เมื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์
我开动物园那些年
ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
拉棉花糖的兔子
Himazan แปล
ติดตามกำหนดการวางขายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
+++++++++++++++++++
ตอนที่ 11.5
หลังจากการประชุมแลกเปลี่ยนทางศาสนาจบลง เงื่อนไขการแลกเปลี่ยนในเรื่องนี้ก็ได้พูดคุยและได้ข้อสรุปอย่างสมบูรณ์
สำนักหลินสุ่ยตกลงเห็นด้วยอย่างไม่เต็มใจนัก เพราะดูเหมือนว่าความคิดนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อตัวเอง และยังมีผลกำไรที่แฝงเอาไว้ด้วย
สำนักงานการท่องเที่ยวของเมืองดีใจมาก พวกเขาติดตั้งจอโฆษณาขนาดใหญ่โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายไปกว่าหนึ่งร้อยเมือง รวมไปถึงเมืองท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมและจุดชมวิวมากมายเพื่อเผยแพร่วิดีโอโฆษณา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องค่าใช้จ่าย นี่ก็เหมือนกับการขายตั๋วร่วมของสำนักหลินสุ่ยและหลิงโย่ว เพราะมีบางเรื่องที่เงินก็ไม่สามารถที่จะจัดการได้
เหล่าพระสงฆ์เองก็ดีใจมากเช่นกัน เพียงแค่ช่วยโฆษณาก็สามารถส่งคนไปอยู่ที่นั่นได้ พระสงฆ์ทุกรูปต่างเคยไปสัมผัสที่สวนสัตว์มาแล้ว และผลลัพธ์ก็ออกมาไม่เลว นอกจากนี้ยังมีโอกาสอันน้อยนิดที่อาจจะได้รับการชี้ทางสว่างจากท่านต้าเต๋อ แม้ว่าปกติจะไม่มีงานอะไรให้ทำมากมาย แต่เหล่าพระสงฆ์ก็ยังต้องทำงานในวัดอยู่ดี
แม้ในตอนนี้จะสามารถส่งไปได้เพียงแค่ครั้งละหนึ่งคน และยังต้องแบ่งวัดต่างๆ เป็นกลุ่มย่อย จึงต้องส่งคนของวัดใหญ่ไปก่อนเป็นกลุ่มแรก แต่ละกลุ่มมีประมาณสี่สิบคน แบ่งเป็นสามรอบต่อปี ในหนึ่งปีแต่ละวัดจะมีโอกาสเพียงรอบเดียว จึงทำให้จำนวนคนในแต่ละรอบเต็มอย่างรวดเร็ว ซึ่งพระที่มาในครั้งนี้ต่างหลั่งไหลมาจากทุกวัด
เนื่องจากวัดอู๋เลี่ยงได้นำช้างเผือกมา ‘ฝากเลี้ยง’ ทำให้ผู้อำนวยการสวนสัตว์ดีใจมาก พวกเขาจึงสามารถเพิ่มจำนวนเข้ามาได้อีกสองคน ทำให้พระวัดอื่นๆ หมดคำจะพูดไปตามๆ กัน
คนที่ดูอิ่มอกอิ่มใจที่สุดเห็นจะเป็นต้วนเจียเจ๋อ เพราะได้ทั้งโฆษณาฟรี แล้วยังได้แรงงานฟรีอีก แถมพระสงฆ์เหล่านี้ก็ยังต้องจ่ายค่าครองชีพให้กับเขาด้วย
เดือนหน้าเหล่าพระสงฆ์ถึงจะสามารถมารายงานตัวได้อย่างเป็นทางการ ดังนั้นในช่วงนี้ภายในวัดแต่ละวัดก็คาดการณ์กันว่าจะต้องคัดเลือกคนเสียก่อน หากอายุมาก สวนสัตว์หลิงโย่วไม่รับก็ไม่จำเป็นต้องมา โดยทั่วไปแล้วจะต้องเลือกคนที่ยังหนุ่มยังแน่นดูมีอนาคตเข้ามา
