[ทดลองอ่าน] เชิญร่ำสุรา 將進酒 ตอนที่ 5

 เชิญร่ำสุรา
將進酒

 

ถังจิ่วชิง
唐酒卿

กอหญ้า แปล

 

สุนัขชั่ว ปะทะ สุนัขบ้า

จงปั๋วหกโจวถูกประเคนยกให้แก่ศัตรูต่างแคว้น เสิ่นเจ๋อชวนถูกคุมตัวมายังเมืองหลวง
ถูกประนามหยามเหยียดจากทุกคน เมื่อเซียวฉือเหย่ได้ข่าว ก็มิร้องขอให้ผู้ใดลงมือแทน
เขาหมายมั่นจะเตะเสิ่นเจ๋อชวนให้พิการด้วยตนเอง
ทว่าใครจะรู้เล่าว่าเจ้าคนอ่อนแอขี้โรคนี่จะแว้งกัดเขาเสียจนเลือดสาด
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความบาดหมางระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง
ที่จำต้องฉีกทึ้งกันทุกครายามเผชิญหน้ากัน

“โชคชะตาต้องการให้ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่ชั่วชีวิต แต่นี่หาใช่เส้นทางที่ข้าเลือกไม่…
ทรายเหลืองกลบฝังพี่น้องข้า ข้าไม่อยากยอมจำนนให้กับชีวิตอันว่างเปล่าอีกแล้ว
ราชโองการมิอาจช่วยเหลือทหารของข้าได้
ราชสำนักมิอาจเลี้ยงดูม้าของข้าให้อิ่มได้…
ข้าไม่อยากทุ่มเทรับใช้พวกเขาด้วยชีวิตอีกแล้ว…
ข้าจะข้ามเขาลูกนั้นไป… ข้าจะต่อสู้เพื่อตัวเองสักครั้ง”

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 5 โอกาส

 

น้ำแกงยาเปียกเสื้อด้านหน้าของเสิ่นเจ๋อชวน ไหลลงมาจากมุมปากของเขาจนหมด หมอร้อนใจจนเหงื่อแตกพลั่ก เช็ดขมับและหน้าผากตัวเองไม่หยุด “ป้อนยาไม่ได้แบบนี้” หมอพูด “คนต้องไม่ไหวแน่”

เก่อชิงชิงยืนถือดาบมองเสิ่นเจ๋อชวนครู่ใหญ่ “ไม่มีหนทางแล้วหรือ”

มือหมอที่ประคองชามยาสั่นเทา ทำเอาช้อนกระทบชามเกิดเสียงดัง เขาเอาแต่โขกศีรษะให้เก่อชิงชิงไม่หยุด “หมดหนทางแล้ว หมดหนทางแล้ว! นายท่านรีบเตรียมเสื่อเถอะ”

เก่อชิงชิงทำหน้าลำบากใจ “เจ้าป้อนยาไปก่อน” จากนั้นหมุนตัวเดินออกจากประตู จี้เหลยยืนอยู่ด้านนอก เก่อชิงชิงคารวะอีกฝ่าย “ใต้เท้า หมอบอกว่าคนไม่ไหวแล้วขอรับ”

จี้เหลยบีบเปลือกถั่วลิสงจนแตกและเป่าเศษผงจนปลิวว่อน “สิ้นใจแล้วรึ”

เก่อชิงชิงตอบ “ยังเหลือลมหายใจสุดท้ายอยู่ขอรับ”

จี้เหลยเอามือไพล่หลังและหันกลับมามองเก่อชิงชิง “เจ้าจับตาดูไว้ ก่อนที่เขาจะสิ้นใจให้เขาประทับลายนิ้วมือบนคำสารภาพ”

เก่อชิงชิงผงกศีรษะ มองส่งจี้เหลยจากไป เขายืนอยู่ในลานอีกครู่หนึ่ง ก่อนสั่งลูกน้องข้างกาย “ไปตามทหารรับใช้มา”

ไม่นาน ทหารรับใช้หลังค่อมที่ห่อตัวด้วยชุดผ้าป่านเนื้อหยาบก็เข็นรถเข้ามา ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว คุกหลวงมีการตรวจตราอย่างเข้มงวด เก่อชิงชิงถือโคมส่องดู ก่อนจะให้ทหารรับใช้ผู้นี้ตามตนเข้าไป

