[ทดลองอ่าน] ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก เล่ม 1 บทที่ 1

ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก

造作时光 

เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน

Hanza แปล

— โปรย —

รัชทายาทรูปโฉมหล่อเหลาไร้ผู้ใดเทียม เก่งทั้งบุ๋นและบู๊

แต่ถึงเขาหน้าตาดีเพียงใด้ก่งกาจเพียงใด

ก็หักล้างกับนิสัยไม่ดีและปากร้ายไม่ได้

หญิงผู้ดีมีชาติตระกูล มีหรือจะอดทนกับความปากร้าย

ที่สามารถฆ่าคนอย่างไร้รูปเช่นนั้น

ว่ากันว่าแม้แต่สนมในวังหลวงทั้งหลายก็ยังมิอาจต่อกรกับรัชทายาท

นับประสาอันใดกับพวกนางที่เป็นสาวน้อยที่มีพลังในการชิงดีชิงเด่นไม่เข้มแข็งพอ

คิดดูอีกที เมื่อรัชทายาทถูกตาจ้องใจสตรีอ่อนแอขี้โรค

นับว่านางเป็นเนื้อสมันที่เดินเข้าปากเสือ น่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี

แม้ภายนอก ฮวาหลิวหลี อ่อนแอขี้โรค

ทว่าแท้จริงนางเป็นสตรีที่น่าครั่นคร้ามยิ่ง

ไม่ว่าฝ่ายใดที่พยายามลอบสังหารนาง

กลับต้องแพ้ภัยตัวเอง

จีหยวนซู่ บุรุษรูปงาม สูงศักดิ์ เป็นถึงรัชทายาทแคว้นจิ้น

เขาถูกตาต้องใจนาง คอยปกป้องเอาใจนางเสมอ

ต่อให้นางเข้มแข็งเพียงใดก็ยังพ่ายต่อเขา

และที่สำคัญคือพ่ายต่อรูปโฉมบุรุษที่เป็นจุดอ่อนของนาง

_______________________________

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

เหมันตฤดู รัชศกชางหลงที่สามสิบ ราษฎรต้าจิ้นต่างยินดีปรีดา ด้วยเพราะแผ่นดินต้าจิ้นของพวกเขาขัดแย้งกับแคว้นข้างเคียงอย่างแคว้นจินพั่วมานานหลายปี ทว่าครานี้แม่ทัพใหญ่พิทักษ์แผ่นดินไม่เพียงจะจัดการกับแคว้นจินพั่วจนต้องตะโกนร้องหาบิดา ร่ำไห้หามารดา ยังจับองค์ชายรองที่องอาจชำนาญการรบไว้ได้ จนแคว้นจินพั่วต้องยอมยกดินแดนบางส่วนชดเชย มิหนำซ้ำยังยอมก้มหัวศิโรราบ พาให้ชาวต้าจิ้นไม่ว่าระดับใดได้เชิดหน้าชูตา เดินอย่างสง่าผ่าเผย

แม่ทัพใหญ่พิทักษ์แผ่นดินกลายเป็นเทพอู่ชวี[1]ที่อาณาประชาราษฎร์ล้วนยกย่องสรรเสริญในชั่วพริบตา บุตรชายสามคนของเขาก็กลายเป็นดั่งเทพสวรรค์จุติลงมา เพราะฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนั้นปรีชาสามารถ เป็นมหาราชที่หาได้ยากยิ่งของไพร่ฟ้า ดังนั้นจึงมีเทพเจ้าจุติลงมาเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้แผ่นดินของราชวงศ์จิ้นเจริญรุ่งเรืองเป็นที่เลื่องลือ

ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร สรุปก็คือฮ่องเต้ปรีชาสามารถ จวนสกุลฮวาของแม่ทัพฮวาเก่งกาจห้าวหาญ

