[ทดลองอ่าน] ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา เล่ม 5 ตอนที่ 157 : อาจารย์ คืนวันแต่งงานในตอนนั้น ความจริงข้า…

ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา
二哈和他的白猫师尊

肉包不吃肉 โร่วเปาปู้ชือโร่ว เขียน
Bou Ptrn แปล

คำเตือน!! นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้ที่อายุ 21 ปีขึ้นไป โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับ…

: among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา)
: Angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน)
: Cannibalism (การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน)
: child abuse (การทารุณกรรมเด็ก)
: coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ)
: corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย)
: death (การตาย)
: depression (ภาวะซึมเศร้า)
: explicit sex (การร่วมเพศแบบเปิดเผย)
: gang-rape (การข่มขืนเป็นกลุ่ม)
: genocide (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)
: gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง)
: humiliation (การทำให้อีกฝ่ายได้รับความอับอาย)
: massacre (การสังหารหมู่)
: mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ)
: questionable principles (มีีหลักการที่น่าสงสัย)
: rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม)
: suicide (การฆ่าตัวตาย)
: starvation (ความอดอยาก)
: torture (การทรมาน)
: underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์)
: and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)

 

** หมายเหตุ : ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์และต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับเป็นฉบับ Uncensored

 

————————————————————-

 

157

อาจารย์ คืนวันแต่งงานในตอนนั้น ความจริงข้า…

โม่หรานว่าพลางหยิบสร้อยข้อมือเล็กๆ เส้นหนึ่งออกมา สร้อยนั้นเปล่งประกายแวววาว ร้อยด้วยไข่มุกตงไห่และผลึกซีเหอ [1] แห่งเขาเทพอัคคี เพียงแค่เห็นก็รู้ว่าเป็นของล้ำค่า

“ก่อนหน้านี้เจ้าเขียนสารมาขอหินผลึกปลาหลี่จากข้า เสียดายที่หินก้อนนั้นข้ามอบให้ญาติผู้น้องนำไปหลอมบนตัวดาบแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้เตรียมของขวัญอวยพรอื่น จึงซื้อสร้อยเพลิงวารีเส้นนี้มา เจ้าสวมแล้วคงเหมาะพอดี”

“นี่…นี่ล้ำค่าเกินไป เกรงว่าชิวถงจะมิอาจรับ…”

“ของขวัญอวยพร ไหนเลยจะมิอาจรับ” โม่หรานยิ้ม “ทั้งสร้อยเพลิงวารียังยับยั้งพลังวิญญาณธาตุไฟได้ เพียงแต่เหมาะสมให้สตรีสวมเท่านั้น เจ้าสวมติดตัวไว้ ภายหน้าอยู่เคียงข้างคุณชายหนานกง มากน้อยก็ช่วยบรรเทากระแสวิญญาณของเขาได้ นับว่านำมาใช้ประโยชน์ได้จริง”

ซ่งชิวถงหันไปมองหนานกงซื่อ อีกฝ่ายพยักหน้ายินยอม นางจึงรับสร้อยมาด้วยสองมือ คารวะอย่างนอบน้อม “ขอบคุณปรมาจารย์โม่”

คนทั้งสี่ดื่มชา สนทนากันอีกสักพัก

ฉู่หว่านหนิงเป็นห่วงเรื่องงานมงคลของหนานกงซื่อ จึงกำชับเขาในช่วงหลายวันนี้ให้ใส่ใจทุกรายละเอียดว่าได้รับการเตรียมการอย่างเรียบร้อยหรือไม่ อย่าให้เกิดความวุ่นวายก่อนถึงเวลา

หนานกงซื่อดื่มชาสองสามอึกก็หมดถ้วย โยนถ้วยเปล่าเล่นในมือ ยิ้มเอ่ยว่า “ปรมาจารย์ไม่ต้องกังวล ข้าคอยตรวจตราทุกคืน ข้าไม่เหมือนเมื่อยังเด็กๆ แล้ว รู้ว่าเรื่องบางอย่างควรต้องใส่ใจ อันที่จริง เมื่อวานพบว่าบนชุดพิธีของชิวถงฝังไข่มุกขาดไปเม็ดหนึ่ง จึงให้คนไปจัดการทันที”