หมอจากไปแล้ว ภายในห้องจุดตะเกียงไว้เพียงดวงเดียว เสิ่นเจ๋อชวนนอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าไร้สีเลือด มือเท้าเย็นเฉียบเหมือนคนตาย

เก่อชิงชิงหลีกทาง พูดกับทหารรับใช้ “ท่านอาจี้…คนอยู่นี่แล้ว”

ทหารรับใช้แกะผ้าเนื้อหยาบที่ห่อหุ้มใบหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าที่ถูกไฟเผาทำลายจนเสียหาย เขาจ้องมองเสิ่นเจ๋อชวน เดินเข้าไปสองก้าว ยื่นมือสั่นเทาออกไปลูบผมของอีกฝ่าย ครั้นเห็นเสิ่นเจ๋อชวนผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ทั้งยังมีคราบเลือดเต็มตัว น้ำตาก็ไหลรินอย่างห้ามไม่อยู่

“ชวนเอ๋อร์” จี้กังร้องเรียกด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “อาจารย์มาแล้ว!”

เก่อชิงชิงเป่าโคมไฟให้ดับ “ท่านอาจี้ไม่ต้องกลัว ตั้งแต่รู้ว่าเขาเป็นลูกศิษย์ท่าน คนในคุกก็ใส่ใจ การสอบสวนก่อนหน้านี้ดูเหมือนร้ายแรง แต่กลับไม่ทำร้ายร่างกายเท่าไร ตอนใช้ทัณฑ์ไม้พลองด้วยเห็นแก่หน้าท่าน พี่น้องทั้งหลายจึงยั้งมืออยู่บ้าง รับรองว่าเขาจะไม่พิการในยี่สิบไม้แน่ เพียงแต่ขันทีผู้ลงทัณฑ์ในวังแต่ละคนดวงตาคมกริบ พวกเราจึงมิกล้าผ่อนปรนมากนัก โชคดีที่คุณหนูสามสกุลฮวามาทันเวลา หาไม่แล้วพันกงกงจะต้องสงสัยแน่”

เส้นผมของจี้กังเป็นสีขาวครึ่งหนึ่ง เขาหลั่งน้ำตาอย่างทุกข์ระทม “วันหน้าข้าจี้กังต้องตอบแทนบุญคุณนี้แน่!”

เก่อชิงชิงรีบพูด “ท่านอาจี้ ไฉนท่านจึงพูดเช่นนี้ พวกเราพี่น้องทำไปก็เพื่อทดแทนบุญคุณที่ท่านส่งเสริมพวกเราในอดีต ทั้งยังเคยช่วยชีวิตพวกเราไว้” เขาถอนหายใจ “ใครจะคิดว่ากลางทางจะมีเฉิงเหย่าจินโผล่ออกมา[1] เท้าข้างนั้นของเอ้อร์กงจื่อสกุลเซียวมาเพื่อเอาชีวิตจริงๆ ท่านอาจี้ เขายังมีทางรอดหรือไม่”

จี้กังจับชีพจรของเสิ่นเจ๋อชวน ฝืนยิ้มเอ่ยว่า “เด็กดี วิชาที่อามู่สอนให้ เจ้าทำได้ดีมาก ยามนี้ยังไม่ถึงขั้นเกินเยียวยา อาจารย์อยู่นี่แล้ว เจ้าไม่ต้องกลัว!”

เสิ่นเจ๋อชวนมาอยู่กับจี้กังตั้งแต่เจ็ดขวบ ฝึกวิชายุทธ์ร่วมกับจี้มู่ วิชาหมัดมวยสกุลจี้เริ่มต้นด้วยความแข็งแกร่ง ต้องใช้ควบคู่ไปกับวิชาฝึกจิตสกุลจี้ ผู้ใดจิตใจไม่แน่วแน่ย่อมมิอาจฝึกได้ จี้กังอยู่บ้านรักสุรายิ่งชีพ สอนคนโตแล้วกลับลืมคนเล็ก พอจี้มู่ได้เป็นพี่ชาย ทุกครั้งที่เรียนรู้กระบวนท่าหนึ่งก็จะสอนน้องชายด้วย คิดไม่ถึงว่าหลายปีที่ผ่านมา เสิ่นเจ๋อชวนจะเรียนรู้ได้ดีทีเดียว

