”

ผมกระชากมือออกและดีดตัวขึ้นมายืนกลางห้อง มันเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ  “ไม่มีทาง! ผมไม่มีวันให้อภัยพวกมัน ผมจะบอกอะไรให้นะ  ผมไม่เคยหยุดคิดหาวิธีฆ่าพวกมันแม้แต่วันเดียว คืนเดียว ชั่วโมงเดียว หรือนาทีเดียว ผมคิดตลอดเวลาว่าจะฆ่าไอ้พวกที่ส่งผมมาที่นี่ยังไง เมื่อไหร่ และด้วยอะไร’

“เจ้าพูดแบบนั้น และเจ้าก็เชื่อตามที่พูด แต่เจ้ายังเด็กนัก เด็กมาก เมื่อเจ้าโตขึ้นเจ้าจะเลิกคิดเลิกแค้นเอง”  ขณะนี้สามสิบสี่ปีผ่านไปแล้ว และผมคิดว่าถูกของเขา  “พ่อช่วยอะไรลูกได้บ้างล่ะ”  เขาถามอีกครั้ง

“มันเป็นเรื่องผิดกฎหมายครับคุณพ่อ”

“อะไรรึ”

“ผมอยากให้คุณพ่อไปที่ห้อง 37 และบอกเดอกาว่าให้ทนายของเขาทำเรื่องขอส่งตัวเขาไปเรือนจำกลางที่แคน  บอกเขาว่าลูกเองได้ทำเรื่องขอไปที่นั่นวันนี้  เราต้องออกจากที่นี่ไปยังเรือนจำกลางแห่งใดแห่งหนึ่งที่จะส่งนักโทษไปเกียนาโดยเร็วที่สุด เพราะถ้าพลาดเรือ เราต้องถูกขังเดี่ยวอีกสองปีกว่าจะมีเรือออกอีกครั้ง  หลังจากที่คุณพ่อไปหาเขาแล้ว กรุณากลับมาที่นี่อีกครั้งได้ไหมครับ”

“พ่อจะให้เหตุผลอะไรกับพวกเขารึ”

“บอกพวกเขาก็ได้ว่าคุณพ่อลืมหนังสือสวดมนต์ ผมจะรอคำตอบนะครับ”

“ทำไมเจ้าจึงรีบเร่งอยากไปในที่น่ากลัวเช่นทัณฑนิคมนั่นด้วยล่ะ”

ผมจ้องหน้าบาทหลวงชรา..เซลส์แมนขายข่าวประเสริฐผู้มีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ และมั่นใจว่าเขาไม่ทรยศผมแน่  “เพื่อเราจะได้หนีได้เร็วขึ้นครับพ่อ”

“ขอให้พระเจ้าคุ้มครองเจ้า ลูกเอ๋ย พ่อมั่นใจ พ่อรู้สึกว่าเจ้าจะได้ตั้งต้นชีวิตใหม่ พ่อเห็นในแววตาของเจ้าว่าเจ้าเป็นคนดี หัวใจของเจ้าอยู่ในที่ที่ถูกต้อง พ่อจะไปที่ห้อง 37 และนำคำตอบมาให้”

คุณพ่อกลับมาเร็วมาก เดอกาตกลงตามที่ผมบอก  และทิ้งหนังสือสวดมนต์ไว้กับผมจนถึงพรุ่งนี้

คุณพ่อผู้แสนดีคือแสงสว่างที่ส่องเข้ามาในห้องขังมืดมิดของผม  หากพระเจ้ามีจริง ทำไมพระองค์ถึงอนุญาตให้มนุษย์ที่แตกต่างกันราวกับฟ้าดิน อย่างไอ้ผู้พิพากษา ไอ้พวกตำรวจ ไอ้โปแลนกับบาทหลวงแสนดีผู้นี้อยู่ร่วมโลกกันได้

การมาเยือนของบาดหลวงผู้มีเมตตาช่วยเยียวยาบาดแผลในใจของผม ทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นมาและยังเป็นประโยชน์แก่ผมด้วย  คำร้องขอย้ายเรือนจำของเราได้รับอนุมัติอย่างรวดเร็ว  หนึ่งสัปดาห์ต่อมาพวกเราเจ็ดคนที่มีคำสั่งย้ายก็ยืนเข้าแถวอยู่ที่ระเบียงเรือนจำกงเซียเฌอรีในเวลาตีสี่ พร้อมผู้คุมทุกคน

“ถอดเสื้อผ้าออก!”   พวกเราถอดเสื้อผ้าออกช้าๆ  อากาศหนาวทำให้ผมขนลุก

“วางทุกอย่างไว้ข้างหน้า กลับหลังหัน และถอยหลังไปหนึ่งก้าว”  เบื้องหน้าเราทุกคนมีเสื้อผ้ากองหนึ่ง

‘ใส่เสื้อผ้า’  เสื้อลินินเนื้อดีที่ผมใส่เมื่อกี้ถูกแทนที่ด้วยผ้าดิบเนื้อหยาบ ไม่ย้อมสี สูทชุดงามถูกแทนที่ด้วยแจ็คเก็ตและกางเกงเนื้อหยาบ ไม่มีรองเท้าอีกต่อไปนอกจากเกี๊ยะไม้ ก่อนหน้านี้ผมดูเป็นคนปกติ แต่เมื่อหันไปดูคนอื่นๆ อีกหกคน  พระเจ้าช่วย ผมตะลึง! ตัวตนของทุกคนไม่มีเหลือ พวกเขาได้เปลี่ยนเราเป็นนักโทษในสองนาที

‘ขวาหัน หน้าเดิน!’  พวกเราเดินไปที่ลานโดยมีผู้คุมยี่สิบคนคอยคุม ก่อนจะถูกผลักเข้าขึ้นไปท้ายรถตู้คันเล็กๆ ทีละคนเพื่อมุ่งหน้าสู่โบลิว..เรือนจำที่ก็อง

 

เรือนจำก็อง

 

ทันทีที่ไปถึงก็องพวกเราถูกนำตัวไปยังห้องทำงานของผู้ว่าการเรือนจำซึ่งนั่งแต่งตัวเต็มยศอยู่หลังโต๊ะทำงานไม้ตัวใหญ่บนแท่นสูงราวสามฟุต

“นักโทษ! ผู้ว่าการจะกล่าวอะไรบางอย่างกับพวกเธอ”

“นักโทษทุกคน พวกเธอมาที่นี่เพื่อรอการส่งตัวไปยังทัณฑนิคม ที่นี่ไม่ใช่เรือนจำทั่วไป  จะไม่มีการพูดคุย ไม่มีการอนุญาตให้เข้าเยี่ยม ไม่มีจดหมายจากใครทั้งสิ้น  พวกเธอจะทำตามกฎไม่ก็แหกกฎ  มีประตูสองบานที่พวกเธอจะออกไปได้  บานหนึ่งไปสู่ทัณฑนิคม..ถ้าพวกเธอประพฤติตัวดี  ส่วนอีกบานไปยังสุสาน  เอาล่ะ ฉันจะพูดให้ฟังว่าจะเกิดอะไรกับผู้ประพฤติตัวไม่ดี นักโทษที่ทำผิดแม้เพียงน้อยนิด จะถูกขังเดี่ยว ได้รับเพียงขนมปังและน้ำเป็นเวลาหกสิบวัน บอกได้เลยว่าไม่เคยมีใครรอดจากหลุมดำนี้ถ้าเจอสองครั้งติดต่อกัน  พวกเธอคงเข้าใจว่าฉันหมายถึงอะไร”  พูดจบเขาก็หันไปยังนักโทษที่ใครๆ เรียกกันว่าไอ้บ้าปีโร ซึ่งถูกส่งตัวมาจากสเปน และถามว่า “ตอนที่เป็นพลเรือนคนเรียกเธอว่าอะไร”

“นักสู้วัวกระทิงขอรับ เมอซิเออร์ผู้ว่าการ”

คำตอบของเขาทำให้ผู้ว่าการเดือดดาลและตะโกนขึ้นว่า “เอาตัวมันไปเดี๋ยวนี้!”  ยังไม่ทันกระพริบตา เจ้านักสู้วัวกระทิงก็ถูกผู้คุมสี่ห้าคนกระหน่ำตีด้วยไม้พลองลงไปกองกับพื้นและลากตัวออกไป ได้ยินแต่เสียงตะโกนตามหลังว่า “ไอ้เหี้ย ห้ารุมหนึ่ง ใช้ไม้พลองอีกต่างหาก ไอ้พวกขี้ขลาด!” ตามด้วยเสียงดัง อ้า ของสัตว์ที่ตายด้วยแผลบาดเจ็บ แล้วทุกอย่างก็เงียบลงมีเพียงเสียงอะไรบางอย่างถูกลากไปตามพื้นคอนกรีต

หลังจากละครฉากนี้จบลงแล้วหากพวกเรายังไม่เข้าใจความหมายของผู้ว่าการเราก็คงไม่มีวันเข้าใจอะไรอีก  เดอกาซึ่งยืนอยู่ข้างผมเลื่อนนิ้วมาแตะกางเกงผม..เพียงนิ้วเดียวเท่านั้นแต่ผมเข้าใจดีถึงสิ่งที่เขาต้องการสื่อ “ระวังตัวให้ดีถ้าอยากมีชีวิตจนถึงเกียนา”  หลังจากนั้นสิบนาทีพวกเราก็เข้าไปอยู่ในห้องขังของแต่ละคนในเรือนจำ ยกเว้นไอ้บ้าปีโรที่ถูกลากลงไปในหลุมดำซึ่งอยู่ใต้ดิน

โชคเข้าข้างที่ผมกับเดอกาได้อยู่ห้องติดกัน  แต่ก่อนจะเข้าห้องขังพวกเราถูกนำไปรู้จักกับชายผมแดง ร่างทะมึนสูงกว่าหกฟุตเหมือนยักษ์ตาเดียว มือขวากำแส้ทำจากกระดูกวัวใหม่เอี่ยม หมอนี่เป็นสารวัตรนักโทษ มีหน้าที่ทรมานนักโทษตามคำสั่งผู้คุม และเป็นที่หวาดหวั่นของนักโทษทุกคน  การมีเจ้านี่ทำให้ผู้คุมไม่ต้องลงมือทุบตีนักโทษด้วยตัวเองให้เหนื่อยแรง นอกจากนั้นยังไม่ถูกเบื้องบนตำหนิหากนักโทษเสียชีวิตด้วย

ในตอนหลัง เมื่อผมเข้าไปนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลจึงได้รู้เรื่องราวของไอ้อมนุษย์นี่  ต้องขอบอกว่าผู้ว่าการเรือนจำเลือกเพชฌฆาตได้ถูกคนมาก ก่อนหน้านี้ไอ้หมอนี่เป็นคนงานเหมือนหินในเมืองเล็กๆ ในฟลานเดอร์ จู่ๆ วันหนึ่งมันก็คิดฆ่าตัวตายพร้อมเอาเมียมันไปด้วยโดยใช้ระเบิดไดนาไมต์  ในห้องนอนบนชั้นสองของอาคารหกชั้น มันนอนลงข้างเมีย จากนั้นขณะที่เมียหลับไปแล้ว ก็จุดบุหรี่แล้วก็จุดสายชนวน มือซ้ายถือระเบิดระหว่างหัวตัวเองกับเมีย ระเบิดระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของเมียมันแหลกเหลวขนาดต้องใช้ช้อนตัก ส่วนหนึ่งของอาคารพังลงยังผลให้เด็กสามคนและหญิงชราวัยเจ็ดสิบเสียชีวิต  ทุกคนในอาคารบาดเจ็บไม่มากก็น้อย  ไอ้ตัวการทรีบูยญามือจุดระเบิดนั้นมือซ้ายกระจุยเหลือแค่นิ้วโป้งกับนิ้วก้อย เสียหูและตาซ้าย หัวกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนต้องถูกเจาะกะโหลกเอาเลือดออก หลังจากถูกตัดสินจำคุก พวกเขาได้มอบตำแหน่งสารวัตรในเรือนจำกลางแห่งนี้ให้มัน ทำให้ชายโรคจิตผู้นี้มีอำนาจเหนือนักโทษคนอื่นที่นี่

หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หัน…หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หัน ผมเริ่มเดินไปกลับระหว่างประตูกับกำแพงอีกครั้ง

ระหว่างวันนักโทษไม่ได้รับอนุญาตให้นอน  เสียงนกหวีดแหลมแสบแก้วหูจะปลุกเราตื่นขึ้นตอนตีห้า หลังจากเก็บที่นอน ทำความสะอาดเนื้อตัว พวกเราจะนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ข้างกำแพงหรือเดินไปเดินมาก็ได้ แต่ห้ามเอนตัวลงนอนเด็ดขาด เพื่อความแน่ใจเตียงในห้องขังจึงถูกออกแบบให้พับขึ้นและเกี่ยวติดกับกำแพงได้ วิธีนี้ทำให้นักโทษไม่มีที่ให้เอนตัวลงนอนและอยู่ในสายตาผู้คุมตลอดเวลา

หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า.. วิธีการเดินไปมาเป็นจังหวะเหมือนหุ่นยนต์วันละสิบสี่ชั่วโมงของผมคือ ก้มหัวลง มือไขว้หลัง ก้าวเท้าเท่าๆ กันไม่เร็วหรือช้าเกินไป แล้วหันกลับโดยอัตโนมัติเมื่อเท้าซ้ายหรือขวาแตะด้านใดด้านหนึ่ง

หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า…ห้องขังที่นี่สว่างกว่าที่กงเซียเฌอรี และเสียงด้านนอกสามารถลอดเข้ามาได้..บ้างก็เป็นเสียงจากในคุก บ้างก็ลอยมาจากหมู่บ้านแถบนั้น  ตอนกลางคืนเราจะได้ยินเสียงผิวปากหรือเสียงร้องเพลงของชาวนาชาวไร่ขณะเดินกลับบ้านหลังจากอิ่มอกอิ่มใจกับเหล้าแอปเปิลหมัก

ผมได้รับของขวัญในวันคริสต์มาสเมื่อมองผ่านรอยแยกของแผ่นไม้ ที่ปิดอยู่ที่หน้าต่าง เห็นท้องทุ่งปกคลุมด้วยหิมะขาวสะอาด ต้นไม้สูงสองสามต้นสุกสว่างกลางแสงจันทร์ เหมือนภาพในบัตรอวยพรวันคริสต์มาส ลมพัดต้นไม้ไหว สลัดหิมะที่เกาะอยู่ออก ทำให้มันโดดเด่นยิ่งขึ้น หมู่ไม้ดำมืดตัดกับสีขาวโพลนในบริเวณรอบๆ

วันคริสต์มาสเป็นวันสำหรับทุกคน แม้แต่ในคุกก็มีวันคริสต์มาส เจ้าหน้าที่อนุญาตให้นักโทษที่รอการส่งตัวอยู่ซื้อช็อกโกแล็ตได้สองอัน ผมหมายถึงสองอันจริงๆ ไม่ใช่แค่สองชิ้น  ดังนั้นอาหารเย็นในวันคริสต์มาสของผมจึงมีช็อคโกแล็ตรวมอยู่ด้วย

หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า  กฎหมายที่กดขี่ทำให้ผมกลายเป็นตุ้มนาฬิกา โลกของผมคือเดินไปมาในห้องขัง  นี่คือผลงานทางวิทยาศาสตร์โดยแท้ พวกเขาไม่อนุญาตให้มีอะไรทั้งสิ้นในห้อง ยิ่งกว่านั้นก็คือนักโทษไม่สามารถให้ความสนใจกับอะไรได้ด้วย ถ้าถูกจับได้ว่าผมพยายามมองลอดรอยแยกบนแผ่นไม้ที่ปิดหน้าต่างอยู่ออกไป ผมจะถูกลงโทษอย่างหนัก แต่พวกเขาอาจทำถูกแล้วก็ได้ เพราะสำหรับพวกเขาผมเป็นเพียงศพที่ยังหายใจเท่านั้น ศพมีสิทธิ์อะไรที่จะเพลิดเพลินกับวิวข้างนอกนั่น

ผมเห็นผีเสื้อสีฟ้าอ่อนลายดำตัวหนึ่งบินเข้ามาใกล้หน้าต่าง ผึ้งตัวหนึ่งส่งเสียงฮัมไม่ไกลจากมัน  พวกมันกำลังมองหาอะไรในที่แบบนี้รึ  ดูเหมือนแสงอาทิตย์มัวซัวของฤดูหนาวจะทำให้มันบ้าไปแล้ว หรือไม่มันก็คงหนาวและพยายามเข้ามาหาไออุ่นในคุก  ผีเสื้อในฤดูหนาวหมายถึงการมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ทำไมมันถึงไม่ตายนะ  เจ้าผึ้งนั่นด้วย มันออกจากรังมาทำไม ช่างกล้าเสียจริงที่มันมาที่นี่  ถ้ามันรู้ว่าที่นี่คืออะไรล่ะก็ หึ!  โชคดีที่ไอ้สารวัตรนั่นไม่มีปีก ไม่งั้นมันคงมีชีวิตได้อีกไม่นาน

ไอ้ทรีบูยญามันเป็นซาดิสต์และผมมั่นใจอย่างแรงว่าจะต้องมีเรื่องกับมันแน่ไม่ช้าก็เร็ว  เป็นดังคาด  รุ่งขึ้นหลังจากการมาเยือนของแมลงแสนสวยทั้งสอง ผมบอกเจ้าหน้าที่ว่าป่วย ผมทนความโดดเดี่ยวไม่ได้อีกแล้วและต้องเห็นหน้าหรือได้ยินเสียงใครสักคนแม้จะเป็นคนที่ผมไม่ชอบก็ตาม เพราะยังไงมันก็ยังเป็นเสียงซึ่งเป็นสิ่งที่ผมอยากได้ยินมาก

ผมยืนตัวเปล่าเปลือยอยู่ตรงทางเดินในอากาศหนาวจัด หันหน้าเข้าหากำแพง จมูกอยู่ห่างจากกำแพงเพียงสามนิ้ว  ผมเป็นคนสุดท้ายในแถวแปดคนที่กำลังรอพบหมอ  ความจริงแล้วผมแค่อยากเห็นผู้คนเท่านั้นเอง และก็ทำได้สำเร็จ!  ไอ้สารวัตรซาดิสต์หัวแดงเห็นพอดีตอนที่ผมกำลังซุบซิบพูดอะไรสองสามคำกับฌูโร ที่ใครๆ เรียกว่ามนุษย์ค้อน  เนื่องจากผมยืนหันหน้าเข้าหากำแพงจึงไม่เห็นมัน และโดนกำปั้นของมันเสยเข้าเต็มเปา จมูกกระแทกกำแพงเลือดกระฉูดและล้มไปกองกับพื้น  ผมสะบัดหัวเพื่อทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นขณะที่พยายามลุกขึ้นยืน พยายามปกป้องตัวเองไปพร้อมกัน  นั่นแหละคือสิ่งที่ไอ้โหดรออยู่ มันเตะเสยเข้าที่ท้องจนผมหงายท้องลงไปกองกับพื้นอีกครั้งแล้วเริ่มฟาดด้วยแส้กระดูกวัว   เจ้าฌูโลทนดูไม่ได้และกระโดดเข้าใส่มัน ทั้งสองปลุกปล้ำกัน พวกผู้คุมยืนมองเฉยขณะที่เจ้าฌูโลโดนอัดเสียน่วม  ผมลุกขึ้นโดยไม่มีใครสังเกตเห็น และพยายามมองหาว่าจะใช้อะไรเป็นอาวุธได้  แล้วก็เหลือบเห็นหมอเอนตัวจากเก้าอี้นวมที่นั่งอยู่ในห้องตรวจออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น  ตอนนั้นเองที่ผมเห็นฝาหม้อใบหนึ่งกำลังเผยอขึ้นจากไอน้ำที่กำลังเดือดพล่าน หม้อเคลือบใบใหญ่นี้ตั้งอยู่บนเตาเพื่อให้ความอบอุ่นในห้องตรวจ และไอน้ำนั่นมีไว้เพื่อฆ่าเชื้อโรคในอากาศอย่างไม่ต้องสงสัย

ผมรี่เข้าไปคว้าที่จับหม้อร้อนจี๋นั่นแล้วสะบัดหม้อส่งน้ำเดือดพล่านสาดใส่หน้าไอ้สารวัตร  มันกำลังจัดการเจ้าฌูโลจึงไม่เห็นผม  เสียงกรีดร้องลั่นขึ้นอย่างหน้ากลัวก่อนที่มันลงไปดิ้นกระแด่วๆ อยู่บนพื้น พยายามกระชากเสื้อกั๊กขนสัตว์ที่มันใส่ซ้อนกันสามตัวออกทีละตัว และตัวที่สามมีหนังติดออกมาด้วย  มันสวมเสื้อสวมหัวที่ค่อนข้างรัดตรงคอ เมื่อดึงออกนอกจากหนังบนแผ่นอกจะหลุดออกมาแล้วหนังที่คอและแก้มจึงติดเสื้อออกมาด้วย ตาข้างหนึ่งถูกน้ำร้อนลวกจนบอด  เจ้าฌูโลฉวยโอกาสตอนที่มันลากร่างที่มีเลือดออกซิบๆ อย่างน่ากลัวขึ้นมายืนโงนเงนอยู่นั้นเตะเสยเข้าตรงหว่างขา เจ้ายักษ์ชั่วร้ายลงไปนอนกองกับพื้นอวกแตกอวกแตน น้ำลายฟูมปากหมดฤทธิ์  เราสองคนไม่มีอะไรเสียอีกแล้วนอกจากรอว่าจะเกิดอะไรขึ้น  ผู้คุมสองคนที่ดูอยู่ไม่กล้าเข้ามาทำอะไรเรา นอกจากกดกริ่งฉุกเฉินเรียกคนมาสมทบ  ผู้คุมวิ่งมาจากทุกทิศทาง พลองกระหน่ำฟาดลงบนตัวเราสองคนราวกับพายุลูกเห็บตกใส่  โชคดีที่ผมสลบไปโดยเร็วจึงไม่รู้สึกเจ็บมาก

ผมค่อยๆ ได้สติและตื่นขึ้นมาในหลุมดำซึ่งอยู่ลึกลงจากพื้นดินสองชั้นและมีน้ำขัง  รู้สึกปวดระบมไปทุกที่ที่มือคลำไป และพบว่ามีแผลปูดที่หัวอย่างน้อยสิบสี่หรือสิบห้าแห่ง  ผมไม่รู้ว่ากี่โมงกี่ยามแล้ว ไม่รู้คืนรู้วัน เพราะมันมืดไปหมด  แล้วผมก็ได้ยินเสียงเคาะที่กำแพง เสียงนั้นห่างออกไปมากโขอยู่

