[ทดลองอ่าน] มิดไนท์ซัน / สเตเฟนี เมเยอร์

สเตเฟนี เมเยอร์ เขียน

วรรธนา วงษ์ฉัตร แปล

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

*ติดตามวันวางจำหน่ายได้ทางเพจ “เเพรวสำนักพิมพ์”เร็วๆนี้*

————————————————————

อีกหนึ่งเรื่องราวจากจักรวาล TWILIGHT

ที่ถูกเล่าผ่านมุมมองของ “เอ็ดเวิร์ด คัลเลน”

————————————————————

 

 

 

-1-

แรกพบ

 

นี่คือช่วงเวลาในแต่ละวันที่ผมภาวนามากที่สุดให้ตัวเองสามารถข่มตาหลับได้

โรงเรียนมัธยม

หรือต้องเรียกว่า ดินแดนชำระบาป จะถูกต้องกว่า ถ้าหากว่ามันจะมีวิธีใดไถ่บาปของผมได้ละก็ วิธีนี้น่าจะถูกนับรวมเข้าไปในวิธีการทั้งหมดด้วยในระดับหนึ่ง ผมไม่คุ้นชินกับความน่าเบื่อหน่ายนี้เสียที ทุกวันดูจืดชืดมากกว่าเมื่อวานอย่างไม่น่าเป็นไปได้

บางทีนี่อาจจะเป็นการนอนในรูปแบบหนึ่งของผมก็ได้ ถ้าคำนิยามของการนอนหลับคือสภาวะเฉื่อยชาระหว่างช่วงเวลาของความกระฉับกระเฉง

ผมนั่งจ้องรอยแยกในปูนปลาสเตอร์ที่มุมไกลของโรงอาหารพลางนึกภาพลวดลายต่างๆ ที่ไม่มีจริงในรอยแยกเหล่านั้น มันเป็นวิธีหนึ่งเพื่อปิดกั้นเสียงต่างๆ ที่กำลังพูดพล่ามเหมือนเสียงแม่น้ำไหลทะลักอยู่ในหัวของผม

เป็นเสียงหลายร้อยเสียงที่ผมไม่นำพาเพราะความเบื่อหน่าย

เรื่องความคิดของมนุษย์ ผมเคยได้ยินมาหมดแล้ว และยังได้ยินมากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ความคิดทั้งหมดของพวกเขาท่วมท้นไปด้วยการเสริมแต่งเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ให้กับนักศึกษาร่างเล็กคนนั้น มันง่ายมากที่จะทำให้พวกเขาตื่นเต้น ผมเห็นใบหน้าของนักศึกษาใหม่คนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในความคิดของพวกเขาคนแล้วคนเล่าจากทุกด้าน เธอก็แค่มนุษย์ผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ความตื่นเต้นเรื่องการมาที่นี่ของเธอเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ง่ายจนน่าเอือมระอา มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองแบบเดียวกับที่เราจะได้รับเวลาที่เราเอาของเล่นที่เป็นประกายวิบวับอวดตรงหน้าเด็กน้อยวัยเตาะแตะกลุ่มหนึ่ง ครึ่งหนึ่งของผู้ชายหน้าโง่พวกนี้นึกภาพตัวเองหลงใหลคลั่งไคล้เธอเรียบร้อยแล้ว เพียงเพราะเธอเป็นของใหม่ให้มอง ผมพยายามปิดกั้นเสียงพวกเขาออกไปให้มากขึ้น

มีเพียงสี่เสียงเท่านั้นที่ผมปิดกั้นออกไปเพราะมรรยาท ไม่ใช่เพราะความรังเกียจ มันเป็นเสียงของครอบครัวผมเอง ซึ่งมี พี่ชายสอง น้องสาวสอง พวกเขาคุ้นชินกับการขาดความเป็นส่วนตัวเมื่ออยู่กับผมมากเสียจนพวกเขาไม่ค่อยกังวลกับเรื่องนี้มากนัก ผมมอบความเป็นส่วนตัวให้พวกเขาเท่าที่ผมจะให้ได้โดยการพยายามไม่ฟังถ้าทำได้

ขนาดว่าผมพยายามอย่างมากแล้วนะ แต่…ผมก็ยังรู้

โรซาลีกำลังคิดเกี่ยวกับตัวเองเหมือนเช่นเคย ความคิดของเธอเป็นเหมือนบ่อน้ำนิ่งที่มีเรื่องน่าประหลาดใจไม่มากนัก โรซาลีเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในแว่นตาของใครบางคน และกำลังครุ่นคิดถึงความสวยเป๊ะของตัวเอง ไม่มีใครมีสีผมใกล้เคียงกับสีทองที่แท้จริง ไม่มีใครหุ่นสวยเหมือนนาฬิกาทราย ไม่มีใครมีใบหน้ารูปไข่อย่างไร้ที่ติ แต่โรซาลีไม่ได้เปรียบเทียบตัวเองกับมนุษย์ที่นี่หรอกนะ การเปรียบเทียบแบบนั้นเป็นเรื่องเหลวไหลน่าขำ เธอคิดถึงคนอื่นๆ ที่เหมือนกับพวกเราต่างหากล่ะ ไม่มีใครเทียบเคียงเธอได้เลย

สีหน้าที่โดยปกติจะดูไร้กังวลของเอ็มเม็ตต์กำลังยู่ยี่ด้วยความโกรธ ตอนนี้เขากำลังยกมือใหญ่มหึมาข้างหนึ่งขึ้นเสยผมหยิกสลวยดำขลับของเขา แล้วขยุ้มผมไว้ในกำมือ เอ็มเม็ตต์ยังโกรธที่เขาพ่ายแพ้แจสเปอร์ในการแข่งมวยปล้ำเมื่อคืนนี้ เขาคงต้องใช้ความอดทนทั้งหมดที่เขามีจนกว่าจะถึงเวลาเลิกเรียนเพื่อแข่งมวยปล้ำใหม่อีกรอบ ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเสียมรรยาทกับการได้ยินความคิดของเอ็มเม็ตต์ เพราะเอ็มเม็ตต์ไม่เคยคิดอะไรแล้วจะไม่พูดออกมาดังๆ หรือไม่ลงมือทำตามความคิดนั้น บางทีที่ผมรู้สึกละอายแก่ใจเวลาอ่านความคิดของคนอื่น อาจเป็นเพียงเพราะผมรู้ว่าในใจคนพวกนั้นต้องมีเรื่องบางอย่างที่พวกเขาไม่อยากให้ผมรู้ ถ้าความคิดของโรซาลีเป็นบ่อน้ำนิ่ง ความคิดของเอ็มเม็ตต์ก็เป็นทะเลสาบที่ใสแจ๋วและไร้ซึ่งเงามืด

และแจสเปอร์กำลัง…ทุกข์ทรมาน ผมกลั้นเสียงถอนใจ

เอ็ดเวิร์ด…อลิซเรียกชื่อผมในหัวเธอ มันเรียกความสนใจจากผมได้ทันที

มันก็เหมือนกับการเรียกชื่อผมออกมาดังๆ ผมดีใจที่ชื่อของผมมันเชยไปแล้วในช่วงยี่สิบสามสิบปีที่ผ่านมา เพราะในอดีตมันน่าโมโหมาก ทุกครั้งที่มีการคิดถึงเอ็ดเวิร์ดคนไหนก็ตาม ผมจะหันหน้าไปทางนั้นโดยอัตโนมัติทุกที

แต่ตอนนี้ผมไม่หันหน้า ผมกับอลิซเก่งมากในเรื่องของการคุยกันเป็นการส่วนตัวแบบนี้ ยากมากที่จะมีใครจับเราได้ ผมจับจ้องสายตาอยู่ที่ลายเส้นบนปูนปลาสเตอร์

เขาเป็นอย่างไรบ้าง เธอถามผม

ผมขมวดคิ้ว ปากที่เม้มไว้แน่นของผมขยับเปลี่ยนแปลงแค่เล็กน้อย ไม่มีอะไรทำให้ใครผิดสังเกต คนอื่นอาจจะคิดว่าผมอาจจะขมวดคิ้วเพราะความเบื่อหน่ายก็ได้

แจสเปอร์นั่งนิ่งๆ มานานเกินไปแล้ว เขาไม่ได้ทำท่าขยับเขยื้อนเหมือนมนุษย์แบบที่เราทุกคนต้องทำ เราต้องเคลื่อนไหวอยู่เรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ดูโดดเด่นสะดุดตาผู้อื่น เหมือนอย่างเช่น เอ็มเม็ตต์ทึ้งผมตัวเอง โรซาลียกขาไขว่ห้าง ทีแรกก็ข้างนี้ ต่อมาก็อีกข้าง อลิซเคาะเท้ากับพื้นปูเสื่อน้ำมัน และผมขยับศีรษะเพื่อดูลวดลายอื่นบนกำแพง แจสเปอร์ดูแข็งทื่อเหมือนเป็นอัมพาต เรือนร่างผอมเพรียวของเขาตรงแหน็ว แม้กระทั่งผมสีน้ำผึ้งของเขาก็ยังดูเหมือนไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อลมที่พัดโชยเบาๆ ออกมาจากช่องระบายอากาศ

ตอนนี้เสียงคิดของอลิซฟังตื่นตกใจ ผมเห็นในความคิดของอลิซว่าเธอกำลังชำเลืองมองแจสเปอร์จากทางหางตา มีภยันตรายอะไรหรือเปล่า อลิซมองค้นหาไปยังอนาคตใกล้ๆ เธอมองผ่านภาพความเบื่อหน่ายเพื่อมองหาต้นตอเบื้องหลังสีหน้านิ่วคิ้วขมวดของผม แม้ในขณะที่ทำแบบนั้น อลิซก็ยังไม่ลืมที่จะซุกกำปั้นน้อยๆ ข้างหนึ่งไว้ใต้คางแหลมๆ ของเธอพลางกะพริบตาอย่างสม่ำเสมอ และเสยปอยผมดำซอยไล่สั้นที่ปรกตาขึ้น

ผมหันหน้าไปทางซ้ายช้าๆ ราวกับกำลังมองอิฐบนกำแพง แล้วถอนหายใจก่อนจะหันกลับไปทางขวาเพื่อมองรอยแยกบนเพดาน คนอื่นๆ ต้องคิดว่าผมกำลังทำท่าเหมือนมนุษย์ มีแต่อลิซเท่านั้นที่รู้ว่าผมกำลังสั่นหน้า

อลิซผ่อนคลาย บอกให้ฉันรู้ด้วยนะถ้ามันเริ่มเลวร้ายเกินไป

ผมขยับแค่ดวงตาโดยการมองขึ้นบนเพดานก่อนแล้วมองกลับลงมา

ขอบคุณที่ทำแบบนี้

ผมดีใจที่ไม่สามารถตอบเธอออกมาดังๆ ได้ จะให้ผมตอบว่าอย่างไร ด้วยความยินดีอย่างนั้นหรือ แต่ผมไม่ได้ยินดีนี่นา ผมไม่ได้มีความสุขกับการฟังการต่อสู้ดิ้นรนของแจสเปอร์ มันจำเป็นจริงๆ หรือที่จะต้องทดลองแบบนี้ มันไม่ปลอดภัยกว่าหรือที่จะแค่ยอมรับว่า แจสเปอร์ไม่มีทางรับมือกับความกระหายของเขาได้ดีเท่าๆ กับพวกเราที่เหลือ และพวกเราก็ไม่ควรกดดันเขา เราจะล้อเล่นกับความหายนะไปเพื่ออะไร

มันผ่านมาสองสัปดาห์แล้วนับตั้งแต่การออกล่าเหยื่อครั้งล่าสุดของเรา มันไม่ใช่ช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างมหันต์อะไรเลยสำหรับพวกเราที่เหลือ อาจจะอึดอัดเล็กน้อยเป็นบางครั้ง…ถ้ามีมนุษย์สักคนเดินเข้ามาใกล้เกินไป หรือถ้าลมพัดผิดทิศ แต่มนุษย์มักไม่ค่อยเดินเข้ามาใกล้พวกเรามากเกินไป สัญชาตญาณบอกพวกเขาถึงสิ่งที่จิตสำนึกของพวกเขาไม่มีวันเข้าใจ มันบอกว่าพวกเราคือตัวอันตรายที่ต้องหลีกเลี่ยง

และตอนนี้แจสเปอร์คือตัวอันตรายอย่างมาก

มันเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่บางครั้งบางคราวผมก็รู้สึกประหลาดใจกับการไม่รับรู้อะไรเลยของมนุษย์ที่อยู่รายรอบเรา เราทุกคนชินกับมันและคาดหวังมันอยู่เสมอ แต่บางครั้งมันก็ดูเหมือนรุนแรงมากกว่าปกติ ไม่มีมนุษย์คนไหนสังเกตมองเราที่กำลังนั่งเอกเขนกอยู่ที่โต๊ะเก่าโทรมของโรงอาหาร พวกเขาไม่รู้หรอกว่าต่อให้มีเสือฝูงหนึ่งเข้ามานอนแผ่หลาแทนที่พวกเราในนี้ เสือพวกนั้นก็ยังเป็นตัวอันตรายน้อยกว่าพวกเราเสียอีก ทั้งหมดที่พวกเขาเห็นคือคนห้าคนที่ดูแปลกๆ แต่ดูใกล้เคียงมนุษย์มากพอที่จะมองผ่านไปได้ มันยากจริงๆ ที่จะนึกภาพการเอาชีวิตรอดของคนที่โง่ดำดินขนาดนี้

วินาทีนั้นเอง สาวน้อยร่างเล็กคนหนึ่งก็เดินมาหยุดยืนที่ริมโต๊ะตัวที่อยู่ใกล้โต๊ะของเรามากที่สุดเพื่อแวะคุยกับเพื่อนของเธอ เธอสะบัดผมสีทรายตัดสั้น แล้วยกมือขึ้นเสยผม เครื่องทำความร้อนเป่ากลิ่นไอของเธอมาทางเรา ผมชินแล้วกับการที่กลิ่นนั้นทำให้ผมรู้สึกอย่างไร…คอผมจะแห้งผากจนแสบคอ ท้องไส้โหวงเหวงด้วยความโหยหา กล้ามเนื้อเกร็งโดยอัตโนมัติ และพิษร้ายพลุ่งพล่านในปากผมมากเกินไป

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องปกติ และมองข้ามได้ง่าย แต่ตอนนี้มันยากมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงมากขึ้นเป็นสองเท่าเพราะผมต้องควบคุมแจสเปอร์ไปด้วย

แจสเปอร์ปล่อยให้จินตนาการของเขาเตลิดไปไกล เขากำลังนึกภาพตัวเขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งข้างอลิซ แล้วเดินไปยืนข้างสาวน้อยคนนั้น เขานึกภาพตัวเองก้มลงทำท่าเหมือนจะกระซิบข้างหูเธอ แต่กลับปล่อยให้ริมฝีปากแตะลำคอของเธอแทน เขานึกภาพว่าชีพจรของเธอที่เต้นแรงใต้ผิวที่บอบบางจะให้ความรู้สึกอย่างไรใต้ปากเขา…

ผมเตะเก้าอี้ของแจสเปอร์

แจสเปอร์สบตาผม ดวงตาดำขลับของเขาฉายแววขุ่นเคืองแว่บหนึ่ง แล้วเขาก็หลุบตาลง ผมได้ยินความอับอายกำลังทำสงครามกับการขัดขืนอยู่ในหัวของเขา

“โทษที” แจสเปอร์พึมพำ

ผมยักไหล่

“นายจะไม่ลงมือทำอะไรหรอก” อลิซพึมพำปลอบโยนความอับอายของเขา “ฉันเห็นล่วงหน้าแล้ว”

ผมพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ขมวดคิ้วนิ่วหน้า เพราะมันจะฟ้องว่าเธอโกหก ผมกับอลิซต้องจับมือกันไว้ มันไม่ง่ายที่จะเป็นคนบ้าท่ามกลางพวกที่บ้าอยู่แล้ว เราช่วยกันปิดบังความลับของกันและกัน

“มันจะช่วยได้บ้างเล็กน้อยถ้านายคิดถึงพวกเขาในฐานะผู้คนทั่วไป” อลิซแนะนำ น้ำเสียงไพเราะแหลมสูงของเธอรัวเร็วเกินกว่าที่มนุษย์จะฟังเข้าใจถ้ามีมนุษย์คนไหนเข้ามาใกล้พอที่จะได้ยิน “เธอชื่อวิทนีย์ มีน้องสาวคนหนึ่งที่เธอรักมาก แม่เธอเคยชวนเอสเมไปงานปาร์ตี้ในสวนครั้งนั้นด้วย นายจำได้ไหม”

“ฉันรู้ว่าเธอเป็นใคร” แจสเปอร์ตอบห้วนๆ แล้วหันไปมองออกนอกหน้าต่างบานเล็กบานหนึ่งที่ตั้งเว้นระยะห่างกันใต้ชายคารอบห้องยาวๆ ห้องนี้ น้ำเสียงของเขาทำให้การพูดคุยครั้งนี้ต้องจบลง

คืนนี้เขาคงต้องออกล่าเหยื่อ มันเหลวไหลที่จะเสี่ยงแบบนี้ เหลวไหลที่จะพยายามทดสอบความเข้มแข็งของเขา และเสริมสร้างความอดทนให้เขา แจสเปอร์ควรยอมรับขีดจำกัดของตัวเองและปฏิบัติตัวอยู่ภายในขีดจำกัดนั้น

อลิซถอนใจเงียบๆ แล้วลุกขึ้นยืน เธอยกถาดอาหาร…ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นแค่อุปกรณ์ประกอบฉากของเธอ…ไปด้วย และทิ้งแจสเปอร์ไว้ตามลำพัง อลิซรู้ดีว่าเมื่อไรที่เขาได้รับกำลังใจจากเธอมากพอแล้ว ถึงแม้ว่าโรซาลีกับเอ็มเม็ตต์จะแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งมากกว่าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขา แต่เป็นอลิซกับแจสเปอร์ที่รู้ในความต้องการของกันและกันดีเท่าๆ กับที่รู้ในความต้องการของตัวเอง มันราวกับว่าพวกเขาอ่านความคิดได้ด้วย…แต่อ่านได้เฉพาะความคิดของกันและกันเท่านั้น

เอ็ดเวิร์ด

ปฏิกิริยาตอบสนองโดยอัตโนมัติทำให้ผมหันหน้าไปทางเสียงที่เรียกชื่อผม แต่มันไม่ใช่การเรียก มันเป็นแค่การคิด

สายตาผมตรึงอยู่ครึ่งวินาทีกับดวงตาโตสีน้ำตาลช็อกโกแลตของมนุษย์ที่อยู่บนดวงหน้ารูปหัวใจขาวผ่อง ผมรู้จักใบหน้านี้ดีถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยเห็นมันมาก่อน เพราะทุกวันนี้มันขึ้นอันดับหนึ่งอยู่ในหัวของมนุษย์ทุกคน อิซาเบลลา สวอน นักศึกษาใหม่ที่เป็นลูกสาวสารวัตรตำรวจของเมืองนี้ ซึ่งย้ายมาอยู่ที่นี่เพราะการเปลี่ยนผู้ปกครองใหม่ เธอจะบอกทุกคนที่เรียกชื่อเต็มของเธอว่าให้เรียกเธอแค่ เบลล่า

ผมเบนสายตาไปทางอื่นด้วยความเบื่อหน่าย และต้องใช้เวลาหนึ่งวินาทีจึงตระหนักได้ว่าเธอไม่ได้เป็นคนคิดชื่อผม

แน่นอนว่าเธอกำลังปิ๊งพวกคัลเลนอยู่แล้ว ผมได้ยินเสียงคิดเสียงแรกพูดต่อ

ตอนนี้ผมจำ ‘เสียง’ นั้นได้แล้ว

เจสสิก้า สแตนลีย์ มันผ่านมาได้พักหนึ่งแล้วที่เธอไม่กวนใจผมด้วยเสียงพูดเรื่อยเจื้อยในหัวของเธอ ผมโล่งอกชะมัดเมื่อเธอเลิกเกาะติดผมแจอย่างผิดที่ผิดทางเสียที ก่อนหน้านี้มันแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะหนีพ้นจากฝันกลางวันที่ไร้สาระและเกิดขึ้นอยู่เสมอของเธอ ตอนนั้นผมภาวนาให้ตัวเองสามารถอธิบายให้เธอฟังตรงๆ ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าริมฝีปากของผมกับฟันที่อยู่ข้างหลังริมฝีปากได้เข้าไปเฉียดใกล้เธอ มันต้องทำให้ความฝันเฟื่องที่น่าโมโหเหล่านั้นสงบลง ผมเกือบยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ของเจสสิก้า

เธอไม่เห็นจะมีอะไรดีที่ตรงไหน เจสสิก้าคิดต่อ หน้าตาก็ไม่สวยด้วยซ้ำ ฉันไม่รู้ว่าทำไมเอริกถึงต้องจ้องเธอมากนักหนา…และไมค์ด้วย

เจสสิก้าสะดุ้งในใจกับชื่อหลัง ไมค์ นิวตัน หนุ่มป๊อบปูลาร์คนใหม่ที่เธอกำลังหลงใหลคลั่งไคล้กลับไม่ชายตาแลเธอเลยสักนิด แต่เห็นได้ชัดว่าเขาแลสาวน้อยคนใหม่ ไมค์ก็เป็นเด็กอีกคนที่เอื้อมมือไขว่คว้าของเล่นที่เป็นประกายวิบวับ เรื่องนี้ทำให้เจสสิก้าเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมาทันที แต่เธอก็ยังแสดงท่าทีภายนอกที่ดูอบอุ่นจริงใจต่อผู้มาใหม่ขณะอธิบายให้ผู้มาใหม่ฟังเกี่ยวกับเรื่องที่รู้กันโดยทั่วไปของครอบครัวผม นักศึกษาใหม่คนนี้ต้องถามเรื่องเกี่ยวกับเราแน่ๆ

วันนี้ทุกคนก็มองฉันด้วย เจสสิก้าคิดอย่างภาคภูมิใจ โชคดีไหมล่ะที่เบลล่ามีเรียนห้องเดียวกับฉันสองวิชา! พนันได้ว่าไมค์จะต้องอยากถามฉันว่าเธอ…

ผมพยายามปิดกั้นเสียงพูดคุยไร้สาระนี้ออกจากหัวก่อนที่เรื่องหยุมหยิมไร้สาระพวกนี้จะทำให้ผมเป็นบ้า

“เจสสิก้า สแตนลีย์กำลังสาวไส้ตระกูลคัลเลนให้สาวน้อยสวอนคนใหม่ฟัง” ผมพึมพำบอกเอ็มเม็ตต์เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

เขาหัวเราะลงลูกคอเบาๆ หวังว่าเธอคงทำได้ดีนะ เขาคิด

“จริงๆ แล้วไม่ค่อยจะสร้างสรรค์เลย แค่เรื่องอื้อฉาวเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีอะไรสยองขวัญเลยสักนิด ฉันรู้สึกผิดหวังนิดๆ แฮะ”

แล้วสาวน้อยคนใหม่ล่ะ เธอผิดหวังกับเรื่องซุบซิบนินทานี้ด้วยหรือเปล่า

ผมตั้งใจฟังเพื่อให้ได้ยินว่าเบลล่าสาวน้อยคนใหม่คนนี้คิดอย่างไรกับเรื่องที่เจสสิก้าเล่า เธอเห็นอะไรเวลาที่เธอมองครอบครัวแปลกประหลาดผิวขาวซีดที่ทุกคนหลีกหนี

มันเป็นความรับผิดชอบของผมที่จะต้องรู้ปฏิกิริยาตอบสนองของเธอ ผมทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์…ไม่มีคำไหนที่ดีกว่านี้…ให้กับครอบครัวผม เพื่อปกป้องเรา ถ้ามีใครรู้สึกสงสัยขึ้นมา ผมจะได้รีบเตือนพวกเราแต่เนิ่นๆ และพวกเราจะได้ถอยหนีได้ง่าย มันเกิดขึ้นเป็นบางครั้ง มนุษย์บางคนที่มีจินตนาการตื่นตัวจะเห็นพวกเราเหมือนตัวละครในหนังสือหรือในหนัง ปกติแล้วพวกเขาจะเข้าใจผิด แต่การย้ายไปอยู่ที่ใหม่ที่อื่นย่อมดีกว่าเสี่ยงกับการถูกตรวจสอบอย่างละเอียด น้อยครั้งมาก…น้อยครั้งสุดๆ…ที่จะมีใครบางคนเดาถูก แต่เราไม่ให้โอกาสพวกเขาตรวจสอบข้อสันนิษฐานของพวกเขา เราจะทำตัวหายไปเฉยๆ และกลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำที่น่าตื่นตระหนก

เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว

ผมไม่ได้ยินอะไร ถึงแม้ว่าผมจะตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ คำพูดเหลวไหลภายในหัวของเจสสิก้าที่ยังพรั่งพรูต่อไป มันราวกับว่าไม่มีใครนั่งอยู่ข้างเธอเลย ช่างแปลกพิลึกอะไรอย่างนี้ สาวน้อยคนนั้นขยับไปที่อื่นแล้วหรือ ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเจสสิก้ายังคงพูดพล่ามใส่เธอ ผมเงยหน้าขึ้นมอง และรู้สึกเสียศูนย์นิดๆ การตรวจเช็กความสามารถพิเศษใน ‘การได้ยิน’ ของผมไม่ใช่สิ่งที่ผมเคยจำเป็นต้องทำ