ยามนี้ ณ โรงเตี๊ยมหลวงที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายร้อยหลี่[2] ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมตั้งใจแขวนโคมแดงสองดวงไว้หน้าประตูใหญ่เพื่อร่วมยินดีกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของต้าจิ้น แต่หลายวันมานี้มีหิมะโหมกระหน่ำ ไม่มีขุนนางผ่านมายังที่แห่งนี้สักคน ดังนั้นความตั้งใจของเขาจึงไม่มีผู้ใดเห็น

ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมถือชามถั่วคั่วนั่งยองอยู่หน้าประตูพลางมองหิมะที่ทับถมในลานด้านในอย่างเหม่อลอย ลมหนาวพัดหนวดเครายุ่งเหยิงของเขาปลิวไสว

“เฮ้อ” เจ้าหน้าที่หน่วยตรวจการณ์เดินมาข้างกายผู้ดูแล สีหน้าทุกข์ระทม “ไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่ที่นี่กลุ่มนั้นจะเดินทางจากไปเมื่อไร”

ได้ยินว่านักโทษที่ถูกคุมตัวมาครานี้เป็นขุนนางใหญ่ที่กระทำความผิดจากเมืองหลวง ตั้งแต่ที่ตัวนักโทษยังมาไม่ถึงที่แห่งนี้ ทว่าก็มีคนคอยปูทางสั่งการว่าจะดูแลหย่อนยานไม่ได้ เจ้าหน้าที่หน่วยตรวจการณ์จึงต้องมาเฝ้าที่นี่ทุกวันเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุไม่คาดฝันกับขุนนางใหญ่

ขุนนางใหญ่เหล่านี้ปีนี้ถูกเนรเทศ ปีหน้าถูกเรียกกลับไปรับตำแหน่งเดิม มีคนทางนี้อยากล้างแค้น มีคนอีกทางหนึ่งอยากคุ้มครองเขาไว้ ผู้ที่โชคร้ายที่สุดล้วนหนีไม่พ้นคนระดับล่างอย่างพวกเขาที่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็มิอาจล่วงเกิน

“อย่างไรก็เป็นนักโทษชั้นต่ำ ยังจะวางท่าใหญ่โต ข้าไม่เห็นอยากรับใช้” ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมถ่มน้ำลาย พร้อมกับถุยเปลือกถั่วลงบนพื้นหิมะ “ไม่รู้จักหยุดจักหย่อนสักที”

เพิ่งพูดจบ พลันเห็นรถม้าแล่นมาจากสุดถนนหลวง เพียงมองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้ที่มีฐานะไม่ต่ำต้อย

ผู้ดูแลรีบยัดชามถั่วคั่วใส่มือเจ้าหน้าที่หน่วยตรวจการณ์ ปัดเศษฝุ่นออกจากเสื้อนวมกลางเก่ากลางใหม่แล้วเดินไปต้อนรับทั้งใบหน้าเปื้อนยิ้ม

เจ้าหน้าที่หน่วยตรวจการณ์ทำตาปะหลับปะเหลือก ปากบอกว่าไม่อยากรับใช้ แต่พอเห็นคนใหญ่คนโตก็กลายร่างเป็นสุนัขรับใช้โดยพลัน

ไม่รู้ว่าอาชาที่ลากรถเป็นม้าวิเศษอันใด แม้ย่ำบนพื้นหิมะก็ยังมั่นคง สงบนิ่ง น่าเกรงขาม ทหารที่สวมชุดเกราะเต็มยศรายล้อมอยู่รอบทิศ สีหน้าแววตาดุดัน แตกต่างกับทหารประจำการณ์ที่เมืองหลวงโดยสิ้นเชิง คล้ายกับเป็นทหารที่อยู่ในสมรภูมิรบ คุ้นเคยกับการเห็นเลือดเห็นเนื้อมานักต่อนัก

