[ทดลองอ่าน] ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง เล่ม 4 บทที่ 150

ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง

王女韶华

 

溪畔茶 ซีพั่นฉา เขียน

ภวิษย์พร แปล

 

— โปรย —

มู่หยวนอวี๋ที่เติบใหญ่อยู่ในเมืองหลวง
มาถึงวันที่ต้องเผชิญเหตุอับจนหนทาง
จำต้องลี้ภัยกลับมาสู่มาตุถูมิในดินแดนใต้เพื่อรักษาชีวิต
ผู้ที่ล่วงรู้ความลับสำคัญคือผู้ช่วยที่สำคัญ
เขาคือผู้ที่เปิดโอกาสให้มู่หยวนอวี๋หลบหนีออกจากเมืองหลวง
และเขายังเป็นผู้ฝาก “ขวดน้ำมันน้อย” ไว้กับมู่หยวนอวี๋
ชะตาชีวิตของมู่หยวนอวี๋ที่ต้องคิดหาวิธีล้างมลทิน รักษาชีวิตตัวเอง
ค้นหาตัวผู้บงการซึ่งอยู่เบื้องหลังเหตุร้ายทั้งหมด
และยังต้องดูแล “ขวดน้ำมันน้อย” จะเป็นอย่างไร

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

บทที่ 150

 

บางทีอาจเป็นเพราะ การพาขวดน้ำมันน้อย[1]กลับมาจาก เมืองหลวงอยู่นอกเหนือแผนการของมู่หยวนอวี๋อย่างสิ้นเชิง พอนางล้มตัว ลงนอนบนเตียงจึงอดพลิกไปพลิกมาไม่ได้…แต่ครู่เดียวก็หลับสนิท

ตอนนี้ร่างกายที่เหนื่อยง่ายเหม่อลอยง่ายนี้ไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่ง ของนางสักเท่าไหร่ และนางเองก็จนปัญญาเหมือนกัน

หลับฝันหวานไปตื่นหนึ่งก็ตื่นขึ้นมา จางหมัวหมัวได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงเข้ามาปรนนิบัตินางสวมเสื้อผ้า เพียงไม่นานพระชายาเตียนหนิงอ๋องก็ตามเข้ามาด้วย

พระชายาเตียนหนิงอ๋องพยายามกล่อมตัวเองให้ยอมรับ แต่ถึงอย่างไร ก็ไม่อาจปล่อยวางได้เร็วขนาดนั้น พอเข้ามาแล้วก็ดึงตัวนางมาซักถาม อีกคำรบ “อวี๋เอ๋อร์ เจ้ากับเขามีความสัมพันธ์กันวันไหน หลังจากนั้นระดู ก็หยุดไปหรือ”

มู่หยวนอวี๋ที่ยกมือกุมหน้าพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายแล้วก็ย้อนนึกถึง วันที่ที่แน่นอนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกมารดาไป

พระชายาเตียนหนิงอ๋องตัดใจดุด่านางไม่ลง แต่ฟังแล้วก็อดใจไม่ไหว จึงจิ้มหน้าผากนาง “เจ้าเลอะเลือนอะไรอย่างนี้ ไม่มีระดูมาสองเดือนแล้ว กลับยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ หากข้าไม่พูดถึง เจ้าคงยังอยู่ในฝันกระมัง”

“เพราะว่ารีบร้อนเดินทางกลับมา ข้าเลยไม่ทันนึกถึง” มู่หยวนอวี๋ ออดอ้อนอย่างน่าสงสาร “พวกสาวใช้ส่วนใหญ่ล้วนแยกตัวไปจากข้า เลยไม่มีคนช่วยเตือนข้า”

