แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ
步天纲 (Bu Tian Gang)
梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน
ลลิตา ธ. แปล
นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 116
หลงเซิน!
ตงจื้อเบิกตาโพลง เขาแทบลืมสภาพจนตรอกใกล้ตายของตน จับจ้องไปยังร่างที่ปรากฏขึ้นกะทันหันแน่วนิ่ง
หลงเซินชูกระบี่ขึ้นสูง ฟันฉับลงที่ด้านหลังของปีศาจฟ้า!
แสงกระบี่ฟาดผ่าลงมาจากขอบฟ้าดุจคมดาบสวรรค์ ประกายไฟสีม่วงบดบังดวงอาทิตย์ คลื่นยักษ์ถาโถมรุนแรง ราวกับตัดสินความผิดฐานก่ออาชญากรรมของปาปียัสโทษฐานที่ออกจากขุมอเวจีมาโดยพลการในนามของกฎสวรรค์
ตอนนี้ลำคอของตงจื้อถูกมือข้างหนึ่งของปีศาจฟ้าบีบแน่นทำให้ขยับตัวไม่ได้ เขารู้สึกว่าลมหายใจของตนใกล้ขาดห้วง สติล่องลอยไปมาระหว่างเขตแดนหยินกับหยาง แยกไม่ออกระหว่างความจริงกับภาพมายา เขาไม่รู้ว่าหลงเซินที่ตัวเองเห็นคือหลงเซินตัวจริงที่รอดตายมาได้ หรือเป็นภาพมายาก่อนเขาจะตายกันแน่ แต่ภาพดังกล่าวสวยงามมากจนเขาไม่อยากกะพริบตาเลย
ตงจื้อกัดฟันพลางสะบัดข้อมือทีหนึ่ง พลังปราณผสานกับตัวกระบี่ เขาออกแรงยกกระบี่ฉางโส่วที่หนักขึ้นเป็นล้านกิโลสำหรับตน มือซ้ายทำมุทรา ร่ายคาถาเรียกอสนีที่ท่องจำจนขึ้นใจนานแล้วทีละพยางค์ ไม่จำเป็นต้องปูค่ายยันต์ใด ๆ
“ผู้รู้แจ้งสี่ธรรมยิ่งใหญ่ ฟ้าดินเป็นสามัญ โองการจักรพรรดิหยกอวี้ตี้ คืนสุขสงบแก่สามภพ ราชันเทพกระบี่เกรียงไกร โค่นมารดับรอย เมฆาม่วงล่องนภา แสงขอบฟ้าฉายฉาน กลืนมารกินปีศาจ แทรกร่างดื่มเวหา เพียงเปล่งเสียงบัญชาอสนี ผีสางเทวดาหมื่นลี้ขวัญกระเจิง!”
โฉมหน้าที่งดงามของปาปียัสเปรียบเสมือนผีร้ายจากขุมนรกในสายตาเขา ไม่อาจล่อลวงและสั่นคลอนได้แม้แต่นิดเดียว
ทันใดนั้นบริเวณเหนือศีรษะก็พลันสว่างเรืองรอง ท่ามกลางเมฆอสนีเลื่อนลั่น ปราณกระบี่ที่กดทับลงมาดุจภูเขาไท่ซานของหลงเซินก็มาถึง!
ในที่สุดปีศาจฟ้าก็เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย
จังหวะที่ตงจื้อใช้แรงเฮือกสุดท้ายจากทั่วทั้งลำตัวเสียบกระบี่ฉางโส่วทะลุร่างปีศาจฟ้า เขาก็ถูกเหวี่ยงออกไปไกลราวกับหุ่นเชิด
ภาพสุดท้าย ตงจื้อเห็นแสงอสนีกับแสงกระบี่ประสานรวมเป็นหนึ่ง พร่างพราวไปด้วยสีขาวเจิดจ้าผสมประกายสีม่วง เมฆมารวมตัวกันจากทั่วทุกสารทิศ เรียงตัวซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ส่งผลให้ท้องฟ้าลดต่ำลงมา อำนาจของเมฆหนาที่รวมกับอสนีสวรรค์ได้ปกคลุมปีศาจฟ้าที่อยู่เบื้องล่างเอาไว้
แสงสีขาวถักทอเป็นพายุไซโคลนขนาดใหญ่โดยมีปีศาจฟ้าเป็นศูนย์กลาง ฝุ่นผงปลิวว่อน กลิ่นอายผสมปนเป แม้แต่ร่างของสวรรค์ ลูกศิษย์สนที่เหลืออยู่ก็ถูกกวาดเข้าไปและสลัดออกมาจากอีกด้านหนึ่ง ตกลงไปในแม่น้ำที่อยู่ข้าง ๆ ก่อนถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากพัดหายไปอย่างรวดเร็ว
เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่าเวลาที่แสงสว่างต้องการปลดปล่อยตัวเองอย่างแท้จริงนั้น มันกลืนกินความมืดมิดทั้งหมดทั้งมวล ภายใต้แสงสว่างรุ่งโรจน์ ไม่มีเงาดำหลงเหลืออีกเลย!
