[ทดลองอ่าน] มหาวิทยาลัยซอมบี้ (Zombies in College) ตอนที่ 62

มหาวิทยาลัยซอมบี้
Zombies in College 

喪病大學

 

顏涼雨 เหยียนเหลียงอวี่ เขียน
Jpolly Wu แปล

 

นิยาย 4 เล่มจบ (วางขายเเยกเล่ม)

 

TRIGGER WARNING : นิยายเรื่องนี้ NOT FOR EVERYONE *
มีเนื้อหาเกี่ยวกับ angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน), death (การตาย),
depression (ภาวะซึมเศร้า), gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง) และ suicide (การฆ่าตัวตาย)

 

———————————————————–

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

 ตอนที่ 62

 

ก่อนหน้านี้จ้าวเฮ่อแอบสงสัยพฤติกรรมแปลกๆ ของชีเหยียนกับซ่งเฝ่ยมาตลอด เป็นความแปลกที่ไม่สามารถพิสูจน์เป็นรูปธรรมได้ และเป็นเพียงความสงสัยของหนุ่มซิงเท่านั้น

ตอนนี้ความสงสัยของเขาได้กระจ่างแล้ว

คนด้านบนมีน้ำใจมาก เมื่อเห็นว่าเขาชักช้าจับต้นชนปลายไม่ได้ ก็อาสาช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ “ไม่ต้องเปลืองแรง ฉันจะอธิบายให้นาย…”

“ไม่ต้อง!” จ้าวเฮ่อปฏิเสธโดยอัตโนมัติ หลังจากลองถามใจตัวเองดูแล้ว เขาก็ไม่อยากรู้รายละเอียดเลยสักนิด

จ้าวเฮ่อโยกตัวไปมาจนรู้สึกว่าร่างกายเริ่มอบอุ่นขึ้นบ้างแล้ว เมื่อได้รับแรงบันดาลใจจากชีเหยียนก็ยิ่งทำให้หัวใจอบอุ่นขึ้น หลังจาก “สนทนาอย่างสนิทสนม” กับซ่งเฝ่ยอีกไม่กี่ประโยค แขนขาของจ้าวเฮ่อก็เริ่มมีเลือดไหลเวียน

กลายเป็นพลังงานบวกเพิ่มขึ้น แต่พลังงานลบกลับไม่มีที่สิ้นสุด

“จ้าวเฮ่อ!” เหอจือเวิ่นที่ฟังเงียบๆ มาโดยตลอดคิดว่าควรจะพูดอะไรบ้าง เนื่องจากพวกเขาอยู่ห้องเดียวกัน จะปล่อยให้ห้องหนึ่งรังแกจนตายได้อย่างไร นอกจากนี้เขาก็ไม่เห็นด้วยหากจ้าวเฮ่อจะนอนบนต้นแอ๊ปเปิ้ลต่อไป ทำแบบนั้นเท่ากับเห็นชีวิตเป็นเรื่องเล่นๆ เลยนะ

เสียงเรียกของเพื่อนเก่าทำให้หัวใจของจ้าวเฮ่อรู้สึกอบอุ่นจนน้ำตาคลอเบ้า “เสี่ยวเหอ…”

“พวกเขาสองคนเจ๋งมากจริงๆ มากกว่าที่ฉันกับนายจินตนาการเอาไว้ซะอีก ฉันเชื่อพวกเขา นายเองก็เชื่อฉันสักครั้งเถอะ นายไม่ต้องส่งเสียงนะ เดี๋ยวพวกเราจะหลอกล่อซอมบี้ให้เอง จากนั้นนายก็รีบวิ่งกลับไปที่โรงอาหาร!”

“…” หลังจากความคิดในหัวต่อสู้กันมายาวนาน สุดท้ายจ้าวเฮ่อก็ขบกรามแน่น “ตกลง!”

เขาไม่เชื่อคนที่ดีแต่พูดอย่างซ่งเฝ่ย แต่เชื่อคนเปิดเผยตรงไปตรงมาอย่างเหอจือเวิ่น ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วการต่อสู้ของพวกเขาสามคนในอาคารเก๋ออู้เป็นอย่างไร รวมถึงไม่รู้ว่าซ่งเฝ่ยและชีเหยียนแสดงความแข็งแกร่งแบบไหนออกมา แต่คำพูดที่ว่า “เจ๋งมาก” “มากกว่าที่จินตนาการเอาไว้” ของเหอจือเวิ่นนั้นมาจากใจจริง ในคำพูดที่เปล่งออกมาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจและมุ่งมั่น

เมื่อลมหนาวพัดผ่านมา ใบหน้าที่แข็งเป็นท่อนไม้พลันรู้สึกเหมือนถูกสัมผัสอย่างอ่อนโยน