ตุบ ตุบ ตุบ นี่คือวิธีที่เราสื่อสารกัน  ผมต้องเคาะสองตุบถ้าจะตอบ แต่ผมจะใช้อะไรเคาะล่ะ ผมไม่เห็นอะไรที่จะใช้ได้เลยในความมืดแบบนี้  จะใช้กำปั้นเสียงก็ไม่ดังพอ  ผมค่อยๆ ขยับตัวไปตรงที่คิดว่าน่าจะเป็นประตู เพราะมันมืดน้อยกว่า แล้วก็ชนเข้ากับลูกกรงที่มองไม่เห็น เมื่อยื่นมือออกไปในความมืดก็เข้าใจว่าห้องขังนี้มีประตูปิดอยู่ห่างจากตัวผมไปราวหนึ่งหลา มีลูกกรงที่ผมจับอยู่นี้คั่นกลาง วิธีนี้จะช่วยป้องกันคนที่เข้ามาในห้องไม่ให้ถูกนักโทษที่อยู่ในกรงอีกทีทำร้ายได้ คุณจะสามารถคุยกับนักโทษ สาดน้ำใส่ โยนอาหารให้ และก่นด่าโดยไม่เป็นอันตราย แต่มันมีข้อดีสำหรับนักโทษด้วยคือผู้คุมไม่สามารถทุบตีเขาได้โดยไม่เสี่ยงกับการเจ็บตัว เพราะถ้าจะทำ คุณต้องเปิดประตูลูกกรงเข้าไป

เสียงเคาะดังขึ้นซ้ำเป็นครั้งคราว  ใครนะที่เรียกผมอยู่  แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ยอมเสี่ยงชีวิตขนาดนั้นสมควรได้รับคำตอบจากผม  ขณะที่สำรวจห้องในความมืดนั้นผมก็สะดุดกับอะไรบางอย่างซึ่งทำให้เกือบคะมำลงไปจูบพื้น  เมื่อเอามือคลำดู แล้วก็พบว่าเป็นช้อนไม้ และหยิบขึ้นมาพร้อมจะเคาะตอบ  จากนั้นก็แนบหูลงกับกำแพงรอฟังเสียง ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ หยุด ตุบ ตุบ – ตุบ ตุบ ผมตอบ เสียงเคาะสองครั้งหลังนี้บอกให้ปลายทางอีกด้านรู้ว่า เอาเลย เคาะตอบได้  จากนั้นเสียงเคาะก็ดังขึ้นอีกครั้ง ตุบ ตุบ ตุบ ตัวอักษรวิ่งรัว – a b c d e f g h i j k l m n o p: หยุด เขาหยุดที่ตัว p ผมเคาะแรงๆ ดัง ตุบ แปลว่าผมเข้าใจ แล้วตัว a a p i และอื่นๆ ก็ตามมา เขาบอกว่า ‘papi – ปาปี เป้นไงมั่ง ฉันโดนหนักเลย แขนหัก’  ฌูโลนั่นเอง

เราสองคนคุยกันด้วยวิธีนี้อยู่สองชั่วโมงโดยไม่กังวลเลยว่าจะถูกจับได้ และดีใจมากที่สื่อสารกันได้  ผมบอกเขาว่าผมไม่มีอะไรหัก หัวโนหลายที่ แต่ที่อื่นไม่เป็นไร

เขาบอกว่าเขาเห็นผมถูกลากขาข้างเดียวลงบันไดไป และหัวกระแทกไปตามขั้นบันได  แต่เขาเองรู้สึกตัวตลอดเวลา และคิดว่าไอ้ทรีบูยญาถูกน้ำร้อนลวกอย่างรุนแรง เสื้อขนสัตว์ที่มันใส่ทำให้แผลยิ่งลึก คงจะไม่หายดีในเร็ววัน

เสียงเคาะรัวเร็วสามครั้งบอกว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ผมจึงหยุดเคาะทันที  ถูกของเขา ไม่กี่นาทีต่อมา ประตูก็เปิดออก มีเสียงตะโกนเข้ามาว่า “ไอ้เบื๊อก ถอยไปข้างหลัง ถอยเข้าไปในห้องโน่น แล้วยืนตรง” สารวัตรคนใหม่สั่ง “ฉันชื่อบัตตง ชื่อจริงของฉันเลย เหมาะกับงานไหมล่ะ”  ตะเกียงเจ้าพายุที่เขาถือมาด้วยทำให้ภาพหลุมดำและตัวเปล่าเปลือยของผมปรากฏขึ้น  ‘เอานี่ไปใส่ ยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นแหละ และนี่ขนมปังกับน้ำ* อย่ากินหมดล่ะ เพราะแกจะไม่ได้อะไรอีกในยี่สิบสี่ชั่วโมงข้างหน้า’

 

* ขนมปังหนึ่งปอนด์กับน้ำไม่ถึงครึ่งลิตร

 

เขาตะโกนใส่ผมอย่างป่าเถื่อน แล้วยกตะเกียงขึ้นมาที่หน้า พลางชี้ไปยังของที่เอามาให้ ผมเห็นรอยยิ้มของเขาซึ่งไม่ได้ดุร้าย  ที่นี่น่าจะมีผู้คุมอยู่ และเขาอยากให้ผมรู้ว่าเขาไม่ใช่ศัตรู

จริงอย่างที่คิด ข้างในขนมปัง ผมเจอเนื้อต้มชิ้นใหญ่ และในกระเป๋ากางเกง..โอ พระเจ้า!  มันคือบุหรี่หนึ่งซองกับไม้ขีดไฟกับที่ขีดไฟแผ่นเล็กๆ  นี่คือของขวัญที่มีค่ามหาศาลสำหรับที่นี่  เสื้อเชิ้ตแทนที่จะมีตัวเดียวมีถึงสองตัว และกางเกงยาวถึงแข้งทำจากผ้าขนสัตว์  ผมไม่มีวันลืมเขาเลย นี่คงเป็นของขวัญสำหรับการขจัดเจ้าทรีบูยญา เพราะก่อนหน้านี้เขาเป็นแค่ผู้ช่วยสารวัตรเท่านั้น ตอนนี้เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของที่นี่ก็เพราะผม  พูดอีกอย่างก็คือ ผมช่วยให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งและเขาอยากขอบคุณผมด้วยของพวกนี้  เนื่องจากรู้ว่าตราบใดที่บัตตงอยู่ที่นี่ เราสองคนจะปลอดภัย ผมกับฌูโลจึงส่งโทรเลขกันทั้งวัน และผมรู้จากเขาว่าเราจะได้ออกเดินทางไปยังทัณฑนิคมแล้วในอีกสามสี่เดือนเท่านั้น

หลังจากนั้นสองวัน ผมกับฌูโลก็ถูกนำตัวออกจากห้องขังไปห้องทำงานผู้ว่าการโดยมีผู้คุมขนาบข้างคนละสอง  ที่นั่น ชายสามคนนั่งอยู่หลังโต๊ะซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามประตู  เหมือนเป็นศาลกลายๆ  ตัวผู้ว่าการทำหน้าที่เป็นประธานคณะผู้พิพากษา อีกสองคนคือรองผู้ว่าการกับหัวหน้าผู้คุม

“อะฮ้า พ่อหนุ่ม เจอกันอีกแล้ว มีอะไรจะพูดไหม”

ตัวของฌูโลซีดเผือด ตาบวมตุ่ย น่าจะเป็นไข้ แขนที่หักเมื่อสามวันก่อนน่าจะปวดมาก ‘แขนผมหักขอรับ’  เขาพูดเบาๆ

“ก็เธอหาเรื่องเอง นี่เป็นการสั่งสอนไม่ให้เธอลุแก่โทสะ เดี๋ยวหมอมาให้จะดูให้ คิดว่าในอีกอาทิตย์นี่แหละ รอไปก่อนน่ะดีแล้ว ความเจ็บปวดจะได้เป็นบทเรียน คงไม่คิดว่าฉันจะเรียกหมอให้มาดูคนอย่างเธอเป็นพิเศษหรอกนะ รอไป จนกว่าหมอจะมีเวลานั่นแหละ ระหว่างนี้ก็อยู่ในหลุมดำนั่นต่อไป”

ฌูโลมองตาผมเหมือนจะพูดว่า “สุภาพบุรุษในชุดสูทพวกนี้ขจัดคนทิ้งได้อย่างง่ายดายเสียจริง”

ผมหันไปมองผู้ว่าการอีกครั้ง ทำให้เขาคิดว่าผมมีอะไรจะพูด และบอกว่า “ว่าไงล่ะ ดูเหมือนเธอจะไม่ชอบใจที่ถูกลงโทษแบบนี้ มีอะไรจะพูดหรือเปล่า”

ผมบอกว่า ‘ไม่มีขอรับเมอซิเออร์ผู้ว่าการ  ผมแค่อยากถ่มน้ำลายใส่ท่าน แต่อย่าดีกว่า เดี๋ยวน้ำลายผมจะสกปรกเปล่าๆ’

ผู้ว่าการผงะ หน้าแดงก่ำอยู่ครู่หนึ่งขณะที่ทำความเข้าใจกับสิ่งที่ผมพูด แต่หัวหน้าพัศดีเข้าใจทันทีและตะโกนสั่งผู้คุม “ลากตัวมันออกไป แล้วดูแลมันให้ดีด้วยล่ะ ฉันอยากเห็นมันเข้าคุกเข่าอ้อนวอนขอให้ยกโทษให้ในอีกหนึ่งชั่วโมง  เราจะสั่งสอนมันให้เชื่องเอง ฉันจะให้มันใช้ลิ้นเลียรองเท้าบูทให้เกลี้ยงเกลาถึงส้นรองเท้าเลยดีเดียว ไม่ต้องปราณี จะทำอะไรก็ตามสบายเลย”

ผู้คุมสองคนบิดแขนขวา อีกสองบิดแขนซ้าย ผมนอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น มืออยู่ที่ไหล่ พวกมันจัดการใส่กุญแจมือแบบมีที่ล็อกนิ้ว แล้วเอานิ้วชี้ซ้ายล่ามกับนิ้วโป้งขวา ก่อนที่ผู้คุมคนหนึ่งจะกระชากผมผมขึ้นมาเหมือนสัตว์

เอาล่ะ ผมไม่อยากเสียเวลาเล่าว่าพวกเขาทำอะไรกับผมบ้าง ขอบอกแค่ว่าผมถูกใส่กุญแจโดยที่มือไพล่ไว้ด้านหลังเป็นเวลาสิบเอ็ดวัน  และผมเป็นหนี้บุญคุณบัตตง ทุกวันเขาจะโยนขนมปังสำหรับนักโทษเข้ามาในห้องขัง เนื่องจากผมใช้มือไม่ได้จึงไม่สามารถกินได้ ถึงจะเอาปากคาบขึ้นมาสอดกับลูกกรงก็กัดออกมาไม่ได้  ดังนั้นบัตตงจึงโยนขนมปังขนาดพอคำเข้ามาด้วยเพียงพอที่จะช่วยให้ผมมีชีวิตรอด  ผมจะเอาเท้าโกยขนมปังพวกนั้นเข้าหาตัว แล้วก้มลงกินเหมือนหมาโดยเคี้ยวอย่างละเอียดที่สุดเพื่อไม่ให้มีอะไรเหลือหลอ

