เชิญร่ำสุรา
將進酒
ถังจิ่วชิง
唐酒卿
กอหญ้า แปล
“เกราะแขนอันนั้นไม่เลวนี่” เซียวฟางซวี่เหยียบราวกั้นไม้และนั่งลง
เห็นเซียวฉือเหย่หันกลับมา จึงเบี่ยงตัวมองสีหน้าของเขา
“ทำจากที่ใด ไม่ใช่แบบของฉี่ตง”
“ต้องไม่เลวอยู่แล้ว” เซียวฉือเหย่ทำท่าเหมือนกำลังพูดความลับ
“นั่นเป็นยันต์คุ้มภัยของข้า”
เซียวฟางซวี่ตอบรับว่า “อืม” อย่างไม่ใส่ใจนัก
จากนั้นถามต่อ “เป็นคนที่ใด คงมิได้ถูกเจ้าพาไปอยู่ค่ายเปียนปั๋วด้วยกระมัง
ที่นั่นมีแต่ผู้ชายหยาบกระด้าง นางอายุเท่าไรแล้ว”
เซียวฉือเหย่ย้อนถาม “นาง?”
เซียวฟางซวี่ฟังไม่เข้าใจ
เซียวฉือเหย่ถอยไปหลายก้าว
เซียวฟางซวี่หรี่ตา “เจ้าคงมิได้พาบุตรสาวสกุลฮวากลับมาด้วยหรอกนะ”
เซียวฉือเหย่ถอยหลังต่อไป พอเห็นบิดาทำหน้างุนงง
จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา มือปลดดาบหลางลี่และโยนไปด้านข้าง
“เซียวฉือเหย่!” เซียวฟางซวี่ตระหนักถึงความผิดปกติ “เจ้าบอกข้ามาตามตรง”
เซียวฉือเหย่พลันพูดเสียงดัง “เป็นผู้ชาย!”
“หา?” เซียวฟางซวี่สงสัยว่าตัวเองฟังผิด ถึงกับเอียงหูฟังอีกครั้ง
“ข้าหาผู้ชายกลับมาให้ท่าน!” แสงแดดสาดส่องใบหน้าเซียวฉือเหย่
ขับไล่ความหม่นหมองเมื่อวานออกไป เจ้าหนุ่มผู้นี้นิสัยเสียยิ่งนัก
ตะโกนอย่างท้าทาย “บุรุษที่งดงามที่สุดในต้าโจวก็คือภรรยาข้า!”
พูดจบก็ไม่รอให้เซียวฟางซวี่ตอบ หันหลังโกยอ้าวทันที
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 151
ล้อมจับ
ถูต๋าหลงฉีตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาหงเยี่ยนฝั่งตะวันออก อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของค่ายซาอี ทิศตะวันออกสามารถทะลุไปยังเปียนซาสิบสองเผ่า ก่อนหน้านี้ที่นี่มิใช่สถานที่ที่สองฝ่ายแย่งชิง แต่เมื่อแนวรบของหลีเป่ยถอยร่นไปอย่างต่อเนื่อง ที่นี่ก็กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่อยู่เหนือสนามรบ กองกำลังของหูเหอหลู่บุกจู่โจมด่านและหอสังเกตการณ์ด้านหน้าจนพังทลาย ค่ายพักแรมถาวรได้แต่ปักหลักอยู่ทางทิศตะวันตกของถูต๋าหลงฉีและรับมือกับพวกเขา สองฝ่ายมักทำสงครามวาจากันบ่อยครั้งโดยมีหนองน้ำในถูต๋าหลงฉีคั่นกลาง
เซียวฉือเหย่อ้อมมาจากค่ายเปียนปั๋ว ตอนนี้อยู่ทางทิศใต้ของค่ายพักแรมถาวร แต่ดินถล่มจนปิดกั้นทางม้าที่ตรงสู่ค่ายพักแรมถาวร ขวามือเป็นถูต๋าหลงฉี กองกำลังของฮาเซินป้วนเปี้ยนอยู่ที่นี่บ่อยครั้ง หากเซียวฉือเหย่ไม่ยอมทิ้งเสบียงและหนีไป เขาก็ได้แต่ขนเสบียงไปเผชิญหน้ากับฮาเซิน ทว่ารถขนเสบียงหนักเกินไป อาชาเหล็กของอูจื่ออวี๋จมลงในดินโคลนและวิ่งไม่ไหว ทหารรักษาพระองค์ก็ไม่มีอาชาเบาเพียงพอที่จะช่วยเหลือ สถานการณ์เช่นนี้การย้อนกลับไปถูต๋าหลงฉีอันตรายเกินไป
