[ทดลองอ่าน] เชิญร่ำสุรา 將進酒 บทที่ 152 : ฮาเซิน

เชิญร่ำสุรา
將進酒

 

ถังจิ่วชิง
唐酒卿

กอหญ้า แปล

“เกราะแขนอันนั้นไม่เลวนี่” เซียวฟางซวี่เหยียบราวกั้นไม้และนั่งลง
เห็นเซียวฉือเหย่หันกลับมา จึงเบี่ยงตัวมองสีหน้าของเขา
“ทำจากที่ใด ไม่ใช่แบบของฉี่ตง”
“ต้องไม่เลวอยู่แล้ว” เซียวฉือเหย่ทำท่าเหมือนกำลังพูดความลับ
“นั่นเป็นยันต์คุ้มภัยของข้า”

เซียวฟางซวี่ตอบรับว่า “อืม” อย่างไม่ใส่ใจนัก
จากนั้นถามต่อ “เป็นคนที่ใด คงมิได้ถูกเจ้าพาไปอยู่ค่ายเปียนปั๋วด้วยกระมัง
ที่นั่นมีแต่ผู้ชายหยาบกระด้าง นางอายุเท่าไรแล้ว”
เซียวฉือเหย่ย้อนถาม “นาง?”
เซียวฟางซวี่ฟังไม่เข้าใจ
เซียวฉือเหย่ถอยไปหลายก้าว

เซียวฟางซวี่หรี่ตา “เจ้าคงมิได้พาบุตรสาวสกุลฮวากลับมาด้วยหรอกนะ”
เซียวฉือเหย่ถอยหลังต่อไป พอเห็นบิดาทำหน้างุนงง
จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา มือปลดดาบหลางลี่และโยนไปด้านข้าง
“เซียวฉือเหย่!” เซียวฟางซวี่ตระหนักถึงความผิดปกติ “เจ้าบอกข้ามาตามตรง”
เซียวฉือเหย่พลันพูดเสียงดัง “เป็นผู้ชาย!”
“หา?” เซียวฟางซวี่สงสัยว่าตัวเองฟังผิด ถึงกับเอียงหูฟังอีกครั้ง

“ข้าหาผู้ชายกลับมาให้ท่าน!” แสงแดดสาดส่องใบหน้าเซียวฉือเหย่
ขับไล่ความหม่นหมองเมื่อวานออกไป เจ้าหนุ่มผู้นี้นิสัยเสียยิ่งนัก
ตะโกนอย่างท้าทาย “บุรุษที่งดงามที่สุดในต้าโจวก็คือภรรยาข้า!”
พูดจบก็ไม่รอให้เซียวฟางซวี่ตอบ หันหลังโกยอ้าวทันที

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 152

ฮาเซิน

 

หยดน้ำฝนกลิ้งผ่านดาบโค้ง ก่อนจะหยดลงจากคมดาบ

อาชาใต้ร่างของฮาเซินพ่นลมหายใจร้อนระอุ เขารออยู่กลางสายฝนนานมากแล้ว บัดนี้เป็นยามไฮ่สามเค่อ ฟ้าดินเข้าสู่ความมืดมิดโดยสมบูรณ์ ฮาเซินมีเส้นผมสีแดง เขามิได้เกล้าผมเป็นมวยเหมือนบุรุษในต้าโจว แต่กลับตัดสั้นและถักเปียหยาบๆ เส้นเล็กไว้ข้างหลัง

ปาอินถูกย้ายมาอยู่ข้างกายฮาเซินหลังจากหูเหอหลู่ตาย เขารั้งเชือกบังเหียนตามมาข้างหลัง ห่อตำรายุทธ์ที่ตนทะนุถนอมเก็บใส่ในอกเสื้อ ถามอย่างระมัดระวัง “เหตุใดเจ้าจึงแน่ใจว่าเขาจะไม่หนี”