พอพูดถึงพิธีแต่งงาน ใบหน้าที่พยศดื้อรั้นก็มีความขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อย

เขาเหลือบมองซ่งชิวถง พลางยิ้มเอ่ยว่า “ถึงเวลาชิวถงจะต้องงามมากเป็นแน่”

คำพูดนี้เข้าหูสามีเมื่อชาติก่อนของซ่งชิวถง โม่หรานรินชาให้ตนเองอีกถ้วยอย่างใจลอย เขาย่อมรู้ว่าซ่งชิวถงงามเลิศล้ำในปฐพี มีเสน่ห์หาใดปาน แต่นั่นแล้วอย่างไร…

วันบวงสรวงสวรรค์ที่ยอดเขาซวี่อิ้งในปีนั้น ท่าเซียนจวินเข้าพิธีวิวาห์กับหวงโฮ่วอันดับหนึ่งของโลกบำเพ็ญเพียร คืนวันวิวาห์ เทียนหงส์ส่องสว่าง แต่เขากลับไม่ได้อยู่ในห้องหอ

คืนนั้น เขาดื่มไปมาก เทียนแดงพร่าเลือน ม่านเตียงหม่นสลัว เขาเชยใบหน้าแดงซ่านระคนเอียงอายของเจ้าสาวขึ้นมา จ้องอยู่ครู่หนึ่ง คนเรายามอยู่เบื้องหน้าพิธีสำคัญของชีวิต มักบังเกิดความรู้สึกสะท้อนใจในความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง แม้เป็นท่าเซียนจวิน ก็ไม่มีข้อยกเว้น

เขาพลันรู้สึกว่านี่มิใช่เรื่องจริง สายตาเขาราวกับทะลุผ่านสีแดงเรื่อเย้ายวนเบื้องหน้า ตกลงท่ามกลางลมหิมะท่วมฟ้าเมื่อหลายปีก่อน

ตอนที่เขาเสื้อผ้าขาดวิ่นท่ามกลางลมหนาว…ตอนที่เขากำลังจะตายเพราะความหิวโหย มีคนเวทนา จึงได้เลียกินน้ำข้าวต้มที่คนผู้นั้นยกมา…ตอนที่เขาเพิ่งมาถึงยอดเขาสื่อเซิง ในใจกระวนกระวายไม่เป็นสุข…ตอนที่เขาเขย่งปลายเท้าหักกิ่งไห่ถังใต้แสงจันทร์…ตอนที่เขาคุกเข่าเบื้องหน้าฉู่หว่านหนิง ถูกแส้หลิ่วโบยกาย…

เขาไม่เคยคิดเลยว่า วันหนึ่งตนจะเหยียบย่ำเหล่าผู้ฝึกเซียนขึ้นมาอยู่เหนือใต้หล้า

“ฟูจวิน ท่านคิดอะไรอยู่หรือ” ริมฝีปากแดงของนางขยับน้อยๆ แววตาจับจ้องมา ลมหายใจที่พ่นรดออกมาของนางช่างหอมหวานจนเป็นความฟุ้งเฟ้อ เหมือนเช่นสถานะสูงส่งของเขาในเวลานี้

เขาเหมือนได้ครอบครองทุกอย่างแล้ว คนงาม สถานะ อำนาจ…

บัดนี้ยังมีอะไรไม่พอใจอีกเล่า

เขาคิดไม่ออกว่ามีอะไรไม่พอใจ แต่รู้สึกว่างเปล่ายิ่งนัก ทั้งร่างเหมือนยืนอยู่บนยอดเขาหนาวเหน็บ รอบด้านมีเพียงใบหน้าที่ก้มต่ำ เลือนรางไม่ชัดเจน

เขาเดินผ่านท่ามกลางใบหน้าที่ประจบสอพลอเหล่านั้น คนทั้งผองสรรเสริญเขา สดุดีเขา ต่างคุกเข่าก้มกรานให้เขา เอาอกเอาใจเขา แต่ละใบหน้าล้วนเป็นเฉกเดียวกัน

เขาได้ยินเสียงคนกำลังเรียกเขาอย่างเย้ายวนชวนหลงใหล น้ำเสียงอ่อนละมุนดุจกลีบหมู่ตาน “ฟูจวิน…ฟูจวิน…”