เจ้าหน้าที่หน่วยตรวจการณ์เห็นฐานะของผู้มาใหม่กลุ่มนี้ไม่ธรรมดาจึงรีบวางชามถั่วคั่วไว้ข้างหน้าต่าง แล้วรุดเข้าไปคลี่ยิ้มประจบเช่นเดียวกับผู้ดูแลโรงเตี๊ยม

บนชั้นสองของเรือนไม้ มีคนแง้มหน้าต่างออกเป็นช่องเล็กๆ เผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่งที่ซ่อนอยู่ในความมืด

“คนสกุลฮวามาถึงแล้ว”

“เริ่ม…ได้”

รถม้าเพิ่งจอดนอกโรงเตี๊ยมหลวง ผู้ดูแลรีบเข้าไปคำนับพลางยิ้มน้อยๆ “ข้าน้อยเป็นผู้ดูแลโรงเตี๊ยมหลวงแห่งนี้ ไม่ทราบว่าผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายมาจากที่ใดหรือขอรับ”

“พวกเรามาจากชิงหานโจว” นายกองที่นำขบวนยื่นเอกสารผ่านด่านให้อีกฝ่ายดู “พวกเราคุ้มกันคนในครอบครัวท่านแม่ทัพใหญ่เข้าเมืองหลวง”

“ที่แท้ก็เป็นครอบครัวของท่านแม่ทัพใหญ่!” ผู้ดูแลส่งเอกสารคืนให้นายกองผู้นั้นอย่างนอบน้อม “เชิญท่านทั้งหลายด้านในขอรับ”

ผ้าม่านหน้ารถม้าที่อยู่ด้านหน้าสุดไหวเล็กน้อย ผู้ดูแลก้มศีรษะลง มิกล้ามองหน้าผู้สูงศักดิ์ตรงๆ

เขาเห็นเพียงปลายผ้าม่านถูกปัดขึ้น รองเท้าขอบสูงหนังกวางที่สะอาดสะอ้านคู่หนึ่งปรากฏสู่สายตา เสื้อคลุมแดงสดสะบัดไปมาจนเห็นกระโปรงผ้าไหมขาวบริสุทธิ์ปักลายดอกเหมยแดงซ้อนอยู่ด้านในของเสื้อคลุม

ฮวาหลิวหลีลงรถม้า มองโรงเตี๊ยมหลวงที่ซอมซ่อตรงหน้าแล้วนิ่งเงียบไปชั่วขณะ นางหมุนตัวกลับไปนั่งในรถม้าตามเดิม “ข้าว่าพวกเราเดินทางต่อดีกว่า”

หญิงรับใช้วัยกลางคนที่เคยชินกับความช่างติของนางนานแล้วเอ่ยเตือน สีหน้าราบเรียบ “ท่านหญิง โรงเตี๊ยมหลวงแห่งต่อไปอยู่ห่างจากที่นี่เกือบร้อยหลี่ อีกทั้งหิมะบนถนนก็ยังไม่ละลาย ไม่มีที่ให้อาบน้ำ ขอให้ท่านไตร่ตรองให้ดีเจ้าค่ะ”

ฮวาหลิวหลีมุ่นคิ้วที่น่าดูเข้าหากัน นางคิดจะปล่อยม่านลงแล้วสั่งให้เดินทางต่อ ทว่าเมื่อหันไปเห็นใบหน้าที่ถูกลมถูกหิมะกัดจนปลายจมูกแดงก่ำของเหล่าทหาร ก็ทำหน้าตึงเอ่ยว่า “พวกเราพักผ่อนที่นี่คืนหนึ่งก่อนก็แล้วกัน วันพรุ่งค่อยเดินทางต่อ”

หญิงรับใช้โยนเศษเงินให้ผู้ดูแล “ไปเตรียมน้ำร้อนให้มากสักหน่อย”

“ได้ขอรับ” ผู้ดูแลยิ้มรับ เขาชอบผู้สูงศักดิ์ที่มือเติบเช่นนี้มากกว่า ดูแล้วเอาใจง่ายกว่าขุนนางนักโทษชั้นบนตั้งเยอะ