อูจื่ออวี๋อยากจะคัดค้าน แต่พวกเฉินหยางเบนหัวม้าแล้ว นั่นเป็นความไว้วางใจที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด พวกเขาทำตามคำสั่งของเซียวฉือเหย่โดยไม่มีเงื่อนไข ต่อให้ยามนี้เป็นช่วงเวลาของความเป็นความตาย ขอเพียงเซียวฉือเหย่ออกคำสั่ง พวกเขาก็จะลงมือทำทันที อูจื่ออวี๋ที่อยู่ในสถานการณ์ด้วยอดรู้สึกหนาวสะท้านมิได้
ตอนนี้เป็นยามเซินหนึ่งเค่อ เนื่องจากมีพายุฝน ท้องฟ้าจึงมืดครึ้ม กู่จินคุ้นเคยกับเส้นทางที่นี่ ขบวนขนส่งเสบียงเข้าไปในถูต๋าหลงฉี รถขนเสบียงบดทับแอ่งโคลนพร้อมเสียงทึบ หากไม่ระวังแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจล้มคว่ำ ทุกคนจึงตั้งสมาธิจดจ่อ ไม่กล้าสะเพร่าแม้แต่น้อย
เซียวฉือเหย่จะซ่อนรถขนเสบียงไว้ที่นี่
ต่อให้เป็นทหารม้าที่ห้าวหาญเพียงใดของเปียนซาก็ไม่มีทางเข้ามาในถูต๋าหลงฉีง่ายๆ สำหรับพวกเขา หนองน้ำเป็นสถานที่ที่รับมือยากเช่นกัน อีกทั้งสภาพอากาศเช่นนี้มิใช่เพียงเซียวฉือเหย่ที่ได้รับผลกระทบ ยังรวมถึงฮาเซินด้วย เหมิ่งไม่สามารถสืบข่าวทางทหารได้ นั่นหมายความว่าเหยี่ยวปีกแหลมก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน สองฝ่ายมีพายุฝนคั่นกลางจนเห็นความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามไม่ชัด ทำได้แค่อาศัยความคุ้นเคยกับสนามรบรับมือกับอีกฝ่าย ทว่าความสมดุลที่เปราะบางเช่นนี้จะคงอยู่เพียงแค่ช่วงเวลาที่มีพายุฝนเท่านั้น พอฝนหยุดเมื่อใด กองกำลังที่เซียวฉือเหย่มีอยู่ตอนนี้ย่อมมิอาจรับการโจมตีของฮาเซินได้
“อูจื่ออวี๋อยู่เฝ้ารถเสบียง” เซียวฉือเหย่ออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว “ให้ทหารม้าเหล็กแขวนโซ่เส้นใหญ่ ล้อมรถเสบียงไว้”
เส้นทางรอบๆ ถูต๋าหลงฉีเฉอะแฉะ เวลาฝนตกม้าเหล็กมีน้ำหนักมากเกินไป เกือกม้าจมลงในดินโคลนได้ง่าย การเฝ้ารถเสบียงจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะที่สุด โซ่หนักเส้นใหญ่เป็นสิ่งที่เซียวฟางซวี่เตรียมสำรองไว้ เวลาห้อยอยู่กับเกราะเหล็กสามารถเปลี่ยนม้าเหล็กให้กลายเป็น ‘เกราะ’ ของรถเสบียงได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ฮาเซินสามารถตีฝ่าการซุ่มโจมตีของเซียวฉือเหย่ เข้าสู่พื้นที่ตอนในของถูต๋าหลงฉี ก็มิอาจทำลายกำแพงเหล็กของทหารม้าเหล็กได้ทันที