เขารู้สึกสะอิดสะเอียน รู้สึกรังเกียจ อยากพาตัวเองให้หลุดจากความเพ้อคลั่งดุจกระแสน้ำนี้ ทว่าน้ำเสียงหวานเลี่ยนนั้นกลืนกินเขาราวกับถูกเคลือบด้วยน้ำเชื่อม

เขาผลักซ่งชิวถงออกทันที เจ้าสาวที่ออดอ้อนต้านทานความหยาบเถื่อนไม่ได้ ล้มฟุบลงบนเตียงมังกรหงส์สีแดงสด เตี่ยนชุ่ย [2] เงินและทองที่ประดับเต็มศีรษะสั่นไหว ปิ่นระย้าสั่นระรัว ท่ามกลางภาพเสมือนฝันของเพชรนิลจินดา โม่หรานรู้สึกว่าทุกสิ่งล้วนบิดเบี้ยว มิใช่ความจริง แสงทองอร่ามตานั้นราวกับลูกไฟวิญญาณ เทียนแดงสดนั้นก็เหมือนน้ำตาโลหิต

เขารู้สึกขยะแขยงยิ่งนัก…แต่ไม่รู้ว่ากำลังขยะแขยงผู้ใด ซ่งชิวถง? หรือว่าตนเองที่กลายเป็นเช่นนี้

เขาพุ่งออกจากประตูไป

ชาติก่อน บนโลกนี้มีน้อยคนนักที่รู้ว่า ในคืนวิวาห์ของท่าเซียนจวิน หวงโฮ่วซ่งชิวถงถูกทิ้งให้เดียวดาย โม่หรานในชุดหรูหราสีแดงทองผลักประตูศาลาหงเหลียน

เขาเดินเข้าไป ผ่านไปครู่หนึ่ง แสงเทียนในศาลามอดดับ สามีที่เพิ่งแต่งใหม่ของซ่งชิวถงอยู่ข้างในนั้นทั้งคืน

กระทั่งพลบค่ำวันต่อมา เซวียเหมิงบุกขึ้นยอดเขาสื่อเซิงก่อความวุ่นวาย โม่หรานจึงผลักประตูออกอย่างเกียจคร้าน จัดเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิง เดินทอดน่องไปที่ตำหนักหน้าด้วยสีหน้าอิ่มกำหนัด

เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นในศาลาหงเหลียนกันแน่ คนภายนอกไม่อาจรู้ได้เลย

หลังจากบอกลาพวกหนานกงซื่อ ฉู่หว่านหนิงกับโม่หรานก็กลับไปที่เรือนรับรองที่พวกเขาพักอยู่

จู่ๆ ฉู่หว่านหนิงก็ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ “เมื่อครู่หนานกงซื่อบอกว่าซ่งชิวถงงาม เจ้ามองผู้อื่นจนใจลอยทำไม”

“ข้ากำลังคิดถึงยามที่นางสวมชุดวิวาห์”

ฉู่หว่านหนิงผุดความรู้สึกหึงหวงขึ้นมาวูบหนึ่ง เขาสะบัดแขนเสื้อ สีหน้าเยือกเย็นอย่างยิ่ง “อย่าคิดเรื่องไม่เหมาะสม ว่าที่เจ้าสาวของผู้อื่น เจ้ามีอันใดต้องคิดถึง”

โม่หรานยิ้ม “ใครว่าข้าคิดถึงนาง ข้ากำลังคิดถึงยามที่นางสวมชุดวิวาห์ก็เท่านั้น สู้อาจารย์ไม่ได้สักนิด”

“…”

เดิมรู้สึกอัดอั้นอยากระบายโทสะ จู่ๆ กลับถูกหมาป่าน้อยเลียฝ่ามือโดยไม่ทันตั้งตัว

ใบหน้าของฉู่หว่านหนิงเดี๋ยวขาวเดี๋ยวแดง ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังเอ่ยคำพูดที่เข้าท่าออกไม่ได้สักคำ สุดท้ายจึงสะบัดแขนเสื้อ “เรื่องเหลวไหลในแดนมายาของเจ้าภาพผี วันหน้าห้ามพูดถึงอีก”