ฮาเซินเกาผมที่เปียกชื้นเพราะน้ำฝนและปล่อยให้พวกมันกองทับกันอย่างยุ่งเหยิง “ตอนเขาโจมตีหูเหอหลู่กล้าหาญมาก กล่าวด้วยคำพูดของชาวต้าโจวก็คือเชี่ยวชาญอุบาย ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นบุตรชายคนเล็กของหลีเป่ยอ๋อง เป็นลูกหมาป่าตัวหนึ่ง ขอเพียงมีโอกาสโต้ตอบ เขาไม่เลือกที่จะหลบหนีแน่นอน”

ปาอินพูด “เขากล้ามากจริงๆ ทั้งยังรอบคอบมาก”

“เทียบกับพี่ชายเขา เซียวฉือเหย่เป็นคนวู่วามคนหนึ่ง” ฮาเซินพูดถึงตรงนี้ ก็มีท่าทางเขินอายเล็กน้อย “แม้ข้าจะมิใช่ผู้ที่มีพรสวรรค์ แต่กลับเข้าใจความหยิ่งทะนงของผู้มีพรสวรรค์ เขากำจัดหูเหอหลู่ที่แข็งแกร่งของพวกเราได้ที่ค่ายซาซาน ไม่ว่าเขาจะเตือนตัวเองอย่างไร ก็ต้องขาดความระวังรอบคอบไปส่วนหนึ่ง ความคิดอยากเอาชนะของเขารุนแรงเกินไป ปาอิน แม้แต่ข้ายังรู้สึกได้ว่าเขาเหมือนบิดาข้าที่จะไม่ยอมให้ตัวเองถอยหลบแม้แต่น้อย นี่เป็นข้อดีของเขา และเป็นข้อเสียของเขาด้วย”

ปาอินลูบม้าเงียบๆ “พวกเราจะชนะหรือไม่”

“พวกเราต้องชนะแน่นอน” ฮาเซินสองตาเป็นประกายตอนเอ่ยคำพูดนี้ ท่วงทีเปี่ยมด้วยความน่าเกรงขาม “เขามิอาจเอาชนะข้าได้”

วิธีการต่อสู้ของฮาเซินกับเซียวฉือเหย่คล้ายคลึงกัน แนวทางการทำศึกดุดันมาก ชีจู๋อินกับลู่ก่วงไป๋ต่างเคยตกที่นั่งลำบากเพราะเขา ทว่านิสัยของเขากลับตรงกันข้ามกับเซียวฉือเหย่โดยสิ้นเชิง เขาเป็นคนสุขุมลุ่มลึก ถึงขั้นขี้อายเล็กน้อยด้วยซ้ำ แม่นางที่งดงามในเปียนซาสิบสองเผ่าต่างชื่นชอบเขา แค่ถูกแม่นางที่งดงามเหล่านั้นจ้อง เขาก็หน้าแดง เขาเป็นบุตรชายสุดที่รักของอามู่เอ่อร์ นอกจากความแข็งแกร่งที่มาจากตระกูลฝ่ายมารดา อีกส่วนหนึ่งยังเป็นเพราะนิสัยของเขาด้วย

เซียวฟางซวี่ชอบเลี้ยงลูกหมาป่าแบบปล่อย ทั้งยังชอบตีลูกๆ จนร้องโอดโอย ทว่าอามู่เอ่อร์กลับตรงกันข้าม ก่อนที่ฮาเซินจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ อามู่เอ่อร์ไม่เคยปล่อยให้เขาห่างกายเลย สงครามทุกครั้งของฮาเซินในช่วงแรกล้วนได้อามู่เอ่อร์เป็นคนสอนด้วยตัวเอง

“เจ้าเองก็เป็นผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่ง” ปาอินพูดเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