วินาทีต่อมาเขาร่วงหล่นไปที่พื้นอย่างแรง
กระดูกทั่วร่าง แขนขาทั้งสี่ ไม่มีส่วนไหนเลยที่ไม่ปวดแปลบ บริเวณลำคอเหมือนหักไปแล้วก็ไม่ปาน ไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดอีกต่อไป
เขาหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในความมืดมิดไร้ขอบเขต
แน่ละว่าตงจื้อไม่เห็น ท่ามกลางมวลแสง ปีศาจฟ้ามองมือสองข้างของตนถูกลำแสงกลืนกินไปทีละนิด สลายกลายเป็นเถ้าถ่านอย่างไม่อยากเชื่อ จากนั้นก็เป็นแขน ไหล่ ลำตัว ในที่สุดร่างกายทุกส่วนก็ถูกกลืนหายไปจนหมดสิ้น
เขากรีดร้องเสียงแหลม เช่นเดียวกับเสียงโหยหวนที่พวกสวรรค์กับสุขีเปล่งออกมายามถูกเขาหักคอก่อนหน้านี้ แต่เสียงดังกล่าวรุนแรงและเกรี้ยวกราดยิ่งกว่า ประหนึ่งดังมาจากขุมนรก ทั้งคำรามและพยายามดิ้นรนเฮือกสุดท้าย ทันใดนั้นหมอกดำเสี้ยวหนึ่งก็พยายามสุดชีวิตจนดิ้นหลุดออกจากมวลแสง พุ่งไปทางด้านหลังหลงเซิน ในตำแหน่งเดียวกับที่พายุไซโคลนสีดำปรากฏขึ้น
หลงเซินขมวดคิ้ว กระบี่ขยับออกจากมือไปตามใจนึก แสงกระบี่แปรเปลี่ยนเป็นเงารุ้งไล่ล่าตามติด แต่ดูเหมือนหมอกดำจะรู้ว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายในการหลบหนี ความเร็วของมัน แม้แต่แสงกระบี่ก็ยังไล่ตามไม่ทัน
ช่องทางอเวจีถูกผนึกโดยหลงเซิน พายุไซโคลนสีดำจึงจางหายไป แต่หงรุ่ยที่ก่อนหน้านี้ปีศาจฟ้าเคยใช้ร่างเขาเป็นภาชนะยังล้มอยู่ที่พื้น หมอกดำเสี้ยวหนึ่งเล็ดลอดออกจากรูจมูกเขา ไม่นานก็รวมเป็นหนึ่งเดียวกับหมอกดำที่กำลังหลบหนีไป ลอยขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แสงกระบี่พลาดเป้าหมาย ได้แต่หยุดนิ่งบนท้องฟ้า ลำแสงเจิดจ้าบาดตารวมถึงตัวตนของหลงเซินเกือบทำให้ชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงนึกว่าเป็นเทพเจ้าลงมาสำเร็จโทษ ต่างคุกเข่าเอาหัวโขกพื้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
หลงเซินเรียกแสงกระบี่กลับมาแล้วร่อนลงพื้นช้า ๆ เขากวาดตามองซากระเกะระกะที่พังภินท์ไปหมดแล้ว การต่อสู้เมื่อครู่เกือบทำลายข้าวของทั้งหมดในรัศมีสิบลี้ แม้กระทั่งเรือนของสนที่ตั้งโดดเด่นสะดุดตาอยู่ท่ามกลางหมู่บ้านรอบ ๆ ก็หายไปทั้งหมดด้วย
สายตาของเขามองผ่านเขมทัตที่กำลังกอดศพสินชัยร่ำไห้คร่ำครวญด้วยความเสียใจไปตกอยู่บนร่างสนที่อยู่ข้าง ๆ ไม่ไกล
เมื่อครู่ปีศาจฟ้ากินหัวใจสนไป แผ่นหลังทะลุเป็นโพรงใหญ่ แต่ส่วนอื่น ๆ ยังนับว่าสมบูรณ์ดี
หลงเซินเดินเข้าไป ใช้หลังมือลงกระบี่ เสียบทะลุหัวกะโหลกอีกฝ่าย!
นักไสยศาสตร์มีเล่ห์เพทุบายนับไม่ถ้วน ในเมื่อสนทำคุณไสยผีใส่ตงจื้อได้ หลังตายไปก็ยากจะรับประกันว่ายังมีความลับอะไรที่ยังไม่เป็นที่ล่วงรู้อีกหรือไม่ หลงเซินไม่มีทางเปิดโอกาสใด ๆ ให้อีกฝ่ายฟื้นคืนชีพเด็ดขาด
“เผาเขาซะ!”