สายตาผมตรึงสบกับดวงตาโตสีน้ำตาลคู่นั้นอีกครั้ง เธอนั่งอยู่ตรงที่ที่เธอนั่งเมื่อก่อนหน้านี้ และกำลังมองเรา…ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเจสสิก้ายังคงมอบความบันเทิงให้เธอด้วยเรื่องซุบซิบนินทาเกี่ยวกับครอบครัวคัลเลน

การคิดเรื่องเกี่ยวกับเราก็เป็นเรื่องธรรมดาด้วยเหมือนกัน

แต่ผมไม่ได้ยินแม้แต่เสียงกระซิบ

พวงแก้มของเธอเป็นสีแดงเรื่อดูอบอุ่นและเชื้อเชิญขณะที่เธอหลุบตาหนีด้วยความกระดากอายที่ถูกจับได้ว่าจ้องมองคนแปลกหน้าอย่างเสียมรรยาท โชคดีที่แจสเปอร์ยังมองออกนอกหน้าต่าง ผมไม่อยากคิดเลยว่าเลือดที่ผุดขึ้นอย่างง่ายดายบนแก้มของเธอจะมีผลอย่างไรต่อความสามารถในการควบคุมตัวเองของแจสเปอร์

ความรู้สึกฉายชัดบนใบหน้าเธอราวกับถูกสะกดเป็นคำพูดว่า: ประหลาดใจ ขณะที่เธอซึมซับสัญญาณของความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ของเธอกับของผม; สนใจใคร่รู้ ขณะที่เธอฟังเรื่องราวที่เจสสิก้าเล่า; และอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น…ความหลงใหลใช่ไหม ซึ่งมันไม่ใช่ครั้งแรก เราเป็นพวกที่สวยงามในสายตาของพวกเขา…พวกเหยื่อที่เราหมายตา และสุดท้ายก็คือความรู้สึกเขินอาย

แต่ถึงแม้ว่าความคิดของเธอจะชัดเจนเหลือเกินในดวงตาที่ดูแปลกคู่นั้น…แปลกเพราะความลึกล้ำของมัน…แต่ผมก็ได้ยินเพียงความเงียบจากที่ที่เธอนั่งอยู่ มีแค่…ความเงียบเท่านั้น

ผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมาครู่หนึ่ง

ผมไม่เคยพบเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน มีอะไรผิดปกติกับผมหรือเปล่า แต่ผมก็ยังรู้สึกเหมือนกับที่รู้สึกอยู่เสมอ ผมตั้งใจฟังมากขึ้นด้วยความกังวล

จู่ๆ ทุกเสียงที่ผมเคยปิดกั้นไว้ก็ตะโกนก้องขึ้นในหัวผมทันที

…อยากรู้ว่าเธอชอบเพลงอะไร…บางทีฉันอาจจะพูดถึงซีดีใหม่ของฉัน…ไมค์ นิวตันกำลังคิด เขานั่งห่างไปสองโต๊ะ และจดจ่ออยู่กับเบลล่า สวอน

มองดูเขาจ้องหน้าเธอสิ มันยังไม่พออีกหรือไงที่มีสาวๆ ตั้งครึ่งโรงเรียนกำลังรอให้เขาเอริก ยอร์กกี้คิดอย่างประชดประชัน และคิดวนเวียนรอบตัวสาวน้อยคนนั้นด้วยเช่นกัน

…น่ารังเกียจเหลือเกิน ทำอย่างกับว่าเธอเป็นคนดังหรืออะไรทำนองนั้นงั้นแหละ…แม้กระทั่งเอ็ดเวิร์ด คัลเลนก็ยังจ้อง…ลอเรน มัลลอรี่อิจฉามากจนน่าจะใช้คำว่าอิจฉาจนหน้าเขียว และเจสสิก้ากำลังคุยโม้โอ้อวดกับเพื่อนซี้คนใหม่ของเธอ น่าขำอะไรอย่างนี้…คำพูดถากถางยังคงพรั่งพรูจากความคิดของสาวน้อยคนนี้

…พนันได้ว่าทุกคนต้องถามเธอเรื่องนั้น แต่ฉันอยากคุยกับเธอ จะมีอะไรแปลกใหม่มากไปกว่านี้อีก แอชลีย์ ดาวลิงรำพึง

…บางทีเธออาจจะเรียนวิชาภาษาสเปนกับฉัน จูน ริชาร์ดสันหวังไว้

…มีเรื่องเป็นกะตั้กต้องทำคืนนี้! ข้อสอบตรีโกณมิติและภาษาอังกฤษ ฉันหวังว่าแม่ แอนเจล่า เวเบอร์ สาวน้อยเงียบๆ เจ้าของความคิดที่อ่อนโยนเป็นพิเศษเป็นคนเดียวในโต๊ะที่ไม่ได้หมกมุ่นกับเบลล่าคนนี้

ผมได้ยินพวกเขาหมดทุกคน ได้ยินเรื่องไม่สำคัญทุกอย่างที่พวกเขาคิดขณะที่มันวิ่งผ่านสมองของพวกเขา แต่ไม่มีอะไรจากนักศึกษาคนใหม่ที่สื่อสารทุกอย่างด้วยสายตา

และแน่นอนว่าผมได้ยินสิ่งที่เธอพูดเมื่อเธอพูดกับเจสสิก้า ไม่ต้องอ่านความคิดของเธอ ผมก็สามารถได้ยินเสียงแผ่วเบาทว่าชัดเจนของเธอที่อีกด้านของห้องยาว

“คนไหนคือหนุ่มผมสีน้ำตาลแดง” ผมได้ยินเธอถาม เธอแอบชายตามองผมอีกครั้งเพียงเพื่อจะรีบเมินสายตาไปทางอื่นอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าผมยังจ้องเธออยู่

ถ้าผมเคยตั้งความหวังไว้ว่าการได้ยินเสียงพูดของเธอจะช่วยให้ผมระบุเสียงคิดของเธอได้ละก็ ผมจะต้องผิดหวังทันที ปกติแล้วความคิดของมนุษย์จะเป็นเสียงเดียวกับเสียงพูดของพวกเขา แต่น้ำเสียงแผ่วเบาขี้อายนี้ไม่คุ้นหูผมเลย ผมมั่นใจว่ามันไม่ใช่หนึ่งในหลายร้อยเสียงคิดที่กำลังสะท้อนไปมาอยู่รอบๆ ห้องนี้ มันแปลกใหม่จริงๆ

โอ๊ย ขอให้โชคดีนะยะ ยัยปัญญานิ่ม! เจสสิก้าคิดก่อนตอบคำถามของสาวน้อยคนนั้น “เขาชื่อเอ็ดเวิร์ด แน่นอนว่าเขาหล่ออยู่แล้ว แต่อย่าไปเสียเวลากับเขาเลย เขาไม่เคยมีนัดกับใคร สาวๆ ที่นี่ไม่มีใครสวยพอสำหรับเขา” เจสสิก้าทำเสียงพรืดขึ้นจมูกเบาๆ

ผมหันหน้าไปทางอื่นเพื่อซ่อนยิ้ม เจสสิก้ากับเพื่อนๆ ร่วมชั้นของเธอไม่รู้หรอกว่าพวกเธอโชคดีมากแค่ไหนแล้วที่ไม่มีใครในพวกเธอเลยสักคนที่ดึงดูดใจผมได้

ภายใต้อารมณ์ขันที่เกิดขึ้นชั่วแว่บหนึ่ง ผมรู้สึกถึงแรงกระตุ้นแปลกๆ เป็นแรงกระตุ้นที่ผมไม่อาจเข้าใจได้ชัดเจน มันต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับความคิดชั่วร้ายของเจสสิก้าที่สาวน้อยคนใหม่คนนี้ไม่รู้…ผมเกิดแรงกระตุ้นอย่างประหลาดให้ยื่นมือเข้าไปยุ่งเพื่อปกป้องเบลล่า สวอนจากความคิดด้านมืดของเจสสิก้า ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกพิลึก ผมพยายามค้นหาแรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังแรงกระตุ้นนั้น ด้วยการมองสำรวจสาวน้อยคนใหม่นี้อีกรอบ เที่ยวนี้มองผ่านสายตาของเจสสิก้า เพราะการจ้องมองของผมได้เรียกร้องความสนใจจากเธอมากเกินไปแล้ว

บางทีมันอาจเป็นสัญชาตญาณในการปกป้องที่ถูกกลบฝังไว้นานแล้วก็ได้…คนแข็งแรงช่วยคนที่อ่อนแอ สาวน้อยคนนี้ดูเปราะบางกว่าบรรดาเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่ของเธอ ผิวพรรณเธอดูใสมากเสียจนยากที่จะเชื่อว่ามันสามารถปกป้องเธอจากโลกภายนอกได้ ผมสามารถมองเห็นเลือดเธอสูบฉีดเป็นจังหวะตุบๆ ไปตามเส้นเลือดใต้เยื่อบุผิวที่ขาวใส…แต่ผมไม่ควรจะเพ่งสมาธิอยู่ตรงนั้น ถึงแม้ว่าผมจะทำได้ดีมากในชีวิตที่ผมเลือกแล้วชีวิตนี้ก็จริง แต่ผมก็ยังกระหายพอๆ กับแจสเปอร์ ไม่มีประโยชน์ที่จะจ้องมองสิ่งยั่วยวนใจ

มีรอยย่นจางๆ ระหว่างคิ้วที่ดูเหมือนเธอจะไม่รู้ตัว

มันน่าโมโหอย่างเหลือเชื่อ! ผมดูออกได้ไม่ยากว่ามันคือความเครียดที่เธอต้องนั่งพูดคุยกับเหล่าคนแปลกหน้า และต้องกลายเป็นศูนย์รวมของความสนใจ ผมรู้สึกได้ถึงความเขินอายของเธอจากการที่เธอนั่งห่อไหล่อันแสนเปราะบางของเธอน้อยๆ ราวกับคาดว่าจะถูกปฏิเสธได้ทุกวินาที แต่ถึงกระนั้นผมก็ได้แต่เห็น ได้แต่รู้สึกและได้แต่จินตนาการเอา เพราะมันไม่มีอะไรนอกจากความเงียบจากมนุษย์ผู้หญิงที่ธรรมดาสามัญมากคนนี้ ผมไม่ได้ยินอะไรจากเธอเลย เพราะอะไร

“จะไปกันหรือยัง” โรซาลีพึมพำถามขัดจังหวะสมาธิของผม

ผมเบนความคิดจากสาวน้อยคนนั้นด้วยความรู้สึกโล่งอก ผมไม่อยากล้มเหลวในเรื่องนี้…ความล้มเหลวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากสำหรับผม และความล้มเหลวเป็นเรื่องน่าโมโห ผมไม่อยากสร้างความสนใจใดๆ ในความคิดที่ซ่อนเร้นของเธอเพียงเพราะว่ามันถูกซ่อนเร้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อผมอ่านมันออก…และผมจะต้องหาวิธีอ่านให้ได้…มันจะต้องเป็นความคิดที่เหลวไหลและไร้สาระเหมือนกับความคิดของมนุษย์ทุกคน มันไม่คุ้มค่ากับความพยายามที่ผมต้องใช้ในการเข้าถึงมัน

“สาวน้อยคนใหม่คนนี้กลัวเราหรือยัง” เอ็มเม็ตต์ถาม เขายังรอคำตอบของผมสำหรับคำถามก่อนหน้านี้ของเขา

ผมยักไหล่ แต่เอ็มเม็ตต์ไม่ได้สนใจมากพอที่จะคาดคั้นขอข้อมูลมากกว่านี้

เราลุกจากโต๊ะ แล้วเดินออกจากโรงอาหาร

เอ็มเม็ตต์, โรซาลี และแจสเปอร์กำลังแกล้งทำเป็นนักเรียนรุ่นพี่ พวกเขาแยกไปทางชั้นเรียนของพวกเขา ผมเล่นบทรุ่นน้องพวกเขา ผมจึงเดินไปทางชั้นเรียนวิชาชีววิทยาระดับมัธยมต้น และเตรียมตัวเตรียมใจรอรับความเบื่อหน่าย มันน่าสงสัยว่าคุณแบนเนอร์ผู้ชายที่มีระดับสติปัญญาไม่มากกว่าโดยเฉลี่ยของคนทั่วไป จะสามารถหยิบยกอะไรในคำสอนของเขาที่จะสร้างความประหลาดใจให้กับคนที่มีปริญญาทางการแพทย์ถึงสองใบได้อย่างไร

พอมาถึงห้องเรียน ผมนั่งที่เก้าอี้ของผม และวางหนังสือเรียนไว้ทั่วโต๊ะ หนังสือพวกนี้เป็นแค่อุปกรณ์ประกอบฉากเหมือนกัน มันไม่มีเนื้อหาอะไรที่ผมไม่ได้รู้อยู่แล้ว ผมเป็นนักศึกษาเพียงคนเดียวที่มีโต๊ะเป็นของตัวเอง จริงอยู่ที่พวกมนุษย์ไม่ฉลาดพอที่จะรู้ว่าพวกเขาหวาดกลัวผม แต่พวกเขามีสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดมากพอที่จะอยู่ห่างๆ ผม

ห้องเรียนเริ่มเต็มไปด้วยนักเรียนอย่างช้าๆ เมื่อพวกเขาทยอยกันเข้ามาหลังจากพักเที่ยง ผมนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ และรอให้เวลาผ่านไป ผมภาวนาอีกครั้งให้ผมสามารถนอนหลับได้

เพราะผมกำลังคิดถึงสาวน้อยคนใหม่อยู่พอดี ดังนั้นเมื่อแอนเจล่า เวเบอร์พาเธอเดินผ่านประตูเข้ามา ชื่อของเธอจึงแทรกเข้ามาในความสนใจของผม

เบลล่าดูขี้อายพอๆ กับฉัน พนันได้ว่าวันนี้ต้องเป็นวันที่ยากจริงๆ สำหรับเธอ ฉันภาวนาให้ฉันสามารถพูดให้กำลังใจเธอได้…แต่มันอาจจะฟังงี่เง่าก็ได้

ใช่! ไมค์ นิวตันคิดพลางเอี้ยวตัวบนเก้าอี้เพื่อมองสาวๆ เดินเข้ามาในห้องเรียน

แต่มันก็ยังคงไม่มีเสียงอะไรจากที่ที่เบลล่า สวอนยืนอยู่ ตรงที่ที่ควรจะมีความคิดของเธอกลับกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ซึ่งมันทำให้ผมงุนงงและตกใจ

อะไรจะเกิดขึ้นถ้าความสามารถพิเศษของผมหายไปหมด อะไรจะเกิดขึ้นถ้านี่เป็นแค่อาการแรกของการเสื่อมถอยทางสมอง

ผมมักภาวนาอยู่บ่อยๆ ให้ผมหลุดพ้นจากเสียงดังเอะอะนี้ได้ ผมภาวนาให้ผมเป็นปกติ…มากเท่าที่มันจะเป็นไปได้สำหรับผม แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกเสียขวัญกับความคิดนี้ ผมจะกลายเป็นใครถ้าปราศจากสิ่งที่ผมสามารถทำได้ ผมไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน ผมจะต้องถามคาร์ไลล์ดูว่าเขาเคยได้ยินเรื่องแบบนี้ไหม

สาวน้อยคนนั้นเดินมาตามช่องทางเดินระหว่างโต๊ะข้างๆ ผมโดยมุ่งหน้าไปทางโต๊ะของคุณครู สาวน้อยผู้น่าสงสาร ที่นั่งข้างผมเป็นที่เดียวที่ว่างอยู่ ผมเคลียร์ข้าวของบนโต๊ะด้านที่เป็นของเธอโดยอัตโนมัติด้วยการจับหนังสือของผมวางซ้อนกันเป็นกอง ผมไม่แน่ใจว่าเธอจะรู้สึกสบายใจหรือเปล่า อย่างน้อยเธอก็ต้องเรียนในห้องนี้อีกหนึ่งเทอมยาวๆ แต่บางทีการนั่งข้างเธออาจจะทำให้ผมสามารถดึงความคิดของเธอออกจากที่ซ่อนได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเคยทำได้โดยไม่ต้องอยู่ใกล้ชิดมากขนาดนี้มาก่อน แต่ก็ใช่ว่าผมจะเจออะไรที่มีค่าควรแก่การได้ยิน

เบลล่า สวอนเดินเข้ามาในกระแสลมร้อนที่เป่ามาทางผมจากช่องระบายอากาศ

กลิ่นไอของเธอกระแทกใส่ผมเหมือนเครื่องกระทุ้ง…เหมือนลูกระเบิด ไม่มีมโนภาพไหนที่รุนแรงพอจะครอบคลุมอานุภาพของสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในวินาทีนั้นได้

ผมเปลี่ยนไปทันที ผมไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ที่ครั้งหนึ่งผมเคยเป็น ไม่มีเศษเสี้ยวของความเป็นมนุษย์ที่ผมห่อหุ้มตัวเองไว้ตลอดหลายปีที่เหลืออยู่

ผมเป็นนักล่า และเธอเป็นเหยื่อของผม ไม่มีอะไรอื่นในโลกนี้นอกจากความจริงข้อนั้น

ไม่มีห้องที่เต็มไปด้วยพยาน พวกเขาถูกลูกหลงและตายไปหมดแล้วในความคิดของผม ปริศนาเรื่องความคิดของเธอถูกลืมเลือน ความคิดของเธอไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะเธอจะไม่มีโอกาสคิดต่อไปได้นานนัก

ผมคือแวมไพร์ และเธอมีเลือดที่หวานที่สุดที่ผมเคยได้กลิ่นในรอบกว่าแปดสิบปี

ผมไม่นึกไม่ฝันว่ากลิ่นแบบนี้จะมีอยู่จริง ถ้าผมรู้ว่ามันมี ผมคงพยายามค้นหามันมาตั้งนานแล้ว ผมคงจะเที่ยวเสาะแสวงหาเธอไปทั่วโลก ผมสามารถนึกภาพรสชาตินี้ได้…

ความกระหายแผดเผาในคอผมดั่งไฟ ปากผมแห้งผาก และแม้กระทั่งพิษที่เพิ่งไหลออกมาก็ยังไม่อาจปัดเป่าความรู้สึกนี้ได้ ท้องไส้ผมบิดด้วยความหิวโหยมากพอๆ กับความกระหาย กล้ามเนื้อผมขดแน่นเป็นเกลียว

เวลาผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งวินาที เธอยังคงเดินอยู่ใต้ลมห่างจากผม

ขณะที่เท้าเธอแตะพื้น สายตาเธอก็เหลือบมาทางผม เห็นได้ชัดว่าเธอตั้งใจจะแอบมอง เธอสบตาผม และผมเห็นภาพตัวเองสะท้อนในกระจกตาของเธอ

ภาพสะท้อนของใบหน้าที่น่ากลัวที่ผมเห็นในดวงตาของเธอสามารถช่วยชีวิตเธอไว้ได้ครู่หนึ่ง

แต่เธอไม่ได้ช่วยทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นเลย ขณะที่เธอกำลังทำความเข้าใจกับสีหน้าผม เลือดก็พุ่งขึ้นสู่พวงแก้มของเธออีกครั้ง ทำให้ผิวเธอกลายเป็นสีที่ดูน่ากินมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น กลิ่นของเธออบอวลอยู่ในสมองของผม มันทำให้ผมคิดอะไรแทบไม่ออก สัญชาตญาณของผมพลุ่งพล่าน มันกำลังต่อต้านความสามารถในการควบคุมตัวเองของผม

ตอนนี้เธอเร่งฝีเท้าเดินเร็วขึ้นราวกับเข้าใจดีว่าจำเป็นต้องรีบหนี ความรีบร้อนทำให้เธอซุ่มซ่าม และเดินสะดุดเซไปข้างหน้าจนเกือบล้มลงไปบนตัวสาวน้อยที่นั่งอยู่ข้างหน้าผม เธอดูเปราะบางและอ่อนแอมากกว่าปกติสำหรับมนุษย์คนหนึ่ง

ผมพยายามจดจ่ออยู่กับใบหน้าที่ผมเห็นในดวงตาของเธอ ใบหน้าที่ผมจำได้ด้วยความขยะแขยง ใบหน้าของปีศาจร้ายในตัวผม ใบหน้าที่ผมไล่ต้อนกลับไปด้วยความพยายามและด้วยวินัยที่ไม่มีการประนีประนอมอยู่หลายสิบปี แต่ตอนนี้มันกระโดดกลับขึ้นมาได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน!

กลิ่นของเธอลอยวนรอบตัวผมอีกครั้ง มันทำให้ความคิดของผมกระเจิดกระเจิง และแทบจะผลักผมให้ลุกจากเก้าอี้

ไม่

มือผมจับใต้ขอบโต๊ะไว้แน่นขณะพยายามยึดตัวเองไว้กับเก้าอี้ แต่ไม้ไม่อาจทนทานต่อแรงของผมได้ มือผมบดขยี้ผ่านไม้ค้ำทำให้มีเนื้อไม้แตกออกมาเต็มกำมือ และทิ้งรอยนิ้วมือของผมไว้ในเนื้อไม้ที่เหลือ

ทำลายหลักฐาน นี่คือกฎพื้นฐาน ผมรีบถูขอบรอยนิ้วมือของผมด้วยปลายนิ้วจนไม่เหลือร่องรอยอะไรนอกจากหลุมขรุขระและกองขี้เลื่อยบนพื้นซึ่งผมเกลี่ยออกด้วยเท้า

ทำลายหลักฐาน…ความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ…

ผมรู้ว่าตอนนี้จะต้องเกิดอะไรขึ้น สาวน้อยคนนั้นจะต้องมานั่งข้างผม และผมก็จะต้องฆ่าเธอ

คนบริสุทธิ์ที่เห็นเหตุการณ์ในห้องนี้ซึ่งมีเด็กคนอื่นๆ อีกสิบแปดคนกับผู้ใหญ่อีกหนึ่งคนไม่อาจปล่อยทิ้งไว้ได้ เพราะพวกเขาได้เห็นสิ่งที่พวกเขากำลังจะได้เห็นในเร็วๆ นี้

ผมสะดุ้งกับความคิดถึงสิ่งที่ผมต้องทำ แม้กระทั่งในยามที่ผมย่ำแย่ที่สุด ผมก็ยังไม่เคยทำเรื่องโหดร้ายแบบนี้มาก่อน ผมไม่เคยฆ่าผู้บริสุทธิ์ แต่ตอนนี้ผมกลับวางแผนไว้ว่าจะฆ่าทีเดียวยี่สิบคนรวด

ใบหน้าของปีศาจร้ายในความคิดของผมกำลังยิ้มเยาะผม

แต่ในขณะที่ส่วนหนึ่งของผมกำลังหนีห่างจากมัน อีกส่วนหนึ่งของผมกลับกำลังวางแผนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป

ถ้าผมฆ่าสาวน้อยคนนี้ก่อน ผมจะมีเวลาแค่สิบห้าวิหรือยี่สิบวิจัดการเธอก่อนที่มนุษย์ทุกคนในห้องนี้จะมีปฏิกิริยาตอบสนอง อาจจะนานกว่านั้นอีกนิดถ้าตอนแรกพวกเขาไม่รู้ว่าผมกำลังทำอะไร เธอจะไม่มีเวลากรีดร้องหรือรู้สึกเจ็บปวด ผมจะไม่ฆ่าเธออย่างโหดเหี้ยม ผมสามารถมอบให้เธอได้มากแค่นี้แหละ…สาวน้อยแปลกหน้าผู้มีเลือดที่น่าปรารถนามากที่สุด

ต่อจากนั้นผมก็ต้องหยุดยั้งคนอื่นๆ ไม่ให้หนีรอดออกไป เรื่องหน้าต่างไม่ต้องห่วง มันอยู่สูงเกินไปและเล็กเกินกว่าจะเป็นช่องทางหนีรอดของใคร เหลือแค่ประตู ยืนขวางไว้ พวกเขาก็ติดกับแล้ว

มันจะช้ากว่าและยากกว่าในการพยายามกำจัดพวกเขาทุกคนขณะที่พวกเขากำลังขวัญผวาและตะเกียกตะกายหนีกันอย่างจ้าละหวั่น มันไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้ แต่มันจะต้องมีเสียงดังเอะอะมากขึ้นอีก ใครบางคนจะต้องได้ยินเสียงกรีดร้องของพวกเขา…และผมก็จะถูกบีบบังคับให้จำเป็นต้องฆ่าคนบริสุทธิ์มากขึ้นในชั่วโมงที่มืดดำนี้

เลือดของเธอจะเย็นลงระหว่างที่ผมฆ่าคนอื่นๆ

กลิ่นของเธอกำลังลงโทษผม มันจะทำให้คอผมตีบตัน แห้งผาก และรวดร้าว…

งั้นฆ่าพยานก่อนก็แล้วกัน

ผมร่างแผนที่ไว้ในหัว ตอนนี้ผมนั่งอยู่กลางห้องตรงแถวที่อยู่ห่างจากแถวหน้ามากที่สุด ผมจะเล่นงานด้านขวาของผมก่อน ผมประเมินว่าผมสามารถหักคอพวกเขาได้สี่หรือห้าคนในหนึ่งวินาที มันจะได้ไม่มีเสียงดังเอะอะ ด้านขวาจะเป็นพวกที่โชคดี เพราะพวกเขาจะไม่เห็นผมเดินเข้าไปหา ผมต้องใช้เวลาอย่างมากสุดห้าวินาทีในการเดินอ้อมด้านหน้าแล้วเลี้ยวกลับลงไปทางด้านซ้ายเพื่อจบชีวิตทุกคนในห้องนี้

