นวนิยายชื่อดัง กาหลมหรทึก เขียนโดย ปราปต์ ที่โด่งดังจนถูกนำไปสร้างเป็นละครสืบสวนสอบสวนทางช่อง One31 ดำเนินเรื่องโดยมี 7 จุดสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่คนร้ายได้ลงมือก่อเหตุ และสักคำ 5 คำไว้บนตัวของเหยื่อ ด้วยความที่เป็นนิยายแนวพีเรียดจึงถูกโอบล้อมด้วยประวัติศาสตร์สำคัญของประเทศที่น้อยคนจะรู้ลึกถึงความเป็นมา
มาดูกันว่า 7 สถานที่ในประวัติศาสตร์ไทยจากนวนิยาย กาหลมหรทึก มีที่ใดบ้าง
ตรอกศาลาต้นจันทน์ วัดระฆังโฆสิตาราม
ตรอกศาลาต้นจันทน์อยู่ในย่า
วังเดิม
พระราชวังเดิมหรือพระราชวัง
ภายในพระราชวังแห่งนี้ประกอ
ส่วนถนนวังเดิมนั้นเป็นถนนส
ศาลเจ้าเกียนอันเกง
ศาลเจ้าเกียนอันเกง หรือศาลเจ้าแม่กวนอิม เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ของชุมชน
สมัยก่อนพื้นที่แถบศาลเจ้าน
วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร
เดิมที่ดินที่ใช้สร้างวัดนี
นอกจากรั้วเหล็กอันลือชื่อ วัดประยุรวงศาวาสยังโดดเด่น
สะพานภานุพันธุ์ ย่านเยาวราช
ในสมัยสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ที่ดินฝั่งขวาของเจ้าพระยาหาได้ว่างเปล่า มีชาวจีนกลุ่มใหญ่นำโดยพระยาราชาเศรษฐีตั้งรกรากอยู่ก่อนแล้ว ในการสร้างพระบรมมหาราชวังใหม่ในพื้นที่ดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ ให้ชุมชนจีนแถบนั้นย้ายไปตั้งบ้านเรือนลึกห่างจากแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศใต้นอกกำแพงวัง โดยพระราชทานที่ดินระหว่างคลองวัดสามปลื้มกับคลองวัดสำเพ็งให้แทน
ในอดีต สำเพ็งเป็นชุมชนที่วิวัฒน์ว่องไว เนื่องจากไทยมีนโยบายจูงใจชาวจีนโพ้นทะเลให้มาตั้งถิ่นฐานเพื่ออาศัยเป็นแรงงาน อีกทั้งการค้าสำเภาระหว่างสองชาติก็ขยายตัว โดยเฉพาะกับจังหวัดเฉาโจวหรือแต้จิ๋วในมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ชายหนุ่มยากจนแถบนั้นจึงเรียงแถวขึ้นอั้งเถ้าจุ้งหรือสำเภาหัวแดงจากท่าเรือจางหลิน เดินทางฝ่าคลื่นลมมาสู่ความอุดมสมบูรณ์แห่งแดนแหลมทอง ครั้นขึ้นฝั่งยังสามารถเลือกสังกัดมูลนายเฉกชาวไทย หรือจะปักใจอยู่อิสระโดยจ่ายเป็นเงินผูกปี้แทนก็ได้ ความเจริญของย่านคนจีนตั้งแต่คลองโอ่งอ่างถึงคลองผดุงกรุงเกษมนี้งอกงามควบคู่ความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองชาติมาโดยตลอด ตราบกระทั่งนโยบายรัฐนิยมของจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม
ย่านสามแพร่ง
ชุมชนเก่าแก่และเคยติดอันดับความเจริญมากที่สุดแห่งหนึ่งในพระนครนี้ เดิมเป็นที่ประทับของพระโอรสสามองค์ในพระเจ้าอยู่หัวรัชกาล 4 คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพศาสตรศุภกิจ พระนามเหล่านี้กลายเป็นที่มาของชื่อเรียกแพร่งทั้งสาม แพร่งภูธร แพร่งนรา และแพร่งสรรพศาสตร์
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทั้งสามแพร่งเต็มไปด้วยตลาดสดและร้านอาหาร มีทั้งสถานอนามัยและโรงละคร ซึ่งเปิดขึ้นเพื่อรองรับบรรดาข้าราชการตามหน่วยงานต่างๆ ที่รายล้อมอยู่ในบริเวณนั้น เป็นย่านการค้าที่รุ่งเรืองตามต่อมาจากบริเวณเสาชิงช้า เนื่องจากการตัดถนนบำรุงเมืองและเฟื่องนครผ่าน ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงของชุมชนจากตลาดน้ำคือการค้าทางเรือในคลองคูเมืองเดิมมาเป็นตลาดบก ลักษณะอาคารในย่านเป็นแบบชิโนโปรตุกีส มีชาวต่างชาติเข้ามาทำการค้าขายทั้งชาวจีน เปอร์เซีย ตะวันตก สถานที่สำคัญอีกแห่งในย่านได้แก่ ศาลเจ้าพ่อเสือ