จู่ ๆ เสียงเขมทัตก็ลอยมา เขาวางร่างอาจารย์ของตนลงอย่างระมัดระวังก่อนก้าวยาว ๆ มาหา ควักของเหลวไม่ทราบชื่อออกมาขวดหนึ่ง เทราดลงบนศพของสน จุดไฟโยนลงไป เปลวไฟลุกพรึบ เผาไหม้ร่างสนทันที
“ตราบใดที่ศพโดนเผาจนหมด เขาไม่มีทางก่อเรื่องได้อีก!” เขมทัตน้ำตาคลอ เอ่ยด้วยความโกรธแค้น
จัดการสนเรียบร้อยแล้ว หลงเซินจึงก้าวยาว ๆ ไปทางตงจื้อ ประคองอีกฝ่ายขึ้นมา แล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อมือลูบไปโดนกระดูกที่หัก เขาหาไม้มาแผ่นหนึ่ง ถอดเสื้อนอกออก ดามมือไว้ไม่ให้เคลื่อนไปไหน แล้วค่อยให้กินยาซั่งชิงหนึ่งเม็ด
ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าที่อีกฝ่ายจะค่อย ๆ รู้สึกตัว
ตงจื้อจะอ้าปาก แต่ดันสำลักเพราะสูดอากาศเข้าไปกะทันหัน
“ไม่ต้องพูด” หลงเซินบอก
เขาโคลงศีรษะ เห็นมุมปากหลงเซินมีคราบเลือดเหมือนกันก็อดไม่ได้ อยากยื่นมือออกไปช่วยเช็ดให้ แต่จังหวะที่ยกมือขึ้นก็พบว่ามือของตนถูกดามไว้ด้วยแผ่นไม้
หลงเซินสังเกตเห็นสายตาของเขาจึงกล่าวว่า “นายกระดูกมือหัก น่าจะกระแทกตอนล้มลงเมื่อกี้ ส่วนอื่น ๆ ไม่น่ามีปัญหา กลับไปค่อยตรวจดูอีกที”
ตั้งแต่เข้ามาสู่สายงานนี้ การได้รับบาดเจ็บอยู่เนือง ๆ เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว กระดูกหักจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ตงจื้อพยักหน้า “เมื่อกี้ผมคิดว่าอาจารย์…”
หลงเซินรู้ว่าเขาจะถามอะไร จึงบอกอย่างไม่รีบร้อน “ปีศาจฟ้าตนนี้ไม่อาจนับว่าเป็นปีศาจฟ้าตัวจริง”
พูดให้ถูก ปีศาจฟ้าปาปียัส พญามารของสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ที่แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังทำอะไรไม่ได้ ถึงพลังของมันไม่อาจต่อกรกับพระพุทธเจ้าได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ แต่ก็แข็งแกร่งมาก ไม่ใช่ผู้ที่มนุษย์ปุถุชนจะต่อกรได้อย่างทัดเทียมแน่นอน ทว่าเอาเข้าจริงมันก็คือสิ่งมีชีวิตทรงพลังที่ไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้
จักรวาลมีกฎของจักรวาลในการรักษาวงโคจร พลังที่ก่อให้เกิดความไม่สมดุลของโลกจะถูกธรรมชาติขับออกไปรอบนอกทั้งหมด เช่นเดียวกับผานกู่เบิกฟ้าในยุคเทพตำนานโบราณ ทว่าหลังจากก่อเกิดอารยธรรม พลังที่แข็งแกร่งเกินไปของผานกู่ก็ไม่เหมาะสำหรับโลกใบนี้อีก ความยินดีและความโกรธาของเขา ทุกการกระทำนำไปสู่การทำลายล้างโลกก่อนเวลาอันควร ด้วยเหตุนี้เขาผู้มีความอาลัยรักต่อโลกมนุษย์เลยเลือกที่จะแยกร่างของตัวเอง แบ่งพลังออกไปทีละน้อยเพื่อก่อเกิดเป็นสายน้ำและภูเขาสูง แผ่นดินอันกว้างใหญ่ แผ่ไพศาลไปทั่วทุกมุมโลก ท้ายที่สุดถึงทำให้โลกคงอยู่ต่อไปได้โดยสวัสดิภาพ
แน่นอนว่าปาปียัสไม่มีความรักที่ยิ่งใหญ่เฉกเช่นผานกู่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมายังโลกนี้ด้วยร่างจริงที่สมบูรณ์ได้ ทำได้แค่แบ่งร่างอวตารออกมาผ่านรอยแยกอเวจี จากการเซ่นสรวงอันยาวนานของสน ร่างอวตารได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยเลือดเนื้อและวิญญาณ เมื่อถึงวันที่ฟื้นคืนชีพ ร่างอวตารของปีศาจฟ้าแค่ร่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะก่อให้เกิดการนองเลือดครั้งใหญ่ กลืนกินผู้คนจำนวนมากเข้าไปในนั้น
“ตอนแรกฉันกับสินชัยคิดว่ามันยังไม่ได้ฟื้นคืนชีพอย่างสมบูรณ์ อีกอย่าง เอาเข้าจริง ๆ มันเป็นแค่ร่างอวตารของปีศาจฟ้า ไม่ใช่ปีศาจฟ้าจริง ๆ จึงไม่ได้รับมือด้วยยากขนาดนั้น ไม่นึกเลยว่าการมาของพวกเราจะเป็นการเร่งให้มันฟื้นคืนชีพก่อนกำหนด แต่ที่ครั้งนี้เราจัดการมันได้ง่าย ๆ เพราะเป็นช่วงที่มันเพิ่งฟื้นคืน พลังยังไม่คงที่
“ที่เมื่อกี้อสนีสวรรค์ของนายฆ่ามันไม่ได้ เป็นเพราะว่าจริง ๆ แล้วพายุไซโคลนสีดำลูกนั้นเป็นทางเข้าสู่นรก มันดึงเอาพลังออกมาจากทางเข้านั้นตลอดเวลา ตราบใดที่ช่องทางเปิดอยู่ก็ไม่มีใครฆ่ามันได้”
ฟังถึงตรงนี้ ในที่สุดตงจื้อก็ถึงบางอ้อ “เพราะแบบนั้น เมื่อกี้อาจารย์เลยต้องปิดช่องทางก่อนถึงจะฆ่าปีศาจฟ้าได้!”