เซียวฉือเหย่ยืนอยู่ที่เดิม พูดกับทหารรักษาพระองค์ “ทหารที่ฮาเซินนำมาเป็นชาวเผ่าฮั่นเสอ เคลื่อนไหวรวดเร็ว จู่โจมดุดัน พวกเราไล่ตามไม่ทันและขวางไม่อยู่ แต่ทิศตะวันออกที่พวกเขาอยู่เต็มไปด้วยไม้พุ่ม เหมาะเป็นที่ซ่อนตัวของพวกเรา ฝนตกเหยี่ยวปีกแหลมมิอาจออกลาดตระเวนได้ นี่เป็นโอกาส”
ฝ่ายตัวเองและฝ่ายศัตรูกำลังแตกต่างกันอย่างชัดเจน เซียวฉือเหย่มิอาจปล่อยให้กองกำลังของฮาเซินอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ทำอย่างนั้นเขาย่อมไม่มีโอกาสชนะ เขาแบ่งทหารรักษาพระองค์เป็นกลุ่มเล็กๆ คลำทางออกจากหนองน้ำของถูต๋าหลงฉีและขึงเชือกขวางม้า หมายจะกระจายกำลังของทหารม้าเปียนซาที่ไม่ได้เตรียมพร้อมออกไปรอบๆ ถูต๋าหลงฉี ขอเพียงทหารม้าเปียนซาร่วงตกจากหลังม้า พวกเขาย่อมสูญเสียข้อได้เปรียบ
“กู่จินต้องอ้อมกองกำลังของฮาเซินไป ควบม้าเร็วรุดไปยังเขตสมรภูมิ” เซียวฉือเหย่หันไปมองกู่จิน “เจาฮุยไม่มา แสดงว่าตอนนี้สามค่ายใหญ่หลิ่วหยางขยับตัวมิได้ สถานการณ์รบทางเหนือขึ้นไปอาจรุนแรงกว่าที่พวกเราคิด ตอนนี้ได้แต่ขอความช่วยเหลือจากเขตสมรภูมิ”
กู่จินเคยได้รับบาดเจ็บในถูต๋าหลงฉี ทั้งยังจดจำเส้นทางในถูต๋าหลงฉีได้ขึ้นใจ เขารับคำทันที พาหน่วยลาดตระเวนในชุดเบาล่วงหน้าไปก่อน
“เหลาหู่ขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ข้าจะไปทางตะวันออก เฉินหยางประจำการอยู่ที่นี่” เซียวฉือเหย่พูดพลางก้าวเท้า “ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขนเสบียงอาหารไปยังเขตสมรภูมิอย่างปลอดภัยให้ได้”
เฉินหยางติดตามเซียวฉือเหย่เดินทางไปหลายที่ รู้สถานการณ์ของเสบียงสำรองในพื้นที่ต่างๆ ของหลีเป่ยดีที่สุด หากเซียวฉือเหย่เพลี่ยงพล้ำ เฉินหยางจะปล่อยเหยี่ยวออกไปตอนฝนหยุดตก ให้ทางขนส่งเสบียงตงเป่ยโยกย้ายเสบียงขึ้นเหนือใหม่ อย่ามัวเสียเวลาอีก ในฐานะกองกำลังขนส่งเสบียง ความเป็นความตายของพวกเขาสำคัญไม่เท่าเสบียงอาหารในสนามรบ
ที่นี่อยู่ใกล้กับเขาหงเยี่ยน ฝนยังไม่หยุดตกในเร็วๆ นี้ ทหารรักษาพระองค์ที่หมอบอยู่ในแอ่งโคลนต้องอดทนกับความหนาวเย็นเสียดกระดูก เสื้อตัวในแนบติดกับร่างกาย เปียกชุ่มจนไม่เหลือสภาพแล้ว มือและเท้าของพวกเขาล้วนแช่อยู่ในน้ำโคลน ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม นิ้วมือนิ้วเท้าก็แข็งไปหมด
ฝนฤดูสารทของหลีเป่ยเหมือนใบมีด ตอนนี้เพิ่งจะต้นเดือนแปด อากาศกลับหนาวเหน็บเหมือนหิมะจะตกลงมาได้ทุกเมื่อ
กองกำลังขนส่งเสบียงยังไม่ได้เปลี่ยนชุดมาเป็นเสื้อบุนวมที่กันหนาวได้ ก่อนออกเดินทางเซียวฉือเหย่สั่งให้พวกเขาเปลี่ยนน้ำที่พกติดตัวเป็นสุราหม่าซั่งสิง สุราฤทธิ์แรงสามารถขับไล่ไอหนาวได้ สำคัญอย่างยิ่งยวดในพื้นที่ชายแดนที่อากาศเปลี่ยนแปลงฉับพลันเช่นนี้
