หุ้นเติบโตออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ หุ้นโตช้า และหุ้นโตเร็ว แล้วหุ้นทั้ง 2 ประเภท มีจุดแข็ง จุดอ่อนอย่างไร ที่จะช่วยให้นักลงทุนรู้ทันและเข้าใจแบบลึกซึ้ง เพื่อสร้างพอร์ตให้เติบโตอย่างยั่งยืน เราไปดูความลับของหุ้นเติบโตทั้ง 2 ประเภทนี้ใน “ทำความรู้จักประเภทของหุ้นเติบโต ลงทุนเป็นพอร์ตโตเร็วกว่าที่คิด!”
หุ้นโตช้า
หุ้นโตช้าควรลงทุนระยะยาว ไม่ได้หวังว่ามันจะเติบโตรวดเร็วเป็นเด้ง ๆ ภายในระยะเวลาสั้น ๆ หวังว่าในระยะยาวหุ้นสามารถเติบโตไปเรื่อย ๆ ยิ่งเติบโตได้ไม่มีลิมิตยิ่งดี ลักษณะที่ดีของหุ้นแบบนี้ ได้แก่
1. มีลักษณะกึ่งผูกขาดหรือหาสินค้าทดแทนได้ยาก อะไรก็ตามที่เข้าตามตำราทำนองที่ว่า หาสินค้าทดแทนได้ยากมาก ๆ หรือกึ่ง ๆ มีอยู่เจ้าเดียว เช่น หุ้นสนามบิน หุ้นรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน หุ้นแบบนี้เหมาะจะลงทุนระยะยาวอย่างไม่ต้องสงสัย
2. เทคโนโลยีเปลี่ยนช้า การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ไม่ค่อยกระทบหรือกระทบน้อยมาก สิ่งที่นักลงทุนในยุคนี้ต่างกังวลไม่น้อย คงหนีไม่พ้นการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว หรือที่เขาเรียกกันว่า Disruption ซึ่งมันกระทบหลายธุรกิจ เวลาสิ่งนี้มา หลายครั้งเราตั้งตัวไม่ทัน เช่น สื่อออนไลน์มาทดแทนสื่อกระดาษยุคเก่า หรือรถยนต์ไฟฟ้าจะมาทดแทนรถยนต์สันดาปในอนาคต ถ้าคิดจะลงทุนหุ้นระยะยาวกับหุ้นเติบโตอย่างช้า ๆ ควรมองหากิจการที่ได้รับผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงน้อย ๆ เอาไว้ก่อน
3. แนวโน้มการเติบโตของรายได้และกำไรดีขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะยาว ถ้าเราจะลงทุนระยะยาวกับกิจการใด ๆ ภาพใหญ่ เป็นสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงให้ดี ถ้ากิจการที่รายได้โต กำไรโต แม้จะโตช้า ๆ แต่ยั่งยืน อาจจะดีกว่ากำไรที่โตแบบฉาบฉวย
4. กิจการต้องมั่นคงยั่งยืน ทำให้เราวางใจลงทุนยาวๆ กับมันได้ หากเราลงทุนในกิจการที่หวือหวา คิดว่าอาจไม่เหมาะกับแนวคิดนี้ แต่ถ้าเราต้องการความมั่นคง มั่นใจในระยะยาว การลงทุนในหุ้นโตช้าอาจจะตอบโจทย์ของเรา แต่ใช่ว่าเราจะไม่ดูแลมันเลย เราก็ยังคงต้องติดตามต่อเนื่องอยู่ดี
ตัวอย่างของหุ้นโตช้า
ขอยกตัวอย่างหุ้นที่คิดว่าเป็นหุ้นเติบโตอย่างช้า ๆ แต่ยั่งยืน นั่นคือ หุ้น BEM : บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพจำกัด (มหาชน) ซึ่งพิจารณาแล้วว่า “เข้าข่าย” ทุกเงื่อนไข หุ้นค่อยจะ ๆ โตอย่างช้า ๆ ราคาหุ้นเติบโตจากราว 5 บาทต่อหุ้นไปเป็น 10 บาทต่อหุ้น หรือโต 100 เปอร์เซ็นต์ภายใน 5 ปี แม้ปีล่าสุดจะสะดุด แต่เชื่อว่าจะกลับมาได้ ด้วยพื้นฐานธุรกิจที่ดี ในขณะที่กำไรก็เติบโตล้อไปกับราคาหุ้นนั่นเอง
หุ้นโตเร็ว
แนวคิดการลงทุนหุ้นโตเร็ว เราต้องเข้าใจก่อนว่า คำว่า “โตเร็ว” ในความหมายนี้หมายถึงอะไร สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่ต้องการลงทุนในหุ้นเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นโตเร็ว สิ่งที่เขาต้องการก็คือ การเติบโตของรายได้และกำไร โดยอาจไม่สนใจเงินปันผลมากมายเท่าใดนัก