เก่อชิงชิงโน้มตัวมาดู “แต่ถึงอย่างไรอายุก็ยังน้อย ถูกทำร้ายเช่นนี้ น่ากลัวว่าร่างกายคงได้รับความเสียหาย ท่านอาจี้ ยาที่หมอจ่ายให้ ข้าสั่งให้คนอุ่นร้อนใหม่แล้ว ท่านลองดูว่าจะสามารถป้อนเขาได้หรือเปล่า”

เสิ่นเจ๋อชวนไข้ขึ้นจนปากคอแห้งผาก เขาเจ็บไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนนอนอยู่บนถนนใหญ่ในชวี่ตูและถูกรถม้าที่เข้าๆ ออกๆ บดทับ

ความเจ็บปวดเหมือนเปลวเพลิงร้อนแรงที่แผดเผาร่างกายเสิ่นเจ๋อชวนไม่สิ้นสุด ท่ามกลางความมืดเขาฝันเห็นหิมะปลิวว่อน เลือดของจี้มู่ ความหนาวเย็นในหลุมยุบ ยังมีเท้าของเซียวฉือเหย่ที่ถีบมาที่อกเขา

จี้เหลยพูดถูก ยามนี้การมีชีวิตอยู่ย่อมต้องทนทุกข์ เขาได้รับเลือดเนื้อมาจากเสิ่นเว่ย ย่อมต้องรับโทษทัณฑ์เช่นนี้ เขาต้องรับผิดแทนเสิ่นเว่ย กลายเป็นคนบาปที่ถูกวิญญาณของคนที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมก่นด่าประณาม เขาสวมเครื่องจองจำนี้ไปแล้ว วันหน้าย่อมต้องก้าวเดินต่อไปพร้อมความหนักอึ้งเช่นนี้

แต่เขาไม่ยอมแพ้!

ฟันถูกคนง้างออกกะทันหัน กระแสความร้อนล่วงผ่านลำคอ รสขมของยาทำเอาหางตาของเสิ่นเจ๋อชวนเปียกชื้น เขาได้ยินเสียงร้องเรียกอันคุ้นเคย จึงฝืนลืมตาขึ้น

จี้กังป้อนยาให้เขา ใช้นิ้วมือหยาบกร้านเช็ดน้ำตาให้เสิ่นเจ๋อชวนและเอ่ยเสียงเบา “ชวนเอ๋อร์ อาจารย์เอง!”

เสิ่นเจ๋อชวนสะอื้นในลำคอ สำลักเอายาและน้ำตาออกมาพร้อมกัน เขายื่นนิ้วไปเกี่ยวชายเสื้อของจี้กังไว้ แล้วก็กัดฟันแน่น เกรงว่านี่จะเป็นเพียงความฝันยามป่วย

ใบหน้าของจี้กังอัปลักษณ์ เขาเบี่ยงศีรษะออกเล็กน้อย หลบแสงจากตะเกียง “ชวนเอ๋อร์ อย่าได้คิดที่จะตาย อาจารย์ยอมมีชีวิตอยู่อย่างอดสูต่อไป ก็เพื่อเจ้าคนเดียวเท่านั้น”

ชั่วเวลานี้เสิ่นเจ๋อชวนมิอาจห้ามน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา เขาเบนสายตาไปทางอื่นจ้องหลังคามืดสนิท กระซิบเสียงแผ่ว “อาจารย์…”

ท่ามกลางเสียงลมที่พัดกระโชกรุนแรง แววตาเขาค่อยๆ ทอประกาย ฉายความมุ่งมั่นออกมา

“ข้าจะไม่ตาย” เขาเอ่ยเสียงแหบ “อาจารย์ ข้าจะไม่ตายเด็ดขาด”

 

วันต่อมาเสียนเต๋อตี้ปูนบำเหน็จสามทัพ นอกจากทหารม้าเหล็กหลีเป่ยที่อยู่นอกเมืองกับทหารรักษาการณ์ในมณฑลฉี่ตงแล้ว ในวังยังจัดงานเลี้ยง นำเหล่าขุนนางเลี้ยงต้อนรับผู้นำทัพทั้งหลาย