พระชายาเตียนหนิงอ๋องนึกขึ้นได้ว่ามู่หยวนอวี๋รีบร้อนจากมาเพราะ เรื่องของหลิ่วฮูหยิน…แม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ขณะที่ต้องเผ่นหนี กลับมาอย่างไม่คิดชีวิตทำให้ไม่รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ ตลอดทางมานี้ไม่รู้ว่า มู่หยวนอวี๋ต้องลำบากมากแค่ไหน ก็ใจอ่อนยวบ “เอาละ เรื่องมาถึงขั้นนี้ แล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวอีก เจ้าแค่บอกแม่มาว่าเจ้าคิดจะทำอย่างไรกับเด็ก คนนี้ จะเก็บไว้หรือจะเอาออก ทุกอย่างตามใจเจ้า”

มู่หยวนอวี๋ได้ยินคำว่า “เอาออก” หัวใจก็บีบรัด หมอยังไม่ได้มาจับ ชีพจรให้นาง นางจึงยังไม่แน่ใจว่าตัวเองท้องจริงหรือไม่ หากจะบอกว่าตอนนี้ นางบังเกิดความรักใคร่ของมารดาต่อก้อนเนื้อที่อาจถือกำเนิดขึ้นมาในท้อง ก็คงไม่ถึงขั้นนั้น แต่หากจะบอกให้นางเอาเด็กออก จิตสำนึกของนางกลับ ตัดทางเลือกนี้ทิ้งทันที

กินยาหลังจากมีความสัมพันธ์กับเอาเด็กออกหลังจากท้องแล้ว จริง ๆ คือสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

พระชายาเตียนหนิงอ๋องเห็นสีหน้าของนางก็รู้คำตอบแล้ว “ข้ารู้แล้ว จะไปบอกให้คนเชิญหมอจากข้างนอกมา เจ้าอย่าเพิ่งลุก หลบอยู่ในห้องนี้ ก่อน เรียกหมอมาตรวจอาการ หากแน่ใจแล้ว ข้าค่อยบอกพ่อของเจ้า”

มู่หยวนอวี๋ดึงมือนางเอาไว้ “ท่านแม่ ท่านจะพูดว่าอย่างไร”

พระชายาเตียนหนิงอ๋องตบหลังมือของนางเป็นการปลอบใจ “แค่ บอกให้รู้ไว้เท่านั้น ถึงอย่างไรเรื่องแบบนี้ก็ต้องบอกเขาสักคำ วางใจเถอะ ข้าจะไม่ให้เขาตำหนิเจ้าเด็ดขาด ดูจากเรื่องโง่ ๆ ที่เขาทำไว้ ยังจะมีหน้ามา ตำหนิเจ้าได้อย่างไร!”

นางพูดจบก็เดินออกไป มู่หยวนอวี๋ทำหน้ากลัดกลุ้มหดตัวกลับ เข้าไปในเตียงอีกครั้ง

จางหมัวหมัวช่วยเอาม่านมุ้งลงให้บดบังตัวนางไว้อย่างมิดชิด แค่บอกให้นางยื่นมือออกมา

เพียงไม่นานหมอก็เข้ามา หมอคนนี้ไม่เคยมาจวนอ๋อง แต่ก็เป็น หมอฝีมือดีที่พระชายาเตียนหนิงอ๋องสืบมาได้ว่ามีฉายามือปาฏิหาริย์คืนชีพ เขากดข้อมือของมู่หยวนอวี๋อย่างตั้งใจครู่หนึ่งก็บอกให้นางเปลี่ยนมือ หลังจากจับชีพจรที่มือทั้งสองข้างแล้วก็ลุกขึ้น ค้อมตัวแล้วกล่าวว่า “ยินดีกับพระชายาด้วย ฮูหยินน้อยท่านนี้มีชีพจรมงคลจริง ๆ เกือบจะ สองเดือนแล้ว”

เขาไม่รู้สถานะของมู่หยวนอวี๋ ไม่รู้ว่าควรจะเรียกนางว่าอย่างไร แต่ หากอนุมานตามหลักเหตุผลแล้ว คนที่ตั้งครรภ์ย่อมต้องแต่งงานแล้ว ดังนั้นจึงเรียกว่า “ฮูหยินน้อย”