ด้วยจำนวนคนที่เยอะขนาดนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะพักอาศัยระยะยาวอยู่ในส่วนจัดแสดงได้ ดังนั้นต้วนเจียเจ๋อจึงได้จัดเตรียมนำเงินค่าครองชีพบางส่วนไปเช่าห้องพักในหมู่บ้านใกล้เคียง และเนื่องจากวัยรุ่นจำนวนมากได้เข้าเมืองไปหางานทำ ดังนั้นการจัดหาที่พักให้กับพระจำนวนมากจึงไม่เป็นปัญหา
ต้วนเจียเจ๋อและคนในหมู่บ้านได้มีการติดต่อเรื่องที่ดินไปๆ มาๆ อยู่หลายครั้ง ก่อนหน้านี้เขาก็ได้มาเช่าที่เพื่อใช้สำหรับสร้างอควาเรียม ดังนั้นราคาค่าเช่าห้องจึงไม่สูงมาก อีกทั้งชาวบ้านเองก็เต็มใจให้เช่าในราคาถูกอีกด้วย
นอกจากนี้จี้ซ่านเจ้าอาวาสวัดอู๋เลี่ยงผู้มีจิตใจเมตตายังส่งช้างเอเชียอันทรงคุณค่ามาให้เชือกหนึ่ง ทำให้ต้วนเจียเจ๋อเบิกบานใจเป็นอย่างมาก ราคาถูกขนาดนี้แล้ว ขอให้มากันเยอะๆ ด้วยเถอะ!
“…เมื่อเวลาสิบสี่นาฬิกาของวันที่ยี่สิบแปด สวนสัตว์หลิงโย่วในเมืองของพวกเราได้รับชูกั่วช้างเอเชียเพศผู้เข้ามาจากพื้นที่ห่างไกล ปีนี้ชูกั่วอายุสิบปี เกิดที่ประเทศไทย ร่างกายมีสีอ่อน เป็นสัญลักษณ์แห่งสิริมงคล วัดอู๋เลี่ยงได้รับมอบชูกั่วจากเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในประเทศไทยเมื่อสามปีก่อน เพื่อให้ชูกั่วมีสภาพแวดล้อมและการเจริญเติบโตที่ดีขึ้น หลังจากผ่านการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน พระอาจารย์จี้ซ่านเจ้าอาวาสวัดอู๋เลี่ยงจึงได้นำชูกั่วมาฝากเลี้ยงที่สวนสัตว์หลิงโย่ว” นักข่าวของสถานีโทรทัศน์ในเมืองบันทึกภาพออกอากาศอยู่หน้าประตูทางเข้าใหญ่ของหลิงโย่ว
ขณะเดียวกันก็มีสื่อระดับชาติและสื่อของมณฑลอีกมากมายกำลังรายงานข่าวอยู่ภายในหลิงโย่ว บางสื่อยังมีการจับภาพไปที่ส่วนจัดแสดงช้างอีกด้วย “ส่วนจัดแสดงช้างมีพื้นที่ครอบคลุมหนึ่งพันตารางเมตร แบ่งออกเป็นสองส่วน ด้านในติดตั้งท่อระบายอากาศ ท่อน้ำอุ่น เครื่องทำความร้อน และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ส่วนหลังคาสามารถรับแสงได้อย่างยอดเยี่ยม และจากประตูเหล็กตรงนี้ยังสามารถทะลุไปยังลานกีฬาได้…”
เมื่อรถเครนบรรทุกช้างเผือกมาถึง นักข่าวและสื่อทั้งหมดต่างก็กรูเข้าไปถ่ายชูกั่วเป็นอันดับแรก
ควาญช้างของวัดอู๋เลี่ยงจูงช้างเผือกลงจากรถแล้วพาเดินเข้าไปในลานจัดแสดงกว้าง โดยมีต้วนเจียเจ๋อและพระอาจารย์จี้ซ่านอยู่ด้านข้าง ในมือของต้วนเจียเจ๋อถือหน่อไม้เอาไว้หนึ่งหน่อ เขาเห็นว่าช้างเผือกมีท่าทีประหม่าเล็กน้อยเนื่องจากเดินทางมาไกลและต้องพบเจอกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ เขาจึงเดินเข้าไปแล้วยื่นหน่อไม้ให้มัน