จ้าวเฮ่อปรับลมหายใจ ท่าทางสงบลง ปล่อยให้ความรู้สึกถึงตัวตนของตนเองค่อยๆ เบาบางลง จนกลายร่างเป็นกิ่งก้านของต้นแอ๊ปเปิ้ลที่แข็งแรง

ไม่จำเป็นต้องสนทนากันให้มากความอีกต่อไป ภายใต้ความเงียบงัน เหอจือเวิ่นเข้าใจได้ในทันที ทักษะการสู้รบของเขาไม่อาจเทียบเท่าซ่งเฝ่ยกับชีเหยียน สมรรถภาพร่างกายก็ด้อยกว่าจ้าวเฮ่อ แต่เขาก็ทุ่มเททั้งใจเพื่อสหายร่วมรบ…

“เฮ้! พวกฉันอยู่ทางนี้! รีบมาตรงนี้สิ!!!”

เสียงของเหอจือเวิ่นค่อนข้างดัง แค่ฟังก็รู้ว่ากำลังทุ่มสุดตัวแค่ไหน

แต่หลังจากปลายเสียงของเขาหายไปในท้องฟ้าอันไกลโพ้น ทางด้านต้นแอ๊ปเปิ้ลกลับไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ

จ้าวเฮ่อคิดว่าต่อให้มีซอมบี้วิ่งไปแค่หนึ่งตน ก็ถือว่าสหายของเขาทำสำเร็จแล้ว แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย แม้แต่ใบหน้าดุร้ายอัปลักษณ์ที่เดิมทีมองจ้าวเฮ่ออย่างตื่นเต้นก็พลันอึมครึมลง แววตากลับค่อยๆ ว่างเปล่า แสดงท่าทางมึนงง หัวกลมๆ ทั้งหกสิบเก้าหัวเคลื่อนไหวไปมา มองรวมกันเป็นหนึ่งภาพขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า…เย็นชา.jpg

จ้าวเฮ่อพ่นลมหายใจออกมา การล่อศัตรูเองก็ถือเป็นพรสวรรค์อันละเอียดอ่อนอย่างหนึ่ง เขาจึงอยากจะบอกเหอจือเวิ่นว่า ‘ไม่ไหวก็ไม่เป็นไร อย่าฝืนเลย’

แต่ตอนนี้เขากำลังพยายามทำให้พวกซอมบี้เห็นเขาเป็นเพียงกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง จึงไม่สะดวกเปิดปากพูด

โชคดีที่นักศึกษาเหอที่อยู่ด้านบนได้รับการถ่ายทอดจิตวิญญาณแห่งการทดลองมาจากบรรดารุ่นพี่ เมื่อวิธีนี้ไม่ได้ผล ก็เปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นแทน จากนั้นไม่นาน เสียงร้องเพลงที่ค่อนข้างกระมิดกระเมี้ยนและเก้อเขินก็ดังแทนที่เสียงตะโกน…

ขอเวลาฉันสักหนึ่งเพลงได้ไหม~~ให้อ้อมกอดนั้นเป็นชั่วนิรันดร์~~ไม่ต้องกลัวข่มตาหลับไม่ลงในอ้อมแขนของฉัน~~หากเธออยากจะลืม ฉันก็จะสูญเสียความทรงจำ~~ [1] 

ใต้ต้นไม้พลันเกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้นทันที

เห็นได้ชัดว่าเสียงเพลงยังคงมีแรงดึงดูดมากกว่าเสียงตะโกน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสัญชาตญาณของซอมบี้ หรือพวกมันถูกเหยื่อปลูกฝังเสียงดนตรีลงในหัวใจแล้วกันแน่

ในที่สุด ซอมบี้บางตัวก็เริ่มหันและเดินไปทางใต้หน้าต่างที่คนทั้งสามยืนอยู่

มีหนึ่งก็มีสอง มีสองก็มีสาม

แต่ทว่าจำนวนกับความเร็วของซอมบี้ที่เดินไปยังไม่มากพอ!