นานพอที่เบลล่า สวอนจะเห็นแว่บๆ ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ นานพอที่เธอจะรู้สึกหวาดกลัว และถ้าเธอไม่ช็อกจนขยับเขยื้อนไม่ได้ มันก็อาจจะนานพอที่เธอจะกรีดร้อง…กรีดร้องเบาๆ ที่จะไม่ทำให้มีใครวิ่งมาดู

ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด กลิ่นเธอเหมือนไฟที่ลุกวาบไปตามเส้นเลือดที่แห้งผากของผม มันแผดเผาออกจากอกเพื่อกลืนกินทุกแรงกระตุ้นในด้านดีที่ผมมี

ตอนนี้เธอกำลังเดินเลี้ยวมาแล้ว อีกไม่กี่วินาทีเธอก็จะนั่งลงห่างจากผมแค่ไม่กี่นิ้ว

ปีศาจในหัวผมกำลังปลาบปลื้มยินดี

ใครบางคนปิดแฟ้มดังปังอยู่ทางซ้ายมือของผม ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นดูว่าเป็นมนุษย์เคราะห์ร้ายคนไหน แต่ความเคลื่อนไหวนั้นทำให้มีคลื่นอากาศธรรมดาที่ไม่มีกลิ่นลอยผ่านหน้าผม

มันทำให้ผมสามารถคิดได้ชัดเจนขึ้นในช่วงหนึ่งวินาทีสั้นๆ แล้วผมก็เห็นใบหน้าสองใบหน้าเคียงข้างกันในช่วงเวลาอันมีค่านั้น

ใบหน้าหนึ่งเป็นใบหน้าของผม หรือต้องพูดว่าเคยเป็น มันเป็นใบหน้าของปีศาจร้ายตาแดงก่ำที่เคยฆ่าคนมามากมายจนผมเลิกนับแล้ว มันเป็นการฆาตกรรมที่มีเหตุผลและสมเหตุสมผล ผมเคยเป็นนักฆ่าของเหล่านักฆ่า เป็นนักฆ่าของปีศาจอื่นที่มีพลังน้อยกว่า ผมยอมรับว่ามันเป็นปมพระเจ้า [1]ที่เป็นตัวตัดสินว่าใครสมควรถูกลงโทษประหารชีวิต มันเป็นการประนีประนอมกับตัวผมเอง ผมกินเลือดมนุษย์เป็นอาหาร แต่ด้วยคำนิยามที่หย่อนยานมากที่สุด นั่นก็คือ เหยื่อของผมจะต้องมีความเป็นมนุษย์ไม่มากไปกว่าผมในอดีตที่มืดมิดของพวกเขา

อีกใบหน้าหนึ่งคือใบหน้าของคาร์ไลล์

สองใบหน้านี้ไม่มีความเหมือนกันเลย เปรียบเสมือนกลางวันที่สว่างจ้ากับกลางคืนที่มืดมิด

ไม่มีเหตุผลที่สองใบหน้านี้จะต้องเหมือนกัน คาร์ไลล์ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ทางสายเลือดของผม เราไม่มีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกันเลย สีผิวที่เหมือนกันของเราคือผลิตผลจากสิ่งที่เราเป็น แวมไพร์ทุกคนจะขาวซีดเหมือนศพ แต่สีตาที่เหมือนกันมันก็อีกเรื่องหนึ่ง มันเป็นทางเลือกร่วมกัน

ถึงแม้ว่าจะไม่มีพื้นฐานของความเหมือน แต่ผมก็ยังนึกภาพว่าใบหน้าผมเริ่มสะท้อนถึงใบหน้าเขาในระดับหนึ่งตลอดช่วงเจ็ดสิบกว่าปีที่ผมยอมรับทางเลือกของเขา และยอมเดินตามรอยเท้าของเขา เครื่องหน้าของผมไม่ได้เปลี่ยนไป แต่ผมมีความรู้สึกราวกับว่าภูมิปัญญาบางอย่างของเขาได้ติดอยู่บนสีหน้าของผม อาจเห็นความเมตตาสงสารของเขาได้เล็กน้อยบนปากของผม และเห็นความอดทนของเขาได้ชัดบนหน้าผากของผม

แต่พัฒนาการเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้หายไปบนใบหน้าของปีศาจ ในอีกครู่หนึ่งก็จะไม่มีอะไรเหลือในตัวผมที่จะสะท้อนให้เห็นถึงระยะเวลาหลายปีที่ผมอยู่กับคนที่เป็นทั้งผู้สร้างผมขึ้นมา เป็นพี่เลี้ยงของผม และเป็นพ่อของผม ดวงตาผมจะเป็นสีแดงเรืองรองเหมือนตาปีศาจ ความเหมือนทุกอย่างจะหายไปชั่วนิรันดร

ในหัวของผม ดวงตาเปี่ยมเมตตาของคาร์ไลล์ไม่ได้ตัดสินผม ผมรู้ดีว่าเขาจะต้องให้อภัยผมสำหรับการกระทำที่น่าสยดสยองนี้ เพราะเขารักผม เพราะเขาคิดว่าผมดีกว่าที่ผมเป็น

เบลล่า สวอนนั่งลงบนเก้าอี้ข้างผม อากัปกิริยาของเธอแข็งทื่อและเงอะงะ แน่นอนว่าเพราะความหวาดกลัว กลิ่นเลือดของเธอหอมฟุ้งเป็นกลุ่มควันที่ไม่อาจหนีรอดได้รอบกายผม

มันจะกลายเป็นการพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าพ่อมองผมผิดไป ความจริงที่น่าเศร้านี้ทำให้ผมเจ็บปวดมากเท่าๆ กับไฟที่แผดเผาในคอผม

ผมเอนตัวออกห่างจากเธอด้วยความรังเกียจของปีศาจร้ายที่รวดร้าวอยากจะฆ่าเธอ

ทำไมเธอต้องมาที่นี่ด้วย ทำไมเธอต้องมีตัวตน ทำไมเธอต้องทำลายความสงบสุขเล็กๆ ที่ผมมีในชีวิตที่ไม่มีชีวิตของผมด้วย ทำไมมนุษย์ที่น่าโมโหคนนี้ต้องเกิดมาบนโลกนี้ด้วย เธอจะทำลายผม

ผมหันหน้าหนีเธอขณะที่ความเกลียดชังอย่างรุนแรงและไร้เหตุผลแล่นพล่านไปทั่วร่างผมอย่างปุบปับ

ผมไม่อยากเป็นปีศาจ! ผมไม่อยากฆ่าเด็กๆ ที่ไม่มีพิษไม่มีภัยทั้งห้องนี้! ผมไม่อยากสูญเสียทุกอย่างที่ผมได้มาจากการเสียสละและจากการยอมปฏิเสธมาตลอดชีวิต!

ผมจะไม่ยอม

เธอไม่สามารถบังคับผมได้

แต่กลิ่นคือปัญหา กลิ่นเลือดของเธอมีเสน่ห์เย้ายวนใจ ถ้าเพียงแต่จะมีวิธีต่อต้านมันได้…ถ้าเพียงแต่จะมีอากาศบริสุทธิ์พัดมาอีกสักรอบเพื่อช่วยให้สมองผมปลอดโปร่ง

เบลล่า สวอนสะบัดเรือนผมยาวดกหนาสีน้ำตาลแดงเหมือนไม้มะฮอกกานีของเธอมาทางผม

เธอบ้าไปแล้วหรือไง

ไม่ มันไม่มีลมพัดมาช่วยเลย แต่ผมไม่ต้องสูดลมหายใจก็ได้นี่

ผมหยุดหายใจเพื่อหยุดการไหลเวียนของอากาศผ่านปอด ความรู้สึกโล่งอกเกิดขึ้นทันที แต่แบบไม่สมบูรณ์ ผมยังมีความทรงจำถึงกลิ่นอยู่ในหัว และความทรงจำถึงรสชาติของมันบนลิ้น ผมคงไม่สามารถห้ามใจได้นานนัก

ทุกชีวิตในห้องนี้ตกอยู่ในอันตรายระหว่างที่ผมกับเธออยู่ในห้องนี้ด้วยกัน ผมควรหนีไป ผมอยากหนี อยากไปให้พ้นจากความเร่าร้อนของเธอที่อยู่ข้างๆ ผม และหนีความเจ็บปวดจากการถูกแผดเผาที่กำลังลงโทษผม แต่ผมไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าถ้าผมคลายกล้ามเนื้อของตัวเองแล้วขยับเขยื้อน แม้จะเพียงแค่ลุกขึ้นยืนก็ตาม ผมจะไม่ลงมือสังหารผู้คนอย่างที่ผมได้วางแผนไว้

แต่บางทีผมอาจจะห้ามใจตัวเองได้สักหนึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมงเป็นเวลานานพอหรือเปล่าที่จะควบคุมตัวเองให้ขยับเขยื้อนโดยไม่ทำร้ายคนอื่น ผมไม่แน่ใจ แล้วก็บังคับตัวเองให้ยอมรับ ผมจะต้องทำให้มันพอ มันต้องเป็นเวลาที่มากพอจะให้ผมออกจากห้องนี้ที่เต็มไปด้วยเหยื่อ เหยื่อที่อาจจะไม่ต้องเป็นเหยื่อถ้าผมสามารถห้ามใจได้แค่หนึ่งชั่วโมงสั้นๆ

การไม่หายใจเป็นความรู้สึกที่น่าอึดอัด ร่างกายของผมไม่ต้องการออกซิเจน แต่มันขัดกับสัญชาตญาณของผม ผมเชื่อในการดมกลิ่นมากกว่าประสาทสัมผัสอื่นๆ ในช่วงเวลาของความเครียด มันเป็นเครื่องนำทางในการไล่ล่า มันเป็นสัญญาณเตือนอย่างแรกในกรณีที่มีภยันตราย ผมไม่ค่อยได้เจออะไรที่เป็นอันตรายมากเท่ากับตัวผมบ่อยนักหรอก แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของพวกผมก็รุนแรงมากพอๆ กับของมนุษย์โดยเฉลี่ยทั่วไป

อึดอัดแต่จัดการได้ มันเป็นเรื่องที่ผมทนได้มากกว่าการได้กลิ่นเธอแล้วไม่ฝังเขี้ยวผ่านผิวเนื้อบางใสลงไปหาเลือดร้อนผ่าวที่เต้นตุบ…

หนึ่งชั่วโมง! แค่หนึ่งชั่วโมง ผมต้องไม่คิดถึงกลิ่นและรสชาติ

สาวน้อยผู้เงียบเชียบคนนั้นปล่อยให้เรือนผมของเธออยู่ระหว่างเรา เธอก้มตัวไปข้างหน้า เรือนผมนุ่มสยายลงบนแฟ้มของเธอ ผมมองไม่เห็นหน้าเธอเพื่อจะได้พยายามอ่านความรู้สึกในดวงตาลึกซึ้งใสๆ คู่นั้น เธอพยายามจะซ่อนดวงตาคู่นั้นจากผมหรือเปล่า เพราะความหวาดกลัว ความเอียงอาย หรือเพื่อปิดบังความลับของเธอ

ความโกรธเมื่อก่อนหน้านี้ของผมที่ถูกความคิดไร้เสียงของเธอปิดกั้นเริ่มอ่อนลงและดูจืดจางเมื่อเปรียบเทียบกับความต้องการ…และความเกลียดชัง…ที่ครอบงำผมอยู่ในตอนนี้ เพราะผมเกลียดผู้หญิงเปราะบางที่นั่งข้างผมคนนี้ เกลียดเธอด้วยความรู้สึกแรงกล้าแบบเดียวกับที่ผมใช้ยึดเหนี่ยวกับตัวตนในอดีตของผม กับความรักของผมที่มีต่อครอบครัว กับความฝันของผมที่จะได้เป็นอะไรบางอย่างที่ดีกว่าสิ่งที่ผมเป็น ผมเกลียดเธอ เกลียดที่เธอทำให้ผมรู้สึกแบบนี้…ความเกลียดช่วยให้ผมวอกแวกได้เล็กน้อย ใช่ ความโกรธที่ผมเคยรู้สึกก่อนหน้านี้กำลังอ่อนแรงลง แต่มันก็ช่วยได้แค่เล็กน้อยเหมือนกัน ผมพยายามยึดเหนี่ยวกับความคิดทุกอย่างที่ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของผมออกจากการจินตนาการว่าเธอจะมีรสชาติแบบไหน…

และเมื่อชั่วโมงนี้สิ้นสุดลง…เธอก็จะเดินออกไปจากห้องนี้ แล้วผมจะทำอะไร

ถ้าผมสามารถควบคุมปีศาจร้ายได้ และทำให้ปีศาจเห็นว่าการประวิงเวลาออกไป มันคุ้มค่ามากแค่ไหน…ผมก็จะสามารถแนะนำตัวเองได้ สวัสดีครับ ผมชื่อเอ็ดเวิร์ด คัลเลน ให้ผมเดินไปส่งคุณที่ห้องเรียนวิชาต่อไปได้ไหม

เธอจะต้องตอบว่าได้ เพราะมันเป็นการกระทำที่สุภาพ ถึงแม้ว่าเธอจะกลัวผม…อย่างที่ผมมั่นใจว่าเธอกลัวอยู่แล้ว…แต่เธอก็จะต้องทำตามมรรยาท และยอมเดินเคียงข้างผมไป มันง่ายพอที่จะพาเธอเดินไปผิดทาง มีป่าเชิงเขาที่ยื่นออกมาเหมือนนิ้วมือที่ยื่นมาแตะมุมด้านหลังของลานจอดรถ ผมสามารถบอกเธอได้ว่าผมลืมหนังสือไว้ในรถของผม…

จะมีใครสังเกตเห็นไหมว่าผมเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับเธอ ฝนกำลังตกดังเช่นปกติ การที่มีคนในเสื้อกันฝนสีเข้มสองคนกำลังมุ่งหน้าไปผิดทาง มันคงไม่สะดุดความสนใจใครมากนัก และคงไม่เปิดโปงผมหรอก

เว้นแต่ว่าผมไม่ใช่นักศึกษาคนเดียวที่รับรู้ถึงเธอในวันนี้…แต่ไม่มีใครรับรู้อย่างแสบร้อนเหมือนผม…ไมค์ นิวตันรับรู้ถึงการขยับตัวทุกครั้งของเบลล่าขณะที่เธอนั่งยุกยิกบนเก้าอี้ เธอรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ใกล้ผมมากเหลือเกินเหมือนกับที่ทุกคนรู้สึก เหมือนกับที่ผมคาดคิดไว้ก่อนที่กลิ่นของเธอจะทำลายความห่วงใยทั้งหมดของผม ไมค์ นิวตันจะต้องสังเกตเห็นถ้าเธอออกจากห้องเรียนไปกับผม

ถ้าผมทนได้หนึ่งชั่วโมง ผมจะทนถึงสองชั่วโมงได้ไหม

ผมสะดุ้งกับความเจ็บปวดจากการถูกแผดเผา

เธอจะกลับไปพบกับบ้านที่ไม่มีใคร เพราะสารวัตรสวอนทำงานวันละแปดชั่วโมง ผมรู้จักบ้านเขา เช่นเดียวกับที่ผมรู้จักบ้านทุกหลังในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ บ้านของเขาซุกอยู่ข้างป่าทึบ และไม่มีเพื่อนบ้านใกล้เคียง ต่อให้เธอมีเวลากรีดร้อง ซึ่งเธอจะไม่ได้กรีดร้อง มันก็จะไม่มีใครได้ยิน

นี่เป็นวิธีที่ดีในการจัดการกับเรื่องนี้ ผมอยู่มานานกว่าเจ็ดทศวรรษโดยปราศจากเลือดมนุษย์ ถ้าผมกลั้นหายใจ ผมสามารถทนได้สองชั่วโมง และเมื่อผมได้อยู่กับเธอตามลำพังสองคน คนอื่นก็จะไม่ถูกทำร้าย ไม่มีเหตุผลที่จะรีบร้อนในเรื่องนี้ ปีศาจร้ายในหัวผมเห็นด้วย

มันเป็นการอ้างเหตุผลได้อย่างชาญฉลาดว่าการรักษาชีวิตมนุษย์สิบเก้าคนในห้องนี้ด้วยความพยายามและด้วยความอดทน มันจะทำให้ผมเป็นปีศาจน้อยลงเวลาที่ผมฆ่าสาวน้อยผู้บริสุทธิ์คนนี้

ถึงแม้ว่าผมจะเกลียดเธอ แต่ผมก็รู้ดีว่าความเกลียดชังของผมมันไม่ยุติธรรม ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมเกลียดจริงๆ คือตัวผมเอง และผมจะเกลียดเราสองคนมากขึ้นอีกเยอะเมื่อเธอตายแล้ว

ผมผ่านพ้นชั่วโมงนี้ไปด้วยวิธีนั่งจินตนาการหาวิธีที่ดีที่สุดในการฆ่าเธอ ผมพยายามไม่นึกภาพการลงมือทำจริงๆ เพราะมันอาจจะมากเกินไปสำหรับผม ผมก็เลยแค่วางแผนกลยุทธ์ และไม่จินตนาการอะไรมากไปกว่านั้น

มีอยู่ครั้งหนึ่งในตอนท้ายใกล้จะหมดชั่วโมง เธอแอบช้อนสายตามองผมผ่านกำแพงเรือนผมนุ่มของเธอ ผมรู้สึกได้ถึงความเกลียดชังที่ไม่มีเหตุผล มันกำลังแผดเผาออกจากตัวผมขณะที่ผมสบตาเธอ และเห็นภาพสะท้อนของตัวผมเองในดวงตาตื่นตระหนกคู่นั้น เลือดฉีดซ่านขึ้นสู่พวงแก้มก่อนที่เธอจะซ่อนมันไว้หลังเรือนผมอีกครั้ง ทำเอาผมเกือบควบคุมตัวเองไม่อยู่

แต่เสียงออดดังขึ้นพอดี เราเลยรอด เธอรอดจากความตาย ผมรอดจากการเป็นปีศาจร้ายยามค่ำคืนอย่างที่ผมหวาดกลัวและชิงชัง…แม้จะแค่ช่วงสั้นๆ

ผมต้องขยับแล้ว

แม้ว่าผมจะพยายามจดจ่อสมาธิอยู่กับการกระทำที่ง่ายดายที่สุด แต่ผมก็ยังไม่สามารถเดินช้าๆ อย่างที่ควรจะเดินได้ ผมปราดออกจากห้อง ถ้ามีใครมองอยู่ พวกเขาอาจจะสงสัยว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการออกจากห้องของผม แต่ปรากฏว่าไม่มีใครสนใจผม ความคิดของทุกคนยังคงวนเวียนอยู่รอบๆ สาวน้อยที่ถูกลิขิตให้ต้องตายในอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า

ผมซ่อนตัวอยู่ในรถของผม

ผมไม่ชอบความคิดที่ว่าผมต้องหลบซ่อนตัวเลย มันฟังขี้ขลาดตาขาวชะมัด แต่ตอนนี้ผมไม่มีวินัยพอจะอยู่ใกล้พวกมนุษย์ การต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่ฆ่าหนึ่งในพวกเขาทำให้ผมไม่มีแรงจะต่อต้านคนอื่นๆ มันเป็นการเปลืองพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ ถ้าผมจะต้องยอมแพ้ต่อปีศาจร้ายตัวนั้น ผมก็น่าจะทำให้มันคุ้มค่ากับการยอมแพ้ครั้งนี้

ผมเปิดซีดีที่ปกติแล้วจะช่วยให้ผมสงบ แต่ตอนนี้มันช่วยได้เพียงเล็กน้อย สิ่งที่ช่วยผมได้มากที่สุดคืออากาศเย็นชื้นซึ่งพัดมาพร้อมกับฝนที่ตกเบาๆ และโชยเข้ามาทางหน้าต่างที่ผมเปิดทิ้งไว้ ถึงแม้ว่าผมจะจำกลิ่นเลือดของเบลล่าได้อย่างชัดเจน แต่การสูดอากาศบริสุทธิ์นี้เข้าไปก็เปรียบเสมือนการชำระล้างการติดเชื้อภายในกายผมออกไป

ผมกลับมามีสติ มีความคิด และมีแรงต่อสู้ได้อีกครั้ง ผมสามารถต่อสู้กับสิ่งที่ผมไม่อยากเป็น

ผมไม่จำเป็นต้องไปบ้านเธอ ไม่จำเป็นต้องฆ่าเธอ เห็นได้ชัดว่าผมเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผลและมีความคิด ผมมีทางเลือก มันมีทางเลือกเสมอ

มันไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบนี้ตอนที่อยู่ในห้องเรียน…แต่ตอนนี้ผมอยู่ห่างจากเธอแล้ว

ผมไม่จำเป็นต้องทำให้พ่อผมผิดหวัง ไม่จำเป็นต้องทำให้แม่ผมเกลียด เป็นกังวล…และเจ็บปวด ใช่ มันจะทำร้ายจิตใจแม่บุญธรรมของผมด้วย เธอเป็นคนอ่อนโยน นุ่มนวล และเต็มไปด้วยความรัก การทำให้คนอย่างเอสเมเจ็บปวดเป็นสิ่งที่ไม่อาจให้อภัยได้

บางทีถ้าผมพยายามหลบหลีกสาวน้อยคนนี้ให้ดีๆ ผมอาจจะไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง ผมจัดระเบียบทุกอย่างในชีวิตไว้อย่างที่ผมชอบแล้ว ทำไมผมถึงต้องยอมให้ผู้หญิงธรรมดาๆ ที่น่าโมโหและน่ากินบางคนทำลายเรื่องนี้ด้วยล่ะ

น่าขำที่ผมอยากปกป้องมนุษย์ผู้หญิงคนนี้จากความคิดข่มขู่เสียดแทงที่ไร้สาระและไม่มีอันตรายอะไรของเจสสิก้า สแตนลีย์ ผมคือคนสุดท้ายที่จะเป็นผู้ปกป้องอิซาเบลลา สวอน เธอไม่จำเป็นต้องได้รับการปกป้องจากอะไรมากไปกว่าการปกป้องจากผม

อลิซอยู่ไหน ผมนึกสงสัยขึ้นมาทันที เธอไม่เห็นผมฆ่าสาวน้อยสวอนคนนั้นด้วยสารพัดวิธีหรือไง ทำไมเธอไม่มาช่วยผม ทำไมเธอไม่มาหยุดยั้งผมหรือช่วยผมเก็บกวาดหลักฐาน เธอมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับปัญหาของแจสเปอร์จนมองไม่เห็นความเป็นไปได้ที่น่าสะพรึงกลัวกว่าเยอะหรือไง หรือว่าผมเข้มแข็งมากกว่าที่ผมคิด ผมจะห้ามใจไม่ทำอะไรสาวน้อยคนนั้นได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ

ไม่ ผมรู้ว่ามันไม่จริง อลิซต้องกำลังจดจ่อสมาธิอย่างหนักอยู่กับแจสเปอร์

ผมมองไปยังทิศทางที่ผมคิดว่าน้องสาวผมจะต้องอยู่ ผมมองไปในตึกหลังเล็กที่ใช้เป็นห้องเรียนวิชาภาษาอังกฤษ เพียงไม่นานผมก็เจอ ‘เสียง’ ของอลิซที่คุ้นหูผม และผมคิดถูก ความคิดทั้งหมดของเธอเบนไปอยู่ที่แจสเปอร์ เธอกำลังพินิจพิเคราะห์ทางเลือกของเขาอย่างละเอียด

ผมภาวนาให้ตัวเองสามารถขอคำแนะนำจากอลิซได้ แต่ในขณะเดียวกันผมก็ดีใจที่เธอไม่รู้ว่าผมคิดจะทำอะไร ผมรู้สึกถึงไฟที่แผดเผาไปทั่วร่างผมอีกครั้ง…ไฟของความอับอาย ผมไม่อยากให้พวกเขาทุกคนรู้

ถ้าผมสามารถหลีกหนีเบลล่า สวอนได้ ถ้าผมสามารถห้ามใจไม่ฆ่าเธอได้ เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้มีใครรู้ แต่แม้ในขณะที่ผมกำลังคิดแบบนี้ ปีศาจในตัวผมก็ดิ้นพราดๆ และขบฟันแน่นด้วยความโกรธแค้น ถ้าเพียงแต่ผมสามารถหลีกหนีกลิ่นของเธอได้…

อย่างน้อยมันก็ไม่มีเหตุผลที่ผมจะไม่พยายาม จงเลือกในสิ่งที่ดี จงพยายายามเป็นในสิ่งที่คาร์ไลล์คิดว่าผมเป็น

ชั่วโมงสุดท้ายของการเรียนวันนี้ใกล้จะจบลงแล้ว ผมตัดสินใจลงมือทำตามแผนการใหม่ของตัวเองทันที มันดีกว่าการนั่งอยู่ในลานจอดรถแห่งนี้ที่ซึ่งเธออาจจะเดินผ่านหน้าผม และทำลายความพยายามของผม ผมรู้สึกเกลียดชังสาวน้อยคนนั้นอย่างไม่ยุติธรรมขึ้นมาอีกครั้ง