“น้องพี่ ระวังด้วย” ฮวาฉางคงที่เพิ่งลงจากหลังอาชาเห็นน้องสาวทำหน้าตึงและคิดจะกระโดดลงจากรถม้าก็รีบเข้ามาประคองนางไว้ “ช้าหน่อย มีหิมะจับตัวหนาบนพื้นเช่นนี้ ให้พี่ประคองเจ้าเข้าไปดีหรือไม่”

หญิงรับใช้มองภาพตรงหน้าสีหน้าเฉยเมย เบื้องหลังของบุตรหลานเสเพลแต่ละคนล้วนมีผู้ปกครองนับไม่ถ้วนที่เลี้ยงลูกๆ อย่างตามใจ ครอบครัวแม่ทัพใหญ่อันใดก็ดีไปหมด ทว่ากลับเลี้ยงดูบุตรีคนเดียวในครอบครัวอย่างตามใจจนเสียคน

เดินสองก้าวก็กลัวเหนื่อย ถูกลมพัดเข้าหน่อยก็กลัวหนาว คิดจะกล่าวอันใดหนักๆ สักประโยคก็ยังมิกล้า ด้วยกลัวบุตรีจะตกใจ คุณหนูตระกูลนักรบที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน กลับถูกเลี้ยงดูจนกลายเป็นคนที่ทั้งเปราะบางทั้งเรื่องมาก

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะพี่สาม” ฮวาหลิวหลีส่ายหน้า นางจัดเสื้อคลุมดีแล้วค่อยวางมือบนแขนของฮวาฉางคงขณะเดินเข้าประตูใหญ่ ผู้คนในพื้นที่แถบนี้ไม่ร่ำรวย ดังนั้นจึงหาเงินมาซ่อมโรงเตี๊ยมแห่งนี้ได้ไม่มาก แสงสว่างภายในห้องค่อนข้างน้อย ทำนางกังวลใจว่าหิมะสะสมมากถึงเพียงนี้อาจจะทับโรงเตี๊ยมเก่าๆ แห่งนี้จนถล่ม

“เชิญนั่งขอรับ” ผู้ดูแลใช้แขนเสื้อเช็ดม้านั่ง เมื่อเงยหน้าส่งยิ้มประจบให้ผู้สูงศักดิ์ทั้งสองคนก็ต้องตะลึงงันทันใด

คนในครอบครัวแม่ทัพใหญ่หน้าตาดีถึงเพียงนี้เชียวรึ โดยเฉพาะคุณหนูน้อยที่ดูอ่อนหวานผู้นี้ช่างคล้ายเทพธิดาจุติลงมาจากฟากฟ้า

ฮวาหลิวหลีมองม้านั่งกระดำกระด่าง ดูไม่ออกว่าทำมาจากไม้ชนิดใด จึงมิได้นั่งลง หากแต่เลิกหมวกเสื้อคลุมออก แล้วเงยหน้ามองบันได

มีบุรุษรูปร่างผอมบางสวมขื่อตรวนเดินลงบันไดช้าๆ เรือนผมหนวดเคราของเขาเป็นสีดอกเลา ดูแล้วอายุราวห้าหกสิบปี สีหน้าเขาขมขื่นระคนไม่ยอมแพ้ ผู้คุมที่คอยกำกับอยู่ด้านหลังดูแล้วเคารพนบนอบผู้เฒ่าคนนี้อยู่หลายส่วน

โซ่ตรวนที่ข้อเท้าของผู้เฒ่าส่งเสียงกระทบกันระหว่างที่เขาเดินลงบันได

ครั้นพบว่ามีผู้อื่นเข้ามาในโรงเตี๊ยมหลวง ผู้เฒ่าก็ชะงักเท้า ก่อนกวาดตามองคนเหล่านั้น จากนั้นดึงสายตากลับช้าๆ