พระชายาเตียนหนิงอ๋องไม่ได้อธิบายความ แต่รีบกล่าวว่า “ร่างกาย ของนางเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนหน้านี้ไม่รู้ตัวจึงไม่ทันบำรุงรักษาตัวเองให้ดี จะมีปัญหาหรือไม่”

หมอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ชีพจรของฮูหยินน้อยท่านนี้ไหลลื่น ดุจไข่มุก มีพละกำลังเปี่ยมล้น พื้นฐานร่างกายแข็งแกร่งอย่างที่สตรีน้อยคน นักจะมีได้ หลังจากนี้หากครรภ์เติบโตขึ้นแค่ระวังให้มากหน่อย”

พระชายาเตียนหนิงอ๋องวางใจได้แล้วจึงเอ่ยยิ้ม ๆ “แบบนี้ย่อมดี มีเทียบยาบำรุงครรภ์อะไรดี ๆ ขอท่านหมอโปรดเขียนไว้ให้หน่อย”

จางหมัวหมัวพาตัวหมอออกไปเขียนเทียบยา ขณะที่จ่ายค่ารักษา เป็นเงินก้อนใหญ่ก็ขอให้เขาช่วยปิดปากให้สนิท จวนเตียนหนิงอ๋องคือ ผู้มีอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในแถบอวิ๋นหนาน หากจะบอกว่าเป็นผืนฟ้าที่กดทับ เหนือศีรษะก็ไม่เกินจริง หมอคนนี้เป็นแค่ชาวบ้านตัวเล็ก ๆ ต่อให้กิน ดีเสือเข้าไปก็ไม่กล้าเอาเรื่องในตระกูลมู่ไปแพร่งพราย แล้วนับประสาอะไร กับที่เดิมทีเขาก็ไม่รู้อยู่แล้วว่าคนที่ตนตรวจโรคให้เป็นใคร คิดจะเอาไป เล่าลือก็ไม่รู้ว่าควรจะเล่าจากไหน ตอนนี้ได้รับเงินค่าตรวจมาก้อนใหญ่ จึงรีบตกปากรับคำแล้วจากไป

มู่หยวนอวี๋ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ลูบคลำท้องน้อยแล้วเหม่อลอย

มีจริง ๆ หรือนี่…

เมื่อได้รับการยืนยันจนแน่ใจแล้ว นางก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อมากอยู่ดี

ในห้องไม่มีคนนอก นางอดใจไม่ไหวจึงเลิกเสื้อขึ้นมองหน้าท้อง ของตัวเอง เห็นเพียงผิวขาวนวลเนียน เพราะท่านั่งของนางทำให้ท้องป่อง ออกมาเล็กน้อย แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้

พระชายาเตียนหนิงอ๋องหันมาเห็นท่าทางที่เต็มไปด้วยความเป็นเด็ก ของนาง ก็รู้สึกทั้งสงสารทั้งรักใคร่และเอ็นดู…ยังเป็นเด็กอยู่เลย จู่ ๆ ต้อง มาเป็นแม่คนแล้ว ล้วนเป็นความผิดขององค์ชายรองคนขี้โรคผู้นั้น เขาไม่รู้จัก ยับยั้งชั่งใจบ้างเลย!

“เอาเสื้อลงได้แล้ว ระวังโดนลมแล้วจะเป็นไข้เอาได้” พระชายา เตียนหนิงอ๋องเดินมาหา ช่วยดึงเสื้อลงให้นางพลางสั่งสอนไปด้วย “ตอนนี้ ยังเร็วอยู่มาก ผ่านไปอีกสองสามเดือนถึงจะปรากฏชัดว่าตั้งครรภ์ บางคน ก็ช้ากว่านั้น อาจจะใช้เวลานานหน่อย”

มู่หยวนอวี๋กล่าว “อ้อ…”

“เจ้าอยู่ที่นี่แหละ ข้าจะไปพบพ่อของเจ้า”