ผมเดินเร็วๆ ตัดพื้นที่เล็กๆ ของโรงเรียนไปทางออฟฟิศ ผมอาจจะเดินเร็วไปนิด แต่ไม่มีใครเห็นผม

ในออฟฟิศไม่มีใครนอกจากเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ เธอไม่สังเกตเห็นผมที่เดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ

“คุณโค้พครับ”

ผู้หญิงที่มีผมสีแดงผิดธรรมชาติเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตื่นตกใจ พวกเขาจะตกใจกับเด็กโดดเด่นที่พวกเขาไม่เข้าใจกลุ่มนี้อยู่เสมอ ไม่ว่าพวกเขาจะเคยเจอพวกเราคนใดคนหนึ่งมากี่ครั้งแล้วก็ตาม

“อุ๊ย” เธออุทานด้วยท่าทีกระอึกกระอักนิดๆ แล้วก็ลูบเสื้อตัวเอง งี่เง่า เธอคิดในใจ เขาเด็กพอจะเป็นลูกชายฉันได้เลยนะ “สวัสดี เอ็ดเวิร์ด มีอะไรให้ช่วยหรือจ๊ะ” แพขนตาเธอกระพืออยู่หลังแว่นตาหนาตึ้ก

เธออึดอัด แต่ผมรู้ดีว่าจะหว่านเสน่ห์อย่างไรเวลาที่ผมอยากทำ มันง่ายมากเพราะผมสามารถรู้ได้ทันทีว่าน้ำเสียงหรือท่าทางแบบไหนจะได้รับการตอบสนองอย่างไร

ผมโน้มตัวไปข้างหน้าสบตาเธอราวกับว่าผมกำลังจ้องลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น ความคิดของเธอเริ่มสั่นระรัวแล้ว เรื่องนี้น่าจะง่ายมาก

“ผมอยากทราบว่าคุณจะช่วยผมเรื่องตารางการเรียนของผมได้ไหมครับ” ผมพูดเสียงนุ่มแบบที่ผมสงวนไว้ใช้เวลาไม่อยากทำให้มนุษย์หวาดกลัว

ผมได้ยินเสียงหัวใจเธอเต้นรัวเร็ว

“ได้สิ เอ็ดเวิร์ด จะให้ฉันช่วยทำอะไร” เด็กเกินไป เด็กเกินไป เธอท่องในใจ แน่นอนว่าเธอเข้าใจผิด ผมแก่กว่าคุณปู่ของเธอเสียอีก

“ผมอยากทราบว่าผมจะย้ายจากวิชาชีววิทยาไปเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของมัธยมปลายได้ไหมครับ หรือจะวิชาฟิสิกส์ก็ได้ครับ”

“มีปัญหาอะไรกับคุณแบนเนอร์หรือเปล่า เอ็ดเวิร์ด”

“ไม่มีสักนิดเลยครับ เพียงแต่ว่าผมเคยเรียนวิชานี้มาแล้ว…”

“ที่โรงเรียนหลักสูตรเร่งรัดที่พวกเธอทุกคนเคยเรียนในอลาสก้าใช่ไหม” คุณโค้พเม้มริมฝีปากบางๆ ของเธอขณะพิจารณาเรื่องนี้ ฉันเคยได้ยินพวกคุณครูบ่นว่าเด็กพวกนี้น่าจะไปเรียนมหาวิทยาลัยได้แล้ว พวกเขาได้เกรด 4.0 เต็มๆ ไม่เคยลังเลเวลาตอบ ไม่เคยตอบข้อสอบผิด…อย่างกับว่าพวกเขามีวิธีโกงข้อสอบทุกวิชา คุณวาร์เนอร์เชื่อว่ามีคนโกงข้อสอบวิชาตรีโกณมิติ แต่ไม่ยอมเชื่อว่ามีนักเรียนที่ฉลาดกว่าเขา ฉันกล้าพนันได้ว่าแม่ของเด็กพวกนี้ต้องเป็นคนติวให้พวกเขา… “จริงๆ แล้วตอนนี้วิชาฟิสิกส์มีคนเรียนค่อนข้างเต็มแล้ว คุณแบนเนอร์ไม่อยากให้มีนักเรียนมากกว่ายี่สิบห้าคนในชั้นเรียน…”

“ผมจะไม่สร้างปัญหาอะไรเลยครับ”

ไม่สร้างแน่นอน เด็กสกุลคัลเลนที่แสนเพอร์เฟ็กต์ต้องไม่สร้างปัญหาแน่นอน “ฉันรู้จ้ะ เอ็ดเวิร์ด แต่มันมีที่นั่งไม่พอ…”

“งั้นผมขอดร็อปวิชานี้ไว้ก่อนได้ไหมครับ ผมจะเรียนในชั่วโมงการศึกษาค้นคว้าอิสระแทน”

“ดร็อปวิชาชีววิทยาเนี่ยนะ!” คุณโค้พอ้าปากหวอ บ้าแล้ว มันจะยากแค่ไหนเชียวกับการนั่งเรียนวิชาที่เธอรู้ดีอยู่แล้ว มันต้องมีปัญหากับคุณแบนเนอร์แน่ๆ “เธอจะมีคะแนนไม่พอให้สำเร็จการศึกษานะ”

“ผมจะตามให้ทันในปีหน้าครับ”

“บางทีเธอน่าจะคุยเรื่องนี้กับพ่อแม่เธอก่อน”

ประตูเปิดออกข้างหลังผม แต่ใครก็ตามที่เปิดประตูไม่ได้คิดถึงผม ผมจึงไม่สนใจ และจดจ่ออยู่กับคุณโค้พต่อไป ผมโน้มตัวเข้าไปใกล้อีกนิด แล้วจ้องราวกับผมกำลังพยายามจ้องลึกลงไปในดวงตาเธอให้มากขึ้น มันจะได้ผลดีกว่านี้ถ้าวันนี้ตาผมเป็นสีทองไม่ใช่สีดำ สีดำมันทำให้ผู้คนหวาดกลัว

การคำนวณที่ผิดพลาดของผมมีผลกระทบต่อผู้หญิงคนนี้ เธอผงะถอยหลัง และรู้สึกงุนงงสับสนกับสัญชาตญาณที่ขัดแย้งกันของเธอ

“ได้โปรดนะครับ คุณโค้พ” ผมพึมพำด้วยน้ำเสียงที่ทั้งนุ่มทั้งบังคับมากเท่าที่จะเป็นไปได้ ความตกใจชั่วขณะของเธอลดน้อยลง “มีวิชาอื่นให้ผมแลกเปลี่ยนไหมครับ ผมมั่นใจว่ามันต้องมีที่ว่างที่ไหนสักแห่ง ไม่มีทางที่วิชาชีววิทยาในชั่วโมงที่หก[2]ของวันจะเป็นทางเลือกแค่ทางเดียว…”

ผมยิ้มให้คุณโค้พ และระมัดระวังที่จะไม่แยกเขี้ยวกว้างเกินไปจนทำให้เธอตกใจกลัวอีกครั้ง ผมพยายามให้รอยยิ้มทำให้หน้าผมดูอ่อนโยนลง

หัวใจเธอเต้นแรงขึ้น เด็กเกินไป เธอเตือนตัวเองอย่างร้อนรน “อืม ฉันอาจจะลองคุยกับบ๊อบ…ฉันหมายถึงคุณแบนเนอร์ดูนะ ฉันจะลองดูว่า…”

แค่วินาทีเดียวทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศในห้องนี้ ภารกิจของผมที่นี่ หรือเหตุผลที่ผมโน้มตัวไปใกล้ผู้หญิงผมแดงคนนี้…เวลานี้สิ่งที่เคยเป็นการทำเพื่อจุดประสงค์อย่างหนึ่งได้เปลี่ยนเป็นเพื่อจุดประสงค์อีกอย่าง

ซาแมนธา เวลส์ใช้เวลาแค่วินาทีเดียวในการเดินเข้ามาในห้อง วางแผ่นเอกสารที่เซ็นชื่อล่าช้าลงในตะกร้าข้างประตู แล้วก็รีบผลุบกลับออกไปเพื่อจะได้ออกไปจากโรงเรียนไวๆ ลมที่พัดวูบผ่านประตูเข้ามาปะทะผมแบบปุบปับ ทำให้ผมตระหนักได้ทันทีว่าทำไมคนแรกที่เดินเข้าประตูมาจึงไม่ขัดจังหวะผมด้วยความคิดของเธอ

ผมหันไปมองถึงแม้ว่าผมไม่จำเป็นต้องมองเพื่อความมั่นใจ

เบลล่า สวอนยืนเบียดหลังกับกำแพงข้างประตูพร้อมกระดาษแผ่นหนึ่งในมือ เธอเบิกตาโตกว่าเมื่อก่อนหน้านี้เมื่อเห็นดวงตาดุดันไม่เหมือนมนุษย์ของผมที่กำลังถลึงมองเธอ

กลิ่นเลือดของเธอชุ่มไปทั่วทุกอณูของอากาศในห้องเล็กๆ ที่ร้อนระอุนี้ มันทำให้ในคอผมระเบิดเป็นไฟ

ปีศาจถลึงตามองตอบผมจากกระจกตาเธออีกครั้ง มันคือหน้ากากแห่งความชั่วร้าย

มือผมลังเลอยู่กลางอากาศเหนือเคาน์เตอร์ ไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมอง ผมก็สามารถเอื้อมมือข้ามเคาน์เตอร์ไปจับหัวคุณโค้พกระแทกโต๊ะทำงานให้แรงพอจะฆ่าเธอได้ สองชีวิตแทนที่จะเป็นยี่สิบชีวิตคือการแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่ง

ปีศาจรอให้ผมทำแบบนั้นด้วยความร้อนใจและหิวโหย

แต่มันมีทางเลือกเสมอ…มันต้องมี

ผมตัดความเคลื่อนไหวของปอด และตรึงภาพใบหน้าของคาร์ไลล์ไว้ตรงหน้าสายตาผมแทน ผมหันกลับไปหาคุณโค้พ และได้ยินความประหลาดใจในความคิดของเธอที่มีต่อสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผม เธอถดถอยห่างจากผม แต่ความกลัวของเธอไม่ได้หลุดออกมาเป็นคำพูดที่ปะติดปะต่อ

ผมพยายามใช้ความสามารถในการควบคุมตัวเองที่ผมฝึกฝนในช่วงหลายทศวรรษของการปฏิเสธตัวเอง เพื่อพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มและมั่นคง ในปอดผมมีอากาศเหลือพอให้พูดรัวเร็วอีกครั้งว่า

“งั้นก็ไม่เป็นไรครับ ผมเห็นแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือครับ”

ผมหมุนตัวแล้วรีบพุ่งออกจากห้องโดยพยายามไม่รู้สึกถึงความร้อนของเลือดอุ่นๆ จากร่างของสาวน้อยคนนี้ขณะที่ผมเดินผ่านไปในรัศมีแค่ไม่กี่นิ้ว

ผมไม่หยุดเดินจนกระทั่งมาขึ้นรถ ผมเดินเร็วมากตลอดทางจนมาถึงรถ มนุษย์ส่วนใหญ่กลับไปกันเยอะแล้ว เพราะฉะนั้นมันจะมีพยานเห็นเหตุการณ์ไม่มากนัก ผมได้ยินเสียงดี.เจ. กาเร็ตต์ นักเรียนปีสองสังเกตเห็นผม แล้วเขาก็เลิกสนใจ…

คัลเลนโผล่มาจากไหน มันอย่างกับว่าเขาโผล่ออกมาจากอากาศ…ฉันกำลังมโนอีกแล้วนะ แม่บอกเสมอว่า…

เมื่อผมขึ้นรถวอลโว่ของผม คนอื่นๆ อยู่บนรถแล้ว ผมพยายามควบคุมลมหายใจ แต่ผมกำลังหอบหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดราวกับว่าผมเพิ่งถูกใครทำให้หายใจไม่ออก

“เอ็ดเวิร์ด” อลิซเรียกเสียงตกใจ

ผมเพียงแค่ส่ายหน้าให้เธอ

“เกิดอะไรขึ้นกับนาย” เอ็มเม็ตต์ถาม เขาเบี่ยงเบนความสนใจแว่บหนึ่งจากการที่แจสเปอร์ไม่มีอารมณ์จะแข่งมวยปล้ำกับเขาใหม่อีกรอบ

ผมเข้าเกียร์ถอยหลังแทนคำตอบ ผมต้องรีบออกจากลานจอดรถนี้ก่อนที่เบลล่า สวอนจะตามผมมาที่นี่ด้วย ปีศาจส่วนตัวของผมกำลังทรมานผม…ผมเลี้ยวรถแล้วเร่งเครื่อง ผมเหยียบสี่สิบก่อนที่จะออกจากลานจอดด้วยซ้ำ พอออกมาบนถนน ผมก็เหยียบเจ็ดสิบก่อนจะถึงหัวมุมถนน

ไม่ต้องหันไปมองผมก็รู้ว่าเอ็มเม็ตต์, โรซาลี และแจสเปอร์กำลังหันไปจ้องอลิซ เธอยักไหล่ อลิซไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เธอเห็นได้แต่สิ่งที่กำลังจะมา

ตอนนี้อลิซมองไปในอนาคตข้างหน้าแทนผม เราทั้งคู่ประมวลสิ่งที่เธอเห็นในหัวของเธอ แล้วเราทั้งคู่ก็ต้องประหลาดใจ

“นายกำลังจะไปจากที่นี่ใช่ไหม” อลิซกระซิบถาม

คนอื่นๆ จ้องหน้าผม

“อย่างนั้นหรือ” ผมคำรามเสียงลอดไรฟัน

แล้วอลิซก็เห็นมันขณะที่ปณิธานของผมสั่นคลอน และขณะที่ทางเลือกอีกทางทำให้อนาคตของผมหันเหไปในทิศทางที่มืดดำกว่า

“โอ…”

เบลล่า สวอนตาย…ดวงตาของผมเรืองรองเป็นสีแดงก่ำด้วยเลือดสดๆ…การค้นหาที่จะตามมา…ระยะเวลาที่เราจะต้องรอก่อนที่มันจะปลอดภัยพอให้เราออกจากฟอร์คสแล้วไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง…

“โอ…” อลิซอุทานอีกครั้ง ภาพที่เห็นเริ่มเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ผมเห็นในบ้านของสารวัตรสวอนเป็นครั้งแรก เห็นเบลล่าในห้องครัวเล็กๆ ที่มีตู้สีเหลือง เธอยืนหันหลังให้ผมขณะที่ผมสะกดรอยตามเธอจากเงามืด และปล่อยให้กลิ่นของเธอฉุดผมเข้าไปหา…

“หยุด!” ผมครางเพราะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว

“โทษที” อลิซกระซิบ

ปีศาจร้ายปีติยินดี

แล้วภาพในหัวเธอก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เป็นภาพไฮเวย์ที่ไม่มีรถในตอนกลางคืน ต้นไม้ข้างทางที่ปกคลุมด้วยหิมะแล่นผ่านไปด้วยความเร็วเกือบสองร้อยไมล์ต่อชั่วโมง

“ฉันจะต้องคิดถึงนาย” อลิซพูด “ไม่ว่านายจะไปแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แค่ไหนก็ตาม”

เอ็มเม็ตต์กับโรซาลีสบตากันอย่างหวาดหวั่น

เราขับรถมาเกือบถึงทางเลี้ยวไปบนถนนยาวที่ทอดสู่บ้านของเรา

“ส่งเราลงตรงนี้แหละ” อลิซสั่ง “นายควรบอกคาร์ไลล์ด้วยตัวเอง”

ผมพยักหน้า รถเบรกจอดดังเอี๊ยดทันที

เอ็มเม็ตต์, โรซาลี และแจสเปอร์ลงจากรถอย่างเงียบๆ พวกเขาจะต้องขอให้อลิซอธิบายทุกอย่างเมื่อผมไปแล้ว อลิซแตะไหล่ผม

“นายจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง” อลิซพึมพำ เที่ยวนี้ไม่มีมโนภาพ มีแต่คำสั่ง “ผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกคนเดียวของชาร์ลี สวอน มันก็เหมือนกับการฆ่าเขาให้ตายด้วย”

“ใช่” ผมตอบ แต่ผมเห็นด้วยกับประโยคสุดท้ายเท่านั้น

อลิซลงจากรถไปสมทบกับคนอื่นๆ เธอขมวดคิ้วด้วยความวิตกกังวล แล้วพวกเขาก็หายตัวเข้าไปในป่า และลับไปจากสายตาผมก่อนที่ผมจะทันเลี้ยวรถกลับด้วยซ้ำ

ผมรู้ดีว่ามโนภาพในหัวของอลิซจะต้องลุกวาบจากความมืดสู่ความสว่างจ้าเหมือนแสงแฟลชขณะที่ผมบึ่งรถกลับเข้าเมืองฟอร์คสด้วยความเร็วเก้าสิบ ผมไม่แน่ใจว่าผมจะไปไหน จะไปบอกลาพ่อผม หรือไปโอบกอดปีศาจร้ายในตัวผม ผมคิดขณะที่ถนนแล่นฉิวผ่านไปใต้ล้อรถของผม

 

 

 -2-

หนังสือที่เปิดอ้า

 

ผมนั่งเอนหลังพิงหิมะนุ่ม และปล่อยให้เกล็ดหิมะแห้งๆ ปั้นรูปทรงตัวเองใหม่รอบน้ำหนักตัวผม ผิวผมเย็นลงเพื่อให้เข้ากับอากาศรายรอบ เกล็ดหิมะชิ้นเล็กๆ เหล่านี้ให้ความรู้สึกเหมือนกำมะหยี่ใต้ผิว

ท้องฟ้าเบื้องบนดูปลอดโปร่งและสว่างสดใสด้วยหมู่ดาวที่ส่องแสงเรืองรองเป็นสีฟ้าในที่หนึ่ง และเป็นสีเหลืองในอีกที่หนึ่ง หมู่ดาวเกาะกลุ่มเป็นรูปทรงดูสง่างามและหมุนวนอยู่บนพื้นหลังมืดดำของจักรวาลที่ว่างเปล่า มันเป็นภาพที่สวยงามตระการตามาก หรือต้องพูดว่ามันควรจะตระการตา และก็คงจะตระการตาถ้าผมสามารถมองเห็นมันได้จริงๆ

มันไม่มีอะไรดีขึ้นเลย หกวันผ่านไปแล้ว หกวันที่ผมหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าเดนาลีที่ว่างเปล่าแห่งนี้ แต่ผมก็ยังไม่เฉียดใกล้อิสรภาพมากไปกว่าตอนที่ผมได้กลิ่นเธอครั้งแรก

เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร่างดาว มันก็ราวกับว่ามีอุปสรรคขวางกั้นระหว่างสายตาผมกับความงามของมัน อุปสรรคที่ว่าคือใบหน้า…ใบหน้าของมนุษย์ที่ไม่โดดเด่นอะไร แต่ดูเหมือนว่าผมไม่อาจสลัดมันออกไปจากความคิดได้เลย

ผมได้ยินเสียงความคิดใกล้เข้ามาก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังคู่มากับความคิด เสียงความเคลื่อนไหวนั้นดังแค่เสียงกระซิบแผ่วๆ บนหิมะ

ผมไม่ประหลาดใจที่ทันย่าตามมาถึงที่นี่ ผมรู้ว่าเธอครุ่นคิดถึงการสนทนาที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้มาได้สองสามวันแล้ว แต่เธอผัดผ่อนไว้ก่อนจนกระทั่งมั่นใจว่าเธออยากพูดอะไรแน่ๆ

ทันย่าโผล่เข้ามาในสายตาห่างผมไปราวหกสิบหลา เธอกระโดดขึ้นไปบนปลายชะง่อนหินดำ และทรงตัวอยู่ตรงนั้นบนส้นเท้าเปล่าเปลือยของเธอ

ผิวของทันย่าดูเป็นสีเงินใต้แสงดาว เรือนผมยาวสีบลอนด์หยิกสลวยเป็นประกายสีอ่อน และแทบจะดูเป็นสีชมพู เพราะมันเจือสีสตรอว์เบอร์รี่ ดวงตาสีอำพันเป็นประกายแวววาวขณะจ้องมองผมที่กึ่งฝังตัวเองอยู่ในหิมะ แล้วเรียวปากเต็มอิ่มของเธอก็เหยียดออกช้าๆ เป็นรอยยิ้ม

สวยตระการตา ถ้าผมสามารถมองเห็นเธอได้จริงๆ ผมถอนใจ

ทันย่าไม่ได้แต่งตัวเพื่ออวดสายตามนุษย์ เธอจึงใส่แค่เสื้อสายเดี่ยวผ้าคอตตอนเนื้อบางกับกางเกงขาสั้น เธอหมอบลงบนปลายแหลมของโขดหิน แล้วแตะโขดหินด้วยปลายนิ้วก่อนจะขดตัว

กระสุนปืนใหญ่ เธอคิด

ทันย่ากระโดดตัวลอยขึ้นกลางอากาศ ร่างของเธอกลายเป็นเงาดำบิดเป็นเกลียวขณะที่เธอหมุนตัวอย่างสง่างามระหว่างหมู่ดาวกับตัวผม แล้วก็ขดตัวกลมเมื่อลงมากระแทกกองหิมะข้างกายผม

เกล็ดหิมะลอยฟุ้งเป็นพายุรอบตัว ดวงดาวมืดลง และผมถูกฝังลึกอยู่ในเกล็ดน้ำแข็งที่เบานุ่มดุจขนนก

ผมถอนใจอีกครั้ง แล้วสูดหายใจเอาเกล็ดน้ำแข็งเข้าไป แต่ผมก็ไม่ขยับเพื่องัดตัวเองออกมา ความมืดใต้หิมะไม่ได้ทำให้ผมเจ็บปวดหรือช่วยให้มองเห็นได้ดีขึ้น ผมยังคงเห็นใบหน้าเดิมนั้นอยู่ดี

“เอ็ดเวิร์ด”

แล้วหิมะก็ปลิวฟุ้งอีกครั้งเมื่อทันย่ารีบขุดผมออกมา เธอปัดหิมะออกจากผิวผม แต่ไม่ยอมสบตาผม

“ขอโทษที” เธอพึมพำ “แค่ล้อเล่นน่ะ”

“ผมรู้ มันตลกดี”

เธอโค้งปากลง

“ไอริน่ากับเคทบอกว่าฉันควรจะปล่อยให้คุณอยู่คนเดียว พวกเขาคิดว่าฉันกำลังทำให้คุณโกรธ”

“ไม่เลยสักนิด” ผมยืนยัน “ตรงกันข้าม ผมต่างหากล่ะที่เป็นฝ่ายหยาบคาย…หยาบคายอย่างน่ารังเกียจ ผมเสียใจมาก”

คุณจะกลับบ้านใช่ไหม เธอคิด

“ผมยัง…ไม่ได้ตัดสินใจ…เด็ดขาด”

แต่คุณจะไม่อยู่ที่นี่ ความคิดของเธอเศร้าสร้อย

“ไม่อยู่ มันดูเหมือนไม่…ช่วยอะไร”

ทันย่าทำปากยื่น “มันเป็นความผิดของฉันใช่ไหม”

“ไม่ใช่แน่นอน” ที่แน่ๆ ทันย่าไม่ได้ช่วยทำให้อะไรง่ายขึ้นเลย แต่ใบหน้าที่ตามหลอกหลอนผมต่างหากล่ะคือมารผจญที่แท้จริงเพียงอย่างเดียว

ไม่ต้องทำตัวเป็นสุภาพบุรุษหรอก

ผมยิ้ม

ฉันทำให้คุณอึดอัด เธอกล่าวหาตัวเอง

“ไม่”

ทันย่าเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง สีหน้าเธอบอกว่าไม่อยากเชื่อมากเสียจนผมต้องหัวเราะออกมา แค่หัวเราะสั้นๆ ตามด้วยเสียงถอนหายใจอีกครั้ง

“ก็ได้” ผมยอมรับ “นิดหน่อย”

ทันย่าถอนใจด้วย แล้วยกมือเท้าคาง

“คุณน่ารักกว่าดวงดาวนับพันเท่า ทันย่า แน่นอนว่าคุณต้องรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว อย่าปล่อยให้ความดื้อรั้นของผมบ่อนทำลายความมั่นใจของคุณเลย” ผมหัวเราะลงลูกคอเบาๆ ให้กับความไม่น่าเป็นไปได้ของเรื่องนี้

“ฉันไม่ชินกับการถูกปฏิเสธ” ทันย่าบ่นงึมงำ แล้วยื่นริมฝีปากล่างอย่างเง้างอดแต่น่ารัก

“ไม่ชินแน่นอน” ผมเห็นด้วย และพยายามแต่ไม่ค่อยจะสำเร็จในการปิดกั้นความคิดของเธอออกไปขณะที่เธอรื้อฟื้นความทรงจำถึงชัยชนะนับหลายพันครั้งของเธอ ทันย่าชอบมนุษย์ผู้ชายมากกว่า เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือผู้ชายมีจำนวนมากกว่า แถมยังมีข้อดีตรงที่พวกเขาอ่อนโยน อบอุ่น และกระตือรือร้นเสมอ

“ซัคคิวบัส” [3]ผมกระเซ้าเพื่อหวังจะขัดจังหวะภาพต่างๆ ที่กำลังผุดแว่บๆ อยู่ในหัวเธอ

