ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ / แรงผลักของข้อจำกัด
ทุกชีวิตล้วนมีข้อจำกัด แต่เราอย่าไปยอมจำนนต่อข้อจำกัดนั้น
บางประโยคที่ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ บอกเล่าให้กับทีมงานขณะทำการสัมภาษณ์เพื่อนำข้อมูลมาทำหนังสือ ความสำเร็จไม่มีข้อยกเว้น ไม่นานก่อนที่ท่านจะหมดวาระในการดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน ซึ่งก่อนหน้านั้น อาเซียนแทบไม่เป็นที่รู้จักของคนไทยมากนักทั้งที่ประเทศไทยเองเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง ผิดกันกับตอนที่ท่านจะลาจากตำแหน่ง อาเซียนเป็นที่รู้จักรับรู้ มองเห็นถึงความสำคัญทั้งในบ้านเราเองและประชาคมโลกในแทบจะทุกมิติ
จึงเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินความจริงที่จะบอกว่า ท่านเป็นผู้ที่ทำให้อาเซียนมีตัวตนบนเวทีโลก
ที่เป็นอย่างนี้เพราะท่านบอกว่า ท่านเคยทำงานการเมืองที่ต้องวิ่งเข้าหาผู้คน ต่างจากเลขาธิการอาเซียนจากประเทศอื่นๆที่มักมาจากข้าราชการ เมื่อมาทำหน้าที่ท่านจึงใช้เวลาในปีแรกเดินทางเพื่อสร้างความเข้าใจ สร้างความรับรู้ เพื่อทำให้อาเซียนก้าวผ่านข้อจำกัดทางด้านวัฒนธรรม และโอกาส
ท่านย้ำว่า อย่างหนึ่งที่อาเซียนมี และถือว่าเป็นอาวุธสำคัญก็คือเจตจำนงแนวแน่ที่จะก้าวข้ามเงื่อนไขทั้งปวง
“เราต่อสู้มานานจนโลกต้องประเมินเราใหม่ในศักดิ์ศรีที่เทียบชั้นกับประชาคมอื่น ผมมองตัวเองและอาเซียนว่าเราคือนักสู้ที่รู้จักตัวเองดีและไม่เคยยอมจำนน”
ก่อนหน้านั้นเรารู้จักท่านแต่เพียงห่างๆ รู้แค่ว่าท่านเป็นนักการเมืองหลายสมัยของจังหวัดนครศรีธรรมราช และไต่เต้าทางการเมืองจนกระทั่งได้มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนที่จะก้าวเข้าขึ้นไปเป็นเลขาธิการอาเซียน
อาเซียนที่มากไปด้วยความหลายทั้งผู้วัฒนธรรม ผู้คน ความเชื่อ
เราติดต่อท่านได้โดยผ่านความช่วยเหลือคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ที่นับเป็นกัลยามิตรคนสำคัญ โดยเฉพาะชื่อของท่าน ก็นำเอามาจากชื่อบิดาของคุณหญิงสุภัตรา ซึ่งก็คือ สุรินทร์ มาศดิตถ์ นักการเมืองคนสำคัญของจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ท่านชมชอบมาเยาว์
ทุกครั้งในการนัดหมายสัมภาษณ์ นับเป็นความตื่นเต้นยินดีของทีมงาน ทุกประโยคที่เอ่ยจะผ่านการครุ่นคิดอย่างรอบคอบเสมอ น้ำเสียงนุ่มกังวานสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจเช่นเดียวกับบุคลิกสูงสง่า แต่อบอุ่น และในฐานะของเลขาธิการอาเซียนที่ยิ่งใหญ่ แต่ท่านกลับให้ความเมตตาเป็นกันเองกับทีมงานไม่ต่างไปจากลูกหลาน
ในวัยเด็กชีวิตของท่านไม่ต่างไปจากโศกนาฏกรรม เพราะขาดทั้งปัจจัยและโอกาส ท่านเกิดในพื้นที่ห่างไกลที่จะไปโรงเรียนก็ต้องย่ำเท้าเปล่าไปเป็นกิโล เติบโตในการดูแลของตายายเพราะพ่อกับแม่มีภาระต้องไปศึกษาทางด้านศาสนาที่เมกกะ
ท่านเป็นมุสลิม แต่ก็เรียนในโรงเรียนวัด รู้จักเรียนรู้และหลอมรวมความแตกต่างสร้างแรงผลักแห่งความใฝ่รู้ จนก้าวสู่ความสำเร็จของชีวิต ที่บัดนี้ได้พิสูจน์ชัดแล้วว่า ความสำเร็จที่ก่อเกิดนั้นมิใช่เพื่อตัวท่านเองแต่เพื่อประเทศชาติและประชาคมโลก โดยเฉพาะการนำพาอาเซียนที่มีสมาชิก 10 ชาติกับประชากรกว่า 600 ล้านคนที่มากด้วยความแตกต่างทั้งศาสนา ภาษา ความเชื่อ ให้หลอมรวมมาสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน ร่วมมือร่วมใจกัน
ตลอดเวลาของการทำหนังสือเล่มนี้ ท่านจะย้ำเสมอว่า ชีวิตของท่านนั้นเป็นเพียงตัวอย่างแห่งความสำเร็จที่ทุกคนทำได้ ท่านต้องการให้สิ่งที่จะปรากฏในหนังสือเกิดประโยชน์ต่อทุกคนที่จะได้มีกำลังใจ มองเห็นอุปสรรค์และหนทางที่จะก้าวข้ามมันไป มากกว่าที่จะยอมหยุดหรือยอมจำนนต่อข้อจัด
ท่านบอกว่า ต้องไม่โกรธ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด เพราะความคิดและโลกทัศน์ของคนเราไม่เหมือนกัน นี่กระมังที่ทำให้เราเห็นถึงความมีสติที่ดำรงอยู่ในตัวท่านตลอดเวลา รวมกับ รอยยิ้มกว้าง เป็นยิ้มที่ออกมาจากหัวใจผ่านแววตา จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมท่านจึงสามารถเข้าไปนั่งในหัวใจของทุกคนที่ได้พบปะ นี่หรือเปล่าคือส่วนหนึ่งแห่งเคล็บลับของความสำเร็จไม่ว่าจะในฐานะนักการเมือง รัฐมนตรี จนถึงเลขาธิการอาเซียน
ครั้งหนึ่งที่บ้านในซอยท่าอิฐ ท่านเมตตาเลี้ยงข้าวหมกไก่เจ้าอร่อย ระหว่างมื้อท่านได้เล่าเรื่องราวต่างๆที่นอกเหนือจากสิ่งที่บอกเล่าในหนังสือมากมาย เป็นทั้งความรู้ เป็นแง่คิด มุมมอง ท่านบอกว่าตอนเด็กเวลากินข้าวผู้ใหญ่ก็มักจะเล่าเรื่องราวต่างๆให้สมาชิกในบ้านฟัง
และในวันที่ท่านจากไปอย่างไม่มีวันกลับ บ้านซอยท่าอิฐมากมายด้วยผู้คนมาร่วมแสดงความอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ผมหลบตัวเองอยู่ตรงทางเดินด้านหลังของโรงรถซึ่งมีอาหารจากร้านดังมาช่วยงาน และหนึ่งนั้นคือข้าวหมกไก่
เห็นแล้วก็แน่นในอกน้ำตารื่น
ยังดีที่ความระลึกถึง ความเคารพรักไม่นับนับเป็นข้อจำกัด เพราะถ้าเป็นเราเราจะเลือกที่ไม่ก้าวข้าม