มู่หยวนอวี๋ยังคงสับสนคิดไม่ตกเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องบอกเตียนหนิงอ๋อง แต่จะไม่บอกเขาก็ไม่ได้ ต่อให้นางจะปิดบังอำพรางได้อย่างไร้ช่องโหว่ ขนาดไหน แต่ร่างกายนางกลับหลอกคนอื่นไม่ได้ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ เมื่อคืนพอนางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจึงเลือกจะบอกพระชายาเตียน- หนิงอ๋องทันที

แต่หากจะให้ไปบอกเตียนหนิงอ๋อง นางก็ยังรู้สึกว่า เอ่อ กระอัก- กระอ่วนอยู่ดี…

ดังนั้นเมื่อพระชายาเตียนหนิงอ๋องบอกว่าจะออกหน้าแทน นางจึง ยอมเชื่อฟัง

 

 

เรือนหน้า

เตียนหนิงอ๋องเพิ่งจะดื่มยาเสร็จ

เขานอนอยู่บนเตียง เดิมทีควรย้ายกลับไปที่เรือนหรงเจิ้งให้พระชายา เตียนหนิงอ๋องดูแล แต่พระชายาเตียนหนิงอ๋องกลับไม่ใคร่จะสนใจเขานัก ส่วนเขาเองก็ทนเห็นใบหน้าเย้ยหยันคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของพระชายา เตียนหนิงอ๋องทั้งวันไม่ได้ บวกกับที่ตอนมู่หยวนอวี๋ยังไม่กลับมา เขามีงานหลวงติดพันไม่อาจละมือ แถมยังต้องออกไปพบผู้ใต้บังคับบัญชาที่ออกไปทำงานนอกเขตตลอดเวลา การอยู่ในเรือนหลังจึงไม่สะดวก ด้วยเหตุผลหลากหลายประการทับซ้อนกัน เขาจึงยังพักรักษาตัวอยู่ในห้องข้างห้องหนังสือของเรือนหน้าที่ถูกแยกออกมา

ได้บุตรชายที่รักมา แต่กลับต้องสูญเสียไปอีกครั้ง นับเป็นการโจมตี ที่รุนแรงและใหญ่หลวงสำหรับเขา เขารักษาตัวอยู่นานก็ยังไม่มีทีท่าว่า จะดีขึ้น เปลี่ยนหมอมาไม่รู้กี่คนต่อกี่คน หมอเหล่านั้นบ้างก็บอกอย่าง ชัดเจน บ้างก็บอกอย่างคลุมเครือ สุดท้ายก็มักจะหนีไม่พ้นคำพูดประเภทว่า “ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย” หรือไม่ก็ “โรคทางใจต้องรักษาด้วยยาทางใจ” ไป ๆ มา ๆ เตียนหนิงอ๋องก็รู้ว่า ตัวเขาเองต้องปลงให้ตก ไม่อย่างนั้นต่อให้ กรอกยาของเทพเซียนเข้าไปก็ไม่มีประโยชน์

แต่เขากลับปลงไม่ตก

ทุกครั้งที่พวกหมอพูดครั้งหนึ่งกลับเหมือนจ้วงมีดแทงเข้าจุดเจ็บปวด ของเขาครั้งหนึ่ง

อาการป่วยของเขารุมเร้าลากยาวมาตั้งแต่ก่อนปีใหม่จนถึงหลัง ปีใหม่ ทว่าจวนอ๋องไม่เคยขาดแคลนยาล้ำค่าอย่างโสมคนหรือเห็ดหลินจือ ต่อให้อาการป่วยของเขาไม่ดีขึ้น แต่ก็ไม่เลวร้ายลง

ได้ยินเสียงพระชายาเตียนหนิงอ๋องเดินเข้ามา เขาก็เปิดเปลือกตา ขึ้นมอง ก่อนจะหลุบลงไปอีกครั้ง ไม่มีอารมณ์จะพูดคุย