เซียวฉือเหย่หมอบอยู่ในแอ่งโคลน จิบสุราหม่าซั่งสิงอึกแล้วอึกเล่า
ตามปกติ สงครามระหว่างหลีเป่ยกับเปียนซาจะไม่ยืดเยื้อเกินเดือนแปดเดือนเก้า เพราะหลังจากนั้นไปหิมะจะตกลงมา ทุ่งหญ้าของสองฝ่ายจะถูกพายุหิมะกัดกร่อน ในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บและยาวนานนี้ ทหารช่างของหลีเป่ยจะหลอมและซ่อมแซมอาวุธยุทธภัณฑ์ของทหารม้าเหล็กตลอดทั้งคืนโดยไม่หยุดพัก ส่วนเปียนซาจะย้ายแพะไปทางตอนใต้ ทุกคนพร้อมใจเข้าสู่ภาวะสงบศึกโดยมิได้นัดหมาย มีเพียงรัชศกเสียนเต๋อที่สามเท่านั้นที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ครั้งนั้นเผ่าฮั่นเสอนำกำลังลงใต้บุกจู่โจมแนวแม่น้ำฉาสือ บรรเทาความกดดันเรื่องเสบียงอาหารของเปียนซาสิบสองเผ่าไปได้มากทีเดียว
ไม่รู้เพราะเหตุใด สองสามวันมานี้เซียวฉือเหย่จึงมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง นั่นคือฤดูหนาวปีนี้สงครามจะไม่ยุติ การโจมตีของอามู่เอ่อร์รุนแรงเกินไป หากบอกว่าช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิทำไปเพื่อบุกเข้ามาปล้นชิงเสบียง เช่นนั้นตอนนี้อามู่เอ่อร์ก็ดูเหมือนกำลังโจมตีหลีเป่ยทุกทางมากกว่า ไม่มีทีท่าว่าจะถอยแม้แต่น้อย อามู่เอ่อร์โยกย้ายฮาเซินจากฉี่ตงมาที่นี่ ก็คือการนำกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองมาไว้ในสนามรบหลีเป่ย นี่แตกต่างจากสงครามขนาดเล็กตลอดหลายปีที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง
เสียงกีบเท้าม้าพลันดังขึ้นกลางสายฝน เซียวฉือเหย่ห้อยถุงหนังกลับไปดังเดิม ชูนิ้วสองข้างเป็นสัญญาณให้ทหารรักษาพระองค์ข้างหลังหมอบลง เขาหมอบต่ำ ใบหน้าแทบจะแนบติดกับโคลน ใช้ดวงตากวาดมองผ่านพุ่มไม้ไปกลางสายฝน ทหารม้ากลุ่มหนึ่งปรากฏตัวกลางพายุฝน กีบเท้าม้าทำให้น้ำโคลนกระเซ็นขึ้นมาตอนควบทะยาน เซียวฉือเหย่จ้องมองพวกเขาเงียบๆ ดาบหลางลี่เลื่อนออกจากฝักเมื่อระยะห่างหดใกล้เข้ามาทุกที
เสียงกีบเท้าม้าดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงนกหวีดของทหารม้าเปียนซาถูกสายฝนชะทำลาย ฝ่ามือของเซียวฉือเหย่ที่ยันพื้นอยู่รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อย เขาไม่ขยับ ทหารรักษาพระองค์ข้างหลังก็ไม่ขยับ