ฮาเซินหัวเราะออกมา เช็ดดาบโค้งของตัวเองและส่ายหน้า “มิใช่หรอกปาอิน ข้าเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ข้าเพียงแต่หาแนวทางของตัวเองได้เวลาทำศึกกับเหล่าผู้มีพรสวรรค์เท่านั้น อันที่จริงก่อนเดินทางขึ้นเหนือ ข้ากังวลมากว่าจะพบเซียวจี้หมิงที่นี่ เพราะเซียวจี้หมิงกับชีจู๋อินเป็นผู้นำทัพประเภทเดียวกัน พวกเขาเชี่ยวชาญการตั้งรับมากกว่าการจู่โจม เจ้าเข้าใจหรือไม่ มิใช่การตั้งรับในความหมายทั่วๆ ไป แต่เป็นการตั้งรับที่เจ้าหาช่องลงมือมิได้ หาจุดสำคัญที่จะโจมตีมิได้เลย รับมือยากยิ่ง ทว่าเซียวฉือเหย่ไม่เหมือนกัน เขาน่ะ…” ฮาเซินพยายามหาคำบรรยาย สุดท้ายหัวเราะออกมา “ข้าพูดไม่ถูก แต่ชัดเจนว่าเขามีจุดอ่อนมากมาย ทั้งยังไม่คิดจะปิดบัง”

“เช่นนั้นเขาก็เป็นคนยโสโอหัง” ปาอินบังคับม้าไปข้างกายฮาเซิน ยกกำปั้นขึ้นต่อยไหล่ฮาเซินเบาๆ “เจ้าเป็นต้าเอ๋อซูเหอรื่อคนใหม่ของพวกเรา เป็นเหยี่ยวที่กล้าหาญในทะเลทราย ทั้งยังเป็นว่าที่สามีของตั่วเอ๋อร์หลัน ไม่ว่าเจ้าจะถ่อมตนอย่างไร ในสายตาของพวกเรา ฮาเซิน เจ้าก็คือผู้มีพรสวรรค์ที่เทพเจ้าประทานให้กับเผ่าฮั่นเสอ หาได้ด้อยกว่าผู้อื่นไม่”

“ขอบใจเจ้า” ฮาเซินพูด “เพื่อนรัก เจ้าควรมาอยู่ข้างกายข้าตั้งนานแล้ว”

สองคนมองหน้ากันแล้วยิ้ม พลันได้ยินเสียงนกหวีดเร่งร้อนดังขึ้นในราตรีหลายครั้ง ฮาเซินแหงนหน้ามองท้องฟ้า น้ำฝนหยดลงตรงหว่างคิ้ว มิได้เทกระหน่ำลงมาเหมือนเมื่อตอนกลางวัน เขาตบอาชา มองไปยังทิศตะวันตกของถูต๋าหลงฉี “ได้เวลารวบแหแล้ว”

 

กองกำลังฝีมือดีของฮาเซินไม่ได้เข้าสู่สนามรบ กำลังที่เขาส่งมาตรงหน้าเซียวฉือเหย่ล้วนเป็นทหารทั่วไปที่เดิมประจำการอยู่ทางฝั่งตะวันออกของถูต๋าหลงฉี มิเพียงเท่านี้ กองกำลังขนาดใหญ่ที่เขาวางไว้ตรงเทือกเขาฝั่งตะวันออกยังสกัดเจาฮุยไว้อย่างแน่นหนา ทำให้เจาฮุยมิอาจย้อนกลับมาช่วยเหลือได้ เส้นทางที่มุ่งสู่เขตสมรภูมิก็ถูกปิดตาย เขาเปลี่ยนถูต๋าหลงฉีให้กลายเป็นถุงใบหนึ่ง ครอบเซียวฉือเหย่ไว้

เซียวฉือเหย่ไม่มีทางถอย ฮาเซินเตรียมกำลังหลักฝีมือดีไว้ทางฝั่งตะวันออกเพื่อรับมือกับเขาล่วงหน้าแล้ว แม้เซียวฉือเหย่เลือกที่จะหนี ฮาเซินก็จะควบม้าไล่ตาม ทำให้เซียวฉือเหย่ที่เปิดเผยแผ่นหลังอันเป็นจุดอ่อนตกเป็นเป้าในการไล่ล่าอีกครั้ง