เป็นสามีภรรยากันมาจนถึงทุกวันนี้ พูดคุยกันไม่ถูกคอ เห็นหน้า ก็รังเกียจกัน ทุกอย่างล้วนอาศัยลูกและผลประโยชน์ประคับประคองเอาไว้

พระชายาเตียนหนิงอ๋องเข้ามาแล้วก็ไม่พูดอะไรเกินความจำเป็น นาง ไล่ข้ารับใช้ทั้งหมดออกไปแล้วพูดเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมา “อวี๋เอ๋อร์ ท้องแล้ว ต้องพักบำรุงครรภ์ จะเหน็ดเหนื่อยอีกไม่ได้ เรื่องเละเทะกองนั้น เจ้ารับกลับมาทำเองเถอะ”

เตียนหนิงอ๋อง “…!”

มีประโยคหนึ่งที่อธิบายสภาพของเขาในเวลานี้ได้เหมาะสมยิ่ง… ผุดลุกขึ้นนั่งอย่างตกตะลึงแม้จะป่วยใกล้ตาย

หน้าต่างในห้องปิดสนิทม่านถูกปล่อยลงมา ไม่มีกลิ่นอายความสดชื่นของยามเช้าตรู่เลยแม้แต่น้อยในความมืดสลัวอึมครึมนี้เขาแทบ ไม่ทันได้โกรธเคืองก็ต้องดีดตัวลุกขึ้นมาเสียก่อน “บำ…บำรุงอะไรนะ ครรภ์อะไร…ซี้ด!”

เขากัดลิ้นตัวเอง

พระชายาเตียนหนิงอ๋องไม่มีความเห็นใจแม้แต่น้อย “เอาตามนี้ แหละ เจ้าห้ามด่าว่าอวี๋เอ๋อร์ แล้วก็ไม่ต้องถามให้มากความ นางเป็นสตรี หน้าบาง ทนรับการซักไซ้ของเจ้าไม่ได้”

ภายในสมองของเตียนหนิงอ๋องบังเกิดเสียงดังอื้ออึง คล้ายเพิ่งถูก คนทุบมาหนัก ๆ จนมีดาวสีทองหมุนติ้ว ๆ อยู่ตรงหน้า เขาชี้หน้าพระชายา เตียนหนิงอ๋องแล้วกล่าวอย่างเดือดดาลสุดขีด “เจ้า ล้วนเป็นเจ้าที่ตามใจ นาง ถึงขนาดนี้แล้วก็ยังตามใจนาง! แม้แต่จะถามก็ไม่ยอมให้ข้าถาม คนสารเลวคนใดที่ทำร้ายนางก็น่าจะบอกให้ข้ารู้บ้างกระมัง! หากข้าไม่ได้ ถลกหนังมันทั้งเป็นก็ไม่ใช่คนแซ่มู่!”

เขาโมโหเดือดดาลปานนี้ถึงจะเหมือนท่าทีของคนเป็นบิดาอยู่บ้าง พระชายาเตียนหนิงอ๋องแค่นเสียงหึเบา ๆ หนึ่งที “เป็นเชื้อพระวงศ์ เจ้าไป ถลกหนังเขาเข้าสิ”

เตียนหนิงอ๋อง “…” เขามีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาทันที อีกทั้ง ยังสามารถพูดชื่อของ “คนสารเลว” ออกมาได้อย่างแม่นยำ “จูจิ่นเซิน”

พระชายาเตียนหนิงอ๋องตอบ “ใช่”

เตียนหนิงอ๋องเหม่อลอย

หาตัวผู้ต้องสงสัยได้ไม่ยากนัก เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้เขาก็ยังไม่กล้า เรียกตัวมู่หยวนอวี๋ให้กลับมาช่วย นั่นก็ไม่ใช่เพราะติดที่จูจิ่นเซินรู้ความลับ ของนางหรอกหรือ ปัญหาก็คือ…หลังจากรู้ตัวคนทำแล้วจะทำอย่างไรต่อ