ทันย่าฉีกยิ้มกว้างอวดฟันขาว “ตัวแม่เลยละ”

ทันย่ากับน้องสาวของเธอไม่เหมือนกับคาร์ไลล์ พวกเธอค่อยๆ ค้นพบคุณธรรมของตัวเองอย่างช้าๆ ในที่สุดความชื่นชอบมนุษย์ผู้ชายของพวกเธอก็ทำให้พวกเธอต่อต้านการเข่นฆ่า เวลานี้พวกผู้ชายที่พวกเธอรัก…ยังมีชีวิตอยู่

“ตอนที่คุณโผล่มาที่นี่” ทันย่าพูดช้าๆ “ฉันคิดว่า…”

ผมรู้ดีว่าทันย่าคิดอะไร และผมน่าจะเดาออกว่าเธอจะต้องรู้สึกแบบนั้นด้วย แต่ในตอนนี้ผมไม่อยู่ในสภาพที่จะคิดวิเคราะห์อะไรทั้งนั้น

“คุณคิดว่าผมเปลี่ยนใจ”

“ใช่” ทันย่าทำหน้าบึ้ง

“ผมรู้สึกแย่ที่ล้อเล่นกับความคาดหวังของคุณ ทันย่า ผมไม่มีเจตนาจะ…ผมไม่ได้คิด เพียงแต่ว่าผมจากที่นั่นมาอย่าง…ค่อนข้างรีบร้อน”

“ฉันคิดว่าคุณคงไม่บอกฉันหรอกว่าเพราะอะไร”

ผมขยับลุกขึ้นนั่ง แล้วยกแขนกอดอกพร้อมกับเกร็งไหล่ “ผมไม่อยากพูดถึงมันมากกว่า ยกโทษให้ผมด้วยที่ผมไม่อธิบาย”

ทันย่าเงียบไปอีกครั้ง และยังคาดเดา ผมไม่สนใจเธอ และพยายามชื่นชมกับดวงดาวแทน แต่ไม่สำเร็จ

ทันย่ายอมแพ้หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ความคิดของเธอเบนไปทิศทางอื่น

คุณจะไปไหนถ้าคุณไปจากที่นี่ เอ็ดเวิร์ด กลับไปหาคาร์ไลล์อย่างนั้นหรือ

“คิดว่าไม่นะ” ผมตอบเสียงกระซิบ

ผมจะไปไหน ไม่มีที่ไหนสักแห่งในโลกนี้ที่เรียกความสนใจของผมได้ ไม่มีอะไรที่ผมอยากเห็นหรืออยากทำ เพราะไม่ว่าผมจะไปที่ไหนก็ตาม มันย่อมไม่ใช่การที่ผมตั้งใจจะไป แต่เป็นการที่ผมหนีไปต่างหากล่ะ

ผมเกลียดเรื่องนี้ ผมกลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาวตั้งแต่เมื่อไร

ทันย่าโอบแขนเรียวยาวของเธอรอบไหล่ผม ผมทำตัวแข็ง แต่ไม่ได้ผงะหนีจากสัมผัสของเธอ ทันย่าไม่ได้มีเจตนาอะไรมากไปกว่าแค่ปลอบโยนฉันมิตร…เป็นส่วนใหญ่

“ฉันคิดว่าคุณจะต้องกลับไป” ทันย่าพูดติดสำเนียงรัสเซียที่หายไปนานแล้วของเธอเล็กน้อย “ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร…หรือเป็นใครก็ตาม…ที่ตามหลอกหลอนคุณ คุณจะเผชิญหน้ากับมันตรงๆ คุณเป็นคนแบบนั้น”

ความคิดของเธอมั่นใจพอๆ กับคำพูด ผมพยายามโอบกอดมโนภาพของผมที่เธอเห็น ภาพคนที่กล้าเผชิญหน้ากับทุกอย่างตรงๆ มันน่ายินดีที่ได้คิดถึงตัวเองแบบนั้นอีกครั้ง ผมไม่เคยสงสัยในความกล้าหาญและความสามารถของตัวเองในการเผชิญหน้ากับความยากลำบากก่อนที่จะเจอกับชั่วโมงอันน่าสะพรึงกลัวในชั้นเรียนชีววิทยาที่โรงเรียนมัธยมเมื่อไม่นานมานี้เอง

ผมจูบแก้มทันย่า แล้วรีบผละออกอย่างรวดเร็วเมื่อเธอเอี้ยวหน้ามาหาผม เธอยิ้มเศร้าๆ ให้กับความว่องไวของผม

“ขอบคุณมาก ทันย่า ผมอยากได้ยินแบบนี้แหละ”

ความคิดของทันย่าเปลี่ยนเป็นเง้างอด “ด้วยความยินดีมั้งคะ ฉันภาวนาให้คุณมีเหตุผลกับทุกอย่างให้มากขึ้น เอ็ดเวิร์ด”

“ผมเสียใจ ทันย่า คุณก็รู้ว่าคุณดีเกินไปสำหรับผม ผมก็แค่…ยังไม่เจอสิ่งที่ผมกำลังมองหา”

“เอาละ ถ้าเผื่อว่าคุณไปจากที่นี่ก่อนที่ฉันจะได้เจอคุณอีกครั้งละก็…ลาก่อนค่ะ เอ็ดเวิร์ด”

“ลาก่อน ทันย่า” ขณะพูดคำนี้ ผมก็เห็นภาพแล้ว ผมเห็นภาพตัวเองกำลังจากไป ผมเข้มแข็งพอที่จะกลับไปยังสถานที่ที่ผมอยากจะอยู่ “ขอบคุณอีกครั้งนะ”

ทันย่าลุกขึ้นยืนอย่างว่องไวในทีเดียว แล้วก็วิ่งจากไปเหมือนผีที่วิ่งข้ามพื้นหิมะอย่างรวดเร็วจนเท้าไม่มีเวลาจะจมลงในหิมะ ทันย่าไม่ทิ้งรอยเท้าไว้ข้างหลัง และเธอก็ไม่หันกลับมามองเลย การปฏิเสธของผมรบกวนจิตใจเธอมากกว่าที่เธอเคยยอมรับมาก่อนแม้กระทั่งในความคิดของเธอ ทันย่าคงไม่อยากเจอหน้าผมอีกครั้งก่อนที่ผมจะไป

มุมปากผมโค้งลง ผมไม่ชอบทำร้ายทันย่าถึงแม้ว่าความรู้สึกของเธอจะไม่ได้ลึกซึ้ง และไม่ค่อยบริสุทธิ์ แต่ไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม มันไม่ใช่อะไรบางอย่างที่ผมสามารถรู้สึกตอบได้ มันทำให้ผมรู้สึกไม่เป็นสุภาพบุรุษ

ผมเกยคางบนหัวเข่า แล้วเหลือบตาขึ้นมองหมู่ดาวอีกครั้ง ถึงแม้ว่าจู่ๆ ผมก็รู้สึกร้อนใจอยากออกเดินทางขึ้นมาอย่างปุบปับ ผมรู้ว่าอลิซจะต้องเห็นผมกำลังเดินทางกลับบ้าน และเธอจะต้องบอกคนอื่นๆ ด้วย เรื่องนี้จะทำให้พวกเขามีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาร์ไลล์กับเอสเม แต่ผมก็ยังนั่งมองดาวอยู่อีกครู่หนึ่ง และพยายามมองผ่านใบหน้านั้นในหัวผม ระหว่างผมกับดวงดาวส่องสว่างบนผืนฟ้ามีดวงตาสีน้ำตาลช็อกโกแลตที่ดูงุนงงด้วยความสงสัยในแรงจูงใจของผม มันดูเหมือนอยากจะถามว่าการตัดสินใจครั้งนี้มีความหมายว่าอะไรสำหรับเธอ แต่แน่นอนว่าผมไม่อาจมั่นใจได้ว่านี่คือสิ่งที่ดวงตาขี้สงสัยของเธออยากรู้จริงๆ หรือเปล่า แม้กระทั่งในจินตนาการของผม ผมก็ยังไม่สามารถได้ยินความคิดของเธอเลย ดวงตาของเบลล่า สวอนยังคงตั้งคำถาม และผมก็ยังไม่อาจเห็นภาพหมู่ดาวบนฟ้าโดยไม่มีอะไรขัดขวาง ผมถอนใจเฮือกอย่างยอมแพ้แล้วก็ลุกขึ้นยืน ถ้าผมวิ่ง ผมจะกลับไปถึงรถของคาร์ไลล์ได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง

ความรีบร้อนอยากเจอหน้าครอบครัว…และความอยากจะเป็นเอ็ดเวิร์ดคนที่กล้าเผชิญหน้ากับทุกอย่างตรงๆ…ทำให้ผมวิ่งอย่างรวดเร็วข้ามทุ่งหิมะที่สว่างด้วยแสงดาวโดยไม่ทิ้งรอยเท้าไว้ข้างหลังเลย

 

“มันจะต้องเรียบร้อยดี” อลิซกระซิบเบาๆ สายตาเธอดูเลื่อนลอย แจสเปอร์วางมือไว้ใต้ศอกเธออย่างแผ่วเบาเพื่อนำทางเธอไปข้างหน้าขณะที่เราเดินจับกลุ่มกันแน่นเข้าไปในโรงอาหารเก่าโทรม โรซาลีกับเอ็มเม็ตต์เดินนำหน้า เอ็มเม็ตต์ดูเหมือนเป็นบอดี้การ์ดงี่เง่าท่ามกลางแดนศัตรู โรสดูระแวดระวังด้วยเช่นกัน แต่ดูโกรธเคืองมากกว่าปกป้อง

“แน่นอน” ผมพึมพำ พฤติกรรมของพวกเขาดูเหลวไหล ถ้าผมไม่มั่นใจว่าผมสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้ ผมคงจะอยู่บ้านไปแล้วละ

เมื่อคืนนี้มีหิมะตก เอ็มเม็ตต์กับแจสเปอร์อดไม่ได้ที่จะฉวยโอกาสจากการที่ผมใจลอยระดมปาก้อนหิมะใส่ผม พอทั้งคู่เบื่อหน่ายกับการที่ผมไม่ตอบสนอง พวกเขาก็หันไปปาก้อนหิมะใส่กันเอง การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันจากยามเช้าที่ปกติและถึงขั้นสนุกสนานด้วยซ้ำของเรา มาเป็นยามเช้าที่เต็มไปด้วยความระแวดระวังจนเกินเหตุแบบนี้ คงจะดูน่าขำถ้าไม่ใช่เพราะมันน่าโมโหมากเหลือเกิน

“เธอยังไม่มา แต่เวลาที่เธอเดินเข้ามา…เธอจะไม่อยู่ใต้ลมถ้าเรานั่งที่ประจำของเรา”

“เราจะต้องนั่งที่ประจำของเราแน่นอน หยุดทีเถอะ อลิซ เธอกำลังทำให้ฉันประสาทกินนะ ฉันไม่เป็นอะไรเลยจริงๆ”

อลิซกะพริบตาครั้งหนึ่งขณะที่แจสเปอร์ช่วยเธอนั่งลงบนเก้าอี้ ในที่สุดสายตาเธอก็โฟกัสที่หน้าผม

“อืม” เธอพึมพำเสียงประหลาดใจ “ฉันคิดว่านายพูดถูก”

“ฉันพูดถูกอยู่แล้ว” ผมพึมพำตอบ

ผมเกลียดการตกเป็นเป้าความห่วงใยของพวกเขา มันทำให้ผมรู้สึกเห็นใจแจสเปอร์ขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงการที่เราคอยปกป้องเขาอยู่ตลอดเวลา เขาสบตาผมแว่บหนึ่งแล้วฉีกยิ้มกว้าง

น่ารำคาญใช่ไหม

ผมถลึงตาตอบ

เพิ่งจะเมื่อสัปดาห์ก่อนเองใช่ไหมที่ห้องยาวๆ ซอมซ่อห้องนี้ดูน่าเบื่อสุดๆ สำหรับผม ผมเคยรู้สึกเหมือนคนง่วงนอน หรือเหมือนคนที่อยู่ในอาการโคม่าเมื่อมาอยู่ในห้องนี้

แต่วันนี้ประสาทของผมตึงเครียดเหมือนสายเปียโนที่ตึงเปรี๊ยะและพร้อมจะบรรเลงเสียงเพลงถ้ามีใครแตะแค่เบาๆ ประสาทสัมผัสของผมตื่นตัวขั้นสุด ผมสำรวจทุกเสียง ทุกภาพ ทุกความเคลื่อนไหวของอากาศที่สัมผัสผิวผม และทุกความคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิด แต่มีประสาทสัมผัสอย่างหนึ่งที่ผมยังเก็บกดเอาไว้และไม่ยอมใช้ แน่นอนว่ามันคือการดมกลิ่น ผมไม่ยอมหายใจ

ผมคาดหวังว่าจะได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพวกคัลเลนมากกว่านี้ในความคิดต่างๆ ที่ผมสำรวจ ตลอดทั้งวันผมเฝ้ารอและค้นหาว่าเพื่อนใหม่คนไหนที่เบลล่า สวอนอาจจะยอมเปิดเผยความลับให้ฟัง ผมพยายามดูว่าข่าวซุบซิบนินทาเรื่องใหม่จะไปทิศทางไหน แต่มันไม่มีอะไรเลย ไม่มีใครสนใจมองแวมไพร์ห้าคนในโรงอาหารเช่นเดียวกับช่วงเวลาก่อนที่สาวน้อยคนนั้นจะมาเรียนที่นี่ มนุษย์หลายคนยังคิดถึงเธอ ยังคิดแบบเดียวกับที่คิดเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่แทนที่จะรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าเบื่อจนไม่อาจบรรยาย เวลานี้ผมกลับรู้สึกทึ่ง

เธอไม่ได้พูดอะไรถึงผมให้ใครฟังเลยอย่างนั้นหรือ

ไม่มีทางที่เธอจะไม่เห็นสายตาฆาตกรของผม ผมเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเธอที่มีต่อสายตาผมแล้ว แน่นอนว่าผมได้ทำร้ายจิตใจเธอ ผมก็เลยเชื่อว่าเธอจะต้องเล่าเรื่องนี้ให้ใครบางคนฟัง เผลอๆ อาจจะเสริมแต่งเรื่องราวสักนิดเพื่อให้มันดีขึ้น และอาจจะพูดอะไรอีกสักสองสามคำให้ผมดูน่ากลัวมากขึ้น

แล้วเธอก็ต้องได้ยินเรื่องที่ผมพยายามจะลาออกจากชั่วโมงชีววิทยาที่เราเรียนด้วยกัน เธอต้องสงสัยหลังจากเห็นสีหน้าผมว่าเธอเป็นต้นเหตุหรือเปล่า ถ้าเป็นผู้หญิงปกติธรรมดาทั่วไป เธอจะต้องถามไปทั่วเพื่อเปรียบเทียบประสบการณ์ของเธอกับประสบการณ์ของคนอื่น เพื่อมองหาความเห็นที่เหมือนกันซึ่งจะใช้อธิบายถึงพฤติกรรมของผม เธอจะได้ไม่รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก มนุษย์มักจะพยายามแสวงหาความรู้สึกว่าตัวเองเป็นปกติ กลมกลืนเข้ากับทุกคนรอบตัวได้ เหมือนฝูงแกะที่ไม่มีจุดเด่นอะไรเป็นพิเศษ และความต้องการนี้จะรุนแรงเป็นพิเศษมากในช่วงวัยรุ่นซึ่งเป็นวัยที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง สาวน้อยคนนี้ไม่ใช่ข้อยกเว้นของกฎเกณฑ์นี้

แต่ไม่มีใครเลยสักคนสนใจมองเราที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะประจำของเรา เบลล่าต้องเป็นคนขี้อายอย่างมากถ้าเธอไม่เล่าให้ใครฟังเลย บางทีเธออาจจะพูดกับพ่อของเธอ มันอาจจะเป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นที่สุด…แต่มันก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเธอใช้เวลาอยู่กับพ่อน้อยมากตลอดชีวิตของเธอ เบลล่าต้องสนิทกับแม่มากกว่า แต่ถึงกระนั้นผมก็คงต้องหาทางเดินผ่านสารวัตรสวอนให้ได้ในเร็วๆ นี้ เพื่อฟังดูว่าเขาคิดอย่างไร

“มีอะไรใหม่ไหม” แจสเปอร์ถาม

ผมตั้งสมาธิแล้วยอมให้ความคิดของทุกคนบุกแทรกเข้ามาในสมองของผมอีกครั้ง ไม่มีอะไรที่โดดเด่นออกมาเลย ไม่มีใครคิดถึงเรา ถึงแม้ว่าผมจะวิตกกังวลมากเมื่อก่อนหน้านี้ แต่มันก็ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับความสามารถพิเศษของผม ยกเว้นจากสาวน้อยผู้เงียบเชียบคนนั้น ผมเล่าความกังวลนี้ให้คาร์ไลล์ฟังตอนที่ผมกลับมา เขาเคยได้ยินแต่ว่าความสามารถพิเศษเหล่านี้จะเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ จากการฝึกฝน มันไม่เคยเสื่อมลงเลย

แจสเปอร์รออย่างหงุดหงิด

“ไม่มีอะไรเลย เธอ…คงไม่ได้พูดอะไรเลย”

พวกเขาทุกคนเลิกคิ้วให้กับคำพูดนี้

“บางทีนายอาจจะไม่ได้น่ากลัวมากเท่าที่นายคิด” เอ็มเม็ตต์พูดแล้วหัวเราะลงลูกคอเบาๆ “พนันได้ว่าฉันสามารถทำให้เธอกลัวได้ดีกว่านี้”

ผมกลอกตาใส่เขา

“อยากรู้จังว่าเพราะอะไร…” เอ็มเม็ตต์ถามอีกครั้งเกี่ยวกับเรื่องที่ผมเล่าถึงความเงียบที่แปลกมากของสาวน้อยคนนี้

“เราเคยคุยเรื่องนี้กันแล้ว ฉันไม่รู้

“เธอกำลังเดินเข้ามาแล้ว” อลิซพึมพำบอก ผมตัวแข็งทื่อ “พยายามทำตัวให้ดูเป็นมนุษย์หน่อย”

“มนุษย์งั้นหรือ” เอ็มเม็ตต์ถาม

เขาชูกำปั้นขวาขึ้น แล้วบิดนิ้วเพื่อเผยให้เห็นก้อนหิมะที่เขาเก็บไว้ในฝ่ามือ มันไม่ละลาย เขาบีบมันให้เป็นก้อนน้ำแข็งพลางมองแจสเปอร์ แต่ผมเห็นทิศทางของความคิดของเขา อลิซก็เห็นเช่นกัน เมื่อเขาปาก้อนน้ำแข็งใส่เธออย่างปุบปับ อลิซก็ปัดมันทิ้งด้วยการสะบัดมือเบาๆ ก้อนน้ำแข็งแฉลบไปตามความยาวของห้องอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่สายตามนุษย์จะมองเห็น มันแตกกระจายเมื่อชนกำแพงอิฐ และอิฐก็แตกร้าวด้วย

ทุกคนที่นั่งอยู่มุมนั้นของห้องพากันหันไปมองกองน้ำแข็งบนพื้น แล้วก็หันไปมองหาคนร้าย แต่พวกเขามองหาไม่เกินสองสามโต๊ะ ไม่มีใครมองเราเลย

“มนุษย์มากๆ เอ็มเม็ตต์” โรซาลีพูดแดกดัน “ไหนๆ ก็ไหนๆ ทำไมนายไม่เจาะทะลุกำแพงให้เป็นรูซะเลยล่ะ”

“มันจะดูน่าประทับใจมากกว่าถ้าเธอเป็นคนทำนะ คนสวย”

ผมพยายามสนใจพวกเขา และปั้นยิ้มบนหน้าราวกับว่าผมมีเอี่ยวในการต่อปากต่อคำของพวกเขาด้วย ผมไม่ยอมให้ตัวเองมองไปทางแถวที่ผมรู้ว่าเธอกำลังยืนอยู่ แต่นั่นคือทั้งหมดที่ผมได้ยิน

ผมได้ยินความหงุดหงิดของเจสสิก้าที่มีต่อสาวน้อยคนใหม่ผู้ที่ดูเหมือนว่ากำลังใจลอยขณะยืนนิ่งในแถวที่กำลังเคลื่อนไหว ผมเห็นในความคิดของเจสสิก้าว่า แก้มของเบลล่า สวอนเป็นสีชมพูด้วยเลือดอีกครั้ง

ผมสูดลมหายใจเข้าสั้นๆ สองสามครั้ง และพร้อมจะหยุดหายใจถ้ามีกลิ่นของเธอสัมผัสอากาศใกล้ๆ ตัวผม

ไมค์ นิวตันอยู่กับสองสาวนี้ด้วย ผมได้ยินเสียงของเขาทั้งเสียงคิดและเสียงพูดเมื่อเขาถามเจสสิก้าว่าสาวน้อยสวอนเป็นอะไรไป ความคิดของไมค์เกี่ยวกับเบลล่าเป็นความคิดที่น่ารังเกียจมาก มันเป็นความฝันเฟื่องที่ผุดขึ้นมาแว่บหนึ่งขณะที่เขามองเธอสะดุ้งและเงยหน้าขึ้นจากภวังค์ราวกับเธอลืมไปแล้วว่ามีเขาอยู่ตรงนี้ด้วย

“ไม่มีอะไร” ผมได้ยินเบลล่าพูดด้วยเสียงใสๆ แผ่วเบาของเธอ มันดังก้องเหมือนเสียงระฆังกลบเสียงพูดเจื้อยแจ้วในโรงอาหาร แต่ผมรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงเพราะผมกำลังตั้งใจเงี่ยหูฟังเสียงเธอ

“วันนี้ฉันขอแค่น้ำอัดลมก็พอ” เบลล่าพูดต่อขณะขยับเดินให้ทันคิว

ผมอดตวัดสายตามองไปทางเธอไม่ได้ เธอกำลังหลุบตามองพื้น และเลือดค่อยๆ เหือดหายไปจากใบหน้าเธอ ผมรีบเมินสายตาอย่างรวดเร็วไปมองเอ็มเม็ตต์ที่หัวเราะขำรอยยิ้มที่ดูเจ็บปวดบนใบหน้าผม

นายดูเหมือนป่วยนะ น้องชาย

ผมปรับสีหน้าใหม่ให้ดูเหมือนง่ายๆ สบายๆ

เจสสิก้าสงสัยออกมาดังๆ เกี่ยวกับความไม่เจริญอาหารของเบลล่า “เธอไม่หิวหรือไง”

“อันที่จริงฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายนิดๆ” เสียงเธอเบามาก แต่ยังฟังชัดเจน

ทำไมผมต้องเดือดร้อนด้วยกับความปกป้องห่วงใยที่จู่ๆ ก็พุ่งออกมาจากความคิดของไมค์ นิวตัน มันสำคัญตรงไหนที่ความคิดของเขาเจือความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของด้วย มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผมถ้าไมค์ นิวตันรู้สึกร้อนใจเป็นห่วงเธอโดยไม่จำเป็น บางทีนี่อาจจะเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของทุกคนที่มีต่อเธอก็ได้ ผมเองก็ยังอยากปกป้องเธอโดยสัญชาตญาณเหมือนกันไม่ใช่หรือ ก่อนหน้านี้ผมอยากฆ่าเธอ มัน…

แต่เธอไม่สบายจริงๆ หรือ

มันบอกยาก เพราะเธอดูเปราะบางมากเหลือเกินด้วยผิวพรรณที่ดูโปร่งใส…แล้วผมก็ตระหนักได้ว่าผมกำลังเป็นห่วงเธอเหมือนกับไอ้หนุ่มปัญญาทึบคนนั้น ผมรีบบังคับตัวเองไม่ให้คิดถึงสุขภาพของเธอ

อย่างไรก็ดี ผมไม่ชอบสำรวจเธอผ่านความคิดของไมค์ ผมจึงเปลี่ยนไปที่ความคิดของเจสสิก้าแทน ผมเฝ้ามองอย่างระมัดระวังขณะที่พวกเขาทั้งสามคนเลือกโต๊ะนั่ง โชคดีที่พวกเขานั่งกับเพื่อนๆ ของเจสสิก้าที่โต๊ะตัวหนึ่งของโต๊ะชุดแรกในห้องนี้ เธอไม่ได้อยู่ใต้ลมอย่างที่อลิซบอกไว้

อลิซใช้ศอกกระทุ้งผม อีกเดี๋ยวเธอจะต้องมองมา ทำตัวให้เหมือนมนุษย์หน่อย

ผมขบฟันแน่นหลังรอยยิ้ม

“ใจเย็นๆ เอ็ดเวิร์ด” เอ็มเม็ตต์พูด “พูดจริงๆ นะ ถ้านายฆ่ามนุษย์คนหนึ่ง โลกก็ไม่ได้ถึงกาลอวสานสักหน่อย”

“นายคงต้องรู้ดี” ผมพึมพำ

เอ็มเม็ตต์หัวเราะ “นายต้องเรียนรู้ที่จะก้าวข้ามเรื่องต่างๆ ไปให้ได้ เหมือนอย่างฉันไง ชั่วนิรันดรเป็นเวลาที่ยาวนานมากหากมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความรู้สึกผิด”

ทันใดนั้นอลิซก็โยนน้ำแข็งกำเล็กกว่าที่เธอซ่อนไว้ในมือใส่หน้าของเอ็มเม็ตต์ที่ไม่ทันรู้ตัว