เสียงกีบเท้าม้าดังขึ้น ครั้งนี้มาพร้อมกับคบไฟ ประชิดเข้ามาทางฝั่งตะวันออก ทหารรักษาพระองค์ที่เหน็ดเหนื่อยเกินทนได้แต่ถอยหลัง แม้ฝนจะหยุดแล้ว แต่ไอเย็นกลับทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น แม้แต่ถานไถหู่ยังต้องเป่าลมหายใจใส่สองมือที่หนาวจนแข็งทื่อ

เซียวฉือเหย่ย่ำอยู่ในโคลน ข้างหลังเป็นเสียงหอบหายใจของเหล่าทหาร พวกเขาต้องรีบถอยกลับไปที่หนองน้ำในถูต๋าหลงฉี ทว่าฮาเซินไม่พลาดโอกาสนี้ ทหารฝีมือดีของเขาตอนกลางวันกินจนอิ่มท้อง ยามนี้หวดแส้เฆี่ยนม้าจนเสียงสะเทือนดังก้องไปทั่วท้องฟ้า ไม่ปล่อยให้ทหารรักษาพระองค์มีเวลาถอย ทหารรักษาพระองค์กระจายตัวเป็นกลุ่มเล็กๆ เร้นกายในพุ่มไม้ แต่กองกำลังของฮาเซินค้นหาอย่างละเอียด ไม่ยอมให้พวกเขามีสถานที่ซ่อนตัว

กู่จินหูไว ไม่นานก็ฟังออกว่าเสียงกีบเท้าม้ามุ่งหน้ามาทางนี้

เซียวฉือเหย่ยกแขนขึ้นเช็ดแก้ม หันกลับไปมองราตรีมืดมิด ทันใดนั้น แสงไฟพลันส่องขอบฟ้าจนสว่าง ทหารม้าของฮาเซินเหมือนเหยี่ยวที่วนเวียนอยู่ไม่ไกล สองปีกกางออกฉับพลันและบุกจู่โจมประหนึ่งนกที่ร่อนตัวลงมา

“นายท่าน” กู่จินจูงม้าของตัวเองออกมา “ท่านไปก่อนเถอะ!”

“เจ้าขึ้นม้ามุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ” เซียวฉือเหย่ยืนอยู่ที่เดิม “ส่งข่าวไปตลอดทาง บอกให้พวกเขาล่าถอยกลับไปที่หนองน้ำ บอกถานไถหู่ว่าอย่าอาลัยในการต่อสู้ ให้ถอยทันที”

ทหารม้าเปียนซาใกล้เข้ามาทุกที เซียวฉือเหย่ถึงขั้นได้ยินเสียงม้าพ่นลมหายใจร้อนๆ ออกมา กู่จินลังเลอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง เซียวฉือเหย่พูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ที่นี่มีกำลังหลายร้อยคน ต่อสู้ไปด้วยถอยไปด้วยมิใช่ปัญหา รอให้ถอยกลับไปที่หนองน้ำแล้วค่อยวางแผนอีกครั้ง”

กู่จินรู้ว่าเซียวฉือเหย่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงคำสั่ง จึงพลิกตัวขึ้นม้าและหวดแส้ ทะยานเข้าสู่ราตรี

 

ฮาเซินเห็นเงาคนแล้ว เหล่าทหารม้าเป่านกหวีดเหมือนตอนโอบล้อมโจมตีสัตว์ป่าในทะเลทราย พวกเขามิได้ใช้ธงทหารในการสื่อสาร เสียงนกหวีดถูกถ่ายทอดจากทัพกลางไปยังปีกสองข้างอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นทหารม้าที่ปีกทั้งสองข้างหันหัวม้ามารวมตัวที่ทัพกลาง เปลี่ยนเหยี่ยวที่สยายปีกให้กลายเป็นลูกธนูตรงแหน็ว เป้ายิงก็คือเซียวฉือเหย่!