“เขาบีบบังคับอวี๋เอ๋อร์รึ” ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงถามขึ้นอย่างอัดอั้น

“ฟังจากน้ำเสียงของอวี๋เอ๋อร์แล้วคงไม่ใช่” พระชายาเตียนหนิงอ๋องเอง ก็อารมณ์ไม่ดี กล่าวอย่างอัดอั้นพอ ๆ กัน “ข้าว่านางดูจะเต็มใจมากด้วยซ้ำ แล้วก็จะเก็บเด็กไว้ด้วย

“เก็บไว้ก็เก็บไว้เถอะ เอาออกจะทำร้ายร่างกายมากเกินไป อวี๋เอ๋อร์ ยังเด็กขนาดนี้” พระชายาเตียนหนิงอ๋องปลอบใจตัวเอง “คลอดมาแล้วก็เรียกข้าว่าท่านยาย เรียกเจ้าว่าท่านตา ถึงอย่างไรก็เป็นลูกของอวี๋เอ๋อร์”

เตียนหนิงอ๋องบรรเทาอารมณ์โกรธเกรี้ยวลงได้บ้างเล็กน้อย แต่ฝืน ตัวเองไม่ไหวจึงเอนหลังกลับลงไปบนหมอนด้วยตัวเอง นอนมองม่านมุ้ง ที่อยู่ด้านบนแล้วเหม่อลอยอีกครั้ง

พระชายาเตียนหนิงอ๋องเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาก็ไม่พอใจอย่างมาก “เจ้าคิดอะไรอยู่ ไม่ว่าเด็กคนนี้จะมีที่มาอย่างไรก็มีสายเลือดตระกูลมู่ ของพวกเจ้าครึ่งหนึ่ง เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเลือกมาก! หากไม่เป็นเพราะสตรี ที่เจ้ารักสุดจิตสุดใจผู้นั้นก่อเรื่อง อวี๋เอ๋อร์ของข้าก็ยังได้อยู่ในเมืองหลวง แล้วก็ไม่มีทางเกิดเรื่องนี้ขึ้น!”

เตียนหนิงอ๋องตบข้างเตียงอย่างหงุดหงิด “อย่าเสียงดัง จู่ ๆ อวี๋เอ๋อร์ เป็นแบบนี้ เจ้าก็น่าจะให้เวลาข้าคิดบ้างกระมัง!”

พระชายาเตียนหนิงอ๋องจึงเงียบไป ผ่านไปพักหนึ่งก็กล่าวอีกว่า “เจ้าค่อย ๆ คิดเถอะ ถึงอย่างไรก็ห้ามออกไปหาเรื่องอวี๋เอ๋อร์ ตอนนี้นาง ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ควรพักผ่อนอย่างสงบ”

แล้วนางก็หมุนตัวเตรียมจะเดินออกไป แต่เตียนหนิงอ๋องกลับเรียก นางไว้ “เรียกอวี๋เอ๋อร์เข้ามา ข้ามีเรื่องจะถามนางสองสามคำ”

พระชายาเตียนหนิงอ๋องกลัวว่าเขากำลังหาทางระบายโทสะที่อัดแน่น อยู่เต็มอก จึงเอ่ยปฏิเสธ “ข้าพูดกับเจ้าชัดเจนแล้ว ยังมีอะไรให้ต้อง ถามอีก ถึงอย่างไรเรื่องก็เป็นอย่างนี้แล้ว นับจากนี้ไปอวี๋เอ๋อร์ไม่มีทาง กลับไปเมืองหลวงอีกแน่ พวกเราช่วยกันเลี้ยงเด็กคนนี้ก็พอ ไม่มีใคร มาแย่งด้วย มีแค่ครอบครัวเรา ข้าว่าก็ดีมากเหมือนกัน”