เซียวฉือเหย่เปลี่ยนมาสวมชุดขุนนาง ตอนเข้าไปนั่งทำลายกลิ่นอายสุภาพสำรวมของปัญญาชนรอบด้านจนสิ้น ลวดลายสิงโตก่ายเมฆาที่ปักอยู่บนชุดขุนนางสร้างความน่าเกรงขาม แต่เมื่อเขานั่งลงสนทนา ท่าทางเสเพลไม่จริงจังกลับปรากฏออกมา

ขุนนางฝ่ายบุ๋นรอบด้านที่ก้มหน้าดื่มสุราจ้องมองเขาไม่หยุด ภาษิตว่าพยัคฆ์ไม่มีลูกเป็นสุนัข[2] ไฉนจึงมีเพียงเซียวซื่อจื่อที่ได้รับสืบทอดสิ่งดีๆ จากบิดาเล่า พวกเขาต่างพร้อมใจกันจ้องจับผิดท่วงท่ากิริยาของเซียวฉือเหย่ รู้สึกว่าความโอหังไม่สำรวมของอีกฝ่ายพุ่งปะทะใบหน้า แตกต่างจากเซียวจี้หมิงผู้เคร่งขรึมที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงกว่าราวฟ้ากับเหว

“เจ้าอย่าทำเหมือนตัวเองไม่เกี่ยวข้องเลย” ลู่ก่วงไป๋ที่นั่งอยู่ด้านข้างกำชับ “ในเมื่อฝ่าบาททรงปูนบำเหน็จให้เจ้าแล้ว ประเดี๋ยวต้องเรียกเจ้าให้ยืนขึ้นแน่”

เซียวฉือเหย่ถูผลเหอเถา[3]กับฝ่ามือ ท่าทางใจลอยเล็กน้อย

ลู่ก่วงไป๋หันไปชำเลืองมองเขา “เมื่อคืนออกไปดื่มสุรามาหรือ”

“เกิดเป็นคนต้องหมั่นหาความสุขใส่ตัว” เซียวฉือเหย่นั่งในท่าที่ไม่สำรวมนัก “ประเดี๋ยวหากมีคนกล้าทำตัวเป็นเซี่ยงจวงรำกระบี่[4] ข้าจะอาศัยความมึนเมาจากสุราทำตัวเป็นฝานไคว่[5]ต่อหน้าพระพักตร์ เช่นนี้มิใช่ได้ประโยชน์ทั้งสองทางหรือ”

“แบบนั้นก็ได้” ลู่ก่วงไป๋รินสุรา “แต่การดื่มสุราทำร้ายร่างกาย หากเจ้ายังอยากเป็นแม่ทัพที่ดีก็เลิกนิสัยนี้เสียเถิด”

“ข้าเกิดผิดเวลา” เซียวฉือเหย่โยนเหอเถาผลหนึ่งให้ลู่ก่วงไป๋ “บัดนี้ตำแหน่งสี่ขุนพลในใต้หล้าถูกจับจองไปหมดแล้ว ข้าไม่มีโอกาสได้ทำตัวเป็นวีรบุรุษหรอก วันใดหากท่านไม่ไหว อย่าลืมบอกข้าล่วงหน้าสักคำ ถึงเวลาข้าค่อยเลิกสุราก็ยังไม่สาย”

ลู่ก่วงไป๋ตอบ “น่ากลัวว่าเจ้าคงต้องรออีกนาน”

สองคนหัวเราะกันครู่หนึ่ง ดื่มสุราไปได้สักพัก เรื่องที่คุยกันในงานเลี้ยงเปลี่ยนเป็นเรื่องของสกุลเสิ่นในจงปั๋ว

ลู่ก่วงไป๋ถือผลเหอเถาตั้งใจฟัง “เมื่อคืนเห็นบอกว่าคนผู้นี้ไม่ไหวแล้วมิใช่หรือ”

เจาฮุยพูดเสียงเบาอยู่ข้างหลัง “ขอรับ เห็นกงจื่อบอกว่าถีบส่งคนผู้นี้ลงปรโลกไปแล้ว”

เซียวฉือเหย่ไม่ปฏิเสธ “ข้าพูดงั้นหรือ” สองคนมองหน้าเขาโดยไม่เอ่ยคำใด “มองอะไร”