เมื่อพวกเขาถอดกุญแจมือออกให้ในวันที่สิบสองนั้นมันบาดลึกลงไปในเนื้อจนบวมตุ่ยและหลุดติดออกมา หัวหน้าผู้คุมตกใจกลัวมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นผมเป็นลมด้วยความเจ็บปวด หลังจากที่ทำให้ผมฟื้นแล้ว พวกเขานำผมไปที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ล้างแผลให้ผมด้วยไฮโดรเจนเปอร์อ็อกไซด์และยืนกรานว่าจะฉีดยากันบาดทะยักให้ด้วย  แขนของผมแข็งจนไม่อาจอยู่ในท่าปกติ ต้องเอาน้ำมันการบูรถูราวครึ่งชั่วโมงจึงเอาลงได้

เมื่อกลับไปเข้าหลุมดำตามเดิม หัวหน้าผู้คุมเห็นขนมปังสิบเอ็ดก้อนและบอกว่า ‘เอาล่ะ ลงมือกินเลี้ยงได้เลย! แต่แปลกนะ ไม่ได้กินอะไรมาสิบเอ็ดวัน แต่แกไม่ยักกะผอมลง’

‘ผมดื่มน้ำเยอะเลยครับหัวหน้า’

‘อ้อ อย่างนั้นเอง เข้าใจละ เอาล่ะ ตอนนี้กินเยอะๆ เลยจะได้แข็งแรง’ แล้วเขาก็เดินไป

ไอ้ห่าเอ๊ย!  ที่มันพูดแบบนั้นเพราะมันรู้ว่าหลังจากไม่ได้กินอะไรเลยมาสิบเอ็ดวัน ถ้าผมกินทั้งหมดในคราวเดียวผมต้องจุกตายแน่  ตอนหัวค่ำบัตตงส่งยาสูบกับกระดาษมวนยามาให้ ผมอัดควันเข้าปอด แล้วพยายามพ่นใส่ท่อระบบความร้อน แม้จะไม่ได้ผล แต่อย่างน้อยก็ได้สูบบุหรี่

หลังจากนั้นผมเคาะเรียกเจาฌูโล  เขาก็คิดว่าผมไม่ได้กินอะไรสิบเอ็ดวันเหมือนกัน และแนะว่าให้กินทีละน้อย ผมไม่ได้บอกความจริงเขา เพราะกลัวว่าจะมีคนจับความได้  ฌูโลได้เข้าเฝือกแขนที่หักแล้วและตอนนี้สบายดี เขาแสดงความยินดีที่ผมรอดมาได้และบอกว่าเราใกล้จะออกเดินทางแล้ว  ผู้ช่วยหมอบอกเขาว่ายาที่จะฉีดให้นักโทษก่อนออกเดินทางมาถึงแล้ว ปกติมันจะมาก่อนออกเดินทางหนึ่งเดือน ฌูโลไม่ค่อยระวังคำพูดนัก เพราะเขาถามผมว่าที่ซ่อนเงินผมยังอยู่ดีหรือเปล่า

ยังอยู่ผมบอก แต่ไม่ได้สาธยายว่าผมทำยังไง ตอนนี้เป็นแผลเหวอะหลายแห่งเลย

หลังจากนั้นสามอาทิตย์พวกเราก็ถูกนำตัวออกจากห้องขัง ได้อาบน้ำร้อนจากฝักบัวแถมมีสบู่ให้ด้วย ผมรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ฌูโลหัวเราะร่าเหมือนเด็ก ส่วนไอ้บ้าเปียโรหน้าบานอย่างมีความสุข

เนื่องจากพวกเราหลุดออกมาจากหลุมดำ จึงไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เมื่อผมกระซิบถามช่างตัดผมว่า “เกิดอะไรขึ้น”  เขาไม่ตอบ แต่นักโทษหน้าเหี้ยมคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จักบอกว่า  “คิดว่าพวกมันปล่อยเราจากห้องขังเพราะจะมีผู้ใหญ่มาตรวจ ที่ยอดมากคือพวกมันต้องโชว์ตัวเราเป็นๆ”  พวกเราถูกพาตัวไปยังห้องขังธรรมดา เที่ยงวันนั้นผมได้กินซุปร้อนๆ ครั้งแรกในรอบสี่สิบสามวัน แล้วก็เจอชิ้นไม้เล็กๆ มีข้อความเขียนไว้ว่า “เดินทางในอีกหนึ่งอาทิตย์ พรุ่งนี้ฉีดยา”

ผมไม่เคยรู้ว่าใครเป็นคนส่งมันมา คงเป็นนักโทษคนหนึ่งคนใดที่มีน้ำใจพอที่จะเตือนเรา และรู้ว่าถ้าคนหนึ่งรู้ ทุกคนจะรู้ และบังเอิญมันมาตกที่ผมเท่านั้น ดังนั้นผมจึงบอกฌูโลเพื่อให้มัน “บอกคนอื่นต่อ”

คืนนั้นผมได้ยินเสียงตะแล็ปแก็ปส่งข้อความตลอดกันตลอดคืน ผมส่งให้ฌูโลคนเดียวแล้วก็หยุด รู้สึกสบายเหลือเกินที่ได้นอนบนเตียง และไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวอีก โอกาสที่จะถูกส่งกลับไปยังหลุมดำไม่น่าพิสมัยนักโดยเฉพาะในวันดีๆ แบบนี้

 

 

 

 

 

 

 

สมุดแบบฝึกหัดเล่มที่สอง

สู่เกียนา

แซ็งมาแต็งเดอเร

 

ค่ำนั้นบัตตงส่งบุหรี่มาให้สามมวนพร้อมกระดาษโน้ตที่มีข้อความว่า “ปาปิญง ฉันรู้ว่านายจะจดจำฉันในแง่ดีเมื่อนายไปจากที่นี่ ฉันเป็นสารวัตรก็จริงแต่ก็พยายามเบามือกับนักโทษให้มากที่สุด ฉันต้องรับหน้าที่นี้เพราะฉันมีลูกเก้าคนต้องเลี้ยง จะให้มัวแต่นั่งรอการอภัยโทษก็ไม่ได้ ฉันต้องหาเลี้ยงครอบครัวโดยไม่ทำให้คนต้องเจ็บมาก ลาก่อนนะ ขอให้โชคดี ขบวนจะออกเดินทางมะรืนนี้”

จริงดังว่า วันรุ่งขึ้นพวกเขาสั่งให้เราไปรวมกันที่ระเบียงของเรือนจำโดยแยกเป็นกลุ่มๆ ละสามสิบคน  เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลในแคนมาฉีดวัคซีนป้องกันโรคเขตร้อนให้  เราได้วัคซีนกันคนละสามเข็มพร้อมนมลิตรครึ่ง  เดอกายืนอยู่ใกล้ผม สีหน้าครุ่นคิด ไม่มีใครสนใจกฎห้ามพูดอีกต่อไปเพราะรู้ว่าหลังฉีดยาแล้วพวกเขาจะขังเดี่ยวเราไม่ได้อีก  เราจึงยืนซุบซิบกันต่อหน้าต่อตาผู้คุมซึ่งไม่กล้าพูดอะไรต่อหน้าเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลในเมือง

เดอกาถามผมว่า “พวกเขามีรถบรรทุกพอขนเราไปหมดรึ”

“ไม่น่านะ”

“แซ็งมาแต็งเดอเรค่อนข้างไกลเลย ถ้าขนไปได้วันละหกสิบ ก็ต้องใช้เวลาสิบวัน แค่พวกเราที่นี่ก็ปกเข้าไปหกร้อยแล้ว”

“โชคดีที่ได้ฉีดยา เพราะหมายความว่าเราอยู่ในรายชื่อที่จะไปเกียนาเร็วๆ นี้ อดทนหน่อยนะ ขั้นต่อไปกำลังจะเริ่มแล้ว เชื่อฉัน อย่างที่ฉันเชื่อนาย”

เดอกามองหน้าผม ตาเป็นประกาย วางมือลงบนแขนผมและพูดอีกครั้งว่า “ไม่รอดก็ตาย ปาปี”

ไม่มีอะไรให้เล่ามากเกี่ยวกับขบวนรถที่จะออกเดินทาง เว้นแต่ว่าพวกเราเกือบตายในตู้เล็กๆ ท้ายรถเพราะหายใจไม่ออก เพราะผู้คุมไม่สนใจแม้แต่จะเปิดประตูอ้าไว้ให้อากาศเข้า  เมื่อถึงลาโรแชลมีนักโทษตายเพราะขาดอากาศไปสองคน

แซ็งมาร์แต็งเดอเรเป็นเกาะ พวกเราต้องขึ้นเรือข้ามไป ที่ท่าเรือมีคนยืนอยู่รอบๆ พวกเขาเห็นนักโทษที่ตาย แต่ต้องบอกว่าสีหน้าของพวกเขาไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับพวกเราเลย  เนื่องจากตำรวจต้องส่งมอบตัวพวกเราไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ตามที่ป้อมปราการ ศพจึงถูกนำขึ้นเรือไปกับเราด้วย

แม้เกาะจะอยู่ไม่ไกลนัก แต่เราก็ได้สูดลมทะเลเต็มปอด ผมบอกเดอกาว่า “นี่แหละกลิ่นของอิสรภาพ”  เขายิ้ม  ฌูโลซึ่งยืนอยู่ข้างเราบอกว่า “ใช่แล้ว กลิ่นอิสรภาพ ฉันกำลังกลับไปยังที่ที่หนีมาเมื่อห้าปีก่อน โคตรโง่เลยที่ปล่อยให้ถูกจับได้ตอนที่กำลังจะได้จัดการกับไอ้คนที่ทรยศฉันเมื่อสิบปีก่อนพอดี  ยังไงเราต้องเกาะกลุ่มกันไว้นะ ห้องขังที่แซ็งมาร์แต็งอยู่กันห้องละสิบคน เรามากันยังไง ผู้คุมก็จะจับยัดเข้าไปแบบนั้น”

แต่ฌูโลเข้าใจผิด เมื่อไปถึงที่นั่น  เขาและนักโทษอีกสองคนถูกแยกตัวออกไป  ทั้งสามคือคนที่เคยหนีจากทัณฑนิคมและถูกจับได้ในฝรั่งเศส และตอนนี้ถูกส่งตัวกลับที่นั่นไปอีกครั้ง

หลังจากที่ถูกแบ่งเป็นกลุ่มๆ ละสิบคนสำหรับห้องขังสิบห้อง การรอคอยก็เริ่มต้นขึ้น  พวกเราได้รับอนุญาตคุยกัน สูบบุหรี่ และได้รับอาหารดีมาก ปัญหาอย่างเดียวในช่วงนี้คือที่ซ่อนเงินผม เพราะจู่ๆ พวกเขาก็จะสั่งให้เราแก้ผ้าและค้นตัวอย่างละเอียดโดยไม่บอกเหตุผล แรกสุดพวกเขาจะค้นตัวตั้งแต่หัวลงไปจนถึงส้นเท้าตามด้วยเสื้อผ้า  “ใส่เสื้อได้!”  จากนั้นก็สั่งให้เรากลับไปห้องใครห้องมัน