ชูกั่วยื่นงวงออกมาม้วนพันรอบหน่อไม้แล้วส่งเข้าไปในปากตัวเอง
ชูกั่วเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน เล็บและดวงตามีสีออกน้ำตาลแดง ขนาดตัวสูงเกือบสามเมตร และยังมีงาสองข้างที่ยาวได้รูป หลังจากกินหน่อไม้ที่ต้วนเจียเจ๋อยื่นให้ท่าทางของมันก็ดีขึ้นมาก ต้วนเจียเจ๋อจึงเดินเข้าไปลูบงวงของมัน
ภาพที่ชูกั่วยอมให้ต้วนเจียเจ๋อลูบอย่างเชื่องๆ ถูกเหล่านักข่าวบันทึกเอาไว้ ราวกับเป็นข้อพิสูจน์ความจริงที่ว่า หลิงโย่วเหมาะสมที่จะเลี้ยงช้างเอเชียเชือกนี้เอาไว้มาก
จี้ซ่านและต้วนเจียเจ๋อแยกกันให้สัมภาษณ์ คนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า ไว้วางใจหลิงโย่วและรู้สึกว่าที่นี่มีความเป็นมืออาชีพ ช้างเผือกสามารถอยู่ภายใต้ความดูแลและใช้ชีวิตให้ดีขึ้นได้ ส่วนอีกคนก็ให้สัมภาษณ์ว่าจะรับผิดชอบต่อความไว้วางใจและทำให้ช้างเผือกอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุขแน่นอน
เหล่าชาวเมืองตงไห่ตื่นตัวและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะก่อนหน้านี้สถานีโทรทัศน์ของเมืองได้ออกอากาศข่าวนี้ไปล่วงหน้า ทำให้มีชาวเมืองจำนวนหนึ่งเข้ามาเยี่ยมชมที่สวนสัตว์ แต่ชูกั่วเพิ่งจะมาถึงหลิงโย่ว ยังจำเป็นที่จะต้องพักผ่อนก่อนสองวันถึงจะสามารถเปิดให้เข้าชมได้ แต่นี่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความความตื่นเต้นของเหล่าชาวเมืองได้ เพราะตั้งแต่ชูกั่วลงจากรถมาพวกเขาก็ยังถ่ายรูปและวิดีโอกันไม่หยุด
อันที่จริงช้างเอเชียเชือกนี้ดูเปล่งประกาย นอกจากนี้ยังมีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับช้างมากมาย ในหัวของทุกคนจึงสามารถปรุงแต่งเรื่องราวขึ้นได้ต่างๆ นานา ขณะที่มองมันก็ทำให้รู้สึกถึงความลึกลับซับซ้อนที่น่าตื่นตาตื่นใจ ซึ่งช้างสายพันธุ์นี้ถือว่าเป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
สวนสัตว์ในเมืองก็มีช้างเอเชียอยู่เช่นกัน แต่มันก็เป็นแค่ช้างเอเชียธรรมดา ไม่เหมือนกับช้างเอเชียเชือกนี้ที่เป็นตัวแทนของศาสนาซึ่งส่งมาจากต่างประเทศ จึงมีความหมายที่แฝงไปด้วยศีลธรรมและความเป็นมงคล เป็นสัตว์หายากที่มีมูลค่ายากจะหาใดเปรียบ วันนี้ไม่เพียงแต่จะมีชาวเมืองเข้ามาเยี่ยมชมมากขึ้น คาดว่าหลังจากเปิดส่วนจัดแสดงช้างอย่างเป็นทางการจะต้องมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากอย่างแน่นอน