การเติบโตของรายได้และกำไรนั้นเป็นอะไรที่เราต้องจับจ้องให้ดีเป็นพิเศษ หลายครั้งเราเจอหุ้นที่กำไรโตเร็ว แต่มันเป็นเรื่องชั่วคราว คือ การเติบโตของกำไรไม่ยั่งยืน ทำให้ราคาหุ้นขยับปรับขึ้นในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง และรีบขายทำกำไรเมื่อมันถึงจุดที่เราคิดว่ามันไปต่อได้ยากแล้ว
การลงทุนหุ้นโตเร็วเป็นอะไรที่เราต้องคิดพิจารณาให้รอบด้านและการดูตัวผู้บริหาร ดูว่าเขาคิดอะไร ทำได้จริงหรือไม่ เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้การดูตัวเลทางการเงินเลยทีเดียว
ปัจจัยที่จะทำให้หุ้นโตเร็ว
อะไรที่ทำให้หุ้นเติบโตได้บ้าง สิ่งนี้หลายคนคิดและอยากรู้ ซึ่งแนวคิดจริง ๆ ค่อนข้างเรียบง่าย ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับตัวเลขทางการเงินที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่อย่างไรเรามาพิจารณากันดังต่อไปนี้
1. รายได้โต แล้วกำไรโตตามรายได้หรือไม่
การพิจารณาว่ารายได้โตอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ สิ่งที่เราต้องดูเป็นจุดสังเกตก็คือ กำไรโตตามรายได้หรือไม่อย่างไร เช่น หุ้นส่งออกอาหารทะเลตัวหนึ่งรายได้เติบโต และกำไรก็โตตามด้วย มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก แต่พอคิดคำนวณตัวเลขแล้วพบว่า รายได้โต แต่กำไรยังโตช้ากว่า หุ้นตัวนี้อาจเป็น “ต้นทาง” ของการลงทุน สาเหตุเป็นเพราะสัดส่วนรายได้อาจจะยังโตไม่ทันต้นทุน 2 ประเภท นั่นคือ ต้นทุนผันแปร กับต้นทุนคงที่ แบบนี้คงต้องบอกว่าเราอาจเจอหุ้นเด้งเข้าให้แล้ว…
2. มีการเติบโตอย่างเร่งตัว (แบบรวดเร็ว) ด้วยสาเหตุที่เฉพาะเจาะจงหรือไม่
สิ่งที่ควรรู้ต่อมาก็คือ การเติบโตครั้งนี้มีสาเหตุจากอะไรมีความเฉพาะเจาะจงมากน้อยแค่ไหน ซึ่งคำว่า “เฉพาะเจาะจง” หมายความว่า การเติบโตครั้งนี้อาจจะยั่งยืน ยกตัวอย่างเช่น หุ้นอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีเทรนด์การเติบโตตามปริมาณการใช้ชิปประมวลผล
แบบเป็นเทรนด์ใหญ่ สำหรับหุ้นส่งออกอาหาร คงต้องมีการเติบโตในแง่มุมของการเปิดประเทศ การเปิดของร้านอาหาร แบบนี้เป็นต้น ซึ่งการเติบโตที่มีสาเหตุเฉพาะเจาะจงนั้น นักลงทุนอาจต้องใช้ประสบการณ์ในการวิเคราะห์เสียหน่อย ซึ่งมันมองออกยากสำหรับคนทั่วไป ไม่เช่นนั้นหุ้นคงจะขึ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
3. การเติบโตผ่านจุดคุ้มทุนแล้วหรือไม่
เรื่องนี้สำคัญมาก ๆ ครับ จุดคุ้มทุน หรือ Break Even Point เป็นอะไรที่เมื่อผ่านไปแล้วกำไรจะเติบโตรวดเร็วมาก เพราะถ้ากิจการใด “คุ้มทุน”ไปแล้ว ราคาหุ้นมันมักจะพุ่งขึ้นแรงมาก
4. พีอีเติบโตตามการเติบโตของกำไรไปแล้วหรือยัง
ข้อสุดท้ายนี้อาจเป็นแนวคิดเชิงเทคนิคนิดหน่อย ที่จริงคนที่คิดเรื่องนี้ก็เป็นนักลงทุนระดับโลก คือ ปีเตอร์ ลินช์ โดยแนวคิดของเขาจะใช้ PEG หรือ PE per Growth โดยมีสูตรคำนวณง่าย ๆ ต่อไปนี้
PEG = PE (Price per Earning)/ Growth Rate
ยกตัวอย่างเช่น หุ้นตัวหนึ่งมีขนาดกิจการ 1,000 ล้าน ทำกำไรได้100 ล้าน มีพีอี 10 เท่า และมีอัตราการเติบโต 10 เปอร์เซ็นต์ แบบนี้ PEG = 10/10 = 1 เท่า ถ้าพีอีในกระดานหุ้นต่ำกว่า 1 เท่า แสดงว่าหุ้นตัวนี้ยังมีอัปไซส์ให้เติบโตในแง่ของราคาหุ้น
ทำความรู้จักประเภทของหุ้นเติบโต ลงทุนเป็นพอร์ตโตเร็วกว่าที่คิด!
เขียนโดย นายแว่นลงทุน นักเขียนและนักลงทุนเต็มเวลาที่มีผู้ติดตามเพจกว่า 2.3 แสนคน
วางจำหน่ายแล้วที่ร้านหนังสือทั่วประเทศ
สั่งซื้อออนไลน์ คลิก