หลงเซินพยักหน้า “ทางเข้าอยู่ในร่างของผู้หญิงที่อุ้มครรภ์ปีศาจ พอทารกปีศาจคลอดออกมา ผู้หญิงคนนั้นก็จะกลายเป็นช่องทางนรกไปเองตามธรรมชาติ สนต้องเสาะหาคนจำนวนมากเพื่อหาภาชนะที่เหมาะสมเช่นนี้มาแน่ ๆ และหานฉีก็เป็นหนึ่งในนั้น”
ตงจื้อ “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ช่องทางถูกปิดผนึกอย่างสมบูรณ์แล้วหรือยังครับ”
“ปิดแล้ว ตอนปีศาจฟ้าถือกำเนิดเป็นช่วงเวลาที่พลังเปราะบางที่สุดด้วย ฉันต้องผนึกช่องทางเพื่อตัดขาดแหล่งพลังของเขา เมื่อกี้เลยไม่มีเวลามาดูพวกนาย แต่ปีศาจฟ้าเจ้าเล่ห์มาก มีพลังปีศาจเสี้ยวหนึ่งที่หลบหนีไปได้อยู่ดี เราทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องหาจังหวะกำจัดมันครั้งหน้า” ความเหนื่อยล้าปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วหลงเซิน
ตงจื้อพิงร่างใต้ต้นไม้ ความเจ็บปวดทางกายทำให้เขาไม่อยากขยับตัวเลย
เขาดึงตัวหลงเซินมา อีกฝ่ายก็นั่งลงตาม ทั้งคู่มองศพของสนที่กำลังลุกไหม้อยู่ไม่ไกลท่ามกลางไฟคุโชน ก่อนจะค่อย ๆ มอดดับลง
เสียงดังเอะอะขนาดนี้ ชาวบ้านที่อยู่ไม่ไกลคงรู้สึกได้ แต่ไม่มีใครเข้ามา
ที่ไม่มีใครกล้าเข้ามา บางทีพวกเขาอาจกำลังซ่อนตัวอยู่ในบ้านตัวเอง ตัวสั่นงันงก หรือบางทีอาจยังไม่รู้ว่าอาจารย์สนผู้ลึกลับและทรงพลังคนนั้นกลายเป็นขี้เถ้าไปแล้ว
คุณไสยบนร่างตงจื้อถูกถอนออกไป อาจารย์สินชัยก็เสียชีวิตไปแล้วเพื่อช่วยชีวิตลูกศิษย์ เขาไม่ทันฝากฝังคำสั่งเสียแม้แต่ประโยคเดียว ความสัมพันธ์ระหว่างเขมทัตกับอาจารย์ของเขาคงจะดีมากแน่ ๆ ชายหนุ่มจึงคุกเข่าลงข้างอาจารย์ ก้มหน้าก้มตาไม่ขยับตัวอยู่นาน
ที่พวกเขาสี่คนมาหาสนครั้งนี้ ตงจื้อไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่สมควร เพราะเขารู้ว่าหลงเซินแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งถึงขั้นล้มมังกรกระดูกได้โดยลำพัง ที่หลงเซินไม่ได้เรียกใครมาเพิ่มต้องมีเหตุผลของตัวเองแน่
แต่เมื่อเห็นการตายของสินชัย เขาก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ เอาเข้าจริง ๆ สินชัยก็ตายเพราะเขาทางอ้อมอยู่ดี
“ไม่เกี่ยวกับนาย” หลงเซินพูด
ตงจื้อคิดว่าเขาเผลอพูดประโยคนั้นออกไป จึงละล่ำละลักบอก “อาจารย์ ผมไม่ได้กำลังโทษคุณครับ”
หลงเซิน “ฉันเข้าใจว่านายหมายถึงอะไร กรมจัดการคดีพิเศษกำลังวิ่งวุ่นกับเรื่องศิลา โยกย้ายกำลังคนมามากกว่านี้ไม่ได้ ถ้าพาใครมาด้วยสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วเตรียมการไม่พร้อม ก็มีแต่จะเอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่า ๆ ต่อให้ฝั่งอเมริกาช่วยได้ แต่ถ้าปล่อยให้พวกนั้นเข้ามามีส่วนร่วม เรื่องก็มีแต่จะยิ่งซับซ้อนกว่าเดิม เพราะฉะนั้นนี่เป็นการตัดสินใจของฉันหลังปรึกษากับสินชัยแล้ว”
ตอนนั้นพวกเขาคาดการณ์ว่ายังเหลือเวลาอีกสักระยะก่อนที่ปีศาจฟ้าจะฟื้นคืนชีพอย่างสมบูรณ์ และร่างจริงของมันก็มาที่นี่ไม่ได้ด้วยข้อจำกัดทางพื้นที่ ปีศาจฟ้าตรงหน้ายังตั้งหลักอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นลำพังพวกเขาสี่คนน่าจะกำจัดมันได้อยู่
มองไปในกรมจัดการคดีพิเศษ คนที่แข็งแกร่งกว่าหลงเซินมีอยู่น้อยคนนัก และคนที่ฝีมือทัดเทียมกับหลงเซินย่อมมีบทบาทสำคัญ ไม่อาจละทิ้งหน้าที่โดยพลการ และหากมีคนแบบตงจื้อมาเพิ่มอีกสองสามคน หลงเซินมีแต่ต้องแบ่งสมาธิไปดูแล ทำอะไรก็กังวล ไม่สามารถต่อสู้ได้เต็มกำลังเหมือนอย่างเมื่อครู่นี้