พวกซอมบี้เหมือนไม่แน่ใจว่านั่นคือเหยื่อหรือก้อนเมฆกันแน่ พวกมันแบกความสงสัยพลางวิ่งไปดูให้แน่ใจ เดินวนโงนเงนอยู่หลายรอบ ยิ่งไปกว่านั้นคือหลังจากพวกมันลังเลแล้ว ก็ยังตัดสินใจเลือกอยู่ที่เดิมต่อ จ้าวเฮ่ออยากจะหลั่งน้ำตาให้กับความรักมั่นคงนี้จริงๆ สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือหากผลลัพธ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้ฟ้าสว่างซอมบี้ก็อาจจะยังเดินไปไม่หมดเกลี้ยง…

ขอเวลาฉันสักหนึ่งเพลงได้ไหม~~

“ขอโทษที ไม่ได้จริงๆ แล้วละ ถ้าร้องอีกเพลง จ้าวเฮ่อได้ร่วงลงมาเหมือนกับลูกแอ๊ปเปิ้ลแน่ๆ และพวกที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ก็ไม่ใช่นิวตันด้วย”

ซ่งเฝ่ยขัดจังหวะอย่างช่วยไม่ได้ เขาดึงเหอจือเวิ่นออก แล้วไปยืนแทนที่

ซ่งเฝ่ยลำบากใจมาก ตอนแรกเขาตัดสินใจว่าจะช่วยร้องแค่สองท่อน แต่เนื่องจากสถานการณ์ค่อนข้างวิกฤติ เขาจึงไม่สามารถถ่อมตัวได้อีกต่อไปแล้ว

ฉันไม่มีเงิน~~ฉันหน้าไม่อาย~~ฉันเพียงหวังให้เธอมอบความอ่อนโยนให้ฉันสักหน่อย~~ฉันไม่มีเงิน~~ฉันหน้าไม่อาย~~ฉันเพียงหวังให้เธอมอบความรักให้ฉันสักหน่อย~~~ [2] 

เมื่อจังหวะเสียงสูงต่ำของซ่งเฝ่ยเริ่มต้นขึ้น ความวุ่นวายใต้ต้นแอ๊ปเปิ้ลก็ทวีความรุนแรงขึ้นทันที กระทั่งร้องจบท่อนที่สอง พวกซอมบี้ก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง แต่ละตัวเลือกวิ่งไปยังอาคารเก๋ออู้ด้วยวิธีที่ชอบที่สุด บ้างวิ่งซอยเท้าสั้นแต่รวดเร็ว บ้างก้าวยาวแต่มั่นคง บ้างวิ่งตรงไปอย่างเร่งรีบ บ้างก็ทิ้งของง่ายไปเอาของยาก [3]  ด้วยการวิ่งเป็นวงกลม สรุปได้ว่า ภายในระยะเวลาไม่ถึงสิบวินาที ใต้ต้นแอ๊ปเปิ้ลก็ว่างเปล่า

หากไม่ใช่เพราะอยู่ห่างกันเกินไป จ้าวเฮ่อจะต้องยกนิ้วโป้งให้ซ่งเฝ่ยแน่นอน แหล่มเลย!

จ้าวเฮ่อไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปเด็ดขาด เขารีบขยับกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย เตรียมจะปีนลงจากต้นไม้ แต่หลังจากลองพยายามอยู่หลายครั้งก็พบว่าร่างกายไม่ยอมเชื่อฟัง ราวสมองกับร่างกายของเขาแยกกันอยู่คนละที่ จึงทำให้สมองไม่สามารถสั่งงานร่างกายได้ ทั้งที่เขาต้องการเคลื่อนไหวแขนขา ทว่าแขนขากลับไม่ขยับแม้แต่น้อย

จ้าวเฮ่อตกตะลึงพรึงเพริด เม็ดเหงื่อพลันผุดขึ้นมา

เขาลองพยายามอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่สำเร็จ ร่างกายเริ่มแข็งเป็นท่อนไม้ เลือดลมเดินไม่สะดวก เส้นประสาทไม่ทำงาน ทั้งร่างกายของเขาเหลือศีรษะเพียงส่วนเดียวที่ยังสามารถหมุนและคิดวิเคราะห์ได้อย่างบางเบา

“จ้าวเฮ่อ นายยังไม่หนีอีก มัวรออะไรอยู่…”

ระหว่างที่กำลังร้องเพลง เทพแห่งการร้องเพลงซ่งก็ยังไม่ลืมสนใจเขา

แต่ความสนใจเช่นนี้กลับทำให้จ้าวเฮ่อยิ่งรู้สึกอับอาย ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากขยับตัว แต่เขาขยับไม่ได้จริงๆ เช่นเดียวกับใบหน้าที่ถูกแช่แข็งจนไม่รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกของกระแสลมยามค่ำคืนอีกต่อไป ตอนนี้ร่างกายของเขาถูกแช่แข็งแล้ว!