เอ็มเม็ตต์กะพริบตาด้วยความประหลาดใจ แล้วก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างคาดหวัง

“เธอหาเรื่องเองนะ” เอ็มเม็ตต์พูดพลางโน้มตัวข้ามโต๊ะ แล้วสะบัดผมที่มีน้ำแข็งเกาะของเขาไปทางอลิซ หิมะที่ละลายในห้องที่อบอุ่นกระเด็นจากผมของเขาเป็นสายหนาๆ กึ่งน้ำกึ่งน้ำแข็ง

“โอ๊ย!” โรสร้องอุทานขณะที่เธอกับอลิซหดหัวหนีจากหิมะกึ่งน้ำกึ่งน้ำแข็งนั้น

อลิซหัวเราะ เราทุกคนร่วมวงหัวเราะด้วย ผมเห็นในหัวอลิซว่าเธอจงใจจัดฉากนี้ขึ้นมา และผมก็รู้ดีว่าสาวน้อยคนนั้น…ผมควรจะเลิกคิดถึงเธอแบบนี้เสียที ทำอย่างกับว่าเธอเป็นสาวน้อยเพียงคนเดียวในโลกนี้งั้นแหละ…ผมรู้ดีว่า เบลล่าจะต้องมองพวกเราหัวเราะและเล่นกัน ดูมีความสุข ดูเป็นมนุษย์ และดูเป็นภาพในอุดมคติที่ไม่เป็นความจริงเหมือนกับภาพวาดของนอร์แมน ร็อดเวล [4]

อลิซยังหัวเราะไม่เลิกพลางยกถาดขึ้นบังเป็นโล่ สาวน้อยคนนั้น…เบลล่า…ต้องยังจ้องพวกเราอยู่

…จ้องพวกคัลเลนอีกแล้ว ใครบางคนคิด และมันสะดุดความสนใจของผม

ผมมองไปทางเสียงนั้นโดยอัตโนมัติ และจดจำเสียงนั้นได้ง่ายเมื่อสายตาผมพบเป้าหมายของมัน เพราะวันนี้ผมได้ยินเสียงนี้บ่อยมาก

แต่สายตาผมมองผ่านเจสสิก้าไปหยุดที่สายตาหยั่งลึกของสาวน้อยคนนั้น

เธอรีบหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว และแอบซ่อนอยู่หลังเรือนผมดกหนาอีกครั้ง

เธอกำลังคิดอะไร ความหงุดหงิดเริ่มรุนแรงมากขึ้นแทนที่จะลดน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป ผมพยายามใช้ความคิดของผมสำรวจความเงียบรอบกายเธอ แต่ผมทำอย่างลังเลเพราะผมไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน ความสามารถพิเศษในการได้ยินของผมเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติโดยไม่ต้องร้องขอเสมอ ผมไม่เคยต้องใช้ความพยายามเลย แต่ตอนนี้ผมกำลังตั้งสมาธิและพยายามเจาะทะลุเกราะอะไรก็ตามที่ล้อมรอบตัวเธอ

แต่ไม่มีอะไรนอกจากความเงียบ

เธอมีอะไรดีนะ เจสสิก้าคิดด้วยความรู้สึกโกรธเหมือนที่ผมรู้สึก

“เอ็ดเวิร์ด คัลเลนกำลังมองเธอ” เจสสิก้ากระซิบข้างหูสาวน้อยสวอน แล้วตามด้วยเสียงหัวเราะคิกคัก ไม่มีความอิจฉาในน้ำเสียงของเธอ ดูเหมือนเจสสิก้าจะเชี่ยวชาญมากในการแกล้งทำเป็นมิตร

ผมรอฟังคำตอบของสาวน้อยคนนั้นอย่างหมกมุ่นมากเกินไป

“เขาไม่ได้ดูโกรธใช่ไหม” เธอกระซิบถาม

แปลว่าเธอเห็นปฏิกิริยาตอบสนองที่ดุดันของผมเมื่อสัปดาห์ก่อน เธอต้องเห็นแน่นอน

คำถามนี้ทำให้เจสสิก้างุนงง ผมเห็นหน้าผมในความคิดของเจสสิก้าขณะที่เธอสำรวจดูสีหน้าผม แต่ผมไม่ยอมสบตาเธอ ผมยังจดจ่อสมาธิอยู่กับสาวน้อยคนนั้น และพยายามจะฟังเพื่อให้ได้ยินอะไรบางอย่าง แต่ไม่ว่าจะตั้งสมาธิจดจ่อแค่ไหนก็ไม่ช่วยอะไรเลยสักนิด

“ไม่” เจสตอบ ผมรู้ดีว่าเจสสิก้าภาวนาให้เธอสามารถตอบว่าใช่ถึงแม้ว่าจะไม่มีวี่แววของความรู้สึกนี้ในเสียงของเธอเลยก็ตาม การจ้องมองของผมทำให้เธอคับแค้นใจ “เขาควรจะโกรธอย่างนั้นหรือ”

“ฉันคิดว่าเขาไม่ชอบฉัน” สาวน้อยคนนั้นกระซิบตอบ แล้วซบศีรษะลงบนแขนข้างหนึ่งราวกับจู่ๆ เธอก็อ่อนเพลียขึ้นมาอย่างกะทันหัน ผมพยายามทำความเข้าใจกับความเคลื่อนไหวนี้ แต่ผมทำได้แค่เดา บางทีเธออาจจะอ่อนเพลียจริงๆ ก็ได้

“พวกคัลเลนไม่ชอบใครทั้งนั้นแหละ” เจสยืนยัน “พวกคัลเลนไม่สนใจมองใครมากพอที่จะรู้สึกชอบพวกเขาหรอก” พวกเขาไม่เคยมอง ความคิดของเธอบ่นงึมงำ “แต่เขายังจ้องเธออยู่นะ”

“เลิกมองเขาสิ” สาวน้อยคนนั้นพูดเสียงร้อนใจพลางเงยหน้าขึ้นจากแขนเพื่อให้แน่ใจว่าเจสสิก้าเชื่อฟังคำสั่งของเธอ

เจสสิก้าหัวเราะคิก แต่ก็ทำตามที่เธอขอ

สาวน้อยคนนั้นไม่เบนสายตาไปจากโต๊ะของเธอเลยตลอดเวลาที่เหลือของชั่วโมงนั้น ผมคิดว่ามันเป็นการจงใจทำ แต่แน่นอนว่าผมไม่อาจมั่นใจได้ มันดูราวกับว่าเธออยากมองผม เพราะตัวเธอจะขยับมาทางผมนิดๆ คางเธอจะเริ่มหัน แล้วเธอก็จะรีบควบคุมตัวเอง และสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะจ้องใครก็ตามที่กำลังพูดเขม็ง

ส่วนใหญ่แล้วผมไม่สนใจความคิดอื่นๆ รอบตัวสาวน้อยคนนั้น เพราะมันไม่เกี่ยวกับเธออยู่ชั่วครู่หนึ่ง ไมค์ นิวตันกำลังวางแผนจะเล่นปาสโนว์บอลในลานจอดรถหลังเลิกเรียน ดูเหมือนว่าเขาไม่รู้ว่าหิมะได้เปลี่ยนเป็นฝนแล้ว เกล็ดหิมะนิ่มๆ ที่ตกกระทบหลังคาได้กลายเป็นหยาดฝนตกเปาะแปะแล้ว เขาไม่ได้ยินเสียงการเปลี่ยนแปลงเลยจริงๆ หรือ มันดูเหมือนดังมากสำหรับผม

พอหมดเวลาพักเที่ยง ผมยังนั่งอยู่ที่เดิม มนุษย์ทยอยกันเดินออกไป ผมพบว่าผมกำลังพยายามแยกแยะเสียงฝีเท้าของเธอออกจากเสียงฝีเท้าของพวกที่เหลือ ราวกับว่าเสียงฝีเท้าเธอจะมีอะไรบางอย่างที่สำคัญหรือผิดปกติ ช่างงี่เง่าอะไรอย่างนี้

ครอบครัวผมไม่ขยับเขยื้อนเช่นกัน พวกเขารอดูว่าผมจะทำอย่างไร

ผมจะไปเข้าห้องเรียนและนั่งข้างสาวน้อยคนนั้น ที่ซึ่งผมสามารถได้กลิ่นที่มีฤทธิ์แรงของเลือดเธอ และรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของชีพจรเธอในอากาศบนผิวกายผมหรือเปล่า ผมเข้มแข็งพอสำหรับเรื่องนี้ไหม หรือว่าผมเจอมามากพอแล้วสำหรับหนึ่งวัน

ในฐานะครอบครัว เราได้คุยถึงช่วงเวลานี้กันแล้วจากทุกแง่ทุกมุมที่เป็นไปได้ คาร์ไลล์ไม่เห็นด้วยกับการเสี่ยง แต่เขาจะไม่ยัดเยียดความตั้งใจของเขาให้ผม แจสเปอร์ไม่เห็นด้วยพอๆ กัน แต่เป็นเพราะความกลัวว่าจะเป็นการเปิดเผยตัว ไม่ใช่เพราะความเป็นห่วงในมนุษยชาติ โรซาลีแค่วิตกกังวลว่ามันจะมีผลกระทบอย่างไรต่อชีวิตของเธอ อลิซมองเห็นอนาคตที่คลุมเครือและสับสนมากมายจนความสามารถพิเศษในการมองเห็นของเธอไม่อาจช่วยอะไรได้ เอสเมคิดว่าผมจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง และเอ็มเม็ตต์แค่อยากเปรียบเทียบเรื่องราวประสบการณ์ของเขาที่มีต่อกลิ่นซึ่งเย้ายวนใจเป็นพิเศษ เอ็มเม็ตต์ฉุดแจสเปอร์เข้าไปในการรำลึกถึงอดีตของเขาด้วย แต่ประวัติของแจสเปอร์เรื่องความสามารถในการควบคุมตัวเองมีน้อยมากและไม่สม่ำเสมอจนเขาไม่อาจมั่นใจได้ว่าเขาเคยมีการต่อสู้แบบเดียวกันนี้หรือเปล่า ส่วนเอ็มเม็ตต์จำเหตุการณ์แบบนี้ได้สองเรื่อง ความทรงจำของเขาถึงสองเรื่องนี้ไม่ได้เป็นกำลังใจอะไรได้เลย แต่ตอนนั้นเขายังเด็กกว่านี้ และไม่เชี่ยวชาญในการควบคุมตัวเองเท่าตอนนี้ แน่นอนว่าผมเข้มแข็งกว่านั้น

“ฉัน…คิดว่ามันโอเคนะ” อลิซพูดเสียงลังเล “นายตั้งใจไว้แล้ว ฉันคิดว่านายจะเอาตัวรอดในชั่วโมงนั้นได้”

แต่อลิซรู้ดีว่าความตั้งใจสามารถเปลี่ยนแปลงได้เร็วขนาดไหน

“จะกดดันทำไม เอ็ดเวิร์ด” แจสเปอร์ถาม ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากรู้สึกเยาะหยันที่ตอนนี้ผมกลายเป็นคนอ่อนแอ แต่ผมก็ยังได้ยินว่าเขารู้สึกเยาะหยัน…นิดๆ “กลับบ้านเถอะ ค่อยเป็นค่อยไป”

“แล้วมันเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรนักหนา” เอ็มเม็ตต์คัดค้าน “ไม่ว่าเขาจะฆ่าหรือไม่ฆ่าเธอก็ตาม เขาก็น่าจะทำให้มันจบๆ ไป”

“ฉันยังไม่อยากย้ายเมือง” โรซาลีอุทธรณ์ “ฉันไม่อยากเริ่มต้นใหม่ เราเกือบจะจบมัธยมแล้วนะ เอ็มเม็ตต์ ในที่สุดเราก็จะเรียนจบซะที”

ผมเองก็ลังเลกับการตัดสินใจนี้เหมือนกัน ผมอยาก…อยากมากๆ…อยากเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ตรงๆ ไม่ใช่วิ่งหนีอีก แต่ผมก็ไม่อยากกดดันตัวเองมากเกินไปด้วยเหมือนกัน เมื่อสัปดาห์ก่อนมันเป็นความผิดพลาดสำหรับแจสเปอร์ที่ไม่ได้ออกล่าเหยื่อเป็นเวลานาน เรื่องนี้จะเป็นความผิดพลาดที่ไร้ประโยชน์แบบเดียวกันหรือเปล่า

ผมไม่อยากทำให้ครอบครัวผมต้องย้ายถิ่นที่อยู่ พวกเขาต้องไม่มีใครขอบคุณผมในเรื่องนี้แน่ๆ

แต่ผมอยากเข้าห้องเรียนวิชาชีววิทยาของผม ผมรู้ดีว่าผมอยากเห็นหน้าเธออีกครั้ง

ความอยากรู้อยากเห็นคือตัวตัดสินใจให้ผม ผมโกรธตัวเองที่รู้สึกแบบนี้ ผมให้สัญญากับตัวเองแล้วไม่ใช่หรือว่าผมจะไม่ยอมให้ความคิดที่เงียบสงัดของสาวน้อยคนนั้นทำให้ผมสนใจเธอมากเกินควร แต่ถึงกระนั้นผมก็กำลังสนใจเธอมากเกินควรจริงๆ

ผมอยากรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร เธอปิดกั้นความคิด แต่สายตาเธอเปิดเผยมาก บางทีผมอาจจะอ่านสายตาเธอแทน

“ไม่ โรส ฉันคิดว่ามันจะต้องโอเคจริงๆ” อลิซพูด “มัน…เริ่มชัดเจนมากขึ้น ฉันมั่นใจเก้าสิบสามเปอร์เซ็นต์ว่าจะไม่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นถ้าเขาเข้าเรียน” เธอมองหน้าผมด้วยสายตาเป็นคำถาม อลิซกำลังสงสัยว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในความคิดของผมที่ทำให้เธอมองเห็นอนาคตได้ชัดเจนมากขึ้น

ความอยากรู้อยากเห็นมันมากพอจะทำให้เบลล่า สวอนยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือเปล่า

เอ็มเม็ตต์พูดถูก ทำไมไม่ทำเรื่องนี้ให้จบๆ ไปล่ะ ไม่ว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่า ผมจะขอเผชิญหน้ากับแรงยั่วยุนี้ตรงๆ

“ไปเข้าห้องเรียนกัน” ผมสั่งและดันตัวเองออกจากโต๊ะ ผมหันหลังก้าวยาวๆ ไปจากพวกเขาโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย ผมได้ยินความวิตกกังวลของอลิซ การตำหนิติเตียนของแจสเปอร์ ความเห็นชอบด้วยของเอ็มเม็ตต์ และความโกรธของโรซาลี ทั้งหมดนี้กำลังไล่ตามหลังผมมา

ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเป็นครั้งสุดท้ายตรงประตูห้องเรียน แล้วก็กลั้นมันไว้ในปอดขณะเดินเข้าไปในห้องเล็กๆ ที่อบอุ่นนี้

ผมไม่ได้มาสาย คุณแบนเนอร์ยังเตรียมการสำหรับการทดลองของวันนี้อยู่ สาวน้อยคนนั้นนั่งที่โต๊ะของผม…โต๊ะของเรา เธอก้มหน้ามองแฟ้มที่เธอกำลังวาดอะไรยุกยิก ผมดูภาพสเก๊ตช์ของเธอขณะเดินเข้าไปใกล้ ผมสนใจแม้กระทั่งความคิดสร้างสรรค์เล็กๆ น้อยๆ จากสมองของเธอ แต่มันไม่มีความหมายอะไร แค่รูปห่วงภายในห่วงหลายห่วงที่วาดแบบส่งเดช บางทีเธออาจจะไม่ได้มีสมาธิกับแบบที่วาด แต่กำลังคิดถึงเรื่องอื่นหรือเปล่า

ผมลากเก้าอี้ของผมถอยหลังอย่างแรงโดยไม่จำเป็น และปล่อยให้มันครูดพื้นเสื่อน้ำมันเสียงดัง มนุษย์จะรู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่อมีเสียงบอกว่ามีใครบางคนกำลังมา

ผมรู้ว่าเธอได้ยินเสียง เธอไม่เงยหน้าขึ้นมอง แต่มือเธอวาดรูปห่วงพลาด และทำให้วงห่วงไม่เท่ากัน

ทำไมเธอไม่เงยหน้าขึ้น เธออาจจะกลัว เที่ยวนี้ผมต้องฝากความรู้สึกประทับใจที่แตกต่างออกไปให้เธอ ผมต้องทำให้เธอคิดว่าเมื่อก่อนหน้านี้เธอคิดเพ้อเจ้อไปเอง

“สวัสดี” ผมพูดด้วยเสียงแผ่วเบาที่ผมใช้เวลาที่อยากทำให้มนุษย์รู้สึกสบายใจมากขึ้น ผมปั้นยิ้มสุภาพบนริมฝีปากแบบไม่ให้เห็นฟัน

เธอเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาโตสีน้ำตาลดูตื่นตระหนกและเต็มไปด้วยคำถามเงียบๆ มันเป็นสีหน้าเดียวกับที่เคยเป็นอุปสรรคขัดขวางการมองเห็นของผมตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ผมจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มแปลกๆ คู่นั้น…สีของมันเหมือนสีนมช็อกโกแลต แต่ความใสของมันเทียบได้กับน้ำชาแก่ๆ มันมีทั้งความลึกและความโปร่งใส มีจุดเล็กๆ สีเขียวเหมือนหยกโมรากับจุดสีทองคาราเมลใกล้ๆ กับม่านตาของเธอ…แล้วผมก็ตระหนักได้ว่าความเกลียดชังที่ผมคิดว่าสาวน้อยคนนี้สมควรได้รับเพียงเพราะเธอมีตัวตนอยู่ในโลกนี้ก็พลันเหือดหายไป ตอนนี้เมื่อผมไม่หายใจ และไม่ได้ชิมรสชาติกลิ่นของเธอ ผมก็พบว่ามันยากที่จะเชื่อว่าคนที่เปราะบางมากขนาดนี้จะสมควรได้รับความเกลียดชัง

แก้มเธอเริ่มแดงก่ำ แต่เธอยังไม่พูดอะไร

ผมยังสบตาเธอโดยจดจ่ออยู่กับความลึกที่เต็มไปด้วยคำถามของดวงตาคู่นั้น และพยายามมองข้ามสีผิวที่น่ากินของเธอ ผมมีลมหายใจพอให้พูดได้อีกสักพักโดยไม่ต้องสูดลมหายใจเข้า

“ผมชื่อเอ็ดเวิร์ด คัลเลน” ผมพูดถึงแม้ว่าเธอจะรู้ดีอยู่แล้ว มันเป็นวิธีการเริ่มต้นที่สุภาพ “ผมไม่มีโอกาสแนะนำตัวเองเมื่ออาทิตย์ก่อน คุณต้องเป็นเบลล่า สวอน”

เธอทำหน้างุนงง และมีรอยย่นน้อยๆ ระหว่างหัวตาเธออีกครั้ง เบลล่าใช้เวลานานกว่าที่ควรจะใช้ราวครึ่งวินาทีก่อนตอบว่า

“คุณรู้ชื่อฉันได้อย่างไรคะ” เธอถามเสียงสั่นเล็กน้อย

ผมคงต้องทำให้เธอหวาดกลัวจริงๆ เรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกละอายแก่ใจ ผมหัวเราะเสียงอ่อนโยน มันเป็นเสียงที่ผมรู้ดีว่าจะทำให้มนุษย์รู้สึกสบายใจขึ้น

“ผมคิดว่าทุกคนรู้จักชื่อคุณกันทั้งนั้นแหละ” แน่นอนว่าเธอต้องรู้ว่าเธอกลายเป็นศูนย์รวมความสนใจในสถานที่ที่น่าเบื่อหน่ายแห่งนี้ “คนทั้งเมืองเฝ้ารอการมาของคุณ”

เบลล่าขมวดคิ้วราวกับข้อมูลนี้ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี การตกเป็นเป้าสนใจย่อมไม่ใช่เรื่องดีสำหรับคนขี้อายอย่างเธอ มนุษย์ส่วนใหญ่จะรู้สึกตรงกันข้าม ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้อยากโดดเด่นออกมาจากฝูง แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็โหยหาอยากดูเด่นในเอกลักษณ์ของตน

“ไม่” เธอตอบ “ฉันหมายความว่าทำไมคุณถึงเรียกฉันว่าเบลล่า”

“คุณชอบให้เรียกอิซาเบลลามากกว่าไหม” ผมถามด้วยความรู้สึกงุนงง ผมไม่เข้าใจว่าคำถามนี้จะนำไปทางไหน เธอประกาศชัดเจนตั้งแต่วันแรกแล้วว่าเธอชอบให้เรียกชื่อเธอแบบไหน มนุษย์ทุกคนเป็นอะไรที่เข้าใจยากแบบนี้อย่างนั้นหรือเมื่อปราศจากบริบททางความคิดเป็นเครื่องนำทาง ผมต้องพึ่งประสาทสัมผัสพิเศษของผมมากแค่ไหน ผมจะหูหนวกตาบอดโดยสิ้นเชิงถ้าปราศจากมันหรือเปล่า

“ไม่ ฉันชอบให้เรียกเบลล่า” เธอตอบพลางเอียงศีรษะไปข้างหนึ่งเล็กน้อย สีหน้าของเธอดูลังเลระหว่างความเขินอายกับความงุนงง…ถ้าผมอ่านไม่ผิด “แต่ฉันคิดว่าชาร์ลี…ฉันหมายถึงพ่อฉัน…คงต้องเรียกฉันว่าอิซาเบลลาลับหลังฉัน เพราะดูเหมือนว่าทุกคนที่นี่จะรู้จักฉันในชื่อนั้น” ผิวเธอเป็นสีชมพูเข้มขึ้นอีกนิด

“อ้อ” ผมพูดแล้วรีบเมินสายตาไปจากหน้าเธอ

ผมเพิ่งตระหนักได้ว่าคำถามของเธอหมายความว่าอะไร ผมพลาด ถ้าผมไม่ได้แอบฟังคนอื่นๆ คุยกันในวันแรกนั้น ผมจะต้องเรียกเธอด้วยชื่อเต็ม เธอสังเกตเห็นความแตกต่างในเรื่องนี้

ผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที เบลล่าจับผิดผมได้ไวมาก นับว่าเธอเป็นคนฉลาดทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ควรต้องตื่นกลัวกับความใกล้ชิดของผม

แต่ผมมีปัญหาที่ใหญ่กว่าความสงสัยอะไรก็ตามเกี่ยวกับตัวผมที่เธออาจจะเก็บไว้ในหัวของเธอ

ผมไม่มีอากาศเหลือแล้ว ถ้าผมจะต้องพูดคุยกับเธอต่อ ผมต้องสูดอากาศหายใจ

มันยากที่จะหลีกเลี่ยงการพูดคุย เธอโชคร้ายที่นั่งโต๊ะนี้ เพราะมันทำให้เธอต้องเป็นคู่หูของผมในการทำการทดลอง วันนี้เราต้องทำงานด้วยกัน มันจะต้องดูเหมือนแปลก…และหยาบคายอย่างไม่อาจเข้าใจได้…ถ้าผมจะเมินใส่เธอระหว่างที่เราทำการทดลองด้วยกัน มันจะทำให้เธอสงสัยมากขึ้น และหวาดกลัวมากขึ้น

ผมเอนตัวออกห่างจากเธอให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้โดยไม่ต้องขยับเก้าอี้ ผมเอี้ยวหน้าไปหาทางเดิน แล้วล็อกกล้ามเนื้อของผมให้อยู่กับที่ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดโดยหายใจทางปากเท่านั้น

อาาา…!