โม่หรานทอดถอนใจ มิใช่ข้าอยากพูดถึง เป็นท่านถามข้าต่างหาก ข้าไม่อยากปดท่าน ชมท่านว่างาม ยังถูกท่านดุอีก

แต่ถูกท่านดุ ก็รู้สึกหวานชื่นยิ่งนัก

เมื่อคิดว่าเคยเสียท่านไป ก็รู้สึกเพียงว่า ถูกท่านดุด่าอย่างเปี่ยมชีวิตชีวาเช่นนี้ทั้งชีวิต ช่างเหมือนแช่อยู่ในกระปุกน้ำตาล ฉู่หว่านหนิง…

ทำเช่นไรดี ข้าห้ามใจมิให้กระหายท่านไม่ได้

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกวันเดียวก็จะถึงวันมงคลของหนานกงซื่อแล้ว

สำนักหรูเฟิงมีอาคันตุกะจากทั่วสารทิศมาพำนักเต็มแล้ว ทั้งเจ้าสำนักและประมุขน้อยจากสำนักใหญ่ ผู้ฝึกบำเพ็ญพเนจรในยุทธภพ ตลอดจนพ่อค้าคหบดีที่ไร้พลังวิญญาณ ส่วนผู้ที่ไม่ได้มาล่วงหน้า วันนี้ล้วนรวมกันอยู่หน้าประตูหลัก ร่มกางกั้นเนืองแน่น รถม้าวิ่งขวักไขว่ ชายหญิงสวมเสื้อผ้าหรูหราทยอยเดินทางมาไม่ขาดสาย แพรพรรณอาภรณ์งามระยับบนร่างส่องสะท้อนจับแสงจนถนนในหรูเฟิงราวกับธารดาราอิ๋นเหอพลิกกลับด้าน หมู่ดาริกาเคลื่อนคล้อย

เซวียเหมิงถูกบิดาลากถูลู่ถูกังมาตลอดทาง เพื่อพาไปทักทายทำความรู้จักผู้ฝึกบำเพ็ญหญิงที่อายุไล่เลี่ยกัน

“หวังเซียนจวิน ไม่พบกันนาน ยินดีนัก ยินดีนัก ไอ้หยา นี่เสี่ยวม่านถัวมิใช่หรือ โตถึงเพียงนี้แล้ว มาๆ เซวียเหมิง รีบมาทักทายท่านลุงหวังของเจ้า”

เซวียเหมิงเดินเข้ามาอย่างอิดออด “สุขสวัสดิ์ลุงหวัง”

เซวียเจิ้งยงตบหัวลูกชายทีหนึ่ง ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยอย่างเข่นเขี้ยว “เป็นท่านลุงหวัง ไม่ใช่ลุงหวัง”

“ฮ่าๆๆ เหมือนกัน ล้วนเหมือนกัน บุตรรักของสวรรค์รูปโฉมหล่อเหลาดังคาด เขาเหมือนท่านมาก เหล่าเซวีย ท่านช่างมีบุญนัก”

ไปๆ มาๆ เซวียเหมิงก็ถูกผลักให้ไปเดินเล่นในสวนดอกไม้กับ “เสี่ยวม่านถัว” ปีนี้เสี่ยวม่านถัวอายุสิบหกปี กำลังอยู่ในวัยแรกแย้ม ทว่ากลับค่อนข้างเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด หลังจากเดินกับเซวียเหมิงสักพักก็เอ่ยว่า “เจตนาที่ผู้อาวุโสให้เราออกมาด้วยกัน คุณชายเซวียมิใช่ไม่เข้าใจ”

“อืม”

“แต่ข้าขอบอกท่านก่อน เดินเล่นได้ เพียงแต่อุปนิสัยของคุณชายเซวีย ไม่ต้องใจข้า ฉะนั้นขอท่านอย่าได้คิดเป็นอื่น”

“อ้อ…หืม?”

เซวียเหมิงตะลึงงัน ฝีเท้าชะงักโดยพลัน สีหน้าดำทะมึน

แม่บุปผาป่าน้อยเชิดคาง จริตจะก้านถือตัว เหลือบมองเซวียเหมิงอย่างค่อนข้างวางอำนาจ น้ำเสียงเย็นชา “ใจข้ามีผู้ครอบครองแล้ว แม้ท่านมีใจให้ข้า…”

“เจ้าบ้าแล้วกระมัง!” เซวียเหมิงเดือดแล้ว “ข้า?” เขาใช้นิ้วมือชี้ตนเอง สีหน้าตื่นตระหนก “มีใจให้เจ้า?”