จ้าวเฮ่อรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา แม้ว่าเขาจะพยายามข่มความรู้สึกนั้นไว้สุดแรงเกิด แต่ความรู้สึกสิ้นหวังที่ไม่สามารถควบคุมความกลัวและทำอะไรไม่ได้กลับรุนแรงถึงเพียงนี้ ความรู้สึกดังกล่าวปกคลุมตัวเขาอย่างท่วมท้น

“จ้าวเฮ่อ” เหอจือเวิ่นเร่งด้วยความร้อนใจ “นายรีบหนีสิ…”

จ้าวเฮ่อคิดจะตอบกลับ แต่รู้สึกเหมือนจุกอยู่ในลำคอ จุกจนไม่อาจเปล่งเสียงออกมา เขาสามารถตอบสนองอะไรได้บ้าง หรือจะบอกว่าเขาขยับตัวไม่ได้ดี ภายใต้สถานการณ์ที่สหายกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อหลอกล่อศัตรู เขาจะทำได้อย่างไร…

“ฉันรู้แล้ว นายไม่กล้าทิ้งไปใช่ไหมล่ะ!” น้ำเสียงของซ่งเฝ่ยเต็มไปด้วยความมั่นใจคล้ายล่วงรู้อะไรบางอย่าง

จ้าวเฮ่อตกตะลึง

เหอจือเวิ่นถามเร็วกว่าอีกฝ่าย “ทิ้งอะไรเหรอ”

“ก็ทิ้งพวกซอมบี้ใต้ต้นไม้ไปไม่ได้ยังไงล่ะ เพราะอยู่ด้วยกันมานาน จะ fall in love ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” น้ำเสียงของซ่งเฝ่ยแฝงด้วยความใส่ใจดุจจะบอกว่า ‘ฉันเข้าใจดี พี่ชายมีประสบการณ์มาก่อน’ แต่แล้วบทสนทนาก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน “จ้าวเฮ่อ! นายตื่นสักที! คนกับซอมบี้รักกันไม่ได้หรอกนะ…”

หากซ่งเฝ่ยเป็นหนึ่งในสมาชิกกองทัพซอมบี้ จ้าวเฮ่อสงสัยว่าซ่งเฝ่ยผู้เป็นเพื่อนจะกัดเขาให้ตาย หรือจะกระทืบเขาให้หนำใจก่อนแล้วค่อยกัดนะ คำถามนี้แค่คิดก็สนุกพิลึกแล้ว

เหอจือเวิ่น “อา เขาขยับแล้ว กระโดดลงไปแล้ว!”

ซ่งเฝ่ย “ฉันคงพูดโดนใจเขามากเลยสินะ”

จ้าวเฮ่อ “…”

ถ้าไม่เห็นหมอนี่ถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้ เขาก็คงนอนตายตาไม่หลับ! ทันใดนั้นร่างกายที่แข็งทื่อก็รู้ว่าสิ่งที่เขารู้สึกอยู่นั้นมันคืออะไร มันคือการที่เจ้าหมอนั่นทำอวดดีในขณะที่เขาอยู่ในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต หากได้เห็นแบบนั้น ต่อให้เขาป่วยใกล้ตายก็จะลุกขึ้นมานั่ง และใช้ชีวิตต่อไปอีกสิบปีก็ยังไหว!

เมื่อสองเท้าเหยียบถึงพื้น จ้าวเฮ่อก็หันกลับไปมองเงาร่างของสหายทั้งสามด้วยความอาลัยอาวรณ์ โดยเฉพาะคนที่กำลังโบกไม้โบกมือให้เขาอย่างสุขใจที่สุด จ้าวเฮ่อจ้องมองภาพนั้นด้วยสองตา หวังว่าจะสามารถสลักภาพเงาของอีกฝ่ายเอาไว้ในใจได้ สุดท้ายจ้าวเฮ่อก็หมุนตัวกลับอย่างรวดเร็วและเข้าไปหลบซ่อนตัวในความมืด!

ชีเหยียนที่นิ่งเงียบไปนาน มองส่งจนกระทั่งเงาของจ้าวเฮ่อลับสายตาไป จึงหันกลับมานั่งพิงกำแพง เขาเหม่อลอยราวสองวินาที เมื่อรู้สึกตัวก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา

ท่ามกลางรัศมีของแสงไฟฉายที่ไม่สว่างไสวมากนัก ท่าทางของเขายังคงนิ่งสงบ สงบจนดูผิดปกติ

“นายไม่เป็นไรนะ” ซ่งเฝ่ยเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

ชีเหยียนส่ายหน้า หลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า แต่มือยังคงกำหอกแน่น

ทันใดนั้นซ่งเฝ่ยก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัว อันที่จริงเขาก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังหวาดกลัวสิ่งใด แต่สัญชาตญาณบอกว่าจะปล่อยให้ชีเหยียนเป็นแบบนี้ภายใต้สถานการณ์วิกฤติต่อไปไม่ได้เด็ดขาด เขาเอื้อมมือออกไปคว้าหอกในมือของอีกฝ่าย

ชีเหยียนลืมตาเบิกกว้าง จากนั้นก็เหยียดขาเตะ!