ห้องขัง-โรงอาหาร-ลานที่เราเดินย่ำเท้าแถวเรียงเดี่ยววันละหลายชั่วโมง “ซ้าย ขวา! ซ้าย ขวา! ซ้าย ขวา!” นักโทษห้าร้อยคนเดินย่ำเท้าเป็นแถวเหมือนจระเข้ตัวยาว เสียงรองเท้าไม้ดังกุบกับ ห้ามพูดคุยกันเด็ดขาด

“เลิกแถว” ทุกคนแยกย้ายกันนั่งลงบนพื้นเป็นกลุ่มๆ แยกตามลำดับชั้นหรือสถานะ  แรกสุดเป็นพวกที่มาจากโลกใต้ดินขนานแท้ กับกลุ่มนี้พวกเขาไม่เกี่ยงว่าจะมาจากไหน  ดังนั้นจึงมีทั้งที่มาจากคอร์สิกา, มาร์เซย์, ตูลูส, บริตานี, ปารีส และอื่นๆ  มีคนหนึ่งมาจากอาแดชด้วยซ้ำ ผมเองแหละ ต้องขอบอกว่าจากนักโทษหนึ่งพันเก้าร้อยคนในขบวน มีคนจากอาแดชแค่สองคน คนหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์สัตว์ซึ่งฆ่าเมียตัวเอง อีกคนคือผม นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าชาวอาแดชเป็นคนดีทีเดียว  กลุ่มที่สองคือพวกที่เหลือที่จับพลัดจับผลูมาเจอกันเอง เพราะพวกที่ไปลงเอยในทัณฑสถานนี้ส่วนใหญ่โง่มากกว่าฉลาด ซื่อบื้อมากกว่ากระล่อน ช่วงที่รอเดินทางอยู่นี้เรียกว่าช่วงสังเกตการณ์ ซึ่งก็อย่างที่ว่า เพราะพวกเขาจะจับตามองเราทุกฝีก้าว

บ่ายวันหนึ่งผู้ชายร่างเล็กใส่แว่นเดินเข้ามาหาผมขณะที่กำลังนั่งตากแดดอยู่ ผมพยายามนึกว่าเขาเป็นใคร แต่เสื้อผ้าที่ใส่เหมือนกันทุกคนทำให้ผมนึกไม่ออก

“นายคือคนที่เขาเรียกกันว่าปาปิญงหรือเปล่า”  เขาพูดเหน่อแบบชาวคอร์สิกา

“ใช่ มีอะไร”

“ไปที่ส้วมกันหน่อยสิ” เขาบอก แล้วก็เดินไป

“พวกซื่อบื้อจากคอร์สิกาน่ะ” เดอกาบอก “น่าจะพวกโจรภูเขา มันมีอะไรกับนายหรือ”

“เดี๋ยวฉันจะไปดู”

ผมเดินตรงไปยังส้วมซึ่งตั้งอยู่กลางลาน แล้วทำเป็นยืนปัสสาวะ หมอนั่นทำเป็นมายืนฉี่ข้างๆ แล้วพูดโดยไม่หันมามองว่า  “ฉันเป็นน้องเขยปาสกาล มาตรา เขาบอกตอนมาเยี่ยมฉันว่าถ้าต้องการความช่วยเหลือให้มาหานายและบอกชื่อเขา”

“อ๋อ ปาสคาล เพื่อนฉันเอง นายต้องการอะไร”

“ฉันท้องเสีย เก็บที่ซ่อนเงินต่อไม่ไหวแล้ว ฉันไม่รู้จะไว้ใจใครดี กลัวจะถูกขโมย หรือถูกจับได้ นายช่วยเก็บให้ฉันสักสองสามวันเถอะ ขอร้องล่ะ”  แล้วเขาก็หยิบที่ซ่อนเงินซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าของผมมากออกมา  ผมกลัวว่ามันเป็นแผนสืบว่าผมมีที่ซ่อนเงินหรือเปล่า ถ้าผมบอกว่าผมเก็บสองอันไม่ได้ มันก็จะรู้ ผมจึงถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ในนั้นมีเท่าไหร่”

“สองพันห้าร้อยฟรังค์”

ผมรับที่ซ่อนเงินสะอาดเอี่ยมจากมันมายัดใส่ก้นโดยไม่พูดอะไร แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะใส่ได้ถึงสองอันหรือเปล่า  แล้วก็ลุกขึ้น ติดกระดุมกางเกง  โอเค ไม่เป็นไร

“ฉันชื่ออิกนาเซ กาลกานี” เขาบอกก่อนเดินออกไป “ขอบใจนะปาปิญง”

ผมกลับไปหาเดอกาและเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น

“ไม่หนักเกินไปหรือเปล่าล่ะ”

“ไม่”

“งั้นก็ลืมซะ”

เราพยายามติดต่อกับฌูโลหรือไม่ก็กวิตตูซึ่งเป็นพวกที่หนีและถูกส่งกลับเพื่อหาข้อมูล เช่น ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาปฏิบัติกับนักโทษยังไง ทำยังไงถึงจะได้อยู่ห้องเดียวกับเพื่อน และอื่นๆ  โชคดีมากที่เราได้เจอนักโทษไม่เหมือนใครคนหนึ่ง หมอนี่เป็นชาวคอร์สิกาแต่เกิดที่ทัณฑนิคมตอนที่พ่อเขาไปเป็นผู้คุมที่นั่นและอยู่กับแม่เขาที่หมู่เกาะอิลดูซาลู ตัวเขาเกิดที่เกาะรอยาล ซึ่งเป็นหนึ่งในสามของหมู่เกาะ อีกสองเกาะคือแซงต์โจเซฟและเดวิลส์..หรือเกาะปีศาจที่เรากำลังจะเดินทางไป  คราวนี้หมอนี่จะกลับไปที่นั่นในฐานะนักโทษ ไม่ใช่ในลูกชายผู้คุม โชคชะตาช่างน่าขันสิ้นดี!

หมอนี่ได้รับโทษสิบสองปีข้อหาโจรกรรม  สิบเก้าครั้ง..มันบอกหน้าตาเฉย ผมกับเดอกามองออกทันทีว่ามันน่าจะถูกเพื่อนหักหลัง มันรู้จักโลกใต้ดินน้อยเกินไป แต่มันมีประโยชน์ เพราะมันรู้ว่าเราต้องเจออะไรบ้าง หมอนี่เล่าให้เราฟังถึงชีวิตบนเกาะซึ่งมันเคยอยู่มาสิบสี่ปี เช่น มันบอกว่าพยาบาลที่ดูแลมันบนเกาะเป็นนักโทษมาก่อน  หมอนั่นเป็นนักเลงที่ว่ากันว่าโหดมากและต้องโทษหลังจากดวลมีดชิงสาวกับนักเลงอีกคนที่มงมาร์ต  เขายังให้คำแนะนำที่มีประโยชน์มากกับเราว่า เราต้องหาทางหนีบนแผ่นดินใหญ่เพราะที่เกาะไม่สามารถหนีได้เลย อีกอย่างคือเราจะต้องไม่ถูกจัดว่าเป็นนักโทษอันตราย เพราะเมื่อไหร่ที่ขึ้นชื่อว่าอันตรายพวกเขาจะจับยัดใส่เรือตั้งแต่เท้ายังไม่เหยียบฝั่งแซงต์ลอรองต์ดูมาโรนีด้วยซ้ำ ส่วนจะถูกส่งไปอยู่เกาะกี่ปีนั้นขึ้นอยู่กับว่าถูกจัดว่าอันตรายระดับไหน  โดยทั่วไปแล้วมีนักโทษไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นต์ที่ถูกส่งไปอยู่เกาะ ส่วนใหญ่จะอยู่บนแผ่นดินใหญ่  บนเกาะสภาพความเป็นอยู่ค่อนข้างดี แต่ชีวิตบนแผ่นดินใหญ่เลวร้ายมาก (ตามที่เดอกาเล่าให้ฟัง)  มันจะค่อยๆ กัดกินหัวใจเราอย่างช้าๆ ไม่ด้วยโรคสารพัด ก็ความตายรูปแบบต่างๆ เช่น ถูกฆาตกรรมและอื่นๆ

เดอกากับผมได้แต่หวังว่าจะไม่ถูกส่งตัวไปเกาะ แต่ผมใจคอไม่ดีเท่าไหร่..จะทำยังไงถ้าผมถูกจัดเป็นพวกอันตราย  ผมถูกจำคุกตลอดชีวิต ทั้งยังมีเรื่องกับไอ้ทรีบูยญาและผู้ว่าการเรือนจำที่ก็องอีก  ถ้ารอดก็คงโชคดีเกินไปแล้ว

วันหนึ่งมีข่าวลือไปทั่วคุกว่าอย่าไปโรงพยาบาลเด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะทุกคนที่ป่วยหนักหรืออ่อนแอเกินไปสำหรับการเดินทางจะถูกวางยา แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ และฟรานซิส ลา ปาสซ์นักโทษชาวปารีสยืนยันว่าไม่จริง จริงอยู่มีคนตายเพราะถูกวางยา แต่น้องชายมันซึ่งทำงานที่นั่นได้เล่าความเป็นมาให้ฟัง

ผู้ตายฆ่าตัวตายเอง ก่อนหน้านี้เขาเป็นนักเปิดเซฟตัวฉกาจ และดูเหมือนว่าระหว่างสงครามเขาได้เข้าไปโจรกรรมสถานทูตเยอรมันในเจนีวาหรือโลซานน์นี่แหละและได้เอกสารสำคัญหลายฉบับมาให้กับสายลับในหน่วยข่าวกรองฝรั่งเศส สุดท้ายเขาติดคุกห้าปีจากงานนี้ แต่ตำรวจได้ช่วยออกมา และตั้งแต่ปี 1920 เป็นต้นมาก็ได้ใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ  จะรับงานปีละครั้งสองครั้งเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่ถูกตำรวจจับเขาจะนำความลับออกมาแบล็คเมล์ ทำให้หน่วยข่าวกรองต้องยื่นมือเข้ามาช่วย  ทว่าคราวล่าสุดนี้วิธีของเขาใช้ไม่ได้อีกต่อไป เขาถูกตัดสินจำคุกยี่สิบปีและเป็นนักโทษคนหนึ่งในขบวนเดียวกับในพวกเรา  เพื่อที่จะไม่ต้องลงเรือ เขาจึงแกล้งป่วยและถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล จากที่น้องชายของฟรานซิส ลา ปาสซ์เล่า ไซยาไนด์หนึ่งเม็ดได้จัดการปิดปากเขากับเรื่องทั้งหมดไปตลอดกาล  ตอนนี้ตู้นิรภัยทั้งหลายจึงปลอดภัยและหน่วยข่าวกรองฝรั่งเศสนอนหลับไปเต็มตาเสียที

ที่ลานของเรือนจำเต็มไปด้วยเรื่องเล่าสารพัด จริงบ้าง เท็จบ้าง แต่พวกเราก็ฟังกันฆ่าเวลาเล่นซึ่งดีกว่าอยู่เปล่าๆ