แม้มือปราบทั้งหลายไม่รู้ฐานะของสองพี่น้องสกุลฮวา แต่ก็ยังประสานมือให้พวกเขา จะได้ไม่เป็นการล่วงเกิน

“ท่านผู้นี้กระทำความผิดใดถึงต้องใส่ตรวนเท้าหนักเพียงนี้” ฮวาหลิวหลีเบนสายตาออกจากร่างของผู้เฒ่าแล้วถาม

หัวหน้ามือปราบเห็นสตรีสูงศักดิ์ถามด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติราวกับไม่สนใจว่าพวกเขาอาจจะปฏิเสธที่จะตอบคำถาม จึงลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยในที่สุดว่า “ขุนนางผู้มีความผิดคนนี้กล่าวหาท่านแม่ทัพใหญ่ว่าใช้กำลังทหารตามอำเภอใจ และมีนิสัยโหดเหี้ยมกระหายเลือดจนฮ่องเต้กรื้วจึงได้รับโทษเนรเทศ ในเมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ พวกเราจะเปลี่ยนโซ่ตรวนที่เบากว่านี้ให้เขา…”

“ไม่จำเป็น” ฮวาหลิวหลีเปลี่ยนใจกะทันหัน “ข้ารู้สึกว่าเช่นนี้ก็ดีแล้ว”

มือปราบ “…”

ผู้เฒ่าหันกลับมามองฮวาหลิวหลี ก่อนเอ่ยเสียงกระด้าง “อายุน้อยแค่นี้กลับมีจิตใจอำมหิต วันนี้ที่ข้าตกระกำลำบากนับว่าได้รู้ซึ้งถึงวิสัยของมนุษย์และความโหดร้ายของโลกนี้”

“ไม่เป็นไร ต่อไปไม่เพียงท่านจะรู้ซึ้ง แต่ยังค่อยๆ คุ้นเคยด้วย” ฮวาหลิวหลียิ้มน้อยๆ “เพราะคนประเภทที่ลอบแทงทหารกล้าลับหลังอย่างท่านย่อมมีจุดจบไม่ดี”

ทหารชายแดนต้องเสียเลือดเสียเนื้อเพื่อปกปักรักษาแผ่นดินต้าจิ้น ถ้าคำพูดของขุนนางบุ๋นผู้นี้ล่วงรู้ไปถึงหูพวกเขา มิทำพวกเขาใจเสียหรืออย่างไร

“ข้าเป็นขุนนางผู้ภักดีต่อราชสำนัก สละชีวิตเพื่อราษฎรทั่วแผ่นดิน ฮวาอิ้งถิงเปิดศึกรอบด้าน ใช้เงินทองของชาวบ้านจนหมด…”

“ท่านแม่ทัพใหญ่รักษาชายแดนก็เพื่อประชาราษฎร์ทั่วแผ่นดิน ยามนี้มีชัยเหนือแคว้นจินพั่วอย่างเด็ดขาด สร้างสันติสุขให้ชายแดนต้าจิ้นของพวกเรา พอออกจากปากท่าน กลับกลายเป็นการใช้กำลังทหารตามอำเภอใจไปเสียได้” ฮวาหลิวหลีเลิกคิ้ว “สมองของท่านยังดีอยู่หรือไม่ แคว้นจินพั่วรุกรานชายแดนของพวกเรามานานหลายปี หากพวกเราไม่ตอบโต้ แล้วจะปล่อยให้พวกนั้นเหิมเกริมหรือ ท่านอยู่สุขสบายในเมืองหลวงย่อมไม่รู้ถึงความทุกข์ยากของชาวประชาที่ถูกชาวจินพั่วรุกรานปล้นชิงสิ่งของ ปากก็พูดว่าสละชีวิตเพื่อราษฎร แต่กลับไม่เห็นราษฎรที่อยู่ตามชายแดนเป็นคน แล้วนี่เรียกว่าอันใด…”