“หาไม่แล้วเหตุใดท่านจึงพาข้าเดินมายังที่เปลี่ยว มิใช่ว่ามีเจตนาเคลือบแฝงหรือ”

“เหตุใดเจ้าไม่บอกว่าสมองเจ้ากลวง!”

เซวียเหมิงระเบิดอารมณ์ทันที โทสะพลุ่งพล่าน ดวงตาลุกโรจน์ เอ่ยซ้ำๆ ไม่หยุด “ข้าชอบเจ้า? ข้าชอบเจ้า? ข้า…”

“จะบอกชอบข้าซ้ำๆ หลายรอบเช่นนี้ทำไม เติงถูจื่อ!” เสี่ยวม่านถัวแข็งกร้าวยิ่งนัก กระทืบเท้า เงยหน้า ตบเซวียเหมิงหนึ่งฉาด

เดิมเซวียเหมิงโกรธจนแทบหน้ามืดอยู่แล้ว พอถูกมือน้อยนุ่มนิ่มนี้ตบอย่างไร้สาเหตุอีก ยิ่งแทบกระอักเลือดออกมา หากมิใช่ยามปกติหวังฟูเหรินอบรมเขาให้สุภาพต่อสตรี เกรงว่าเขาคงจะกดเสี่ยวม่านถัวลงกับพื้น แล้วอัดจนน่วมไปแล้ว

เวลานี้เอง ไกลออกไปมีบุรุษนัยน์ตาสีอ่อน จมูกโด่งเป็นสัน กำลังเดินมา พอเสี่ยวม่านถัวเห็นเขาก็ตกตะลึง จากนั้นก็น้ำตาคลอเบ้า เอ่ยเสียงออดอ้อน “คุณชายเหมย!” แล้ววิ่งไปหาบุรุษผู้นั้น

บุรุษที่มาคือเหมยหานเสวี่ย เขาคิดไม่ถึงว่าตนเดินมาตามทางเปลี่ยวร้างผู้คนเช่นนี้ จะยังพบคนอื่นได้ จึงชะงักไปเล็กน้อย แต่เห็นเสี่ยวม่านถัววิ่งเข้ามาหาเขา จึงยกมือกางข่ายอาคมกลางอากาศ ขวางแม่นางไว้ด้านนอก แม่นางผู้นั้นไม่ทันตั้งตัว กระแทกกับข่ายอาคมที่ไหลเวียนด้วยพลังสายฟ้าอย่างจัง ร้องอุทานออกมา ทรุดลงกับพื้น

เหมยหานเสวี่ยมิได้คิดพยุงนาง เพียงก้มมองนาง พลางมุ่นคิ้ว “แม่นาง เจ้าจำคนผิดแล้ว”

“จะผิดได้อย่างไร จะผิดได้อย่างไร…ปีนั้นท่านให้สัญญากับข้าด้วยถุงหอมทอง บอกว่าเพียงได้พบข้าก็มิอาจลืมเลือน รอข้าอายุสิบแปดแล้ว ท่านจะมาสู่ขอข้า ท่าน…ท่านลืมไปหมดแล้วหรือ”

เหมยหานเสวี่ย “…”

“คุณชายเหมย…”

“เจ้าจำคนผิดแล้วจริงๆ” เหมยหานเสวี่ยมิได้มากความอีก เพียงส่ายหน้า ทิ้งคำพูดนี้ไว้ ก่อนจะเดินผ่านหน้าแม่นางที่น้ำตาคลอผู้นี้ไป

เซวียเหมิงเห็นภาพนี้กับตา รู้สึกทั้งโมโห ทั้งสะใจนัก

ที่โมโหคือโมโหไอ้คนเจ้าชู้ประตูดินอย่างเหมยหานเสวี่ย ดึงกางเกงขึ้นสวมแล้วก็ไม่รู้จักคน [3] ใจจืดใจดำเช่นนี้ มิน่าเล่าในเวลาเช่นนี้จึงได้แต่ต้องเดินมาในที่เปลี่ยว