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์)
วัดโพธิ์หรือวัดโพธารามถูกสร้างตั้งแต่แผ่นดินอยุธยา ได้รับการยกฐานะเป็นพระอารามหลวงในสมัยกรุงธนบุรี ต่อเมื่อปี พ.ศ.2331 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนาเป็นวัดหลวงข้างพระบรมมหาราชวังฝั่งใต้ คู่กับวัดสลักหรือวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร ที่ด้านเหนือ พระอุโบสถ พระระเบียง และพระวิหารถูกสร้างใหม่พร้อมการบูรณะของเก่าแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2344 ได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า ‘วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส’ วัดประจำรัชกาลที่ 1 จากนั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่อีกหน โดยดำเนินการนานกว่า 16 ปี ครั้งนี้เพิ่มจารึกสรรพตำราบนแผ่นหินอ่อนประดิษฐ์ไว้ตามศาลาราย เป็นที่มาของสมญามหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ ต่อเมื่อรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้อยนามพระอารามถูกเปลี่ยนใหม่ กลายเป็นชื่อที่คนไทยรู้จักกันตราบเท่าทุกวันนี้ ‘วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร’
วัดโพธิ์มีพระเจดีย์มากที่สุดในประเทศ ถึงกว่า ๙๙ องค์ องค์สำคัญได้แก่พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ ประจำรัชกาลที่ 1 พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิทาน ประจำรัชกาลที่ 2 พระมหาเจดีย์มุนีบัตบริขาร ประจำรัชกาลที่ 3 และพระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย ประจำรัชกาลที่ 4 ในยุคนั้นการสร้างพระเจดีย์องค์สุดท้ายยังไม่แล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจียนเสด็จสวรรคตได้มีพระราชดำรัสเฉพาะกับองค์มกุฏราชกุมารว่า “พระเจดีย์วัดพระเชตุพนนั้นกลายเป็นการใส่คะแนนพระเจ้าแผ่นดินไป ถ้าจะใส่คะแนนอยู่เสมอจะไม่มีที่สร้าง ควรจะถือว่าพระเจ้าแผ่นดินทั้งสี่พระองค์นั้น ท่านได้เคยเห็นกันทั้งสี่พระองค์จึงควรมีพระเจดีย์อยู่ด้วยกัน ต่อไปอย่าให้ต้องสร้างทุกแผ่นดินเลย” พระเจดีย์ประจำรัชกาลที่วัดโพธิ์จึงมีอันหยุดลงแค่รัชกาลที่ 4 ด้วยประการฉะนี้
ลึกล่วงไปยังมีพระวิหารสี่ทิศ แต่ละทิศประดิษฐานพระพุทธรูปแต่ละปาง มีประวัติการอัญเชิญมาจากพื้นที่แผกต่าง พระวิหารคด พระอุโบสถที่ประดิษฐานพระพุทธเทวปฏิมากรซึ่งรัชกาลที่ 1 ทรงอัญเชิญมาแต่วัดศาลาสี่หน้าในนามใหม่วัดคูหาสวรรค์วรวิหาร ประติมากรรมตกแต่งรอบด้าน ทวารบาล ซุ้มประตู ภาพสลัก รูปปั้นฤาษีดัดตน ยังไม่รวมถึงศาลารายรอบด้านอันเป็นที่ผนึกของจารึกวัดโพธิ์หมวดต่างๆ หมวดพระพุทธศาสนา อาทิเรื่องพระมหาวงษ์ พระสาวกสาวิกา หมวดประวัติเรื่องการบูรณปฏิสังขรณ์ หมวดประเพณีเรื่องริ้วกระบวนแห่พระกฐินทางสถลมารค หมวดเวชศาสตร์ตำรายา หมวดสุภาษิตวรรณคดี และหมวดทำเนียบ รวมทั้งสิ้น 6 หมวด 38 เรื่อง บนศิลา 1,440 แผ่น
สั่งซื้อ กาหลมหรทึก คลิกที่นี่
บทความอื่นๆ
ตามรอย กาหลมหรทึก: คดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ จากหนังสือดังสู่ละครช่องวัน 31
Pingback: 8 นักเขียนคลื่นลูกใหม่ผู้เป็นบทพิสูจน์ว่า "วรรณกรรมไทย" ยังไปต่อได้
Pingback: 10 เรื่องอึกทึก! ที่คุณยังไม่รู้เกี่ยวกับ 'กาหลมหรทึก' จากนิยายสู่ละครดัง!
Pingback: ไม่ลืมรักเรา ผลงานของติงโม่ เจ้าของเดียวกับ เมื่อหอยทากมีรัก ที่คุณถึงไม่ควรพลาด
Pingback: แนะนำนิยายสืบสวน ทั้งไทยและต่างประเทศที่คุณไม่ควรพลาด!