“นี่เรียกว่าปากพูดว่ามีคุณธรรมสูงส่ง ภักดีต่อแว่นแคว้นต่อกษัตริย์ ทว่าความจริงแล้วเป็นเรื่องจอมปลอม คิดแต่จะเสพสุขหาความสำราญ” ฮวาฉางคงต่อคำ ใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “เป็นสุภาพบุรุษจอมปลอม”

“ข้า…ข้า…” ผู้เฒ่าถูกเด็กหนุ่มสาวอายุสิบกว่าปีเสียดสีจนหน้าดำหน้าแดง หายใจติดขัดเนิ่นนาน “พวกเจ้ามันเด็กเมื่อวานซืน ยังจะกล้าพูดจาเหลวไหล”

“ท่านที่เป็นตาเฒ่าวันนี้น่ะสิที่นัยน์ตาฝ้าฟาง ความคิดเลอะเลือน” ทหารองครักษ์ที่ติดตามอยู่ด้านหลังสองพี่น้องสกุลฮวาโต้กลับทันควัน งานประเภทใช้ปากด่าผู้อื่นอย่างนี้ไม่จำเป็นต้องให้คุณชายคุณหนูมายุ่งเกี่ยว

เสียงเอะอะชั้นล่างดังขึ้นไปถึงชั้นบน คนในห้องชั้นบนคลี่ยิ้มน้อยๆ เขาหันมองผู้ที่ปีนขึ้นมาทางหน้าต่าง “ใส่ยาแล้วหรือ”

“ใส่แล้วขอรับ ยาพิษเจี้ยนเซ่ว์เฟิงโหว[3]ไร้สีไร้กลิ่น รับรองว่าไม่มีผู้ใดพบสาเหตุการตาย”

บุรุษผู้นั้นหัวเราะ “หากขุนนางบุ๋นที่กล่าวโทษสกุลฮวาตายปริศนาหลังโต้เถียงกับคนสกุลฮวา ไม่รู้ว่าบรรดาขุนนางบุ๋นของต้าจิ้นจะมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้อย่างไร”

“วิหคสิ้น เกาทัณฑ์ซ่อน[4] สกุลฮวาสร้างความชอบทางการทหารใหญ่หลวงเพียงนี้ ผู้ที่คิดจะกำจัดพวกเขาไม่ได้มีแค่ขุนนางบุ๋นของต้าจิ้น แต่เป็น…”

โบราณนานมาขุนพลที่ตกเป็นเป้าหวาดระแวงของฮ่องเต้นั้นมีดารดาษราวกับดวงดารากลางเวหา หากจะมีสกุลฮวาเพิ่มอีกหนึ่งก็ไม่มากเกินไป

 

แม้เหล่าปัญญาชนจะเขียนบทความได้อย่างเฉียบคมเพียงใด ทว่าความสามารถในการด่าคนย่อมเทียบกับทหารที่กรำศึกไม่ได้ เมื่อด่ากันได้ไม่กี่ยก ขุนนางเฒ่าก็โมโหจนควันออกหู แต่สิ่งที่ทำได้ก็แค่ด่าอีกฝ่ายกลับว่าเป็นพวกหยาบคายไร้การศึกษา

“กิน…กินข้าวได้แล้ว” พ่อครัวยกอาหารที่ปรุงเสร็จแล้วออกมา พอเห็นสภาพที่พร้อมตีพร้อมต่อยในห้องโถงก็รีบถอยกรูดไปด้านหลัง

“กินข้าวหรือ” ฮวาหลิวหลีเหลือบมองอาหารที่พ่อครัวยกออกมา มีทั้งเนื้อทั้งผัก ดูท่าขุนนางนักโทษที่กล่าวหาบิดาของนางได้รับการดูแลดีไม่น้อย ยังได้รับการดูแลดีกว่าทหารหาญที่เฝ้ารักษาชายแดนมากมาย

นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาอุดจมูก แล้วแสร้งถอยหลังหนึ่งก้าว “โอ้ สวรรค์ ข้าปวดหัวเหลือเกิน ยวนเหว่ย ข้าได้กลิ่นอาหารคาวไม่ได้ รีบปัดทิ้งเร็ว”

“เจ้าค่ะท่านหญิง” หญิงรับใช้ที่ติดตามอยู่ด้านหลังฮวาหลิวหลีรุดขึ้นหน้า ยกเท้าเตะชามอาหารที่ถูกยกออกมาตามคำสั่งอย่างไม่ลังเล

ชามอาหารตกพื้น กลิ่นหอมอวลเต็มห้องทันที

“แบบนี้สิถึงจะถูก” สีหน้าฮวาหลิวหลีพึงพอใจ สั่งให้หญิงรับใช้มอบเศษเงินให้พ่อครัวก้อนหนึ่ง “เจ้าไปทำอาหารให้ท่านผู้นี้ใหม่ จำไว้ว่าอย่าใส่เนื้อสัตว์เป็นอันขาด”

“ได้ขอรับ ท่านผู้สูงศักดิ์” พ่อครัวรับเงินแล้วรีบวิ่งกลับห้องครัว ผู้ที่ให้เงินจะพูดอันใดก็ถูกต้องทั้งหมด

ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมกวาดเศษอาหารไปเทบนพื้นหิมะด้านนอกเงียบๆ แสร้งไม่เห็นว่าคุณหนูน้อยผู้นี้จงใจกลั่นแกล้ง

“เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” ผู้เฒ่าโมโหจนมือไม้สั่น

“ใช้อิทธิพลรังแกผู้อื่น ซ้ำเติมผู้ตกอับอย่างไรเล่า” ฮวาหลิวหลียิ้มหวานหยด “เป็นนักโทษที่มีความผิดติดตัวยังคิดจะกินเนื้ออันใดอีก ราษฎรตามแนวชายแดนเดือนหนึ่งยังมีเนื้อกินไม่ถึงสองมื้อ ใต้เท้ากระทำเพื่อชาติเพื่อราษฎร ย่อมต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชาวบ้าน”

ขุนนางเฒ่าผู้น่าสงสารถึงกับเป็นลมหมดสติเพราะถูกฮวาหลิวหลียั่วโมโห

บุรุษที่อยู่ชั้นบนรออยู่นานยังไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านล่าง รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายทีละน้อย “เกิดอันใดขึ้น หลินฮุยจือยังไม่ตายหรือ”

“คือ…คนสกุลฮวาทำชามข้าวที่เคลือบยาพิษแตกแล้ว”

“เจ้าว่า…อันใดนะ”

พวกเขาต้องลงทุนลงแรงวางแผนนับไม่ถ้วน กว่าจะหาสถานที่จัดฉากสร้างอุปสรรคที่ดูคล้ายเป็นเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นระหว่างทาง และกว่าจะทำให้พวกเขามาพบกันที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ได้ ยามนี้กลับบอกเขาว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาก่อนหน้านี้เป็นการกระทำที่สูญเปล่า!

 

[1] เป็นเทพเจ้าที่ชำนาญด้านการต่อสู้ มีความกล้าหาญ

[2] หนึ่งหลี่เท่ากับห้าร้อยเมตร

[3] หรือยางน่อง เป็นต้นไม้ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก มีทั้งชนิดต้นและชนิดเถา น้ำยางสีขาวหรือขาวออกเหลืองจะมีผลต่อระบบประสาทและหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นช้าลง เต้นไม่เป็นจังหวะ จนหัวใจวายตาย ส่วนมากมักใช้อาบลูกดอกเพื่อล่าสัตว์

[4] มาจากสำนวน “วิหคสิ้น เกาทัณฑ์ซ่อน กระต่ายม้วย ย่างสุนัข” หมายถึง เมื่อหมดประโยชน์แล้วก็กำจัดทิ้ง

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า