ลู่ก่วงไป๋ตอบ “คนยังไม่ตาย”

เจาฮุยพูดบ้าง “คนยังไม่ตาย”

เซียวฉือเหย่จ้องหน้าสองคนพักใหญ่ “เขาจะตายหรือไม่เกี่ยวอันใดกับข้าด้วย พญายมหาใช่บิดาของข้าไม่”

ลู่ก่วงไป๋มองขึ้นไปด้านบน “ต้องรอดูว่าฝ่าบาทจะทรงจัดการอย่างไร เขาดวงแข็งจริงๆ”

เจาฮุยคุกเข่าอยู่ด้านหลัง ก้มหน้าก้มตากินอาหารอีกครั้ง พูดอย่างไม่ใส่ใจ “ต้องมีคนแอบช่วยเหลือเขาอยู่แน่”

“ไม่ตายก็พิการ” เซียวฉือเหย่ปรายตามองที่นั่งของสกุลฮวาที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก “ไท่โฮ่วมีพระชนมายุมากแล้ว บัดนี้ได้แต่ทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่เลี้ยงดูสุนัขไร้เจ้าของตัวหนึ่ง”

“เวรกรรมแท้” เจาฮุยยัดกระดูกซี่โครงชิ้นหนึ่งใส่ปากอย่างไร้ความรู้สึก

 

หลังดื่มสุราไปสามคำรบ เสียนเต๋อตี้เห็นบรรยากาศเหมาะสม จึงเอ่ยปาก “จี้หมิง”

เซียวจี้หมิงถวายบังคมรอรับพระบัญชา

เสียนเต๋อตี้เอนกายพิงบัลลังก์มังกรคล้ายทนฤทธิ์สุราไม่ไหว “เสิ่นเว่ยพ่ายศึก ส่วนเรื่องที่เขาสมคบศัตรูหรือไม่ สุดท้ายยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด เช่นนั้นเสิ่น…”

พันหรูกุ้ยค้อมกายเอ่ยเสียงค่อย “เสิ่นเจ๋อชวนพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

เสียนเต๋อตี้เงียบไปครู่หนึ่ง แต่กลับมิได้พูดต่อ หันไปหาไท่โฮ่วแทน “เสด็จแม่มีความเห็นอย่างไร”

ภายในงานเลี้ยงเงียบกริบไร้เสียง ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ต่างก้มหน้ารอฟัง

ไท่โฮ่วทรงสวมแถบคาดหน้าผากแพรบางสีดำวาดลายมังกรเมฆาสีทองประดับไข่มุก ต่างหูไข่มุกร้อยไหมทองประดับมุกเม็ดใหญ่ ประทับอยู่บนแท่นที่ประทับอย่างสูงศักดิ์สง่างาม เกศาที่หวีจนเงางามเป็นระเบียบของนางย้อมสีน้ำค้างแข็ง ไม่มีผู้ใดกล้าบังอาจเงยหน้าจ้องนางตรงๆ

ได้ยินไท่โฮ่วเอ่ยปาก “สงครามในจงปั๋วทำลายขวัญกำลังใจของทหารไปมาก ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเสิ่นเว่ยลนลานจนทำอันใดมิถูก แต่บัดนี้เขาเผาตัวเองตายเพราะกลัวความผิด ทายาทในตระกูลล้วนเสียชีวิตในสงคราม เหลือบุตรที่เกิดจากอนุผู้นี้เพียงคนเดียว การตัดรากถอนโคนขัดต่อหลักคุณธรรมและความเมตตา ไว้ชีวิตเขาแล้วสอนให้รู้จักซาบซึ้งในบุญคุณ ใช่ว่าจะมิได้”

ภายในงานเงียบสนิท ลู่ก่วงไป๋โพล่งออกมา “กระหม่อมคิดว่าไม่เหมาะพ่ะย่ะค่ะ” เขาก้าวออกมาสามก้าว คุกเข่าลงกลางท้องพระโรง “ไท่โฮ่วทรงเมตตา แต่สงครามในจงปั๋วไม่เหมือนครั้งก่อนๆ เสิ่นเว่ยแม้ไม่มีหลักฐานว่าสมคบข้าศึก แต่กลับต้องสงสัย ในเมื่อเด็กคนนี้เป็นทายาทของเขา หากไว้ชีวิต วันหน้าเกรงว่าจะกลายเป็นหอกข้างแคร่พ่ะย่ะค่ะ”