ชีเหยียนนั่ง ซ่งเฝ่ยเองก็กำลังนั่งอยู่เช่นเดียวกัน ความจริงพวกเขากำลังนั่งเผชิญหน้ากัน ดังนั้นลูกเตะของชีเหยียนจึงกระแทกเข้าที่ท้องของซ่งเฝ่ยอย่างจัง!

ซ่งเฝ่ยไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองรุนแรงถึงเพียงนี้ เขาถูกเตะเสียเต็มแรง เจ็บจนเกือบจะร้องออกมา มือก็เลิกคว้าหอกแล้ว เปลี่ยนไปกอดขาชีเหยียนแทน เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเตะตนเองเป็นครั้งที่สอง

จังหวะที่ชีเหยียนเตะท้องซ่งเฝ่ยนั้น เขาเพิ่งจะมองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายได้ชัดเจน หัวใจเขากระตุกวูบ คิดจะชักขากลับตามสัญชาตญาณ แต่คนที่ถูกเตะกลับพยายามกอดเอาไว้เต็มแรง กอดแน่นไม่ปล่อยให้เขาขยับอีก

ชีเหยียนไม่สนใจขาอีกต่อไป ความเสียใจและความเจ็บปวดทำให้น้ำเสียงของเขาฟังดูฉุนเฉียว “อยู่ดีๆ นายจะขโมยหอกของฉันไปทำไม!”

ซ่งเฝ่ยคิดว่าตนเองควรเป็นฝ่ายโมโหมากกว่า “สภาพนายร่อแร่ใกล้จะไม่รอดเต็มทน ฉันแค่อยากให้นายพักเอาแรงเท่านั้นเอง!”

ชีเหยียนทำหน้าเซ็ง “นายลองวิ่งไปกลับห้าชั่วโมงดูสิ จิงชี่เสิน [4] ของนายจะสู้ฉันได้ไหม”

“ฉันไม่ได้หมายถึงจิงชี่เสิน แต่เป็นด้านจิตใจ ตอนนี้สภาพจิตใจของนายไม่ปกติ!” ซ่งเฝ่ยกังวลใจมาก แต่ยิ่งกังวล ก็ยิ่งต้องใจเย็น ซ่งเฝ่ยพยายามอย่างหนักเพื่อทำให้คำพูดของตนเองดีพอจะชี้นำอีกฝ่ายได้ “ชีเหยียน ตอนนี้พวกเราปลอดภัยแล้ว นายไม่ต้องกังวลขนาดนั้นแล้ว นายต้องผ่อนคลายลงบ้าง เข้าใจความหมายของฉันไหม”

ชีเหยียนชะงัก ไม่ได้ตอบและไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ เพียงจ้องมองอีกฝ่ายเงียบๆ

ซ่งเฝ่ยปล่อยให้ชีเหยียนมอง หากไม่กอดขาเอาไว้ เขาคงไม่ยอมติดหนึบอยู่ข้างหน้าและปล่อยให้อีกฝ่ายมองแบบนี้หรอก “ฉันปลอดภัยแล้ว ฉันกับเหอจือเวิ่นออกมาจากลิฟต์แล้ว อีกอย่างวิทยุก็อยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ชั้นเอง ถ้าพวกเราสามคนโชคดีพอก็อาจจะทำสำเร็จภายในครั้งเดียว ก็เหมือนตอนที่บุกเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต ห้องสมุด และโรงอาหารไง”

ครั้งสุดท้ายที่เขาอ่อนโยนกับชีเหยียนแบบนี้คือตอนไหนนะ ซ่งเฝ่ยเองก็จำไม่ได้แล้ว แต่หากชีเหยียนไม่ว่าอะไร เขาก็คิดจะใช้ไม้อ่อนต่อไปเรื่อยๆ

“สิ่งที่นายต้องทำในตอนนี้คือไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ผ่อนคลายให้เต็มที่ นอนหลับให้สบาย”

ชีเหยียนกะพริบตา ในที่สุดริมฝีปากก็ขยับเล็กน้อย

ดวงตาของซ่งเฝ่ยทอประกาย จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของชีเหยียนพูดว่า “สิ่งที่นายต้องทำในตอนนี้คือปล่อยต้นขาของฉัน”

“…” พระเจ้า การแสดงความอ่อนโยนกับหมอนี่มันยากชะมัดเลย!!!