ที่สะใจเป็นเพราะเขาคิดไม่ถึงว่า ผู้ที่เสี่ยวม่านถัวชอบกลับเป็นคนอย่างเหมยหานเสวี่ย เหมยหานเสวี่ย [4] ผู้นี้ก็เหมือนกับชื่อของเขานั่นละ ทั้งเจ้าชู้ [5] ทั้งไร้น้ำใจ ได้ยินว่าก่อนเล่นสนุกกับหลังเล่นสนุกกับสตรี ต่างกันราวกับคนละคน เสี่ยวม่านถัวตกหลุมรักเขา นับเป็นความอับโชคร้อยแปดชาติจริงๆ

เหมยหานเสวี่ยเดินใกล้เข้ามาเบื้องหน้าเขา หรี่ดวงตาดุจแก้วผลึกสีอ่อนมองเขา

เซวียเหมิงคิดในใจ มองอะไร กล้าดีอย่างไรมามองข้าเช่นนี้ ชื่อเสียงความเจ้าชู้ของเจ้ากระฉ่อนไปทั่วหล้า ชื่อเสียงความน่าเกรงขามของข้าเลื่อนลั่นเก้าแว่นแคว้น ด้านความผ่าเผยไม่เป็นรอง

ดังนั้นจึงเชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งผยอง ปรายตามองเหมยหานเสวี่ยราวกับมองคนปัญญาอ่อน เตรียมแค่นเสียงเยาะหยันอย่างน่าเกรงขามขณะสองคนเดินเฉียดไหล่กัน

“ไยหน้าเจ้าจึงบวม”

ไม่คาดว่าเหมยหานเสวี่ยกลับไม่เดินต่อ หยุดยืนเบื้องหน้าเขาในระยะแค่คืบ จ้องเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ซ้ำยังบวมได้มีเอกลักษณ์ยิ่งนัก”

เซวียเหมิงหายใจสะดุด ยังคงระงับอารมณ์ไม่อยู่ แค่นเสียงหึอย่างจองหอง

เหมยหานเสวี่ย “…”

“…” ใบหน้าของเซวียเหมิงแดงฉานอย่างรวดเร็ว เขาสะบัดหน้าไปทางอื่น รังสีสังหารพลุ่งพล่าน “เจ้ายุ่งอะไรกับข้า ข้าเดินไม่ระวังหกล้ม!”

“เช่นนั้นต่อไปเจ้าต้องเดินมองทางให้ดีๆ” น้ำเสียงเหมยหานเสวี่ยสงบนิ่งยิ่งนัก “ล้มจนเป็นเช่นนี้ได้ มิใช่เรื่องง่ายเลย”

กล่าวจบก็จากไป ทิ้งเซวียเหมิงยื่นทื่ออยู่ที่เดิม ก่อนจะกระทืบเท้าอย่างโกรธเกรี้ยว “เหมยหานเสวี่ย! ไอ้กระจอกขนสุนัข! เจ้า…เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้! ข้าไม่ขออยู่ร่วมกับเจ้า!”

ได้รับความอัปยศอดสูเต็มทรวง เซวียเหมิงวิ่งออกจากสวนดอกไม้ด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ พลันชนเข้ากับอกของคนผู้หนึ่ง

เซวียเหมิงโกรธจัด ตวาดด่า “ตัวอะไร! เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ”

พอเงยหน้าก็เห็นบุรุษชุดครามร่างสูงใหญ่องอาจ เสื้อผ้าปักลายดอกตู้รั่วสีทอง บนศีรษะสวมครอบเกี้ยวหยกแบบสำนักกูเย่ว์เยี่ย ขนตาเรียวอ่อนโยนบดบังนัยน์ตา เขาเหลือบตาขึ้น แววตาหม่นมัวดุจหมอกฝนเจียงหนาน ช่างเป็นใบหน้าที่ชวนให้ลุ่มหลง

บุรุษผู้นั้นผลักเซวียเหมิงออก จัดเครื่องแต่งกายของตน เขาดูอารมณ์ไม่ดีนัก นิ้วมือเรียวลูบรอยยับตรงอกเสื้ออย่างบรรจง เซวียเหมิงเห็นที่นิ้วชี้ของเขาสวมแหวนเงินลายกระดองเสวียนอู่ ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยความตกใจ “เจียงซี?”