หลังจากคนนอกแยกย้ายกันกลับไปหมด เสี่ยวซูยืนถือหน่อไม้ป้อนช้างด้วยความระแวดระวังอยู่ในส่วนจัดแสดง มือข้างหนึ่งลูบงวงของมัน “ช้างเผือกเชือกนี้ชื่อชูกั่วเหรอเนี่ย ชื่อน่ารักมากเลยนะคะ”
“น่ารักอะไรกัน เหมือนกับชื่อทางศาสนาพุทธ [1] ทำนองนั้นมากกว่านะครับ” ต้วนเจียเจ๋อโพล่งออกมา
เสี่ยวซูถามขึ้นด้วยความอยากรู้ “ผู้อำนวยการ จะว่าไปแล้วคุณจัดการให้พระสงฆ์ส่งสัตว์ที่มีค่าขนาดนี้มาเลี้ยงที่สวนสัตว์ของพวกเราได้ยังไงกันคะ”
ขายตั๋วร่วมกับสำนักเต๋า แถมพระสงฆ์ก็ยังส่งสัตว์ที่เป็นสมบัติล้ำค่าของต่างชาติมาให้เลี้ยงอีก ความสัมพันธ์แบบนี้ออกจะแน่นแฟ้นเกินไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น อีกไม่นานก็จะมีพระสงฆ์อีกหลายสิบรูปมาทำงานที่นี่ ต้วนเจียเจ๋อพูดขึ้นด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์ “ถึงเวลาคุณก็จะรู้เองครับ”
ภายในหัวของเสี่ยวซูเต็มไปด้วยแผนการมากมาย เมื่อเห็นสายตาของต้วนเจียเจ๋อเธอก็ยิ่งเคารพยำเกรงเขามากขึ้นไปอีก
หลังจากชูกั่วกินหน่อไม้เสร็จ มันก็กะพริบตาอันกลมโตของมันและเดินเข้าไปใกล้ต้วนเจียเจ๋อ จากนั้นใช้งวงเขี่ยไปมาบนตัวของเขา ราวกับกำลังออดอ้อนและเผยให้เห็นถึงความปรารถนาว่า ‘อยากกินหน่อไม้อีก’
ต้วนเจียเจ๋อลูบงวงชูกั่วไปมา ดูเหมือนไอคิวของช้างเผือกเชือกนี้จะสูงอยู่มาก ไม่รู้เป็นเพราะอาศัยอยู่ในวัดที่เน้นการฝึกจิตปฏิบัติธรรมมานานหรือไม่ ถึงได้มีสติปัญญาอันชาญฉลาดถึงขนาดที่สามารถแยกแยะได้ว่าใครคือเจ้านายและสามารถให้หน่อไม้มันกินได้
ควาญช้างของวัดอู๋เลี่ยงเป็นผู้ฝึกและอยู่ร่วมกับชูกั่วมาสองปีจนพัฒนาเป็นความรู้สึกผูกพันลึกซึ้ง หลังจากมาถึงเขาก็เอ่ยถามอยู่ตลอดเวลาว่าจะให้ชูกั่วแสดงอะไรหรือไม่ เนื่องจากชูกั่วไม่มีประสบการณ์ในการแสดงมาก่อน และขณะที่อยู่ในวัดก็ไม่ได้ทำอะไร เขาไปที่นั่นในแต่ละวันก็แค่ทำการฝึกทั่วๆ ไป จึงหวังว่าสวนสัตว์จะเมตตาชูกั่วด้วย
เขารู้สึกแปลกใจมากเมื่อรู้ว่าหลิงโย่วไม่มีการแสดงสัตว์ หลังจากที่ทำความเข้าใจถึงรู้ว่าสไตล์ของสวนสัตว์หลิงโย่วเป็นแบบนี้มาตลอด เนื่องจากพฤติกรรมตามธรรมชาติของสัตว์ในตอนนี้ก็ดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวได้มากมายอยู่แล้ว
เมื่อพิจารณาจากมุมนี้ ช้างเผือกเชือกนี้ก็นับว่าเหมาะสมที่จะอยู่ที่นี่มาก
“กินมามากแล้ว กินมากกว่านี้ไม่ได้ ถึงปริมาณที่กำหนดไว้แล้วนะ” ต้วนเจียเจ๋อพูดกับชูกั่ว เนื่องจากมีระบบคอยช่วยเหลือ ดังนั้นอาหารสำหรับสัตว์แต่ละตัวควรจะให้ในปริมาณเท่าไหร่ พวกเขาได้กำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ชูกั่วชูงวงส่งเสียงร้อง ราวกับกำลังบ่นก็ไม่ปาน