หลังจากทิ้งขายาวๆ ของแฟนเก่าลงพื้นอย่างแรง ซ่งเฝยก็ถัดก้นถอยห่างไปราวสองเมตร รีบเว้นระยะห่างจากอีกฝ่ายทันที

ชีเหยียนชักสองขาที่ยังหลงเหลือความอุ่นร้อนกลับมา จ้องมองซ่งเฝ่ยเงียบๆ ในแววตาที่มีเพียงความสงบราบเรียบมากเกินไปมาตลอด ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มบางๆ รอยยิ้มเย้ยหยันของชีเหยียนทำให้รู้สึกมันเขี้ยวอยู่ไม่น้อย

ซ่งเฝ่ยกลอกตามองบน แต่ก็เริ่มรู้สึกเบาใจลง ชีเหยียนคนเดิมกลับมาแล้ว ถึงแม้จะน่ารำคาญ แต่เขากลับคุ้นเคยแบบนี้มากกว่า แม้จะชวนหัวเสีย แต่ก็สบายใจ

“ท้องไม่เป็นไรนะ” ชีเหยียนยังไม่วางใจ จึงเอ่ยถามห้วนๆ

ซ่งเฝ่ยเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บ จึงยกมือขึ้นลูบท้องสองทีอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วตอบว่า “ลองให้ฉันเตะนายดูบ้างสิ เดี๋ยวนายก็รู้เอง”

ทันใดนั้นชีเหยียนก็กางสองแขนออก ตั้งท่าต้อนรับเป็นอย่างดี

ซ่งเฝ่ยทำหน้าหงอ “นายช่วยชีวิตฉันไว้แทบตาย อย่าว่าแต่เตะทีเดียวเลย ต่อให้เตะสิบทีฉันก็ทนได้”

ชีเหยียนเงียบลงอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาจ้องมองซ่งเฝ่ยไม่วางตา ดวงตาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งแผดเผาและเร่าร้อน

ซ่งเฝ่ยที่ถูกจ้องรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย ไม่รู้ทำไม แค่คิดถึงตอนที่ฝ่ามือของตัวเองเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ก็ราวกับว่าตอนนี้ฝ่ามือยังไม่แห้งสนิท

เหอจือเวิ่นลอบสังเกตการณ์มานาน เขาแสร้งทำเหมือนตนเองไม่อยู่ที่นี่ พูดตามตรง นับตั้งแต่ซ่งเฝ่ยกับชีเหยียนสื่อสารกันด้วยรหัสมอร์ส ไม่สิ นับตั้งแต่ตอนที่ซ่งเฝ่ยพูดว่าชีเหยียนจะต้องเอาวิทยุมาได้แน่นอน เขาก็เฝ้ามองมิตรภาพของสหายทั้งสองคนด้วยความอิจฉาและหลงใหลอย่างเงียบๆ กระทั่งชีเหยียนเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือพวกเขา และซ่งเฝ่ยบอกอย่างมั่นใจว่าชีเหยียนสามารถพิชิตโลกทั้งใบได้ แต่เขาสามารถพิชิตชีเหยียนได้ จนถึงเมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่าซ่งเฝ่ยเป็นห่วงสภาพจิตใจของชีเหยียน และชีเหยียนก็รู้สึกเสียใจที่เตะซ่งเฝ่ย แต่สุดท้ายทั้งสองก็ยังพูดกวนกันต่อได้อีก นี่คือมิตรภาพลูกผู้ชายแบบทั้งรักทั้งเกลียดที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลยไม่ใช่เหรอ!

เขาเองก็อยากมีพี่น้องแบบนี้เหมือนกัน ยามปิดประตูก็ห้ำหั่นกันเอง ยามเปิดประตูกลับต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่!

“กี่โมงแล้ว” ชีเหยียนลดสายตาลงอย่างยอมแพ้

อันที่จริงซ่งเฝ่ยไม่มีอะไรจะพูด แต่ถ้าไม่พูดตอบอะไรต่อไป ก็จะยิ่งทำให้รู้สึกเหนื่อยกว่าเดิม จนเขาเริ่มสงสัยว่าตนเองจะอดทนไปเพื่ออะไร

ประกายในดวงตาของอีกฝ่ายวาบขึ้นแล้วก็หายไป ทำให้หัวใจของซ่งเฝ่ยสั่นสะท้าน มีลางสังหรณ์ไม่ดีสักเท่าไร แต่ฝ่ามือยังคงสัมผัสโทรศัพท์มือถือตามที่ชีเหยียนเอ่ยถาม

เมื่อสแกนลายนิ้วมือปลดล็อกหน้าจอ สิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอกลับไม่ใช่หน้าแรกของโทรศัพท์มือถือ แต่เป็นรูปคู่

ซ่งเฝ่ยที่ต้องการดูเวลาชะงักนิ่งไป แย่แล้ว พอได้ยินเสียงเคาะของชีเหยียนตอนที่ดูรูปถ่ายอยู่ในลิฟต์ เขาก็ลืมเลือนทุกอย่างจนสิ้น ยังไม่ได้ใช้งานโทรศัพท์อีกเลย!