เจียงซี เจ้าสำนักกูเย่ว์เยี่ย มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งโลกบำเพ็ญเพียร!

คนผู้นี้อายุไล่เลี่ยกับเซวียเจิ้งยง แต่ด้วยเคล็ดวิชาที่ต่างกัน รูปลักษณ์ของเจียงซีจึงหยุดอยู่เพียงวัยยี่สิบกว่าปี คนผู้นี้ร่ำรวยสูงส่ง รูปโฉมสง่างามอย่างยิ่ง เป็นคนโปรดเพียงหนึ่งเดียวของสวรรค์โดยแท้จริง

ตอนงานชุมนุมเขาหลิงซาน ในบรรดาสิบเจ้าสำนักมีเพียงเจียงซีที่ไม่ได้เข้าร่วม ตอนนั้นเซวียเหมิงยังคิดอยู่เลยว่า ไม่รู้ว่าคนที่ไม่มาร่วมงานผู้นี้มีหน้าตาเป็นเช่นไร วันนี้ได้พบ ช่างองอาจสง่างามยิ่งนัก จึงอดรู้สึกครั่นคร้ามมิได้ จ้องอีกฝ่ายเขม็ง

เจียงซีวางปึ่ง เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ชื่อของประมุขสำนักให้เจ้าเรียกตรงๆ ได้? น่าขัน”

เซวียเหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกอับอายยิ่งกว่าที่ได้รับจากเหมยหานเสวี่ยเมื่อครู่เป็นร้อยเท่า ตะคอกทันที “ทำไม แก่แล้วให้คนอื่นเรียกชื่อไม่ได้อีก? ต้องเรียกเจ้าว่าเซียนจวินเจ้าสำนักกระมัง? หนานกงหลิ่วยังไม่วางมาดเช่นเจ้า!”

“ไร้มารยาท!” เจียงซีเอ่ยเสียงน่าสะพรึง “เจ้าเป็นศิษย์ของผู้ใด”

“ถือดีอะไรเจ้าถามแล้วข้าต้องตอบ ฝูงลิงค่างกูเย่ว์เยี่ยฟังคำสั่งเจ้า แล้วข้าต้องเคารพเจ้าด้วยหรือ ข้าไม่บอกเจ้าหรอก! ข้าว่าเจ้ามันก็แค่…”

“เหมิงเอ๋อร์!”

พลันมีเสียงอ่อนนุ่มดังมา เซวียเหมิงหุบปากฉับ เบี่ยงออกจากเจียงซี มองไปทางด้านหลัง

ไม่รู้ว่าหวังฟูเหรินมาตั้งแต่เมื่อใด นางคงได้ยินการโต้เถียงไร้มารยาทของเซวียเหมิงเมื่อครู่ ด้วยเหตุนี้สีหน้าจึงค่อนข้างซีดเผือดและร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด รีบปราม “เหมิงเอ๋อร์ หุบปากเดี๋ยวนี้ เจ้ามานี่ มาอยู่ข้างกายแม่”

เซวียเหมิงยังถลึงตาจ้องเจียงซีอย่างดุร้าย ก่อนจะสะบัดมือเดินไปหาหวังฟูเหริน ก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม “ท่านแม่”

เจียงซียืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง หันกายมาช้าๆ หรี่ตาลง ดวงตางามคู่นั้นทอประกายชั่วร้าย

เขามองสองแม่ลูกที่ยืนอยู่ข้างกำแพงขาวมุงกระเบื้องดำ เค้นเสียงลอดไรฟันอย่างเย็นชา “อ้อ นี่ก็คือบุตรรักของสวรรค์ บุตรชายคนดีของเซวียเจิ้งยง เซวียเหมิงกระมัง?”

หวังฟูเหริน “…”

ขนตาของเจียงซีสั่นไหวครู่หนึ่ง จากนั้นก็หลับตาลง เมื่อลืมขึ้นอีกครั้ง ภายในฉายแววเยาะหยัน “สมกับเป็นบุตรของเซวียเจิ้งยง อบรมได้ดีจริงๆ”

“เจ้าไม่มีสิทธิ์ลบหลู่พ่อข้า!”