ครั้นเห็นทหารม้าเปียนซามาถึงตรงหน้าแล้ว วิ่งอีกไม่กี่ก้าวก็จะเหยียบทหารรักษาพระองค์ ม้าที่นำหน้ามาพลันแผดเสียงร้อง ขาหน้าสะดุดเชือกที่ขึงไว้ สองเข่าหักงอไปข้างหน้า ก่อนจะล้มหัวทิ่มลงมา คลื่นโคลนกระเด็นใส่หน้าเซียวฉือเหย่ทันที เขาเคลื่อนไหวแล้ว จังหวะที่ทหารม้าตกลงมาจากหลังม้า ดาบหลางลี่ก็หลุดจากฝัก เซียวฉือเหย่ฟาดฟันดาบใส่ศัตรูที่อยู่ตรงหน้า โลหิตที่พุ่งออกจากคอของทหารม้าไหลไปรวมตัวกันในแอ่งโคลน ทหารม้าข้างหลังรับมือไม่ทัน กระบวนทัพพลันแตกกระจาย
เซียวฉือเหย่ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายลั่นกลองศึกจัดกระบวนทัพได้อีกครั้ง ทหารรักษาพระองค์บุกเข้าสังหารทหารม้าเปียนซาทันที เศษโคลนที่ผสมกับโลหิตไหลเข้าไปในคอเสื้อเซียวฉือเหย่ รสร้อนแรงของสุราหม่าซั่งสิงแผดเผากระเพาะ ทำให้เขาร้อนไปทั้งตัว
การจู่โจมครานี้เหมือนถูกไม้ฟาดเข้าที่ศีรษะ ทหารม้าเปียนซาได้สติทันที สองฝ่ายล้วนเป็นกองกำลังกลุ่มเล็ก สายฝนกระหน่ำเทลงมาระหว่างการฆ่าฟัน แต่การต่อสู้ครั้งนี้จบลงอย่างรวดเร็ว กว่าทหารม้าเปียนซาจะรวบรวมกำลังใจฮึดสู้ได้ ทหารรักษาพระองค์ก็หายลับไปกับพายุฝนอย่างเงียบเชียบแล้ว
กลุ่มกองกำลังของทหารม้าเปียนซาที่กระจายอยู่รอบถูต๋าหลงฉีถูกทหารรักษาพระองค์จู่โจมในระดับที่แตกต่างกันไป พอพวกเขาคิดจะฉวยโอกาสนี้รุกไล่ ทหารอันธพาลกลุ่มนี้ก็จะถอยหลบ ทหารม้าเปียนซาถูกบังคับให้หยุดฝีเท้าอยู่รอบนอกถูต๋าหลงฉีเท่านั้น เมื่อพวกเขาคิดจะกลับไปรวมตัวกัน ทหารรักษาพระองค์ก็จะคลำทางออกมาลอบโจมตี เป็นเช่นนี้หลายครั้งจนทหารม้าเปียนซาหมดความอดทน พวกเขาเคลื่อนไหวเร็วกว่านี้มิได้ จะบุกก็ไร้ทิศทาง เหมือนแมลงวันหัวขาดที่ถูกทหารรักษาพระองค์ก่อกวนด้วยการผลักบ้างถีบบ้าง จนความอึดอัดสะสมอยู่ในท้อง ต่อสู้ด้วยความคับแค้นใจอย่างยิ่ง
ยามนี้เซียวฉือเหย่เร้นกายอยู่กลางพายุฝน ทหารม้าเปียนซามิอาจแยกแยะตำแหน่งที่ซ่อนของทหารรักษาพระองค์ได้อย่างแม่นยำ เพราะทหารรักษาพระองค์ไม่ได้มีเกราะหนักและอาชาเหมือนทหารม้าเหล็กหลีเป่ย แค่พวกเขาหมอบลงไปก็หายไปจากสายตาของทหารม้าเปียนซาได้แล้ว ผลุบโผล่อย่างลึกลับ
สุราหม่าซั่งสิงของเซียวฉือเหย่พร่องไปอย่างรวดเร็ว ยามซวี[1]ท้องฟ้ามืดสนิทโดยสมบูรณ์ ทหารม้าเปียนซายังคงถูกทหารรักษาพระองค์สกัดอยู่รอบนอกของถูต๋าหลงฉี มิอาจถอยและมิอาจรุก โอกาสชนะสูงขึ้นทุกที ดูเหมือนเซียวฉือเหย่จะจับจังหวะสงครามครั้งนี้ได้แล้ว เขาไม่วู่วาม ไม่ว่าทหารม้าเปียนซาจะแสดงความอ่อนแอหรือความตื่นตระหนกออกมา เขาก็ไม่ถูกชักนำให้เปลี่ยนความคิด ทว่าเมื่อเวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ เซียวฉือเหย่กลับยังไม่เห็นฮาเซินเสียที