ทุกครั้งที่ไปส้วม ไม่ว่าที่ลานหรือในห้องขัง เดอกาจะไปกับผมเพื่อช่วยเรื่องที่ซ่อนเงินโดยจะยืนบังข้างหน้าให้เวลาผมทำธุระ  แค่ที่ซ่อนอันเดียวก็ทำให้รำคาญอยู่แล้ว แต่นี่ผมมีถึงสองเพราะเจ้ากาลกานีท้องเสียไม่หายสักทีแถมยังหนักขึ้นเรื่อยๆ  เรื่องน่าแปลกอย่างหนึ่งก็คือ ไอ้อันที่ผมยัดเข้าทีหลังจะออกมาทีหลังทุกครั้ง อันที่ยึดเข้าไปก่อนจะออกมาก่อน ผมไม่รู้ว่ามันเข้าไปสลับที่กันยังไงในท้อง แต่มันเป็นแบบนั้น

เมื่อวานที่ห้องตัดผม มีคนเล่าว่ามีคนพยายามฆ่าคลูสิโอขณะที่กำลังโกนหนวด เขาถูกแทงด้วยมีดสองฉึกข้างหัวใจ แต่รอดมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ผมได้ยินเรื่องนี้จากเพื่อนเขา เป็นเรื่องที่ประหลาดมากทีเดียว เอาไว้ผมจะเล่าให้ฟังทีหลัง  ว่ากันว่าเรื่องนี้เป็นการสะสางบัญชีเก่า ผู้ที่ทำให้เขาเกือบตายนี้จะตายอย่างทุกข์ทรมานในอีกหกปีต่อมาที่คาเยนน์ เพราะถูกวางยาในซุปถั่ว  ผู้ช่วยหมอที่ชันสูตรศพเอาลำไส้ยาวห้านิ้วที่มีรูสิบเจ็ดรูมาให้เราดู  หลังจากนั้นสองเดือนฆาตกรที่ฆ่าเขาก็ถูกพบเป็นศพถูกรัดคอตายบนเตียงโรงพยาบาลโดยไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร

พวกเราอยู่ที่แซ็งมาแต็งเดอเรสิบสองวันแล้ว  นักโทษแทบจะล้นออกมานอกป้อมปราการ  มีทหารเดินลาดตระเวนบนเชิงเทินทั้งวันทั้งคืน

พี่น้องสองคนชกต่อยกันในห้องอาบน้ำ ปลุกปล้ำกันเหมือนแมวป่าคนที่ชื่ออังเดร เบญาถูกส่งมาในห้องเรา เขาบอกเราว่า เจ้าหน้าที่ลงโทษเขาไม่ได้เพราะเป็นความผิดของพวกเขาเองที่ไม่ทำตามคำสั่งที่ว่าให้แยกพี่น้องคู่นี้ออกจากกันอย่างเด็ดขาด  ใครที่รู้เรื่องราวของพวกเขา จะรู้ว่าทำไม

อังเดรได้ปล้นฆ่าหญิงชราคนหนึ่ง และเก็บเงินที่ได้มาไว้กับเอมิล  จากนั้นเจ้าเอมิลถูกจับข้อหาขโมยและถูกจำคุกสามปี  วันหนึ่งขณะอยู่ในห้องขังเขาได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนร่วมห้องฟังด้วยความโมโหที่พี่ชายไม่ส่งเงินมาให้ซื้อบุหรี่  และบอกว่าเขาจะเอาเจ้าอังเดรมาติดคุกด้วย  อังเดรเป็นคนฆ่าหญิงชรา ส่วนเขาเป็นคนซ่อนเงินเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นยังบอกด้วยว่าถ้าได้ออกไปจะไม่แบ่งเงินให้เจ้าอังเดรสักสตางค์แดงเดียว  นักโทษคนหนึ่งที่ได้ยินรีบคาบเรื่องไปบอกผู้ว่าการของเรือนจำ จากนั้นเจ้าอังเดรก็ถูกจับ และสองพี่น้องต้องโทษประหารชีวิต  ในแดนนักโทษประหารของเรือนจำซองเต ทั้งสองอยู่ห้องติดกัน ทั้งสองยื่นขอลดโทษ คำขอของเอมิลได้รับอนุมัติในวันที่สี่สิบสาม ส่วนของอังเดรถูกปฏิเสธ แต่เพื่อรักษาความรู้สึกของอังเดร พวกเขาจึงยังคงกักตัวเอมิลไว้  ทั้งสองได้รับการปล่อยตัวออกมาออกกำลังกายทุกวันโดยมีตรวนล่ามขา และออกมาทีละคน

ในวันที่สี่สิบหก กระบวนการประหารชีวิตเริ่มขึ้นในเวลาตีสี่ครึ่ง ประตูห้องขังอังเดรเปิดออก ทุกคนอยู่ที่นั่น ทั้งผู้ว่าการเรือนจำ นายทะเบียน และอัยการซึ่งขอหัวเขาเป็นค่าไถ่โทษ  ขณะที่ผู้ว่าการกำลังจะขึ้นไปกล่าวนั้น ทนายของอังเดรก็วิ่งเข้ามา ตามด้วยใครอีกคนซึ่งยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้อัยการ  จากนั้นทุกคนก็เดินกลับเข้าไปในอาคาร คอของเจ้าอังเดรเกร็งจนกลืนน้ำลายไม่ลง เรื่องที่เกิดขึ้นไม่น่าเป็นไปได้เลย ไม่เคยมีการขัดขวางการประหารชีวิตเมื่อกระบวนการเริ่มขึ้นแล้ว แต่นี่เป็นเรื่องจริง ในวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ถูกปล่อยให้นอนอกสั่นขวัญหายมาหนึ่งคืน อังเดรก็ได้รับการบอกเล่าจากทนายความของเขาว่า ก่อนการประหารจะเริ่ม ประธานาธิบดีดูแมถูกฆาตกรรมโดยกอกูบอฟ  ดูแมไม่ได้เสียชีวิตทันที  ทนายของเขายืนรอหน้าโรงพยาบาลทั้งคืนหลังจากที่รัฐมนตรียุติธรรมบอกเขาว่าหากประธานาธิบดีเสียชีวิตก่อนการประหาร (ระหว่างตีสี่ครึ่งถึงตีห้า) เขาจะสั่งเลื่อนการประหารด้วยเหตุผลว่าประเทศไม่มีประมุข  ดูแมเสียชีวิตหลังจากตีสี่ผ่านไปสองนาที ยังมีเวลาพอช่วยชีวิตลูกความ ทนายของเขาจึงรีบกระโดดขึ้นรถ ตามด้วยชายที่ถือใบสั่งเลื่อนประหาร แต่พวกเขามาช้าไป อังเดรถูกนำตัวออกจากห้องขังไปแล้ว  สุดท้ายสองพี่น้องถูกลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิตในค่ายแรงงานหนักหลังจากที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ทนายความของทั้งสองได้ไปยื่นขอลดโทษที่แวร์ซาย  ไม่มีประธานาธิบดีคนไหนที่ปฏิเสธการขอลดโทษครั้งแรกที่เข้ารับตำแหน่งและ “เลอบรุนได้ลงชื่อ”  เจ้าอังเดรเล่า  “ฉันก็เลยมาอยู่ที่นี่ ยังมีลมหายใจ และกำลังจะไปเกียนา”  ผมมองหน้าคนที่รอดชีวิตจากกิโยตินอย่างเฉียดฉิวและบอกตัวเองว่า แม้ผมจะผ่านอะไรมาหนักหนาสาหัสขนาดไหนก็ตามก็ยังเทียบกับที่ไอ้หมอนี่เจอไม่ได้

กระนั้นก็ตามผมไม่เคยผูกมิตรกับเขา เพราะขยะแขยงกับการที่เขาปล้นฆ่าหญิงชรา แต่หมอนี่โชคดีมาก เขาฆ่าน้องชายตายที่เกาะแซ็งโจเซฟในเวลาต่อมา นักโทษหลายคนเห็น  เจ้าอีมิลยืนตกปลาอยู่บนก้อนหิน ใจจดจ่ออยู่แต่กับเบ็ด เสียงคลื่นลูกใหญ่ดังกลบเสียงอื่นๆ เจ้าอังเดรแอบย่องมาด้านหลังน้องชายพร้อมไม้ไผ่ลำใหญ่ยาวสิบฟุตกระแทกเขาตกทะเลเป็นอาหารอันโอชะของฉลามที่มีอยู่ชุกชุมในบริเวณนั้น  เย็นนั้นเอมิลไม่ปรากฏตัวเมื่อขานชื่อ เจ้าหน้าที่แทงบัญชีว่าพยายามหนี จากนั้นชื่อของเขาก็ไม่ถูกเอ่ยถึงอีกเลย  นักโทษสี่ห้าคนที่กำลังเก็บมะพร้าวอยู่สูงขึ้นไปเท่านั้นที่เห็นเหตุการณ์ แน่นอนว่าทุกคนรู้ ยกเว้นเจ้าหน้าที่เรือนจำ

เจ้าอังเดรได้กลับไปยังแผ่นดินใหญ่ด้วยเหตุผลว่า “ประพฤติตัวดี” และมีสถานะพิเศษในแซ็งโลร็องดูมาโรนี  เขามีห้องขังเล็กๆ แยกต่างหาก  ครั้งหนึ่งเขามีเรื่องกับนักโทษอีกคน และได้หลอกให้นักโทษคนนั้นไปที่ห้องก่อนจะเอามีดแทงที่ขั้วหัวใจจนเสียชีวิต เขาอ้างว่าทำลงไปเพื่อป้องกันตัว และศาลตัดสินว่าไม่มีความผิด  เมื่อฝรั่งเศสปิดทัณฑนิคมลง เขาได้รับอภัยโทษด้วยเหตุผลเดิมคือ “ประพฤติตัวดี”

นักโทษที่แซ็งมาแต็งเดอเรแบ่งเป็นสองประเภท คือ เป็นนักโทษจริงราวแปดร้อยถึงหนึ่งพันคน ส่วนอีกเก้าเป็นพวกถูกเนรเทศ นักโทษคือพวกที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรง (หรือถูกกล่าวหาว่าก่อ) ซึ่งโทษเบาที่สุดคือทำงานหนักเจ็ดปี และมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงตลอดชีวิตหรือที่เรียกว่านักโทษถาวร  นักโทษประหารจัดเป็นนักโทษถาวรโดยอัตโนมัติ  ส่วนพวกที่ถูกเนรเทศเป็นอีกประเภท พวกนี้คือผู้ทำผิดซ้ำซากตั้งแต่สามถึงเจ็ดครั้ง แม้จะเป็นแค่พวกขโมยขี้หมูขี้หมาแต่คุณต้องเข้าใจว่าสังคมต้องปกป้องคนดีไว้ก่อน กระนั้นก็ยังน่าอายที่ประเทศที่เจริญแล้วมีการลงโทษด้วยการเนรเทศ คนพวกนี้เป็นพวกลักเล็กขโมยน้อย บางคนขโมยรวมกันตลอดชีวิตไม่ถึงหมื่นฟรังค์ด้วยซ้ำ แต่ถูกจับหลายครั้ง ดังนั้นจึงต้องโทษเนรเทศ (ซึ่งในสมัยของผมมีความหมายเดียวกับจำคุกตลอดชีวิต) นั่นคือความไร้เหตุผลของประเทศที่เจริญแล้วอย่างธรรมฝรั่งเศส  ไม่มีประเทศใดที่มีสิทธิ์แก้แค้นหรือขจัดประชากรที่เป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของสังคม คนเหล่านี้ควรได้รับการรักษา ไม่ใช่ลงโทษอย่างไร้มนุษยธรรม