ในขณะที่หัวใจสั่นไหว ซ่งเฝ่ยก็ดึงสติกลับคืนมา เขารีบกดกลับหน้าหลักอย่างรวดเร็ว เหลือบมองเวลา แต่ก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น เพียงแสร้งตอบด้วยท่าทางสงบนิ่ง “ตีหนึ่งสองนาที”

“อ้อ” คำตอบของชีเหยียนฟังดูราบเรียบธรรมดา

ซ่งเฝ่ยเบาใจไปเปลาะหนึ่ง จากนั้นก็ให้กำลังใจตัวเองและเงยหน้าขึ้นลอบมองชีเหยียนเงียบๆ

แต่แล้วก็ต้องเผชิญกับใบหน้าหล่อเหลาที่ระบายยิ้มบางๆ

แย่แล้ว

ซ่งเฝ่ยรีบหลับตาลงอย่างไม่ไยดี ขบกรามแน่น จากนั้นก็ลืมตาอีกครั้งแล้วสารภาพว่า “ตอนที่อยู่ในลิฟต์ฉันไม่มั่นใจจริงๆ ฉันสงสัยว่าสุดท้ายแล้วนายจะช่วยชีวิตฉันได้ไหม ถ้านายไม่มา…”

“นายเลยเตรียมจะขัดจรวดกับรูปของฉันเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต?”

“…ถึงต้องตายฉันก็จะจดจำนายเอาไว้ให้ได้ ต่อให้เป็นผีก็จะไม่ยอมปล่อยนายไป!”

ชีเหยียนขบขันท่าทางอธิบายที่ต้องแยกเขี้ยวยิงฟันใส่เขาไปด้วยของซ่งเฝ่ย ขณะเดียวกันก็อยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้น “แล้วถ้าฉันมาล่ะ”

ซ่งเฝ่ยยักไหล่ จ้องตาชีเหยียนต่อ แล้วเน้นย้ำทีละคำว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะขอคืนดีกับนาย”

ชีเหยียนตัวแข็งทื่อ นิ่งเงียบไปเนิ่นนาน พลางมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา

เหอจือเวิ่นเองก็ชะงักเช่นเดียวกัน แล้วมองพวกเขาสองคนอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาลืมไปเลยว่าบนโลกยังมีคนอีกประเภทอยู่ด้วย

ซ่งเฝ่ยไม่สนใจเหอจือเวิ่น ตอนนี้ในดวงตาและดวงใจของเขามีเพียงชีเหยียน แต่ผู้ชายคนนี้กลับทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนใจมาก “นี่ นายขอฉันคืนดีก่อนนะ เพราะงั้นแค่ฉันพยักหน้าก็ถือเป็นอันตกลงสิ ฉันกลัวว่านายจะเป็นฝ่ายง้ออยู่ฝ่ายเดียว เลยใจดีซ่อมบันไดให้นาย [5]  แต่นายเงียบแบบนี้หมายความว่ายังไงเนี่ย!”

ชีเหยียนยังคงเงียบ ทว่าทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองอย่างแรง!

ซ่งเฝ่ยตกใจ รีบคว้ามือของชีเหยียนไว้ทันที เพราะกลัวว่าเขาจะยังไม่หยุดคลั่ง จึงโพล่งคำพูดที่แสนเจ็บปวดใจออกมา “ไม่ตกลงก็ไม่เป็นไร แต่อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลย! ฉันจะไม่วุ่นวายกับนายแล้ว แค่นี้ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ!”

ใครพอจะบอกเขาได้บ้าง ว่าทำไมเกย์คนหนึ่งซึ่งพยายามง้อแฟนขอคืนดีอยู่ทุกวัน ถึงได้เปลี่ยนไปแบบพลิกฝ่ามือได้ขนาดนี้!

จู่ๆ มือที่ถูกซ่งเฝ่ยจับก็พลิกกลับด้าน ก่อนจะรุกสอดประสานกับปลายนิ้วทั้งสิบของซ่งเฝ่ยเสียเอง

“ไม่ใช่ความฝันนี่”

ในที่สุดชีเหยียนก็เปิดปาก แต่เสียงยังคงเจือไปด้วยความรู้สึกมึนงงอยู่เหมือนเดิม

ใบหน้าของซ่งเฝ่ยบูดบึ้ง เขาทั้งพูดไม่ออกและรู้สึกแย่ ทั้งยังรู้สึกเจ็บปวด เรียกว่ามีสามอารมณ์ในหนึ่งเดียว ก่อนจะเอ่ยเรียกตรงๆ “เหอจือเวิ่น มานี่”

นักศึกษาเหอมองโลกของเพื่อนรักที่จับมือถือแขนกันจนดูเหมือนกำลังทรมานคนโสดอย่างไม่เข้าใจ แต่เมื่อถูกตะโกนเรียกเช่นนี้ สมองที่ขัดข้องของเขาก็สั่งให้โน้มไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว “หืม?”