มันเจ็บแสบเหมือนกลืนถ่านร้อนๆ แม้จะไม่ได้กลิ่นเธอ แต่ผมก็สามารถได้รสชาติของเธอบนลิ้นของผม ความโหยหามันรุนแรงพอๆ กับตอนที่ผมได้กลิ่นเธอครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ก่อน

ผมขบฟันแน่นและพยายามควบคุมตัวเอง

“ลงมือเลย” คุณแบนเนอร์สั่ง

ผมต้องใช้ความสามารถในการควบคุมตัวเองทั้งหมดที่ผมได้มาจากการฝึกอย่างหนักในช่วงเจ็ดสิบสี่ปีที่ผ่านมาเพื่อหันกลับไปมองสาวน้อยที่ยังก้มหน้ามองโต๊ะ แล้วยิ้ม

“เลดี้เฟิร์สนะ คู่หู” ผมเสนอ

เธอเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าผม แล้วสีหน้าเธอก็งุนงง มีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือ ผมเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในดวงตาเธอ มันเป็นใบหน้าที่ดูเป็นมิตรแบบมนุษย์ปกติของผม มันดูเพอร์เฟ็กต์ดีนี่นา เธอหวาดกลัวอีกแล้วงั้นหรือ เบลล่าไม่พูดอะไร

“หรือจะให้ผมเริ่มก่อนก็ได้ถ้าคุณต้องการ” ผมพูดเบาๆ

“ไม่ค่ะ” เธอตอบ แล้วหน้าเธอก็เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีแดงอีกครั้ง “ฉันเริ่มเอง”

ผมจ้องอุปกรณ์บนโต๊ะซึ่งมีกล้องจุลทรรศน์เก่าโทรมกับสไลด์หนึ่งกล่อง มันดีกว่ามองเลือดฉีดซ่านที่เดี๋ยวมีเดี๋ยวหายใต้ผิวใสๆ ของเธอ ผมสูดลมหายใจเข้าอีกครั้งโดยสูดลอดไรฟัน แล้วก็สะดุ้งกับรสชาติที่แผดเผาในคอของผม

“โปรเฟส[5]” เธอพูดหลังจากสำรวจอย่างรวดเร็ว แล้วเตรียมจะดึงสไลด์ออกทั้งๆ ที่เธอแทบจะไม่ได้ดูมันเลย

“รังเกียจไหมถ้าผมจะขอดูบ้าง” สัญชาตญาณทำให้ผมเอื้อมมือไปจับมือเธอไว้ไม่ให้ดึงสไลด์ออกราวกับว่าผมเป็นหนึ่งในมนุษย์อย่างพวกเธองั้นแหละ แว่บหนึ่งที่ความร้อนของผิวเธอแผดเผาเข้าไปในผิวของผม มันเหมือนถูกกระตุกด้วยไฟฟ้า ความร้อนพุ่งวาบจากนิ้วมือขึ้นไปตามแขนของผม เธอกระชากมือออกจากใต้มือผมทันที

“ขอโทษ” ผมพึมพำ ผมจำเป็นต้องมองไปที่ไหนสักแห่ง ก็เลยจับกล้องจุลทรรศน์แล้วมองลงไปในช่องมองภาพ เธอพูดถูก

“โปรเฟส” ผมเห็นด้วย

ผมยังวุ่นวายใจมากเกินกว่าจะมองหน้าเธอ จึงสูดลมหายใจเข้าผ่านไรฟันให้เบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้ และพยายามมองข้ามความกระหายที่แผดเผาดั่งไฟด้วยการตั้งสมาธิอยู่กับงานง่ายๆ ที่ได้รับมอบหมายให้ทำ ผมเขียนคำตอบบนบรรทัดที่กำหนดในกระดาษข้อสอบ แล้วเปลี่ยนสไลด์แผ่นแรกเป็นแผ่นต่อไป

ตอนนี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอรู้สึกอย่างไรเมื่อผมแตะมือเธอ ผิวผมคงต้องเย็นเฉียบ…น่าขยะแขยง มิน่าล่ะเธอถึงได้เงียบเหลือเกิน

ผมมองดูสไลด์

“แอนาเฟส[6]” ผมพูดกับตัวเองขณะเขียนคำตอบบนบรรทัดที่สอง

“ขอฉันดูหน่อยได้ไหม” เธอถาม

ผมเงยหน้าขึ้น และรู้สึกประหลาดใจที่เห็นเบลล่ากำลังรออย่างคาดหวัง เธอยื่นมือมาทางกล้องจุลทรรศน์เล็กน้อย สีหน้าเธอไม่ได้ดูหวาดกลัว เธอคิดจริงๆ หรือว่าผมตอบผิด

ผมอดยิ้มไม่ได้กับสีหน้าเปี่ยมหวังของเบลล่าขณะเลื่อนกล้องจุลทรรศน์ไปทางเธอ

เธอมองลงไปในช่องมองภาพด้วยความกระตือรือร้นที่เหือดหายไปอย่างรวดเร็ว แล้วมุมปากเธอก็โค้งลง

“สไลด์แผ่นที่สามไหม” เบลล่าถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากล้องจุลทรรศน์ เพียงแค่ยื่นมือมา ผมหย่อนสไลด์แผ่นต่อไปลงบนฝ่ามือของเบลล่า เที่ยวนี้ผมระวังให้ผิวผมอยู่ห่างจากผิวของเธอ การนั่งข้างเธอเปรียบเสมือนนั่งอยู่ข้างโคมไฟร้อนๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองอุ่นขึ้นเล็กน้อยและมีอุณหภูมิสูงขึ้น

เบลล่าดูสไลด์แค่ไม่นาน “อินเตอร์เฟส” [7]เธอพูดเสียงราบเรียบ และดูพยายามมากไปนิดที่พูดแบบนั้น แล้วเธอก็ดันกล้องจุลทรรศน์มาทางผม เธอไม่แตะต้องกระดาษข้อสอบ แต่รอให้ผมเขียนคำตอบเอง ผมดูสไลด์ เธอพูดถูกอีกครั้ง

เราทำงานจนเสร็จด้วยการพูดกันทีละคำ และไม่ยอมสบตากัน เราเป็นคู่เดียวที่ทำเสร็จ คนอื่นๆ ในชั้นมีปัญหาในการดูสไลด์มากกว่าเรา ไมค์ นิวตันดูเหมือนจะไม่สามารถรวบรวมสมาธิได้ เพราะเขามัวแต่พยายามดูผมกับเบลล่า

ฉันภาวนาให้หมอนี่กลับไปอยู่ที่ไหนก็ตามที่เขาเพิ่งไปมา ไมค์คิดพลางมองผมด้วยสายตามาดร้าย น่าสนใจแฮะ ผมไม่ยักรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีเจตนาร้ายต่อผม มันเป็นความก้าวหน้าใหม่อีกเรื่องหนึ่งซึ่งใหม่พอๆ กับการที่เบลล่ามาที่นี่ มันน่าสนใจมากขึ้นไปอีกเมื่อผมพบด้วยความประหลาดใจว่าผมก็รู้สึกกับเขาแบบนี้เช่นกัน

ผมมองเบลล่าอีกครั้ง และรู้สึกงุนงงกับความสับสนอลหม่านที่เธอกำลังทำให้เกิดขึ้นกับชีวิตของผม ทั้งๆ ที่เธอก็ดูเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ที่ไม่ได้น่ากลัวอะไร

ใช่ว่าผมจะดูไม่ออกว่าไมค์กำลังคิดอะไร จริงๆ แล้วเบลล่าจัดว่าเป็นคนสวยสำหรับมนุษย์คนหนึ่ง สวยแบบแปลกๆ เบลล่าดูดีกว่าสวย หน้าตาของเธอดูดีอย่างประหลาดแม้ว่าเครื่องหน้าไม่ค่อยได้สัดส่วนเท่าไรนัก คางแหลมไม่รับกับโหนกแก้มใหญ่ ผิวสีขาวตัดกันแบบสุดโต่งกับผมสีเข้ม และยังดวงตาอีกละ มันใหญ่เกินไปสำหรับใบหน้าเธอ และเปี่ยมล้นไปด้วยความลับที่เงียบเชียบ…

ดวงตาที่จู่ๆ ก็จ้องสบตาผม

ผมจ้องตอบเธอ และพยายามเดาความลับให้ได้สักอย่าง

“คุณใส่คอนแทคเลนส์หรือเปล่า” เธอถามขึ้นมาอย่างปุบปับ

เป็นคำถามที่แปลกอะไรอย่างนี้ “เปล่า” ผมเกือบยิ้มให้กับความคิดเรื่องการทำสายตาของผมให้มองชัดขึ้น

“อ้อ” เธอพึมพำ “ฉันคิดว่าตาคุณมันมีอะไรแปลกๆ”

ผมรู้สึกหนาวมากขึ้นอีกครั้งเมื่อตระหนักได้ว่าวันนี้ไม่ใช่ผมคนเดียวที่พยายามล้วงความลับ

ผมยักไหล่ที่แข็งเกร็งของผม แล้วมองตรงไปข้างหน้ายังที่ที่อาจารย์กำลังเดินตรวจไปรอบๆ

แน่นอนว่ามันมีอะไรบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับดวงตาของผมนับตั้งแต่ที่เธอจ้องตาผมครั้งล่าสุด เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับภารกิจที่ยากลำบากและแรงยั่วยวนใจของวันนี้ ผมได้ใช้เวลาตลอดทั้งสุดสัปดาห์ออกล่าเหยื่อ และปรนเปรอความกระหายของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จริงๆ แล้วผมทำมากเกินไปด้วยซ้ำ ผมกินเลือดสัตว์จนอิ่มแปล้ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้มากนักเมื่อต้องเผชิญหน้ากับรสชาติอันร้ายกาจที่ล่องลอยอยู่ในอากาศรอบๆ ตัวเบลล่า ตอนที่ผมถลึงตามองเธอครั้งล่าสุด ดวงตาผมเป็นสีดำด้วยความกระหาย แต่ตอนนี้ในตัวผมเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาผมจึงเปลี่ยนเป็นสีทองอบอุ่นดูเหมือนสีอำพันอ่อนๆ

ผมพลาดอีกแล้ว ถ้าผมเข้าใจว่าคำถามของเธอหมายความว่าอะไร ผมคงตอบเธอว่าใช่ ผมใส่คอนแทคเลนส์

ผมนั่งเคียงข้างพวกมนุษย์ที่โรงเรียนนี้มาได้สองปีแล้ว แต่เบลล่าเป็นคนแรกที่สำรวจผมอย่างใกล้ชิดพอจะสังเกตเห็นว่าสีตาผมเปลี่ยนไป ถึงแม้ว่าคนอื่นๆ จะชื่นชมในความงดงามของครอบครัวผม แต่พวกเขามักจะรีบหลุบตาลงอย่างรวดเร็วเวลาที่พวกเรามองตอบ พวกเขาจะรีบหนีและปิดกั้นรายละเอียดเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของเราโดยสัญชาตญาณเพื่อไม่ให้ตัวเองเข้าใจพวกเรา ความไม่รู้คือพรอันประเสริฐสำหรับความคิดของมนุษย์

ทำไมต้องเป็นสาวน้อยคนนี้ด้วยที่เห็นมากเกินไป

คุณแบนเนอร์เดินมาใกล้โต๊ะเรา ผมรีบสูดอากาศบริสุทธิ์ที่เขานำมาด้วยความยินดีก่อนที่มันจะผสมปนเปกับกลิ่นของเบลล่า

“เป็นไงบ้าง เอ็ดเวิร์ด” เขาถามพลางมองคำตอบของเรา “เธอไม่คิดว่าอิซาเบลลาน่าจะมีโอกาสได้ส่องกล้องจุลทรรศน์บ้างหรือไง”

“เบลล่า” ผมแก้โดยอัตโนมัติ “อันที่จริง เธอเป็นคนตอบสามในห้าข้อครับ”

ความคิดของคุณแบนเนอร์ระแวงสงสัยขณะที่เขาหันไปมองสาวน้อยคนนั้น “เธอเคยทำการทดลองนี้มาก่อนหรือเปล่า”

ผมมองด้วยความสนใจขณะที่เบลล่ายิ้มและมีสีหน้าเขินอายเล็กน้อย

“ไม่เคยทำการทดลองกับรากหัวหอมค่ะ”

“กับเซลล์ตัวอ่อนของปลาไวท์ฟิชล่ะ” เขาถามต่อ

“เคยค่ะ”

คำตอบนี้ทำให้เขาประหลาดใจ การทดลองวันนี้เป็นอะไรบางอย่างที่เขาเอามาจากคอร์สของชั้นมัธยมปลาย เขาพยักหน้าอย่างครุ่นคิดให้เบลล่า “เธอเคยเรียนหลักสูตรเตรียมความพร้อมเพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ฟีนิกซ์หรือเปล่า”

“เคยค่ะ”

แปลว่าเธอได้เรียนหลักสูตรก้าวหน้า นับว่าฉลาดสำหรับมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งผมไม่ประหลาดใจเลย

“เอาละ” คุณแบนเนอร์พูดแล้วเม้มปาก “ฉันคิดว่าดีนะที่เธอสองคนเป็นคู่หูกันในการทดลอง” เขาหันหลังเดินจากไปพลางพึมพำเบาๆ ว่า “เพื่อที่เด็กคนอื่นๆ จะได้มีโอกาสเรียนรู้อะไรบางอย่างด้วยตัวเองบ้าง” ผมคิดว่าเบลล่าต้องได้ยิน เพราะเธอเริ่มขีดๆ เขียนๆ รูปห่วงบนแฟ้มของเธออีกครั้ง

ผมทำพลาดสองครั้งในครึ่งชั่วโมง นับเป็นการแสดงที่แย่สุดๆ ของผม ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้เลยสักนิดว่าเบลล่าคิดถึงผมว่าอย่างไร เธอหวาดกลัวมากแค่ไหน หรือสงสัยมากแค่ไหนก็ตาม แต่ผมก็รู้ดีว่าผมต้องพยายามให้มากกว่านี้ในการสร้างความประทับใจใหม่ให้เธอ อะไรบางอย่างที่จะลบล้างความทรงจำของเธอถึงการพบกันที่น่ากลัวครั้งสุดท้ายของเรา

“มันแย่หน่อยที่หิมะตก จริงไหม” ผมชวนคุยแบบที่ผมได้ยินนักเรียนหลายคนคุยกัน เป็นหัวข้อสนทนามาตรฐานที่น่าเบื่อมาก แต่เรื่องดินฟ้าอากาศเป็นเรื่องคุยที่ปลอดภัยเสมอ

เบลล่าจ้องหน้าผมด้วยแววตาสงสัยอย่างเห็นได้ชัด มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่ไม่ปกติต่อคำพูดที่ปกติมากของผม “ก็ไม่เชิง”

ผมพยายามเบนการสนทนากลับมายังเรื่องพื้นๆ ที่น่าเบื่อหน่าย เธอมาจากเมืองที่มีแดดมากกว่าและอบอุ่นกว่าที่นี่ ผิวเธอเหมือนจะสะท้อนให้เห็นแม้ว่าผิวเธอจะขาวก็ตาม ดังนั้นความหนาวเย็นคงต้องทำให้เธออึดอัด ที่รู้ๆ สัมผัสที่เย็นเฉียบของผมทำให้เธออึดอัดแน่นอน

“คุณไม่ชอบความหนาวมั้ง” ผมเดา

“ไม่ชอบความเปียกด้วย” เธอตอบ

“ฟอร์คสต้องเป็นเมืองที่อยู่ยากสำหรับคุณ” บางทีคุณไม่น่าจะมาที่นี่เลยด้วยซ้ำ ผมอยากเสริมแบบนี้ บางทีคุณน่าจะกลับไปยังที่ที่เหมาะกับคุณ

แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องการให้เธอกลับไปจริงหรือเปล่า ผมจะต้องนึกถึงกลิ่นเลือดของเธอเสมอ มีอะไรรับประกันได้ไหมว่าผมจะไม่ไปตามหาเธอในที่สุด อีกอย่างหนึ่งถ้าเธอไปจากที่นี่ ความคิดของเธอจะยังคงเป็นปริศนาที่ตามรบกวนจิตใจผมไปชั่วนิรันดร

“ยากมาก” เบลล่าพูดเสียงแผ่วเบา และถลึงตามองผ่านผมชั่วครู่หนึ่ง

คำตอบของเธอไม่ใช่สิ่งที่ผมคาดไว้ มันทำให้ผมอยากถามมากขึ้นไปอีก

“งั้นคุณมาที่นี่ทำไม” ผมถาม แล้วก็ตระหนักได้ทันทีว่าน้ำเสียงผมฟังเหมือนหาเรื่องเธอมากเกินไป มันฟังไม่เหมือนกับการพูดคุยกันแบบสบายๆ คำถามของผมฟังหยาบคายและซอกแซกด้วย

“มัน…ซับซ้อนค่ะ”

เบลล่ากะพริบตาปริบๆ แล้วพูดทิ้งไว้แค่นั้น ผมแทบระเบิดด้วยความอยากรู้อยากเห็น วินาทีนั้นมันแผดเผาเกือบร้อนเท่าความกระหายในคอของผม แต่จริงๆ แล้วผมพบว่าผมเริ่มหายใจได้ง่ายขึ้นเล็กน้อย ความทรมานกลายเป็นเรื่องที่ทนได้มากขึ้นอีกนิดเพราะความคุ้นเคย

“ผมคิดว่าผมตามทันนะถ้าคุณเล่า” ผมยังเซ้าซี้ บางทีมรรยาทอาจทำให้เธอจำเป็นต้องตอบคำถามของผมตราบใดที่ผมไม่สุภาพพอที่จะถาม

เบลล่าก้มลงมองมือตัวเองเงียบๆ มันทำให้ผมหงุดหงิด ผมอยากเอามือเชยคางเธอให้เงยหน้าขึ้นแล้วอ่านสายตาเธอ แต่แน่นอนว่าผมไม่อาจสัมผัสผิวเธอได้อีก

แต่เบลล่าเงยหน้าขึ้นทันที ผมรู้สึกโล่งที่ได้เห็นความรู้สึกในดวงตาคู่นั้น เธอพูดรัวเร็วว่า

“แม่ฉันแต่งงานใหม่”

อ้อ…เรื่องนี้เป็นเรื่องของมนุษย์มากพอที่จะเข้าใจได้ง่ายมาก ความเศร้าผุดวาบขึ้นบนใบหน้าเบลล่า ทำให้ตรงหว่างคิ้วเธอย่นน้อยๆ อีกครั้ง

“มันไม่ได้ฟังซับซ้อนอะไรเลยนี่” ผมพูดเสียงอ่อนโยนโดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามเลย ความเศร้าใจของเธอทำให้ผมรู้สึกท้อแท้อย่างประหลาด และภาวนาให้ผมสามารถทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้ ผมมีแรงกระตุ้นแปลกๆ “มันเกิดขึ้นเมื่อไร”

“เดือนกันยาที่ผ่านมา” เบลล่าผ่อนลมหายใจออก…แต่ไม่ถึงกับเป็นการถอนหายใจ ผมตัวแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่งเมื่อลมหายใจอุ่นๆ ของเธอโบกปัดใบหน้าผม

“และคุณไม่ชอบเขางั้นสิ” ผมเดาหลังจากที่เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ผมยังคงล้วงข้อมูลต่อไป

“ไม่ใช่ค่ะ ฟิลก็โอเคดี” เบลล่าแก้ไขการคาดเดาของผม เวลานี้มีรอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นรอบมุมปากเต็มอิ่มของเธอ “อาจจะหนุ่มเกินไป แต่นิสัยดีพอสมควร”

มันไม่ตรงกับภาพที่ผมกำลังวาดในหัว

“ทำไมคุณไม่อยู่กับพวกเขาล่ะ” เสียงผมฟังกระตือรือร้นมากเกินไป ฟังราวกับว่าผมกำลังแส่อย่างมาก ซึ่งผมยอมรับว่าผมก็แส่จริงๆ แหละ

“ฟิลเดินทางบ่อยมาก เขาเป็นนักกีฬาเบสบอลอาชีพ” รอยยิ้มน้อยๆ เริ่มมากขึ้น อาชีพนี้ทำให้เธอรู้สึกขำ

ผมยิ้มตามโดยไม่ตั้งใจ ผมไม่ได้พยายามจะทำให้เธอรู้สึกสบายใจ แต่รอยยิ้มของเธอทำให้ผมอยากยิ้มตอบ…เพื่อจะได้รู้ความลับของเธอ

“ผมเคยได้ยินชื่อเขาไหม” ผมรีบคิดรายชื่อนักเบสบอลอาชีพในหัว และนึกสงสัยว่าฟิลคนไหนเป็นฟิลของเธอ

“อาจจะไม่เคยค่ะ เขาเล่นไม่เก่ง” เธอยิ้มอีกครั้ง “แค่แข่งในไมเนอร์ ลีก แต่เขาต้องเดินทางบ่อยมาก”

รายชื่อนักกีฬาในหัวผมเปลี่ยนไปทันที ผมรีบทำตารางรายชื่อความเป็นไปได้ในหัวผมภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที และในขณะเดียวกันผมก็จินตนาการภาพใหม่

“และแม่คุณก็เลยส่งคุณมาที่นี่เพื่อที่เธอจะได้เดินทางไปกับเขา” ผมพูด การตั้งข้อสันนิษฐานดูเหมือนจะเรียกข้อมูลจากเธอได้มากกว่าการตั้งคำถาม มันได้ผลอีกครั้ง เบลล่าเชิดคางและมีสีหน้าดื้อรั้นขึ้นมาทันที

“ไม่ใช่ แม่ไม่ได้ส่งฉันมาที่นี่” เบลล่าพูด เสียงเธอฟังแข็งกร้าว ข้อสันนิษฐานของผมทำให้เธอหงุดหงิด แต่ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร “ฉันมาเอง”

ผมเดาความหมายเธอไม่ออก และไม่รู้สาเหตุที่อยู่เบื้องหลังความโกรธของเธอ ผมงงสุดๆ

ไม่มีทางที่จะเข้าใจสาวน้อยคนนี้ได้เลย เธอไม่เหมือนมนุษย์คนอื่นๆ บางทีความคิดที่เงียบเชียบกับกลิ่นหอมของเธอไม่ใช่เรื่องผิดปกติเพียงอย่างเดียวในตัวเธอ

“ผมไม่เข้าใจ” ผมยอมรับ และผมเกลียดการยอมรับ

เบลล่าถอนใจพลางจ้องตาผมนานกว่าที่มนุษย์ปกติส่วนใหญ่ทนไหว

“ตอนแรกแม่ก็อยู่กับฉัน แต่แม่คิดถึงเขา” เบลล่าอธิบายช้าๆ ยิ่งพูดเสียงเธอก็ยิ่งเศร้า “มันทำให้แม่ไม่มีความสุข…ฉันก็เลยตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่จะมาใช้เวลาอยู่กับชาร์ลี”

รอยย่นตรงหว่างตาเธอย่นมากขึ้น

“แต่ตอนนี้คุณไม่มีความสุข” ผมพึมพำ ผมยังตั้งข้อสันนิษฐานของผมไปเรื่อยๆ ด้วยความหวังว่าจะได้เรียนรู้มากขึ้นจากการโต้แย้งของเธอ และเที่ยวนี้ก็เช่นกัน

“แล้วไง” เธอพูดราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดอะไรมากด้วยซ้ำ

ผมยังจ้องสบตาเบลล่าต่อ และรู้สึกว่าในที่สุดผมก็ได้เห็นลึกเข้าไปถึงวิญญาณเธอเป็นครั้งแรก คำพูดของเธอทำให้ผมเห็นว่าเธอจัดอันดับตัวเองไว้ตรงไหนในรายการลำดับสิ่งที่สำคัญของเธอ เบลล่าไม่เหมือนกับมนุษย์ส่วนใหญ่ ความต้องการของเธอถูกจัดไว้ท้ายๆ รายการ

เธอเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว

ขณะที่ผมเห็นเรื่องนี้ ปริศนาของคนที่ซ่อนอยู่ในความคิดที่เงียบเชียบคนนี้ก็เริ่มกระจ่างขึ้นเล็กน้อย

“มันเหมือนไม่ยุติธรรม” ผมพูดแล้วยักไหล่เพื่อให้ดูเหมือนเป็นกันเอง

เบลล่าหัวเราะแต่ไร้อารมณ์ขัน “ไม่เคยมีใครบอกคุณหรือคะว่าชีวิตไม่เคยยุติธรรม”

ผมอยากหัวเราะให้กับคำพูดของเบลล่า แต่ผมก็เหมือนกับเธอที่ไม่รู้สึกว่ามันน่าขำ ผมรู้อะไรบางอย่างเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับความไม่ยุติธรรมของชีวิต “ผมเชื่อว่าผมเคยได้ยินคำพูดนี้จากที่ไหนสักแห่งมาก่อนนะ”

เบลล่ามองตอบผม สีหน้าเธอดูเหมือนงุนงงอีกครั้ง แล้วเธอก็ตวัดสายตาไปทางอื่นก่อนจะหันกลับมาสบตาผมใหม่

“เรื่องทั้งหมดก็มีเท่านี้แหละ” เธอบอก

ผมยังไม่พร้อมจะปล่อยให้การพูดคุยครั้งนี้จบลง รอยย่นตรงหว่างตาและเศษซากความเศร้าของเธอยังรบกวนจิตใจผม

“คุณเล่นละครเก่ง” ผมพูดช้าๆ และยังคงใช้การสันนิษฐานต่อไป “แต่ผมกล้าพนันได้ว่าคุณกำลังเจ็บปวดทรมานมากกว่าที่ทุกคนเห็น”

เบลล่าทำหน้าบึ้ง เธอหรี่ตาและเบ้ปากข้างหนึ่งขณะมองกลับไปทางหน้าห้อง มันแสดงว่าเธอไม่ชอบเวลาที่ผมเดาถูก เบลล่าไม่ใช่พวกพลีชีพ เธอจึงไม่อยากให้มีใครเห็นความเจ็บปวดของเธอ

“ผมพูดผิดหรือเปล่า”

เบลล่าสะดุ้งเล็กน้อย แต่นอกเหนือจากนี้แล้ว เธอแกล้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินที่ผมพูด

มันทำให้ผมยิ้ม “แต่ผมคิดว่าผมพูดไม่ผิด”

“ทำไมมันถึงสำคัญกับคุณด้วย” เธอถาม แต่ยังมองไปทางอื่น

“เป็นคำถามที่ดีมาก” ผมยอมรับ…กับตัวเองมากกว่ากับเธอ

ความสามารถในการรับรู้และในการเข้าใจของเธอดีกว่าของผม เธอมองตรงเข้าไปเห็นถึงแก่นกลางของทุกอย่างในขณะที่ผมดิ้นรนอยู่รอบๆ ขอบและหลับหูหลับตาค้นหาคำตอบผ่านเบาะแสต่างๆ ไปเรื่อยๆ รายละเอียดในชีวิตมนุษย์ของเธอไม่น่าจะสำคัญอะไรกับผม มันไม่ถูกต้องที่ผมจะต้องแคร์ความคิดของเธอ เพราะนอกเหนือจากการปกป้องครอบครัวของผมให้พ้นจากการถูกทุกคนสงสัยแล้ว ความคิดของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย

ผมไม่คุ้นชินกับการหยั่งรู้น้อยกว่าผู้อื่น เพราะผมเชื่อความสามารถพิเศษในการได้ยินของผมมากเหลือเกิน แต่เห็นได้ชัดว่าผมไม่ได้หยั่งรู้มากเท่าที่ผมยกย่องตัวเองเลย

เบลล่าถอนใจและถลึงตามองไปทางหน้าห้อง สีหน้าโกรธเคืองของเธอดูน่าขำ สถานการณ์ทั้งหมดและการพูดคุยทั้งหมดนี้เป็นเรื่องน่าขำ ไม่เคยมีใครตกอยู่ในอันตรายจากผมมากไปกว่าสาวน้อยตัวเล็กๆ คนนี้ เพราะผมอาจจะวอกแวกจากการพูดคุยครั้งนี้ และเผลอสูดลมหายใจเข้าทางจมูก แล้วก็เล่นงานเธอได้ทุกวินาทีก่อนที่ผมจะทันห้ามตัวเองได้ทัน แต่ที่เธอโกรธเพราะผมไม่ตอบคำถามเธอ

“ผมทำให้คุณโกรธหรือเปล่า” ผมถาม และยิ้มให้กับเรื่องเหลวไหลทั้งหมดนี้

เบลล่าตวัดสายตามองผมทันที แล้วสายตาเธอก็ดูเหมือนจะถูกตรึงด้วยสายตาของผม

“ไม่เชิง” เธอตอบ “ฉันโกรธตัวเองมากกว่า สีหน้าฉันอ่านง่ายมาก แม่ชอบเรียกฉันว่าหนังสือที่เปิดอ้าของแม่เสมอ”

เบลล่าขมวดคิ้วอย่างโกรธเคือง

ผมจ้องเธอด้วยความทึ่ง เธอหงุดหงิด เพราะเธอคิดว่าผมมองเธอทะลุปรุโปร่งได้ง่ายเกินไป น่าแปลกอะไรอย่างนี้ ผมไม่เคยต้องใช้ความพยายามในการเข้าใจใครบางคนมากเท่านี้มาก่อนในชีวิต หรือต้องพูดว่าในตัวตน เพราะคำว่าชีวิตไม่น่าจะใช่คำที่ถูกต้อง ผมไม่ได้มีชีวิตจริงๆ

“ตรงกันข้าม” ผมไม่เห็นด้วย และรู้สึก…ระแวงอย่างประหลาดราวกับมีภยันตรายซ่อนเร้นบางอย่างที่นี่ที่ผมมองไม่เห็น นอกเหนือจากภยันตรายที่เห็นชัดเจนแล้ว มันยังมีอะไรบางอย่างที่…จู่ๆ ผมก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ลางสังหรณ์กำลังทำให้ผมกระวนกระวายใจ “ผมว่าคุณอ่านยากมาก”

“แสดงว่าปกติแล้วคุณต้องอ่านคนเก่ง” เธอเดาบ้าง และเดาถูกอีกแล้ว

“ปกติแล้วใช่” ผมยอมรับ

ผมยิ้มกว้างให้เธอ และยอมฉีกริมฝีปากเผยให้เห็นฟันแข็งแรงวาววับที่เรียงเป็นแถวของผม

มันเป็นการกระทำที่งี่เง่า แต่จู่ๆ ผมก็อยากส่งสัญญาณเตือนภัยบางอย่างให้กับสาวน้อยคนนี้ขึ้นมาอย่างปุบปับและอย่างไม่คาดฝัน เธอขยับร่างเข้ามาใกล้ผมมากกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัวระหว่างที่เราพูดคุยกัน ท่าทีของผมและสัญญาณเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดที่มากพอจะขู่มนุษย์คนอื่นๆ ให้กลัวและหนีไป ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผลกับเบลล่า ทำไมเธอถึงไม่ถดถอยหนีไปจากผมด้วยความหวาดกลัว แน่นอนว่าเธอได้เห็นด้านมืดของผมมากพอที่จะตระหนักถึงภยันตรายแล้ว

ผมไม่มีโอกาสเห็นว่าสัญญาณเตือนภัยของผมได้ผลตามที่ตั้งใจไว้หรือเปล่า เพราะคุณแบนเนอร์เรียกความสนใจจากนักเรียนทั้งห้องขึ้นมาในตอนนี้พอดี เบลล่าหันหน้าไปจากผมทันที ดูเหมือนเธอโล่งอกนิดๆ ที่ถูกขัดจังหวะ บางทีเธออาจจะเข้าใจถึงภยันตรายโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้

ผมหวังว่าเธอจะเข้าใจ

ผมรู้ว่าความรู้สึกประทับใจกำลังเกิดขึ้นในกายผมแม้ในขณะที่ผมกำลังพยายามจะขุดรากถอนโคนมันออกไป ผมไม่อาจเสี่ยงกับการเห็นว่าเบลล่า สวอนเป็นคนน่าสนใจได้ หรือต้องพูดว่าเธอไม่อาจเสี่ยงได้มากกว่า แค่นี้ผมก็กระวนกระวายใจอยากมีโอกาสคุยกับเธออีกครั้งแล้ว ผมอยากรู้มากขึ้นเกี่ยวกับแม่เธอ เกี่ยวกับชีวิตของเธอก่อนจะมาที่นี่ และเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับพ่อ รายละเอียดที่ไม่สำคัญทั้งหมดจะบอกให้รู้ถึงตัวตนของเธอมากขึ้น แต่ทุกวินาทีที่ผมอยู่กับเธอคือความผิดพลาด มันเป็นความเสี่ยงที่เธอไม่ควรต้องเสี่ยง

เบลล่าสะบัดเรือนผมดกหนาของเธออย่างใจลอยขณะเดียวกับที่ผมยอมให้ตัวเองสูดลมหายใจเข้าอีกครั้งพอดี คลื่นของกลิ่นกายเธอปะทะในคอผมอย่างแรง

มันเหมือนกับวันแรก…เหมือนกับลูกระเบิด ความเจ็บปวดจากการแผดเผาทำเอาผมวิงเวียนจนต้องจับขอบโต๊ะไว้อีกครั้งเพื่อให้ตัวเองยังนั่งอยู่กับที่ เที่ยวนี้ผมควบคุมตัวเองได้มากขึ้นอีกนิด อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ทำอะไรแตกหัก ปีศาจคำรามอยู่ในกายผม แต่มันไม่ได้ยินดีกับความเจ็บปวดของผม มันถูกพันธนาการแน่นหนาเกินไป…ในตอนนี้

ผมหยุดหายใจแล้วเอนตัวออกห่างจากเธอให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ไม่ ผมไม่อาจเสี่ยงกับการเห็นว่าเธอน่าประทับใจ ผมยิ่งเห็นว่าเธอน่าสนใจมากขึ้นเท่าไร มันก็ยิ่งเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้นว่าผมอาจจะฆ่าเธอ วันนี้ผมทำพลาดเรื่องเล็กๆ ไปแล้วสองครั้ง ผมจะทำพลาดครั้งที่สามที่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หรือเปล่า

ทันทีที่เสียงออดดังขึ้น ผมก็รีบหนีออกจากห้องเรียน ซึ่งมันอาจจะทำลายภาพลักษณ์ของมรรยาทที่ดีที่ผมอุตส่าห์สร้างไว้ในชั่วโมงที่ผ่านมา ผมออกมาสูดอากาศชื้นๆ ที่สะอาดบริสุทธิ์ข้างนอกอีกครั้งราวกับว่ามันเป็นหัวน้ำหอมกลิ่นกุหลาบที่ใช้ในการเยียวยา ผมรีบเพิ่มระยะห่างระหว่างตัวผมกับสาวน้อยคนนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

เอ็มเม็ตต์รอผมอยู่หน้าประตูห้องเรียนภาษาสเปนของเรา เขาอ่านสีหน้าเลิ่กลั่กของผมอยู่ครู่หนึ่ง

เป็นไงบ้าง เขาถามในใจอย่างหวาดระแวง

“ไม่มีใครตาย” ผมพึมพำตอบ

ฉันคิดว่ามันเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งทีเดียว ตอนที่ฉันเห็นอลิซลุกออกไปตอนท้ายชั่วโมง ฉันคิดว่า…

ขณะที่เราเดินเข้าห้องเรียน ผมเห็นความทรงจำของเอ็มเม็ตต์จากเมื่อครู่ก่อนที่เขาเห็นมันผ่านประตูที่เปิดอ้าของห้องเรียนวิชาล่าสุดของเขา…เขาเห็นอลิซเดินลิ่วๆ และมีสีหน้างุนงงตัดสนามตรงไปทางตึกวิทยาศาสตร์ เขาจำได้ว่าเขาอยากลุกขึ้นเดินไปหาอลิซ แล้วเขาก็ตัดสินใจอยู่ต่อ ถ้าอลิซต้องการความช่วยเหลือจากเขา อลิซจะร้องขอเอง

ผมหลับตาลงด้วยความตื่นตระหนกและรังเกียจขณะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ “ฉันไม่รู้เลยว่ามันจะฉิวเฉียดขนาดนั้น ฉันไม่คิดว่าฉันจะ…ฉันคิดไม่ถึงว่ามันจะเลวร้ายมากขนาดนั้น” ผมกระซิบ

มันไม่ได้เลวร้ายอะไรนักหนาหรอก เอ็มเม็ตต์ปลอบใจผม ไม่มีใครตายสักหน่อย จริงไหม

“ใช่” ผมพูดเสียงลอดไรฟัน “ไม่ใช่เที่ยวนี้”

บางทีมันอาจจะง่ายขึ้น

“แน่นอน”

หรือบางทีนายอาจจะฆ่าเธอก็ได้ เอ็มเม็ตต์ยักไหล่ นายไม่ใช่คนแรกหรอกที่ทำพัง จะไม่มีใครว่านายแรงๆ หรอก บางครั้งคนคนหนึ่งก็มีกลิ่นหอมหวานเหลือเกิน ฉันประทับใจมากนะที่นายทนมาได้นานขนาดนี้

“ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลยนะ เอ็มเม็ตต์”

ผมขยะแขยงกับการที่เอ็มเม็ตต์ยอมรับความคิดที่ว่าผมอาจจะฆ่าสาวน้อยคนนั้น และเขามองว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มันเป็นความผิดของเธอหรือเปล่าที่มีกลิ่นหอมมากขนาดนั้น

ฉันรู้ดีตอนที่มันเกิดขึ้นกับฉันเอ็มเม็ตต์หวนคิดถึงความหลัง และพาผมย้อนกลับไปครึ่งศตวรรษกับเขายังเส้นทางในชนบทยามพลบค่ำที่ซึ่งมีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังดึงผ้าห่มที่แห้งแล้วของเธอลงจากเชือกตากที่ขึงไว้ระหว่างต้นแอ๊ปเปิ้ล ผมเคยเห็นเรื่องนี้มาก่อนแล้ว มันเป็นการประจันหน้าครั้งที่รุนแรงที่สุดในจำนวนสองครั้งของเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความทรงจำนี้จะแจ่มชัดมากเป็นพิเศษ ซึ่งบางทีอาจเป็นเพราะคอผมยังคงรวดร้าวจากการแผดเผาเมื่อชั่วโมงก่อน เอ็มเม็ตต์นึกถึงกลิ่นแอ๊ปเปิ้ลที่หอมอบอวลในอากาศ ฤดูเก็บเกี่ยวได้ผ่านไปแล้ว ผลไม้ที่ถูกทิ้งจึงร่วงเกลื่อนกลาดบนพื้นดิน เปลือกที่ช้ำของแอ๊ปเปิ้ลทำให้มีกลิ่นหอมรั่วไหลออกมาท่ามกลางกลิ่นทุ่งหญ้าที่เพิ่งไถหมาดๆ กลิ่นมันสอดคล้องกันดีมาก เอ็มเม็ตต์เดินไปตามเส้นทางนั้นเพื่อทำธุระให้โรซาลีโดยที่เขาไม่รู้เลยว่ามีหญิงวัยกลางคนคนนั้น ท้องฟ้าเบื้องบนเป็นสีม่วงและเป็นสีส้มเหนือทิวเขาทางทิศตะวันตก เขาคงจะเดินไปตามเส้นทางเกวียนที่คดเคี้ยวนั้นไปเรื่อยๆ และคงไม่มีเหตุผลอะไรให้จดจำถึงค่ำคืนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะสายลมยามราตรีที่พัดโชยผ้าห่มสีขาวให้พลิ้วสะบัดเหมือนใบเรือ และพัดกลิ่นไอของผู้หญิงคนนั้นมาใส่หน้าเอ็มเม็ตต์

“อา…” ผมครางเบาๆ เขาทำอย่างกับว่าแค่ความกระหายของผมเองในความทรงจำมันยังไม่มากพองั้นแหละ

ฉันรู้ ฉันทนได้ไม่ถึงครึ่งวินาที และไม่คิดจะห้ามใจด้วยซ้ำ

ความทรงจำของเขาชัดเจนมากจนเกินกว่าที่ผมจะทนไหว

ผมกระโดดลุกขึ้นยืนพลางขบฟันแน่น

เอสต้าส เบียน [8]เอ็ดเวิร์ด” คุณกอฟถามด้วยความตื่นตกใจกับความเคลื่อนไหวอย่างปุบปับของผม ผมสามารถเห็นหน้าตัวเองในความคิดของเธอ และผมรู้ดีว่าผมดูห่างไกลจากคำว่าสบายดีอย่างมาก

“เปอร์โดนาเม่[9] ผมพึมพำ แล้วรีบวิ่งปราดไปที่ประตู

“เอ็มเม็ตต์ ปอร์ ฟาบอร์, ปัวเด อายูดาร์ เอ ตู เอร์มาโน[10]”  เธอถามพลางชี้มาทางผมขณะที่ผมรีบวิ่งออกจากห้องเรียน

“ได้ครับ” ผมได้ยินเอ็มเม็ตต์ตอบ แล้วเขาก็ตามหลังผมมาติดๆ

เอ็มเม็ตต์ตามผมไปอีกมุมของตึกที่อยู่ไกลออกไปซึ่งเขาตามทัน และวางมือบนไหล่ผม

ผมผลักมือเขาออกอย่างแรงจนเกินเหตุ ถ้าเป็นมือมนุษย์ กระดูกคงแหลกไปแล้ว รวมทั้งกระดูกแขนที่ติดกับมือด้วย

“โทษที เอ็ดเวิร์ด”

“ฉันรู้” ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อพยายามให้สมองและปอดปลอดโปร่ง

“มันแย่ขนาดนั้นเชียวรึ” เอ็มเม็ตต์ถามและพยายามไม่คิดถึงกลิ่นกับรสชาติของความทรงจำของเขาขณะถาม แต่ไม่ค่อยสำเร็จ

“แย่กว่านั้นอีก เอ็มเม็ตต์ แย่กว่านั้น”

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง

บางที…

“ไม่ มันจะไม่ดีขึ้นหรอกต่อให้ฉันจัดการมันให้จบเรื่อง กลับไปเรียนต่อเถอะ เอ็มเม็ตต์ ฉันอยากอยู่คนเดียว”

เอ็มเม็ตต์หันหลังกลับโดยไม่พูดหรือไม่คิดอะไรเลย เขารีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว และคงจะบอกครูสอนภาษาสเปนว่าผมไม่สบาย หรือผมกลับบ้านแล้ว หรือผมเป็นแวมไพร์ที่กำลังควบคุมตัวเองไม่อยู่ ข้อแก้ตัวของเขาสำคัญจริงๆ งั้นหรือ บางทีผมอาจจะไม่กลับมาอีก บางทีผมอาจต้องไปจากที่นี่แล้วก็ได้

ผมเดินไปยังรถของผมที่จอดรอเวลาเลิกเรียนเพื่อหลบซ่อนตัว…อีกครั้ง

ผมน่าจะใช้เวลาตัดสินใจหรือพยายามตั้งปณิธาน แต่ผมก็เหมือนกับคนติดยา ผมพบว่าผมกำลังพยายามค้นหาผ่านเสียงคิดเจื้อยแจ้วที่ดังออกมาจากอาคารโรงเรียน เสียงคุ้นหูหลายเสียงฟังโดดเด่น แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจฟังมโนภาพของอลิซหรือเสียงบ่นของโรซาลี ผมเจอเสียงของเจสสิก้าได้อย่างง่ายดาย แต่สาวน้อยคนนั้นไม่ได้อยู่กับเธอ ผมจึงค้นหาต่อไป ความคิดของไมค์ นิวตันสะดุดความสนใจของผม ในที่สุดผมก็เจอเธออยู่ในโรงยิมกับไมค์ เขาไม่แฮปปี้เพราะวันนี้ผมคุยกับเธอในชั่วโมงชีววิทยา เขากำลังนึกถึงปฏิกิริยาตอบสนองของเธอตอนที่เขาหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด

ฉันไม่เคยเห็นเขาพูดกับใครก็ตามเกินคำเดียวจริงๆ ไม่ว่าจะที่นี่หรือที่ไหน แต่แน่นอนว่าเขาจะต้องตัดสินใจคุยกับเบลล่า ฉันไม่ชอบสายตาเขาที่มองเธอเลย แต่ดูเหมือนเธอไม่ได้ตื่นเต้นอะไรนักหนาเกี่ยวกับเขา เธอพูดกับฉันเมื่อก่อนหน้านี้ว่าอะไรนะ “อยากรู้ว่าเขาเป็นอะไรเมื่อจันทร์ที่ผ่านมา” อะไรทำนองนั้น ฟังเหมือนเธอไม่แคร์เท่าไร มันไม่ใช่การพูดคุยอะไรมากนัก

ไมค์ให้กำลังใจตัวเองด้วยการคิดว่าเบลล่าไม่ได้สนใจในเรื่องที่เธอคุยกับผม มันทำให้ผมโกรธนิดๆ ผมก็เลยเลิกฟังเขา

ผมใส่ซีดีเพลงแรงๆ แล้วเปิดเสียงดังจนมันกลบเสียงอื่นๆ หมด ผมต้องตั้งสมาธิกับการฟังเพลงอย่างหนักเพื่อไม่ให้ตัวเองล่องลอยกลับไปหาความคิดของไมค์เพื่อสอดแนมสาวน้อยที่ไม่รู้ตัวคนนั้น

ผมแอบขี้โกงอยู่สองสามครั้งเมื่อใกล้จะหมดชั่วโมง ผมพยายามเกลี้ยกล่อมตัวเองให้เชื่อว่าผมไม่ได้สอดแนม ผมแค่กำลังเตรียมตัว ผมอยากรู้ว่าเธอจะออกจากโรงยิมเมื่อไร เธอจะมาที่ลานจอดรถตอนไหน ผมไม่อยากให้เธอทำให้ผมประหลาดใจ

ขณะที่นักเรียนเริ่มทยอยกันออกจากประตูโรงยิม ผมก็ลงจากรถโดยไม่แน่ใจว่าทำไมผมถึงทำแบบนั้น ฝนตกเบาๆ แต่ผมไม่สนใจขณะที่มันค่อยๆ ทำให้ผมของผมเปียกชุ่ม

ผมอยากให้เธอเห็นผมที่นี่หรือเปล่า ผมหวังว่าเธอจะเดินมาพูดกับผมอย่างนั้นหรือ ผมกำลังทำอะไรกันเนี่ย

ผมไม่ขยับถึงแม้ว่าผมจะพยายามบอกตัวเองให้กลับไปขึ้นรถ เพราะรู้ดีว่าพฤติกรรมของผมนั้นน่าตำหนิ ผมยกแขนกอดอกแล้วสูดลมหายใจตื้นๆ ขณะมองเธอกำลังเดินช้าๆ มาทางผม มุมปากเธอโค้งลง เธอไม่มองผม แต่เหลือบตาขึ้นทำหน้าบึ้งมองเมฆอยู่สองสามครั้งราวกับว่าพวกมันทำให้เธอโกรธ

ผมผิดหวังเมื่อเบลล่าเดินไปถึงรถของเธอก่อนที่จะต้องเดินผ่านผม เธอจะพูดกับผมไหม หรือว่าผมจะพูดกับเธอไหมถ้าเธอเดินผ่านผม

เบลล่าขึ้นรถเชฟวี่สีแดงเก่าซีดคันใหญ่ยักษ์ขึ้นสนิมที่แก่กว่าพ่อเธอเสียอีก ผมมองเธอสตาร์ตรถ เครื่องยนต์เก่าๆ ส่งเสียงคำรามดังกว่ารถคันอื่นๆ ทุกคันในลานจอด แล้วเธอก็ยื่นมือไปหาช่องระบายความร้อน ความหนาวเย็นเป็นเรื่องอึดอัดสำหรับเธอ เธอไม่ชอบมัน เบลล่ายกมือเสยผมดกหนา แล้วสางผมผ่านไอร้อนราวกับพยายามจะเป่ามันให้แห้ง ผมนึกภาพว่าในรถเธอจะมีกลิ่นแบบไหน แล้วก็รีบขับไล่ความคิดนี้ออกไป

เบลล่ากวาดตามองรอบๆ ขณะเตรียมถอยรถออก แล้วในที่สุดก็มองมาทางผม เธอจ้องผมอยู่แค่ครึ่งวินาที ทั้งหมดที่ผมอ่านออกในสายตาเธอ คือความประหลาดใจก่อนที่เธอจะละสายตาไปแล้วกระชากรถถอยออกไป แต่เธอกลับเบรกเอี๊ยดอีกครั้ง ท้ายรถเธอเกือบชนกับรถยนต์คันเล็กของนิโคล เคซี รถทั้งสองห่างกันแค่ไม่กี่นิ้ว

เบลล่ามองกระจกมองหลัง เธออ้าปากหวอด้วยความตื่นตระหนกกับการเกือบขับรถชน พอรถของนิโคลแล่นผ่านไป เธอก็สำรวจจุดบอดทุกจุดที่คนขับมองไม่เห็นสองรอบ แล้วก็ขับออกจากลานจอดอย่างระแวดระวังจนผมต้องยิ้มออกมา มันราวกับว่าเธอคิดว่าเธอเป็นตัวอันตรายในรถซังกะบ๊วยของเธอ

ความคิดที่ว่าเบลล่า สวอนเป็นตัวอันตรายสำหรับทุกคนไม่ว่าเธอจะขับรถอะไรอยู่ก็ตาม มันทำให้ผมหัวเราะระหว่างที่เธอมองตรงไปข้างหน้าและขับรถผ่านผมไป

 

ติดตามต่อได้ในนิยายฉบับเต็ม

วางจำหน่ายเร็วๆ นี้

 

[1] ปมพระเจ้า คือ ติ่งเล็กๆ ในหัวของเราว่าความคิดของเราดีแล้ว ถูกต้องแล้ว ยากจะโต้แย้งได้

[2] ในโรงเรียนมัธยมของอเมริกา ชั่วโมงเรียนมักจะเริ่มจากเจ็ดโมงครึ่งถึงบ่ายสองโมง หรือบ่ายสองโมงครึ่ง และชั่วโมงเรียนเหล่านี้จะถูกแบ่งออกเป็นวิชาละหนึ่งชั่วโมงหกวิชา หรือเก้าสิบนาทีสี่วิชา โดยมีพักห้านาทีระหว่างแต่ชะวิชา และพักเที่ยงอีกสามสิบนาที

[3] ซัคคิวบัส หรือปีศาจแฝงฝัน เชื่อกันว่าเป็นปีศาจในรูปของผู้หญิงที่มีเสน่ห์ยั่วยวน เชี่ยวชาญในการหลอกล่อผู้ชายให้ร่วมรักด้วย แลกกับชีวิตของเหยื่อ เหยื่อจะสูญเสียพลังงานอย่างมากจนอาจถึงตาย

[4] นอร์แมน ร็อดเวล เป็นนักวาดภาพชาวอเมริกันในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ที่มีชื่อเสียงจากการวาดภาพชีวิตประจำวันทั่วๆ ไปของชาวอเมริกัน

[5] โปรเฟส คือ ระยะหนึ่งของการแบ่งเซลล์ถัดจากอินเตอร์เฟส เป็นระยะที่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญภายในนิวเคลียส

[6] แอนาเฟส คือ ระยะหนึ่งของการแบ่งเซลล์ถัดจากเมตาเฟส

[7] อินเตอร์เฟส คือ ระยะหนึ่งของการแบ่งเซลล์ถัดจากระยะเทโลเฟส เป็นระยะที่เซลล์อยู่ในสภาพพร้อมที่จะแบ่งเซลล์

[8] Estás bien ภาษาสเปน แปลว่า สบายดีหรือเปล่า

[9] Perdóname ภาษาสเปน แปลว่า ขอโทษ

[10] Por favor, puedes ayudar a tu hermano ภาษาสเปน แปลว่า ได้โปรดช่วยน้องชายเธอหน่อยได้ไหม

[11] เลือดไม่ออกก็ไม่ฟาวล์ เป็นคำพูดที่ใช้ในการเล่นสตรีทบอล ซึ่งก็คือการเล่นบาสเก็ตบอลตามท้องถนนทั่วไปแบบไม่มีกรรมการคอยชี้ขาด การเล่นค่อนข้างโหด

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า