เราอยู่ที่แซ็งมาแต็งเดอเรมาสิบเจ็ดวันแล้ว  เรือที่จะนำพวกเราทั้งหมดหนึ่งพันแปดร้อยเจ็ดสิบคนไปยังทัณฑนิคมชื่อ มาติเนียร์  เช้าวันนั้นนักโทษแปดหรือเก้าร้อยคนออกมายืนเรียงแถวๆ ละสิบคนในลานด้านในของป้อมปราการ หลังจากยืนอยู่ราวหนึ่งชั่วโมง ประตูป้องก็เปิดออก ผู้คุมจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาในเครื่องแบบสีฟ้าแบบพวกทหารซึ่งต่างไปจากชุดผู้คุมที่เราชินตากัน มันต่างจากเครื่องแบบของตำรวจ และไม่เหมือนของทหารด้วย  ทุกคนคาดเข็มขัดเส้นใหญ่มีซองใส่ปืน มองเห็นด้ามปืนโผล่ออกมา ทั้งหมดราวแปดสิบคน บางคนติดบั้งยศ ทุกคนมีผิวเกรียมแดด วัยระหว่างสามสิบห้าถึงห้าสิบ พวกที่อายุมากดูใจดีกว่าพวกหนุ่มๆ ซึ่งเดินยืดอกวางอำนาจ  นอกจากเจ้าหน้าที่พวกนี้แล้วก็มีผู้ว่าการแซ็งมาแต็งเดอเร  นายตำรวจยศพันเอก หมอสามสี่คนในเครื่องแบบทหารประจำต่างประเทศและบาทหลวงสองคนในชุดสีขาว  ผู้พันหยิบโทรโข่งขึ้นมาที่ปาก  พวกเราคิดว่าเขาจะตะเบ็งเสียงว่า นักโทษ! แต่ไม่เลย เขาพูดว่า “ทุกคนฟังให้ดี ตั้งแต่นี้ไปพวกเธอจะอยู่ในความดูแลเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมซึ่งเป็นตัวแทนของกองราชทัณฑ์แห่งเฟร็นช์เกียนา ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในเมืองคาเยนน์  พันตรีบาโรผมขอส่งมอบนักโทษแปดร้อยสิบหกคนที่อยู่ในที่นี้ให้ท่าน นี่คือรายชื่อของพวกเขา ขอให้ตรวจสอบว่าครบหรือไม่”

การขานชื่อเริ่มขึ้น “… อยู่ครับ  … อยู่ครับ”  ทั้งหมดดำเนินไปเป็นเวลาชั่วโมงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยก่อนที่เจ้าหน้าที่ทั้งสองผลัดกันลงนามในเอกสารส่งมอบที่โต๊ะตัวเล็กที่จัดไว้โดยมีพวกเรายืนมอง

บาโร นายพันติดบั้งหลายขีด (บั้งของเขาเป็นสีทอง ไม่ใช่สีเงินแบบตำรวจ) รับโทรโข่งมา

“ผู้เดินทาง..นี่คือคำที่จะใช้เรียกพวกเธอ เช่น ผู้เดินทาง ชื่อ… หรือผู้เดินทาง หมายเลข… ตามหมายเลขที่จะให้กับทุกคน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพวกเธอจะอยู่ใต้กฎหมายและกฎระเบียบเฉพาะของทัณฑนิคม มีศาลพิเศษในการพิจารณาคดีต่างๆ เกี่ยวกับพวกเธอ  ศาลนี้จะเป็นผู้พิจารณาตัดสินอาชญากรรมใดๆ ที่เกิดขึ้นในทัณฑนิคมและสามารถสั่งลงโทษตั้งแต่จำคุกถึงประหารชีวิต  สถานที่ในการลงโทษทางวินัย เช่น จำคุกหรือขังเดี่ยวจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของทางการ  เจ้าหน้าที่ที่ยืนประจันหน้ากับพวกเธอในขณะนี้จะเป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเธอ เมื่อพูดด้วยให้เรียกว่า “มงซิเออร์ผู้ดูแล”  หลังอาหารพวกเธอจะได้รับกระเป๋าเสื้อผ้าที่มีเครื่องแบบของทันฑนิคมอยู่ ทางการได้เตรียมของที่จำเป็นทุกอย่างให้แล้ว พวกเธอไม่ต้องการอะไรอีกนอกจากของที่อยู่ในกระเป๋า  พรุ่งนี้พวกเธอจะขึ้นเรือมาร์ติเนียร์ เราจะออกเดินทางไปพร้อมกัน ไม่ต้องเสียใจที่ต้องจากประเทศนี้  ชีวิตในทัณฑนิคมดีกว่าการถูกขังเดี่ยวในฝรั่งเศสมาก เธอสามารถคุย เล่น ร้องเพลง สูบบุหรี่ และไม่ต้องกังวลว่าจะถูกปฏิบัติไม่ดีตราบใดที่พวกเธอประพฤติตัวดี  ฉันขอให้พวกเธอพักเรื่องการสะสางความบาดหมางส่วนตัวไว้ก่อนจนกว่าจะถึงเกียนา  ระหว่างเดินทางเจ้าหน้าที่จะเข้มงวดมาก หวังว่าทุกคนคงเข้าใจ ใครที่รู้สึกว่าไม่แข็งแรงพอสำหรับการเดินทางให้รายงานตัวกับหน่วยแพทย์เพื่อรับการตรวจร่างกายจากแพทย์ที่จะเดินทางไปกับขบวนของเรา หวังว่าทุกคนจะเพลิดเพลินกับการเดินทางในครั้งนี้” แล้วพิธีส่งมอบก็จบลง

“คิดว่าไงวะ เดอกา”

“ไอ้ไก่แก่ ปาปิญง  คิดว่าฉันคิดถูกนะที่บอกนายว่านักโทษด้วยกันนี่แหละที่เป็นอันตรายที่สุดสำหรับเรา ไอ้ที่ผู้พันบอกว่า ‘พักเรื่องสะสางความแค้นส่วนตัวไว้จนกว่าจะถึงเกียนา’ น่ะ เขาไม่ได้พูดเล่นหรอกนะ ที่นั่นคงมีการฆ่ากันตายเป็นเบือเลย พระเจ้า!”

“ไม่ต้องกังวลหรอก นายมีฉัน”

ผมเจอเจ้าฟรานซิส ลา ปาสและถามเขาว่า “น้องชายนายยังเป็นผู้ช่วยหมออยู่หรือเปล่า”

“ใช่ มันไม่ได้เป็นนักโทษเสียทีเดียว แค่พวกถูกเนรเทศ”

“บอกให้มันช่วยหามีดผ่าตัดให้นายด่วนเลย ถ้าจะเอาเงิน บอกมาเลยเท่าไหร่ ฉันจ่ายเอง”

หลังจากนั้นสองชั่วโมงผมก็ได้มีดผ่าตัดด้ามเหล็กแข็งแรงมาหนึ่งอัน ข้อเสียเดียวคือมันใหญ่ไปหน่อย แต่เป็นอาวุธชั้นดีทีเดียว

ผมเดินไปนั่งแถวส้วมที่ลาน และบอกคนให้ไปตามกาลกานีมาเพื่อจะคืนที่ซ่อนเงินให้ แต่คนมากมายถึงแปดร้อยคนบนลานทำให้การเจอตัวมันยากมาก  ตั้งแต่มาถึงที่นี่เราไม่เห็นวี่แววฌูโล, กวิตตู หรือซูซินีเลยด้วยซ้ำ

ข้อดีของการใช้ชีวิตร่วมกันคือการได้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘สังคมใหม่’ ที่เราจะอยู่ร่วมกัน จะพูดคุยกัน คงมีเรื่องที่เราจะพูดคุย จะฟัง หรือจะทำมากมายจนเราไม่มีเวลาให้คิดอะไรทีเดียว  ชีวิตในอดีตที่ห่างออกไปเรื่อยๆ จนไม่สำคัญอีกต่อไปเมื่อเทียบชีวิตในตอนนี้  ทำให้คิดว่าเมื่อถึงทัณฑนิคมผมควรลืมว่าเคยเป็นอะไร ทำอะไร และทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ ให้มุ่งคิดเรื่องเดียวเท่านั้นคือ..หนี  แต่ผมคิดผิด สิ่งสำคัญที่สุดคือการเอาชีวิตรอดต่างหาก

แล้วไอ้พวกตำรวจ ไอ้พวกลูกขุน ไอ้ผู้พิพากษา เมียผม พ่อผม และเพื่อนๆ ผมล่ะ เอาล่ะ พวกเขายังอยู่ในหัวผม ยังคงมีชีวิต ทุกคนมีพื้นที่ของตัวเองในใจผม ทว่าความตื่นเต้นในการเดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่รู้จัก มิตรภาพใหม่ที่ได้พบ และชีวิตรูปแบบใหม่ที่เผชิญอยู่ทำให้พวกเขาสำคัญน้อยลงกว่าเมื่อก่อน  แต่นั่นเป็นเพียงความรู้สึกของผม  เมื่อใดก็ตามที่ผมต้องการ..เมื่อใดก็ตามที่ผมเปิดแฟ้มของแต่ละคนขึ้น พวกเขาก็มีชีวิตโลดแล่นขึ้นมาทันที

เอาล่ะ เจ้ากาลกานีซึ่งดูดีขึ้นแล้วกำลังถูกจูงเข้ามาหาผม  เพราะแม้จะใส่แว่นหนาตึกแต่ก็ยังมองแทบไม่เห็น มันจับมือทักทายผมโดยไม่พูดอะไร

“ฉันอยากคืนที่ซ่อนเงินให้ นายดูดีพอจะเก็บไว้ได้เองแล้ว มันเป็นความรับผิดชอบมากเกินไประหว่างเดินทาง อีกอย่างไม่รู้ว่าไปถึงนั่นแล้วเราจะได้เจอกันอีกไหม เพราะฉะนั้นนายเอาคืนไปดีกว่า” ผมว่า  กาลกานีมองผมอย่างไม่สบายใจนัก “เอาล่ะ เข้าไปในส้วมกัน ฉันจะได้คืนนาย”

“ไม่เป็นไร ฉันไม่เอาแล้ว นายเก็บไว้เถอะ ฉันให้ มันเป็นของนายแล้ว”

“ทำไม”

“ฉันกลัวถูกฆ่าเพราะไอ้นี่ ยังไงอยู่อย่างไม่มีเงินก็ดีกว่าถูกปาดคอ นายเอาไปเถอะ ยังไงนายก็อุตส่าห์เก็บมันไว้ให้ทั้งที่นายไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น เพราะฉะนั้นถ้านายจะเสี่ยงชีวิต นายก็ควรทำเพื่อตัวเอง”

“นายกลัวรึ  นายโดนใครขู่หรือเปล่า มีคนสงสัยว่านายมีไอ้นั่นงั้นหรือ”

“ใช่ มีอาหรับสามคนตามฉันตลอดเวลา ฉันถึงไม่กล้ามาหานาย พวกมันจะได้ไม่รู้ว่าเรารู้จักกัน ทุกครั้งที่เข้าส้วม ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน พวกมันคนหนึ่งจะมายืนข้างๆ  ฉันเลยพยายามทำให้มันเห็นๆ ว่าฉันไม่มีอะไร แต่พวกมันยังไม่ละความพยายาม มันคิดว่าต้องมีใครบางคนเก็บไว้ให้ฉัน แต่มันไม่รู้ว่าใคร ตอนนี้มันจึงได้แต่รอว่าเมื่อไหร่ฉันจะได้คืน