ซ่งเฝ่ยหยิกใบหน้าอ้วนกลมของเขาอย่างไม่ลังเล ออกแรงหยิกเนื้อแน่นๆ นั้นเต็มๆ

เหอจือเวิ่นตะโกนขึ้นว่า “เจ็บ เจ็บ เจ็บ…”

ซ่งเฝ่ยปล่อยสหายร่วมรบ สูดลมหายใจเข้าจมูก แล้วแยกเขี้ยวใส่ชีเหยียน “เห็นไหม ไม่ใช่ความฝันสักหน่อย”

ในที่สุดแววตาของชีเหยียนก็ไม่เลื่อนลอยอีกต่อไป แต่ค่อยๆ มั่นคงอย่างช้าๆ เขาจดจ้องดวงหน้าที่ยามรักก็ทำให้รักแทบตาย ยามทุกข์ก็ทำให้ทุกข์จนแทบบ้า “ทำไมฉันถึงยึดติดกับนายมากขนาดนี้…”

คนอื่นคืนดีกันก็พูดจาหวานหู แต่เมื่อยามชีเหยียนคืนดีกลับเอาแต่พูดจาค่อนแคะ ซ่งเฝ่ยกลอกตามองบน ก่อนที่โหมดปะทะคารมจะถูกเปิดใช้งาน เขาก็รีบกระชากตัวชีเหยียนเข้ามาจูบอย่างหนักหน่วง!

ชีเหยียนไม่ชอบเป็นฝ่ายถูกกระทำมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จึงใช้มือกดท้ายทอยซ่งเฝ่ยแน่น เพื่อให้จูบได้ล้ำลึกยิ่งกว่าเดิม

เหอจือเวิ่นถอยออกไปเงียบๆ ลุกขึ้นเดินไปยังหน้าต่างอีกบานหนึ่ง ใบหน้าที่ถูกเงาบดบังครึ่งหนึ่งจ้องมองดวงจันทร์

ซ่งเฝ่ยบอกว่าไม่ใช่ความฝัน ชีเหยียนเชื่อแล้ว แต่เขาไม่เชื่อ นี่จะต้องเป็นความฝันแน่นอน

ในความฝัน เกิดเหตุการณ์ระบาดของไวรัสซอมบี้ ทำให้นักศึกษากลายร่างเป็นซอมบี้ แม้แต่สหายร่วมรบก็กลายเป็นคู่เกย์

คู่เกย์กอดจูบกันร้อนแรงมาก ทั้งบดจูบทั้งสัมผัสลูบไล้ จนมาถึงขั้นที่เขาควรเข้าไปขัดเหตุการณ์ประเจิดประเจ้อนี้ได้แล้ว แต่เขากลับไม่กล้าขัดจังหวะ การเอาชีวิตรอดต่อจากนี้จำเป็นต้องอาศัยพลังการต่อสู้ของพวกเขาทั้งสองคน เหอจือเวิ่นจึงทำได้เพียงอดทนเงียบๆ เฝ้ารอแต่โดยดี

…โลกแห่งความฝันใบนี้ ช่างใจร้ายใจดำกับชายแท้ผู้ที่มือไม้ไม่มีแรงมัดไก่ [6] เสียเหลือเกิน

 

 

[1] เพลง ขอเวลาให้ฉันสักหนึ่งเพลง ขับร้องโดย เจย์ โชว์

[2] เพลง ฉันไม่มีเงิน ฉันหน้าไม่อาย ขับร้องโดย อีริค มู

[3] หมายถึง ทิ้งผลประโยชน์หรือวิธีการง่ายๆ ไปเลือกผลประโยชน์ที่อยู่ไกลหรือใช้วิธีการยากกว่า

[4] หัวใจหลักของมนุษย์ในลัทธิเต๋า หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็จะไม่เรียกว่ามนุษย์ “จิง” คือ สารคัดหลั่งในร่างกาย “ชี่” คือ พลังเลือดลมปราณในร่างกาย “เสิน” คือ จิตวิญญาณหรือจิตสำนึก

[5] เป็นคำเปรียบเปรยหมายถึง ไว้หน้าแล้ว ไม่ทำให้เสียหน้า

[6] เปรียบคนที่ร่างกายอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า