ยิ่งไปกว่านั้น สินชัยที่ร่วมเดินทางมาด้วยก็เป็นปรมาจารย์ด้านไสยศาสตร์ที่ไม่เป็นสองรองใคร
แน่นอนว่าภายหลังปีศาจฟ้าถือกำเนิดก่อนกำหนด ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิด แต่การต่อสู้มักเกิดเหตุพลิกผันและมีความเป็นไปได้หลากหลายรูปแบบอยู่แล้ว เช่นเดียวกับตอนอยู่ใต้ดินในอิ๋นชวน มีคนมากเท่าไหร่ก็ยังต้องมีคนสังเวยชีวิตอยู่ดี เป็นหรือตายขึ้นอยู่กับตัวเองทั้งสิ้น
แต่เรื่องพวกนี้หลงเซินไม่ได้กล่าวให้มากความ เขาเชื่อว่าตงจื้อจะเข้าใจได้เอง
สมัยที่กรมจัดการคดีพิเศษยังมีกำลังคนไม่มาก ภารกิจหลาย ๆ อย่างที่มีปัจจัยเสี่ยงไม่ต่ำกว่าตอนนี้ หลงเซินลุยเดี่ยว ไปไหนมาไหนตัวคนเดียวมาตลอด และเขาก็คุ้นเคยกับความรู้สึกที่ไม่มีภาระแบบนั้นด้วย
เพื่อนร่วมต่อสู้ที่รู้ใจกันสักคนหาไม่ได้ง่าย ๆ เมื่อก่อนซ่งจื้อฉุนกับเขาทำงานเข้าขากันดี แต่ตอนหลังซ่งจื้อฉุนเลื่อนขึ้นมาเป็นรองอธิบดี นำทีมด้วยตัวเอง ทั้งสองจึงไม่มีโอกาสออกไปปฏิบัติภารกิจด้วยกันอีก ต่อมาภายหลัง จงอวี๋อีก็ไม่ไหว คั่นเฉาเซิงนิสัยบุ่มบ่ามเกินไปยิ่งไม่ได้ใหญ่ เหออวี้พอไปวัดไปวาได้ แต่เนื่องจากเขาเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในทีมสอง จึงควรได้รับโอกาสให้ไปมีบทบาทในงานที่สำคัญกว่า ส่วนใหญ่แล้วเหออวี้จึงพาคั่นเฉาเซิงออกไปปฏิบัติภารกิจด้วยกัน
ตงจื้อเป็นเหมือนดาวดวงใหม่ที่ค่อย ๆ ทอประกาย หลงเซินนึกว่าผลงานของอีกฝ่ายทำให้เขาประหลาดใจได้แล้ว แต่ตงจื้อก็มักทำให้เขาแปลกใจได้ยิ่งกว่าเสมอ
ตอนนั้นเขาสาละวนอยู่กับการปิดผนึกช่องทางอเวจี หายตัวไปเสียนาน ตงจื้อคงคิดว่าเขาไปเจอเหตุสุดวิสัยเข้า แต่นอกจากอีกฝ่ายไม่ได้ขาดสติหรือหมดกำลังใจในการต่อสู้แล้ว ยังยืนหยัดอยู่ได้จนกระทั่งเขากลับมา เทียบกับชายหนุ่มที่ตกใจหน้าซีดทำอะไรไม่ถูกตอนพบกันบนรถไฟครั้งแรกคนนั้น ตงจื้อเติบโตขึ้นมาก ซึ่งนับจากตอนนั้นก็เพิ่งผ่านไปแค่ปีเดียวเท่านั้น
หลงเซินถือโอกาสเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าอีกฝ่าย ตงจื้อเหมือนรับรู้ได้ถึงสภาพจิตใจของเขา จึงเอียงหน้าคลอเคลียฝ่ามือ ไม่มีการกระทำที่ใกล้ชิดนอกเหนือไปกว่านั้น ทั้งสองนั่งใต้ต้นไม้ เพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาอันสงบสุขที่หาได้ยาก
จากคำพูดสั้น ๆ ไม่กี่ประโยคของเขา ตงจื้อเห็นถึงคลื่นใต้น้ำที่ปั่นป่วนอยู่ภายใต้ความเงียบสงบ
“อาจารย์ เรื่องศิลามีความคืบหน้าแล้วใช่ไหมครับ”
หลงเซินเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็บอกข่าวที่น่าตกใจออกมา “ติงหลานทีมสามไปญี่ปุ่นกับอวี๋ปู้หุ่ยแล้วก็หลี่อิ้งแล้ว”
ตงจื้อตกตะลึงเล็กน้อย ตามมาด้วยอาการสูดลมหายใจเย็น ๆ เข้าปาก
แผ่นดินจีนกว้างใหญ่ ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตามหาศิลาไม่กี่หลักบนพื้นที่ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร แม้ว่าตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าศิลาอาจซ่อนอยู่บนชีพจรมังกร แต่ชีพจรมังกรมีทั้งเล็กทั้งใหญ่ โยงใยสลับซับซ้อน อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่เทือกเขาคุนหลุนก็ทอดยาวไปหลายพันลี้ ภูมิประเทศหลากหลาย มีความเป็นไปได้ทุกหนแห่ง