เหล่าชายหัวโล้นสี่สิบสองคน อายุยี่สิบกว่าจนถึงสามสิบสี่สวมเสื้อยืดแขนยาวสีเข้มและกางเกงยีนส์ขายาวเดินออกมาจากห้างสรรพสินค้าในเมืองตงไห่ ศีรษะที่ไม่มีผมสักเส้นสะท้อนแสงสะดุดตาคนมาก
ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบ
“ทำไมคนหัวโล้นเยอะขนาดนี้”
“คนพวกนี้เป็นใคร…”
“ดูไม่เหมือนทหารนะ ไม่เห็นเดินกันเป็นแถวเลย”
“ตายจริง แค่นี้ก็ดูกันไม่ออก” มีคนพูดขึ้นเบาๆ “พวกเธอดูคนพวกนั้นสิ หัวโล้นกันทุกคน มีทั้งชายวัยรุ่นและวัยกลางคน แถมยังมาซื้อเสื้อผ้าด้วยกันอีก นี่คงเพิ่งจะถูกปล่อยตัวออกมาจากในคุกแน่ๆ”
“…”
คนพวกนี้คือเหล่าพระสงฆ์ที่เป็นตัวแทนเดินทางมาจากแต่ละวัดซึ่งเป็นวัดสำคัญๆ จากทั่วประเทศ และเป็นพระสงฆ์ที่มีอนาคตไกลที่สุด หลังจากจบการประชุมในเมืองตงไห่เรียบร้อย พวกเขาก็มาซื้อเสื้อผ้าชุดธรรมดาที่ห้างสรรพสินค้า ทุกคนเปลี่ยนชุดแล้วพร้อมใจกันนั่งรถประจำทางไปยังหลิงโย่ว
พระสงฆ์แต่ละรูปที่ปฏิบัติธรรมตามคัมภีร์พุทธศาสนา กิริยามารยาทจึงค่อนข้างสงบเสงี่ยมและถ่อมตัว
“ลูกพี่ เชิญครับ”
“น้องชาย นั่งตรงนี้เถอะ”
“พี่ชายทุกคนเชิญขึ้นไปก่อน ผมจะซื้อตั๋วเอง”
กลุ่มชายหัวโล้นพูดจาถ่อมตัวกันไปมา แถมยังเรียกฝ่ายตรงข้ามว่าพี่ชายน้องชาย เวลาผ่านไปไม่นาน จากเดิมที่รถประจำทางมีพื้นที่ว่างกลับกลายเป็นเบียดเสียดแออัดขึ้นมาทันที เหล่าผู้โดยสารพากันมองและคาดเดากันไปว่าพวกเขาเป็นใครและพรรคพวกไหนกันแน่
ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาเป็นพระสงฆ์จริงๆ เพราะหนึ่ง ไม่มีวัดพุทธในเมืองตงไห่ นอกจากการประชุมแลกเปลี่ยนทางศาสนาเมื่อครั้งก่อนก็แทบจะไม่มีใครเห็นพระสงฆ์ปรากฏตัวขึ้นอีกเลย สอง มีพระสงฆ์ที่ไหนใช้คำว่า ‘ลูกพี่’ ที่พวกนักเลงเอาไว้ใช้เรียกกันแบบนั้น และสาม พระสงฆ์เหล่านี้นอกเหนือจากการเรียนรู้พระธรรมแล้วยังต้องสามารถทำงานได้ อีกทั้งทุกคนที่มาย่อมต้องโดดเด่นและมีความสามารถที่สุดในวัด ดังนั้นเมื่อรู้ว่าจะต้องมาเพื่อทำงาน จึงไม่มีใครที่มีร่างกายบกพร่องเลยสักคนเดียว
รูปลักษณ์หน้าตาเป็นอย่างไรไม่ต้องพูดถึง ฟังจากการเรียกขานกัน ดูจากร่างกายและทรงผม มันน่าสงสัยมากจริงๆ
[1] 初果หรือ “ผลแรก” คือพุทธวจนะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการบรรลุโสดาบัน มีทั้งหมดสี่ประการ ได้แก่ เข้าใกล้คนดี ได้ยินธรรม มีความคิดชอบธรรมจากภายใน และฝักใฝ่ในธรรม