ผมมองหน้าซีดเผือดของเจ้ากาลกานีและรู้ว่ามันกลัวจริง และถามมันว่า “พวกมันอยู่แถวไหนในลาน”

“แถวครัวกับห้องซักรีด”

“โอเค นายอยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวฉันมา อ้า ไม่ดีกว่า นายไปกับฉัน”  ผมดึงมีดออกจากหมวกมาถือไว้โดยซ่อนใบมีดไว้ใต้แขนเสื้อขวาแล้วเดินไปหาพวกอาหรับกับเจ้ากาลกานี  เมื่อตัดข้ามมายังอีกฟากของลานก็เห็นพวกมัน มันมีทั้งหมดสี่คน เป็นชาวอาหรับสาม ชาวคอร์สิกาหนึ่งชื่อจิรันโด ผมเข้าใจสถานการณ์ทันที เจ้าคอร์สิกานั่นเคยถูกพวกเจ้าพ่อเตะออกจากแก็งค์และเป็นตัวบงการเจ้าอาหรับสามคนนี่เอง  มันคงรู้ว่ากาลกานีเป็นน้องเขยของปาลคาล มาตรา ดังนั้นจึเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีที่ซ่อนเงิน

“หวัดดี โมเครเน สบายดีรึ”

“ก็ดี นายล่ะ ปาปิญง”

“ไม่ดีเท่าไหร่  ที่ฉันมานี่ก็เพื่อบอกพวกนายว่ากาลกานีเป็นเพื่อนฉัน ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมัน นายต้องรับผิดชอบก่อนใครเพื่อน ตามด้วยพวกนายสามคน เข้าใจกันนะ”

เจ้าโมเครเนยืนขึ้น ตัวมันสูงพอกับผม ราวห้าฟุตแปดนิ้ว ไหล่กว้าง คำพูดของผมคงไม่ถูกใจมันเท่าไหร่ และพร้อมจะมีเรื่องทันทีเมื่อผมขยับมีดใหม่เอี่ยมวาววับในมือและบอกว่า “ถ้ามึงขยับ กูจะฆ่ามึงเหมือนหมาตัวนึงเลย”

มันตกใจกับท่าทีดุดันของผมและความยาวของใบมีดในมือด้วยคาดไม่ถึงว่าผมจะมีอาวุธในที่ที่ทุกคนถูกค้นตัวได้ตลอดเวลา และบอกว่า “ฉันลุกขึ้นมาเพื่อคุยกับนาย ไม่ได้จะมีเรื่อง”

ผมรู้ว่าไม่จริง แต่ถ้าผมไม่ทำให้มันต้องเสียหน้าต่อหน้าเพื่อนมันก็จะเป็นประโยชน์กับผมเอง ดังนั้นจึงหาทางออกให้มัน “โอเค ถ้าจะคุยก็ได้”

“ฉันไม่รู้ว่าไอ้กาลกานีเป็นเพื่อนนาย นึกว่าไอ้ซื่อบื้อตัวนึงเท่านั้น นายก็คงรู้ดีว่าถ้านายจนกรอบแต่อยากจะหนี นายต้องหาเงินจากที่ไหนสักแห่ง”

มันยื่นมือมาให้ และเราจับมือกัน พระเจ้า! โชคดีที่ผมเดินหมากถูก ถ้าต้องลงมือฆ่ามันจริงๆ แล้วล่ะก็  พรุ่งนี้ผมคงไม่ได้ไปจากที่นี่แน่ แต่แล้วก็ตระหนักว่าผมพลาดอย่างแรง เมื่อกาลกานีกับผมเดินจากมา ผมบอกมันว่า “อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ไม่งั้นเดอกาโวยผมแน่”

ผมพยายามกล่อมให้มันรับที่ซ่อนเงินคืน แต่มันบ่ายเบี่ยงว่า “ไว้พรุ่งนี้ก่อนออกเดินทางแล้วกัน”  วันรุ่งขึ้นมันหลบหน้าผม ทำให้ผมต้องออกเดินทางพร้อมที่ซ่อนเงินติดอยู่ในตูดสองอัน

คืนนั้นไม่มีใครในห้องพูดอะไรสักคน และเรามีกันถึงสิบเอ็ดคนในห้อง ในหัวทุกคนคงมีความคิดเหมือนๆ กันว่า นี่เป็นคืนสุดท้ายในแผ่นดินฝรั่งเศสแล้วสินะ  ทุกคนคงนอนคิดถึงบ้านเมื่อคิดว่าต้องจากฝรั่งเศสไปตลอดกาลโดยมีดินแดนและวิถีชีวิตที่ไม่รู้จักรออยู่ข้างหน้า

เดอกาซึ่งนั่งอยู่ข้างผมได้แต่นั่งเงียบข้างประตูที่ปิดอยู่ซึ่งเปิดออกสู่ระเบียงและมีอากาศดีกว่าเล็กน้อย  ผมรู้สึกสับสน ข้อมูลสารพัดเกี่ยวกับสิ่งที่เราจะได้เจอต่อไปนั้นช่างขัดแย้งกันจนผมไม่รู้ว่าควรจะดีใจ เสียใจ หรือสิ้นหวังกันแน่

นักโทษคนอื่นๆ ในห้องเดียวกับเราเป็นพวกในโลกใต้ดินอย่างแท้จริง คนเดียวที่ไม่เข้าพวกคือหนุ่มร่างเล็กชาวคอร์สิกาที่เกิดในทัณฑนิคม  ทุกคนนั่งซึมเซา ใจลอย วินาทีชีวิตที่สำคัญมากนี้ทำให้ทุกคนได้นั่งอึ้ง ควันบุหรี่ลอยจากห้องขังสู่ทางเดินด้านนอกเหมือนเมฆ ใครที่ไม่อยากแสบตาต้องนั่งให้ต่ำกว่ากลุ่มหมอกหนาและหนักเข้าไว้  ไม่มีใครหลับลงนอกจากอังเดร เบญา  นี่คงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่ควรจะตายไปแล้วอย่างมัน ตอนนี้ทุกอย่างจึงเป็นสวรรค์ที่มันไม่ได้มองหาเท่านั้น

ภาพชีวิตผมแล่นผ่านไปตรงหน้าเหมือนภาพยนตร์..วัยเด็กในบ้านที่อบอวลด้วยความรัก มีระเบียบวินัย ศีลธรรมและจิตใจอันดีงาม ดอกไม้ป่า เสียงลำธารไหลริน รสชาติของวอลนัท พีช พลัมที่ออกลูกดกดื่นในสวนของเรา กลิ่นหอมของดอกมิโมซางามสะพรั่งหน้าประตูในฤดูใบไม้ผลิ ทั้งหมดวิ่งผ่านตาผมเหมือนภาพที่มีเสียง ผมได้ยินเสียงแม่ (ที่รักผมมาก) เสียงพ่อที่น่ารักและใจดีเสมอ เสียงเห่าเรียกผมไปเล่นในสวนของเจ้าคลารา หมาล่าสัตว์คู่ใจของพ่อ เพื่อนเล่นวัยเด็กซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของผม  ภาพเหล่านี้แล่นผ่านหน้าไปทั้งที่ผมไม่ได้ตั้งใจนำมันขึ้นมา  ความรู้สึกและความทรงจำแสนหวานเหล่านี้คือตะเกียงวิเศษที่ส่องสว่างในชีวิตหม่นมืดทุกคืนระหว่างที่รอกระโจนสู่ดินแดนที่ไม่รู้จัก

เอาล่ะ นี่คือเวลาที่จะทำความเข้าใจกับทุกอย่างให้ชัดเจน ผมอายุยี่สิบหก สุขภาพดีและแข็งแรง มีเงินห้าพันหกร้อยฟรังค์ของตัวเองและอีกสองหมื่นห้าของเจ้ากาลกานีอยู่ในท้อง เดอกาที่อยู่ข้างผมมีหมื่นฟรังค์ รวมแล้วน่าจะมีสี่หมื่นฟรังค์ได้ในมือผม ถ้าเจ้ากาลกานีดูแลเงินของตัวเองไม่ได้ที่นี่ เรื่องดูแลเงินบนเรือหรือที่เกียนานั้นไม่ต้องพูดถึงเลย ยิ่งกว่านั้นคือมันรู้ตัวดี เพราะมันไม่เคยมาทวงคืนสักที เพราะฉะนั้นผมพึ่งพาเงินก้อนนี้ได้ แน่นอนผมจะเอาเจ้ากาลกานีไปด้วยถ้าหนี  ยังไงก็เป็นเงินของเขา เพราะฉะนั้นมันควรจะได้ประโยชน์บ้าง ผมจะใช้เพื่อประโยชน์ของมันแต่ผมก็ควรได้อะไรบ้าง สี่หมื่นฟรังค์เป็นเงินก้อนโตทีเดียว ผมน่าจะซื้อนักโทษในนั้นหรืออดีตนักโทษที่ถูกปล่อยตัวแล้วหรือผู้คุมได้ไม่ยาก

สรุปแล้วค่อนข้างมีหวัง  ทันทีที่ไปถึงที่นั่นผมจะหาทางหนีพร้อมเดอกาและกาลกานี  ณ จุดนี้ผมจะต้องจดจ่อกับเรื่องนี้เรื่อยเดียว ผมวางมือลงบนด้ามมีด โลหะเย็นเฉียบทำให้รู้สึกสบายใจ การมีอาวุธน่ากลัวในมือแบบนี้ทำให้ผมมั่นใจ ประโยชน์ของมันได้รับการพิสูจน์แล้วตอนที่ผมมีเรื่องกับพวกอาหรับนั่น

ตอนราวตีสาม พวกที่จะถูกขังเดี่ยวขนถุงสัมภาระสิบเอ็ดใบมากองไว้หน้าลูกกรง ทุกใบมีของใช้อัดแน่น มีป้ายติด  ผมสามารถอ่านป้ายบนถุงที่แขวนอยู่ได้…  ปีแอร์ ซี อายุสามสิบปี สูง-ห้าฟุตแปดนิ้วครึ่ง เอว-สี่สิบสอง รองเท้า-เบอร์แปดครึ่ง หมายเลข x  ผู้ที่ชื่อปีแอร์ ซี- ก็คือไอ้บ้าเปียโรจากบอร์โดซึ่งต้องโทษยี่สิบปีปารีสฐานฆ่าคนตาย

ไอ้บ้าเปียโรเป็นพวกใต้ดินที่จัดว่าใช้ได้ ตรงไปตรงมา ผมรู้จักมันดี  ป้ายบนถุงสัมภาระทำให้ผมรู้ว่าเจ้าหน้าที่ของทัณฑนิคมมีประสิทธิภาพขนาดไหน เทียบแล้วดีกว่าในกองทัพที่ต้องให้เดาและหยิบลองกันเอง  ที่นี่เขียนทุกอย่างไว้แล้วเพื่อทุกคนจะได้เสื้อผ้าขนาดพอดีตัว  ผมเห็นแวบๆ จากปากถุงว่าเครื่องแบบของเราเป็นสีขาว มีแถบสีแดง เป็นไปได้ยากมากที่คนที่ใส่เสื้อผ้าแบบนี้จะรอดหูรอดตาใครไปได้

 

(อ่านต่อได้ในนิยายฉบับเต็ม) 

 

 

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า