“เจ้าเป็นสตรีจะไปเข้าใจอะไร…” เตียนหนิงอ๋องหลุดปากพูด ประโยคนี้ไป แต่พอเห็นสีหน้าไม่เป็นมิตรของพระชายาเตียนหนิงอ๋อง ก็รีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “ข้าไม่ด่านางหรอกน่า นางอยากจะคลอด ก็ตามใจนาง แต่จะคลอดอย่างไรก็ต้องปรึกษากันก่อนกระมัง อยู่ดี ๆ ซื่อจื่อจะท้องโตได้อย่างไร อีกอย่างนางจะมอบงานในมือให้ข้าก็ต้องมา อธิบายให้ข้าฟังก่อนสิ”

พระชายาเตียนหนิงอ๋องได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ก็กล่าวว่า “ก็ได้ ข้า จะไปเรียกนางมาเดี๋ยวนี้ แต่ข้าจะเฝ้าอยู่ข้างนอก หากเจ้าดุด่านาง ข้าก็ ไม่สนว่าเจ้ามีเรื่องที่ต้องการคำอธิบายมากน้อยแค่ไหน จะพานางไปทันที ส่วนเจ้าก็ปวดหัวอยู่กับตัวเองไปเถอะ”

พูดจบนางก็เดินเชิดหน้าจากไป

เตียนหนิงอ๋องไม่มีเวลามาสนใจ เพราะเขากำลังใคร่ครวญเรื่อง ในใจตัวเอง

เรื่องนี้อยู่นอกเหนือจากการคาดการณ์ของเขาไปอย่างสิ้นเชิง ชั่วขณะ แรกที่ได้ยิน ประโยคหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจ…บุตรชายหญิงล้วนคือหนี้จริง ๆ

บุตรชายตัวขาวอวบอ้วนถูกคนพาหนีไป เขาต้องเอ่ยปากสั่งฆ่า ด้วยตัวเอง ไม่ต่างจากถูกมีดเฉือนหัวใจ ผลกลับกลายเป็นว่าบุตรสาว ที่แต่ไหนแต่ไรมาเป็นคนหนักแน่นมีความสามารถกลับก่อเรื่องใหญ่ ไม่มี ช่วงเวลาใดที่เขาได้หยุดพักอย่างสงบเลยจริง ๆ

แต่อารมณ์ที่แทบจะโจมตีให้เขาแหลกสลายนี้ผุดขึ้นมาแค่ครู่เดียว ไม่นานหลังจากเขาเดาตัวตนของ “คนสารเลว” ผู้นั้นออก อารมณ์ก็เปลี่ยน ไปเป็นความกระสับกระส่ายแทน

หากมู่หยวนอวี๋ตั้งครรภ์บุตรชาย…

แผนการตั้งรับ ตำแหน่งอ๋องของเขาก็ยังมีผู้สืบทอด

แผนการโจมตี ตำแหน่งที่สูงส่งที่สุดซึ่งอยู่ไกลเป็นหมื่นหลี่นั้นก็ใช่ว่า ไปไม่ถึง…

เขาไม่ยอมมอบตำแหน่งอ๋องให้แก่บ้านของนายท่านรองมู่เด็ดขาด เดิมทีเพราะถูกบีบจึงคิดว่าจะมอบตำแหน่งกลับคืนไปให้แก่ราชสำนัก แต่ อยู่ดี ๆ เมฆหมอกเบื้องหน้าก็สลายไป หน้าผาที่คิดว่าเป็นทางตันกลับมี เส้นทางใหม่สองสายผุดขึ้นมา กลิ่นหอมของบุปผาโชยมาเป็นระลอก สกุณา ส่งเสียงร้องเสนาะหู ความเป็นไปได้อย่างใหม่ในชีวิตมาปูอยู่ตรงหน้าเขา

เตียนหนิงอ๋องมองม่านมุ้งหนาหนักสีดำมืด แต่แววตาของเขากลับ สว่างไสวขึ้นเรื่อย ๆ

 

[1] เปรียบเปรยถึงเด็กตัวเล็กๆ หรือตัวภาระใช้ในเชิงเอ็นดู

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า