อีกอย่าง ตอนนี้โอโตวะ ยาซูฮิโกะ อยู่คนละฝั่งกับสนอย่างเห็นได้ชัด ขนาดปีศาจฟ้าที่สนต้องการฟื้นคืนชีพ โอโตวะยังไม่เห็นอยู่ในสายตา ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่เขาต้องการปลดปล่อยออกมาจากการทำลายค่ายยันต์สะกดปีศาจจะต้องมีพลังมากกว่าปีศาจฟ้าเป็นแน่ แทนที่พวกเขาจะค้นหาศิลาแบบงมเข็มในมหาสมุทรต่อไป วิธีที่ได้ผลที่สุดคือการบุกไปฆ่าโอโตวะ ยาซูฮิโกะ ถึงรัง ถ้าไม่ฆ่าก็ต้องหาแหล่งที่มาของพลังอีกฝ่ายให้เจอ เมื่อแก้ไขที่ต้นตอแล้ว ปัญหาอื่น ๆ ย่อมสิ้นสุดลงและคลี่คลายไปโดยปริยาย
อวี๋ปู้หุ่ย ตงจื้อเคยได้ยินชื่ออยู่สองสามหน แต่ไม่ได้สนิทสนม รู้แค่ว่าเขาเป็นบุคลากรฝีมือเยี่ยมอีกคนในกรมจัดการคดีพิเศษ ติงหลานเป็นผู้ช่วยของซ่งจื้อฉุน เวลาที่รองอธิบดีซ่งไม่อยู่ในทีมสาม ติงหลานจะเป็นผู้รับผิดชอบทีม ตงจื้อจำได้อีกว่า ตอนแรกที่กรมจัดการคดีพิเศษแบ่งการฝึกอบรมออกเป็นสองทีม เขากับพวกฉือปั้นเซี่ยไปอัญเชิญวิญญาณกับจงอวี๋อี ส่วนหลี่อิ้ง หลิวชิงปัว และคนอื่น ๆ ตามติงหลานไปตะลุยสุสาน
แน่นอนว่าทั้งสามไม่ใช่บุคคลไร้ความสามารถ แต่ถึงยังไงญี่ปุ่นก็เป็นถิ่นของโอโตวะ ยาซูฮิโกะ การไปของพวกเขาครั้งนี้ย่อมเต็มไปด้วยอันตราย
ตงจื้ออดถามไม่ได้ “งั้นตอนนี้พวกเขา…”
หลงเซินบอก “นี่เป็นการตัดสินใจภายในสำนักงานใหญ่ ฉันไม่เห็นด้วย แต่คนส่วนใหญ่คิดว่าลองดูได้ พวกติงหลานกับอวี๋ปู้หุ่ยก็อาสานำทีมเอง ก่อนหน้าที่เราจะมา พวกเขาน่าจะออกเดินทางกันแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราว”
ออกเดินทางเมื่อไหร่ ออกเดินทางจากที่ไหน สิ่งเหล่านี้เป็นความลับสุดยอดซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ออกปฏิบัติหน้าที่ตลอดเวลา ไม่ใช่สิ่งที่คนระดับตงจื้อจะถามเอาความได้ เขาจึงไม่ได้ซักไซ้ต่อ
หลงเซินกดมือเขาเพื่อตรวจสอบ อึดใจต่อมาก็ถอนหายใจเบา ๆ อย่างโล่งอก
“คุณไสยของนายถอนออกหมดแล้ว” นี่เป็นข่าวดีที่สุดของการเดินทางครั้งนี้ แม้แต่หลงเซินยังอดรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกไม่ได้ “เราช่วยเขมทัตส่งสินชัยกลับไปก่อน มีคนที่มาจากทั่วโลกกำลังรอพวกเราไปประชุมที่กรุงเทพฯ นายก็เข้าไปฟังด้วยกันเลย”
ตงจื้อไม่มีข้อโต้แย้ง
เมื่อบ่วงที่รัดคอถูกตัดขาด บาดแผลต่าง ๆ ที่เหลืออยู่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรแล้ว
หลังหมอกสีดำสลายไป ท้องฟ้ายังคงสวยสดใสดังเดิม ดวงอาทิตย์โผล่พ้นหลังก้อนเมฆ ในบริเวณที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร รัตติกาลไม่อาจทานทนต่อการแสดงตนของแสงอาทิตย์ได้จึงไม่ยอมเยื้องกรายมาเสียที ตงจื้อเพิ่งรู้สึกตัว ตั้งแต่ที่พวกเขามาถึงหมู่บ้านแสนตาจนถึงตอนนี้ เพิ่งผ่านไปเพียงวันเดียวเท่านั้น
เวลาหนึ่งวัน แต่เหมือนเดินผ่านยมโลกมาแล้วหนึ่งรอบ เอาชีวิตรอดจากอันตราย จากความตายสู่ความเป็น
มีคนที่เสียชีวิตไป มีคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ แต่ทุกอย่างยังไม่จบสิ้น คนที่มีชีวิตอยู่ยังต้องสู้ต่อไป
“สุขสันต์วันเกิด” เขาได้ยินหลงเซินบอกแบบนั้น
ตงจื้อตะลึงงันไปชั่วขณะ ก่อนตระหนักได้ทันทีว่าวันนี้เป็นวันตงจื้อที่อยู่ในคาบฤดูกาลทั้งยี่สิบสี่ และเป็นวันเกิดของเขา
“อธิษฐานสิ ฉันเห็นวันเกิดทีไร คนอื่น ๆ ต้องขอพรกันทั้งนั้น” หลงเซินบอก
ไม่มีเค้ก ไม่มีเทียน แต่คนที่รักสุดหัวใจอยู่ข้างกาย ตงจื้อคิดว่าปีนี้ตนได้รับของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว
เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนบอก “หวังว่าจากนี้ไปทุก ๆ ปี ทุก ๆ วันเกิดจะได้ใช้เวลาร่วมกันกับอาจารย์”
หลายปีมานี้สนฝึกอวิชชามากมาย ในบรรดาวิชาเหล่านั้นเต็มไปด้วยวิชามนตร์ดำอันน่าสะพรึง ทั้งใช้กายหยาบและวิญญาณมนุษย์เป็นตัวล่อ เขาไม่เกรงกลัวที่จะขับเคลื่อนความชั่วร้ายในสันดานมนุษย์ไปให้ถึงขีดสุด สำหรับเขา การพรากชีวิตผู้คนไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร หลังโดนเขาฆ่าตาย ร่างของหลาย ๆ คนถูกใช้เป็นภาชนะ แม้กระทั่งวิญญาณก็ถูกจองจำตลอดกาล แต่ปีศาจฟ้าที่เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่ออัญเชิญมากลับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ไม่ลังเลที่จะฆ่าเขาเลยสักนิด ไม่รู้ว่าหลังตายไปแล้วเขาจะรับรู้และรู้สึกยังไง
ตอนนี้บรรดาขวดไหและวิชาชั่วร้ายเหล่านั้นที่กลายเป็นซากปรักหักพังพร้อมกับที่นี่ล้วนถูกทำลายสิ้น ไม่เหลือร่องรอยใด ๆ ประหยัดเวลาพวกเขาในการสะสางปัญหาไปได้อีกเปลาะหนึ่ง เขมทัตปรับสภาพอารมณ์ให้เรียบร้อย เผาร่างของอาจารย์ตนในที่เกิดเหตุโดยมีตงจื้อกับหลงเซินอยู่เป็นเพื่อน
ไสยศาสตร์มีกรรมวิธีเฉพาะมากมายที่คนทั่วไปไม่รู้ ในสายตาของนักไสยศาสตร์ การตายไม่ใช่จุดจบของทั้งหมด ในวิชาไสยศาสตร์ มีอย่างน้อยนับร้อยวิธีที่ใช้ประโยชน์จากร่างมนุษย์เพื่อทำสิ่งต่าง ๆ เขมทัตไม่มีทางปล่อยให้อาจารย์ตนถูกผู้อื่นนำไปใช้ประโยชน์หลังจากเสียชีวิตจนไม่ได้รับความสงบสุข ด้วยเหตุนี้ถึงต้องรีบเผาศพและนำอัฐิกลับไป
ตอนที่ทั้งสามคนออกมา ไม่มีชาวบ้านในหมู่บ้านแสนตากล้าโผล่ออกมาขัดขวางสักคน พวกเขาทั้งหมดมองว่าพวกตงจื้อกับหลงเซินเป็นนักไสยศาสตร์ที่เก่งกาจยิ่งกว่า ย่าของสุขีที่โผล่มาก่อนหน้านี้ก็หายไปไหนแล้วไม่รู้
ตงจื้อเคยนึกอยากเจรจากับรัฐบาลท้องถิ่นให้พวกเขาเผาต้นฝิ่นให้ราบ แต่เขมทัตห้ามไว้ และบอกเขาว่าองค์การสหประชาชาติเคยนำเมล็ดพันธุ์พืชทดแทนเข้ามาหลายชนิด จับมือสอนให้ชาวบ้านพวกนี้ปลูกกาแฟและพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เพื่อทดแทนต้นฝิ่น แต่พวกชาวบ้านคิดว่าพืชทดแทนพวกนั้นทำเงินไม่เร็วเท่า ดังนั้นหลังจากเจ้าหน้าที่ขององค์การสหประชาชาติจากไปแล้ว พวกเขาก็แอบกลับมาลักลอบปลูกฝิ่นกันอีก ความจริงทางรัฐบาลออกมาตรการห้ามหลายครั้ง แต่ก็ห้ามไม่หวาดไม่ไหว อีกทั้งพื้นที่นี้ยังอยู่ใกล้ชายแดน ภูเขาสูง ป่าทึบ หากเผาต้นฝิ่นให้หมดเรื่องหมดราว แล้วชาวบ้านพวกนั้นหลบไปอยู่ในภูเขา พอเรื่องเงียบค่อยออกมา แบบนั้นสถานการณ์มีแต่จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น อาจถึงขนาดที่ทั้งหมู่บ้านไปร่วมมือกับพ่อค้ายาเสพติด กลายเป็นวงจรอุบาทว์ ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วรัฐบาลท้องถิ่นจึงทำได้แค่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่
ธรรมชาติของมนุษย์นั้นมีทั้งความดีในการช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความเต็มใจ มีทั้งความชั่วร้ายที่สนใจแต่ผลประโยชน์ตรงหน้า เห็นแก่ตัวอย่างถึงที่สุดด้วย หลงเซินกับตงจื้อไม่ได้ทำได้ทุกอย่าง พวกเขาฆ่าปีศาจตัวเป็น ๆ ได้ แต่ทำอะไรกับคนอ่อนแอที่จิตใจเปราะบาง ยินยอมเป็นทาสของปีศาจไม่ได้ คนประเภทนี้จัดการยังไงก็ไม่หมด ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังเป็นคนชาติอื่น ขนาดรัฐบาลของพวกเขาเองยังทำอะไรไม่ได้ อย่างมากพวกหลงเซินก็ทำได้แค่เจรจาในระดับรัฐบาล เฝ้าระวังพรมแดนระหว่างประเทศอย่างเข้มงวด ไม่ปล่อยให้ผลิตผลพวกนี้มีโอกาสหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศของตน
หลังออกจากหมู่บ้านแสนตา เดินทางหลายทอดมาจนถึงจังหวัดเชียงรายแล้ว ความรุ่งเรืองของอารยธรรมสมัยใหม่ก็ค่อยๆปรากฏทีละนิด ประสบการณ์ในหมู่บ้านแสนตาเปรียบเสมือนภาพลวงตาสำหรับตงจื้อ แต่เขารู้อย่างแน่ชัดว่าคนเหล่านั้นกับเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง แม้แต่พลังของปีศาจฟ้าที่หนีรอดไปได้ก็อาจกลายเป็นภัยแฝงเร้นในอนาคต
บ้านเกิดของสินชัยอยู่ที่จังหวัดเชียงราย เพื่อป้องกันไม่ให้นักไสยศาสตร์ที่เป็นศัตรูของอาจารย์สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ตามมารังควานเมื่อล่วงรู้ว่าอัฐิของสินชัยถูกนำกลับบ้านเกิด เขมทัตจึงตั้งใจแบ่งอัฐิของสินชัยออกเป็นหลายส่วน ส่วนหนึ่งนำไปลอยอังคารที่ทะเลสาบ ส่วนหนึ่งนำไปโปรยลงดิน และอีกส่วนหนึ่งโปรยไว้ที่หน้าป้ายหลุมศพของพ่อแม่เขา
หลังจัดการทั้งหมดนี้เสร็จ เขมทัตก็เดินทางมาที่กรุงเทพฯพร้อมกับพวกหลงเซินอีกครั้ง
ไม่ใช่แค่ประเทศจีน ช่วงนี้เกิดความวุ่นวายไปทั่วโลก ทีม 51 ของ CIA ที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้ยินว่าหลงเซินมาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงเสนอให้จัดการประชุมเป็นกรณีพิเศษก่อนจะมีงานชุมนุมแลกเปลี่ยนระดับโลก หลงเซินเห็นด้วย ตอนแรกสมาคมนักไสยศาสตร์มนตร์ขาวกำหนดให้สินชัยมาร่วมงาน แต่ตอนนี้สินชัยเสียชีวิตไปแล้ว เขมทัตลูกศิษย์ของเขาก็ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ จึงต้องมอบหมายให้ปรมาจารย์นักไสยศาสตร์ผู้ทรงคุณวุฒิอีกท่านมาเข้าร่วมแทน
ทีแรกตงจื้อนึกว่าทีม 51 เป็นทีมลำดับที่ 51 จากหน่วยงานไหนสักแห่ง แต่ต่อมาพบว่าไม่ใช่อย่างนั้นเลย
รหัส 51 นี้มีที่มาจากฐานทัพอากาศเขตที่ 51 ซึ่งลึกลับที่สุดในรัฐเนวาดาของสหรัฐฯ ว่ากันว่าที่นั่นมีการรวบรวมผลการวิจัยลึกลับทั้งหมดของสหรัฐอเมริกาที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน อารยธรรมนอกโลก ฯลฯ ทีม 51 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขต 51 สักเท่าไหร่ แต่การอ้างถึงรหัสนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนจินตนาการได้ถึงความไม่ธรรมดา ยากแก่การคาดเดาของมัน
แน่นอนว่านั่นสำหรับคนธรรมดา แต่ในสายตาของพวกหลงเซิน ทีม 51 ไม่ได้ลึกลับอะไรเลย ไม่มีอะไรมากไปกว่าหน่วยงานพิเศษเช่นเดียวกับกรมจัดการคดีพิเศษ สมาชิกของทีมมีผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งที่นั่นเรียกกันว่านักล่าปีศาจ และมีทีมวิจัยไฮเทคที่ประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ทั่วไป การฝึกในสถานการณ์จำลองซอมบี้ที่พวกตงจื้อเข้ารับการทดสอบก่อนเข้าทำงานก็เป็นผลงานจากการพัฒนาร่วมกันระหว่างทีม 51 กับกรมจัดการคดีพิเศษ ได้ยินว่าตอนนี้ประเทศอื่น ๆ อย่างอังกฤษ หรือฝรั่งเศส ก็ให้ความสนใจที่จะนำเข้าระบบนี้ด้วย กำลังมีการเจรจาต่อรองราคากันอยู่ หลังทราบเรื่องนี้ ตงจื้อได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่าระบบจำลองประเภทนี้ก็นำมาสร้างรายได้และทำธุรกิจได้ด้วย