“เหมิงเอ๋อร์!” หวังฟูเหรินดึงเขาไว้ทันที ลากเขาไปด้านหลังตนเอง จากนั้นคารวะเจียงซีด้วยสีหน้าซีดเผือด “เซวียเหมิงบุตรข้า เอาแต่ใจจนเคย ขอเจ้าสำนักเจียงโปรดอย่าได้ถือสา”

“เฮอะ เจ้าสำนักเจียง…” เจียงซีพ่นคำนี้ออกมาราวกับอสรพิษ จากนั้นจึงเอ่ยช้าๆ “ช่างเถิด ถึงอย่างไรในกายเขาก็มีเลือดของท่านผู้เป็นศิษย์พี่หญิงอยู่ครึ่งหนึ่ง นับตามอาวุโสแล้ว ข้าก็เรียกเขาเป็นหลานชายได้…”

“ใครอยากเป็นหลานเจ้า! ไม่รู้จักดูหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ของตนเองเสียบ้าง ไสหัวไปซะ!”

“เหมิงเอ๋อร์…”

เจียงซีหัวเราะอย่างเย็นชา จ้องเซวียเหมิงครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนสายตาไปจับที่ใบหน้าหวังฟูเหริน หวังฟูเหรินหลุบตาลง “เจ้าสำนักโปรดอย่าล้อเล่น ข้าน้อยมิใช่ศิษย์ของกูเย่ว์เยี่ยแล้ว ไหนเลยจะยังนับอาวุโสกับเจ้าสำนักได้อีก”

“…ประเสริฐ” เจียงซีพยักหน้า น้ำเสียงเย็นชา “ประเสริฐ ประเสริฐยิ่ง วันนี้ได้พบสหายเก่ากับบุตรของสหายเก่า ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาแท้ๆ ไม่รู้สถานที่สกปรกอย่างยอดเขาสื่อเซิงเลี้ยงคนเช่นไร ดอกอวี้หลาน [6] ขาวงามๆ ถึงได้แปดเปื้อนดินโคลนไปด้วย”

“เจียงซี! ไอ้บัดซบ ขืนยังปากดีอีก! ข้าจะฉีกปากเจ้า!”

เซวียเหมิงได้ยินคนผู้นี้ลบหลู่มารดาตนต่อหน้า โลหิตก็พุ่งขึ้นศีรษะทันที เตรียมกระโจนเข้าใส่โดยไม่สนสิ่งใด หวังฟูเหรินจนปัญญาจะรั้งเขาไว้ ขณะเห็นว่าสถานการณ์เกินควบคุม พลันได้ยินเสียงดังสนั่นกลางท้องฟ้า ดอกไม้ไฟสว่างไสวระเบิดดังปัง เสียงฆ้องและกลองดังกระหึ่ม เจ้าหน้าที่กองพิธีการของสำนักหรูเฟิงใช้คาถาขยายเสียงถ่ายทอดคำพูดไปทั่วเจ็ดสิบสองเมือง

“งานเลี้ยงรับขวัญร้อยสกุล จัดขึ้นที่ตำหนักซือเล่อ ยามระกา ยินดีต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์ทุกท่าน…”

เจียงซีมองเหลือบเซวียเหมิงอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อหันกายจากไปอย่างขุ่นเคือง

 

[1] ชื่อของเทพธิดาแห่งดวงอาทิตย์ในเทวตำนานจีน

[2] เครื่องประดับศีรษะที่นำขนนกกระเต็นสีฟ้ามาประดับลงบนโครงที่ขึ้นรูปด้วยเงินชุบทอง และประดับอัญมณีอื่นๆ

[3] หมายถึง ผู้ชายหลังจากได้ผู้หญิงแล้ว ก็ปัดความรับผิดชอบ

[4] แปลว่า ดอกเหมยแฝงหิมะ

[5] คำว่า ‘” ฮวา” ที่แปลว่าดอกไม้ ยังมีความหมายแฝง ใช้ว่าคนเจ้าชู้ หลายใจ โดยมากใช้ว่าผู้ชาย

[6] ดอกแมกโนเลีย

2 thoughts on “[ทดลองอ่าน] ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา เล่ม 5 ตอนที่ 157 : อาจารย์ คืนวันแต่งงานในตอนนั้น ความจริงข้า…

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า