ไท่โฮ่วจ้องมองลู่ก่วงไป๋ครู่หนึ่ง “เปียนซาปั๋ว[6]ประจำการอยู่ในทะเลทรายมาหลายสิบปี ใช่ว่าจะชนะสงครามทุกครั้งไป”

ลู่ก่วงไป๋ตอบ “บิดาแม้มิได้คว้าชัยทุกครั้งในสงคราม แต่ก็เป็นเวลาหลายสิบปีแล้วที่เปียนจวิ้นไม่เคยมีข้าศึกข้ามแดนเข้ามาได้”

ไข่มุกเม็ดใหญ่ข้างหูไท่โฮ่วขยับไหว “ก็เพราะเหตุนี้ จึงยิ่งต้องสอนให้เขารู้จักกฎธรรมเนียม มารยาท ความเมตตาและคุณธรรม ทำให้เขาเข้าใจว่าสงครามครั้งนี้ทิ้งหายนะไว้มากมายเพียงใด การฆ่าคนคนหนึ่งง่ายดายนัก ทหารม้าเปียนซาย่ำเหยียบเข้ามาในจงปั๋ว สังหารประชาชนชาวต้าโจวของข้าไปหลายหมื่น บัดนี้ความอัปยศของบ้านเมืองยังไม่ถูกลบล้าง แล้วเด็กคนหนึ่งมีความผิดอันใดเล่า”

“กระหม่อมก็คิดว่าไม่เหมาะพ่ะย่ะค่ะ” รองราชเลขาธิการสภาขุนนาง[7]ไห่เหลียงอี๋ที่เงียบมาตลอดยันโต๊ะลุกขึ้น ก่อนจะคุกเข่าลง

“ไท่โฮ่วมีพระทัยเมตตา แต่เรื่องนี้หาใช่เรื่องเล็กไม่ แม้เสิ่นเว่ยจะมิได้สมคบข้าศึก แต่หลังสงครามครั้งนี้เขาก็สมควรถูกประหาร อีกทั้งเด็กคนนี้ถูกสอบสวนถึงสามครั้ง ทว่าคำให้การล้วนสับสนไม่ตรงกัน เขายืนกรานว่าเสิ่นเว่ยมิได้สมคบข้าศึก ในเมื่อเขาเป็นบุตรอนุที่ถูกเลี้ยงดูอยู่นอกจวน หากมิรู้ว่าเสิ่นเว่ยสมคบข้าศึก แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเสิ่นเว่ยมิได้สมคบข้าศึก เห็นได้ว่าเขามีนิสัยเจ้าเล่ห์ มิอาจเชื่อถือได้ เป็นเช่นที่ขุนพลลู่กล่าว เก็บทายาทสกุลเสิ่นไว้ วันหน้ามีแต่จะกลายเป็นหอกข้างแคร่”

ไท่โฮ่วไม่กริ้ว กลับเอ่ยว่า “ไห่เก๋อเหล่า[8]รีบลุกขึ้นเถิด”

รอจนพันหรูกุ้ยประคองไห่เหลียงอี๋ลุกขึ้นแล้ว ไท่โฮ่วจึงพูด “ทุกท่านกล่าวถูกต้องยิ่งนัก ความคิดข้าไม่ถูกต้อง เรื่องนี้ให้ฝ่าบาทเป็นคนตัดสินใจแล้วกัน”

ภายใต้สายตาของทุกคนที่จับจ้อง เสียนเต๋อตี้ไอหนักอย่างอ่อนแรง เขารับผ้าเช็ดหน้าที่พันหรูกุ้ยส่งให้ ปิดปากเงียบอยู่นาน สุดท้ายพูดว่า “คำพูดของเสด็จแม่ใช่ว่าจะไร้เหตุผล เด็กคนหนึ่งมีความผิดอันใด แต่ถึงอย่างไรเสิ่นเว่ยก็พ่ายศึกทิ้งเมือง เห็นแก่ว่าเก้าชั่วโคตรของเขาเหลือสายเลือดอยู่เพียงคนเดียว มอบโอกาสในการสำนึกผิดรอลงทัณฑ์ให้เด็กคนนี้ก็แล้วกัน จี้เหลย”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“ส่งตัวเด็กคนนี้เข้าไปในวัดเจาจุ้ยและจับตาดูอย่างเข้มงวด หากไม่มีคำสั่ง ห้ามออกมาโดยเด็ดขาด!”