กลางคืนความหนาวรุนแรงกว่าเดิม ในรองเท้าของเซียวฉือเหย่เต็มไปด้วยโคลน ฝนตกเปียกลื่น เพื่อมิให้ดาบหลุดจากมือ เซียวฉือเหย่จึงใช้แถบผ้าพันง่ามมือไว้ ตอนนี้ผ้าแช่น้ำจนจะเปื่อยแล้ว เขาหมอบอยู่ที่เดิม แกะผ้าชิ้นเก่าออกและเปลี่ยนเป็นชิ้นใหม่แทน
ร่างกายคนเรามีขีดจำกัด การทำสงครามยืดเยื้อเช่นนี้สองฝ่ายต่างต้องรักษาความตื่นตัวขั้นสูงไว้ตลอดเวลา ประสาทตึงเครียดอยู่ตลอด มิอาจประมาทแม้แต่น้อย แต่เซียวฉือเหย่จำเป็นต้องพักบ้าง เขาหลับตาลงครู่หนึ่ง สะบัดหัวสองทีเพื่อมิให้ตัวเองเข้าสู่ภาวะด้านชาเพราะการเคลื่อนไหวแบบเดิมซ้ำๆ
อย่างช้าที่สุดยามเฉินวันพรุ่ง กองหนุนจากสนามรบจะรุดมาถึง คืนนี้สำคัญยิ่งยวด สวรรค์ยังคงเมตตาเซียวฉือเหย่ แม้ฝนจะซาลงแล้ว แต่คืนนี้ไร้แสงดาวและแสงจันทร์ ราตรียังคงเป็นเกราะป้องกันให้กับทหารรักษาพระองค์
เซียวฉือเหย่พ่นลมหายใจร้อนๆ ออกมา ขยับนิ้วมือทั้งห้ากำดาบหลางลี่แน่น กระนั้นเมื่อเขาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เสียงฝีเท้าสับสนกลับดังมาจากในพุ่มไม้ ผู้ที่แหวกกิ่งไม้และใบไม้ก่อนโผล่หน้าออกมาคือกู่จิน เซียวฉือเหย่พลันรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี
ไม่ผิดจากที่คิด เขาเห็นกู่จินสีหน้าเคร่งเครียด คุกเข่าข้างเดียวอย่างเร่งร้อน เอ่ยเสียงค่อย “นายท่าน ทางไปสมรภูมิถูกปิดกั้นทั้งหมด! ทหารฝีมือดีของฮาเซินอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตัดทางไปของข้า!”
หัวใจของเซียวฉือเหย่จมดิ่งฉับพลัน เขาแทบจะเข้าใจในทันที
หลงกลแล้ว!
ขุนศึกที่เชี่ยวชาญการรบล้วนรู้หลักการควบคุมผู้อื่นและไม่ปล่อยให้ผู้อื่นควบคุมตน ตั้งแต่เดินทางออกจากชวี่ตูเซียวฉือเหย่ได้รับชัยชนะมาตลอดเพราะเขาเป็นฝ่ายรุกอยู่เสมอ นั่นทำให้เขาไม่เกรงกลัวกำลังฝ่ายศัตรูที่มีมากกว่า จับจังหวะการรบได้อย่างมั่นคง แต่เขาลืมไปว่าฮาเซินกับเขาเป็นขุนศึกประเภทเดียวกัน
ฝนที่ตกลงมามิใช่เรื่องบังเอิญ นี่เป็นการล้อมจับที่ผ่านการวางแผนมาเป็นอย่างดี
ตั้งแต่ตอนที่กองกำลังของเซียวฉือเหย่เดินทางขึ้นเหนือ ฮาเซินก็วางตาข่ายฟ้าดินหมายจะล่าลูกหมาป่าตัวนี้แล้ว ขณะที่เซียวฉือเหย่จับจ้องทหารม้าเปียนซา เขาก็ถูกฮาเซินสังเกตการณ์อยู่เช่นกัน การเคลื่อนไหวที่เซียวฉือเหย่คิดว่าเป็นการรุกของฝ่ายตน แท้จริงแล้วเป็นการหลอกตัวเองทั้งนั้น เขาตกเป็นฝ่ายถูกบงการตั้งแต่ตอนที่ตัดสินใจย้อนกลับมาถูต๋าหลงฉีแล้ว
เสียงกีบเท้าม้าดังขึ้นอีกครั้ง
[1] ยามซวี คือช่วงเวลา 19.00-21.00 น.