 

เซียวฉือเหย่โยนผลเหอเถาที่แตกแล้วลงในจาน

เจาฮุยถาม “กงจื่อไม่กินแล้วหรือ”

เซียวฉือเหย่ตอบ “พิการแถมยังเสียหาย ใครจะต้องการเล่า”

เจาฮุยกลอกตามองไปในจาน เอ่ยเสียงทุ้ม “แบบนี้ย่อมดีต่อทุกฝ่ายแล้วมิใช่หรือ พวกเราไม่สมหวัง คนอื่นก็ไม่สมหวังเช่นกัน”

“ขังไว้ย่อมดีกว่าปล่อยตัวออกมา” ลู่ก่วงไป๋เดินกลับมายังที่นั่งและพูด

“ไม่แน่หรอก” เซียวฉือเหย่ชี้ตัวเอง “ข้าก็ถูกขังเหมือนกันมิใช่หรือ”

ลู่ก่วงไป๋กับเจาฮุยพูดเป็นเสียงเดียว “เช่นนั้นก็ดีทีเดียว”

 

 

[1] กลางทางมีเฉิงเหย่าจินโผล่ออกมา หมายถึงเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ทำให้เรื่องที่จะทำไม่ประสบความสำเร็จ เฉิงเหย่าจินเป็นขุนพลในสมัยปลายราชวงศ์สุย มักจู่โจมศัตรูด้วยวิธีดักซุ่มกลางทาง

[2] พยัคฆ์ไม่มีลูกเป็นสุนัข หมายถึงบิดาที่โดดเด่นย่อมมีบุตรที่ไม่ธรรมดา

[3] เหอเถา คือวอลนัต

[4] เซี่ยงจวงเป็นน้องชายของเซี่ยงอวี่จากรัฐฉู่ ในงานเลี้ยงที่หงเหมิน เซี่ยงจวงรำกระบี่หมายจะสังหารหลิวปัง ภายหลังเซี่ยงจวงรำกระบี่จึงกลายเป็นสำนวน หมายถึงคำพูดและการกระทำแตกต่างไปจากจุดประสงค์ที่แท้จริง

[5] ฝานไคว่เป็นขุนศึกผู้ห้าวหาญของหลิวปัง เขาประณามการกระทำของเซี่ยงอวี่ที่คิดลอบสังหารหลิวปังในงานเลี้ยงต่อหน้าทุกคน ภายหลังสามารถช่วยชีวิตหลิวปังจากเหตุการณ์ลอบสังหารในงานเลี้ยงที่หงเหมินได้

[6] ปั๋ว เป็นบรรดาศักดิ์ในสมัยโบราณของขุนนางจีน กษัตริย์จะแต่งตั้งให้เชื้อพระวงศ์หรือผู้มีคุณงามความชอบ โดยบรรดาศักดิ์ห้าขั้นรองจากชั้นหวังคือ กง โหว ปั๋ว จื่อ หนาน ซึ่งแต่ละสมัยมีคำเรียกและลำดับแยกย่อยต่างกัน

[7] สภาขุนนาง หรือเน่ยเก๋อ เป็นหน่วยงานการปกครองในสมัยราชวงศ์หมิงหลังยุบตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี ประกอบด้วยสมาชิกจากหกกรม มีหน้าที่หารือข้อราชการร่วมกับองค์จักรพรรดิ โดยมีราชเลขาธิการเป็นสมาชิกลำดับที่หนึ่งและได้รับยกย่องเป็นหัวหน้าสภาขุนนาง ราชเลขาธิการยังเปรียบเสมือนผู้นำขุนนางฝ่ายบุ๋นในราชสำนักด้วย

[8] เก๋อเหล่า เป็นคำที่ใช้เรียกราชบัณฑิตที่ทำงานในสภาขุนนาง หรืออาจใช้เรียกขุนนางอาวุโสในเชิงยกย่องก็ได้

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า