การใช้ทหารสำคัญที่ความเร็ว ฮาเซินรู้ผลลัพธ์ของการลังเล กับเซียวฉือเหย่ต้องรีบรบรีบปิดศึก หาไม่แล้วรอให้เขาถอยกลับไปที่หนองน้ำและมีโอกาสหายใจหายคอ ย่อมเป็นไปได้สูงว่าจะก่อให้เกิดการจู่โจมอย่างคาดไม่ถึงอีกครั้ง

“เขานี่แหละ!” ปาอินตามติดมาข้างหลัง ชี้นิ้วไปยังเซียวฉือเหย่ ตะโกนด้วยภาษาของชาวเปียนซา “เซียวฉือเหย่!”

ฮาเซินดึงดาบโค้งออกมา ขณะเดียวกันก็หมอบต่ำ ปาอินไม่ต้องตั้งใจเตือน เขาก็จดจำเซียวฉือเหย่ได้ รูปร่างและหน้าตาของเซียวฉือเหย่สะดุดตาเกินไป สีหน้ายามริมฝีปากเม้มแน่นและหันกลับมาแทบจะเหมือนกับเซียวฟางซวี่ทุกประการ

เซียวฉือเหย่บิดแถบผ้าที่เปียกชุ่มและพันง่ามมืออย่างรวดเร็ว เขามองทหารม้าที่ประชิดใกล้เข้ามา เส้นผมสีแดงของฮาเซินดึงดูดสายตาเขา เขานับระยะทางในใจ จังหวะที่ม้าของฮาเซินกำลังจะชนกับเชือกขวางม้า ฮาเซินพลันเอียงตัวและทิ้งแขนลง ใช้ดาบตัดเชือกขวางม้าที่ซ่อนอยู่ในหญ้าจนขาดสะบั้น ทหารม้าด้านหลังควบทะยานเข้ามาอย่างราบรื่น

เหล่าทหารม้าที่ดาหน้าเข้ามากวัดแกว่งดาบโค้ง แต่เซียวฉือเหย่ไม่ขยับ เพียงพริบตากีบเท้าม้าของพวกเปียนซาก็จมลงในหลุมดักม้า เป็นอีกครั้งที่มีคนร่วงตกลงมาไม่น้อย คนข้างหน้าตกลงบนพื้น ส่วนฮาเซินที่อยู่ข้างหลังเหมือนคาดการณ์ได้ล่วงหน้า จังหวะที่ชะลอไปเมื่อครู่นี้คือการหยั่งเชิง

เซียวฉือเหย่ชูนิ้วขึ้น ทหารรักษาพระองค์กระโดดข้ามพุ่มไม้และวิ่งทะยาน

ม้าของฮาเซินพ่นลมหายใจร้อนระอุออกมา เขาเป่านกหวีดเสียงดังอีกครั้ง หลุมดักม้าที่ขุดขึ้นอย่างฉุกละหุกลึกไม่พอ พวกเขาจึงบังคับม้ากระโดดข้ามมาได้ ตามติดเบื้องหลังของเซียวฉือเหย่

เป้าหมายของฮาเซินชัดเจน นั่นคือเซียวฉือเหย่ ขอเพียงสังหารเซียวฉือเหย่ได้ ทหารรักษาพระองค์ที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ ก็จะเป็นเหมือนมังกรไร้หัว รถขนเสบียงในหนองน้ำของถูต๋าหลงฉีย่อมตกอยู่ในกำมือพวกเขาโดยปริยาย

เซียวฉือเหย่ย่ำโคลนจนกระจาย ข้างกายมีอาชาตัวหนึ่งไล่ตาม ทหารม้าเปียนซาบนหลังม้าตะคอกบางอย่างใส่เขาเป็นภาษาเปียนซา เซียวฉือเหย่กระโดดไปข้างหน้า ก่อนจะย่อตัวลงอย่างมั่นคงหลบดาบโค้งที่ตวัดเข้ามา จากนั้นฟันอานม้าของทหารม้าเปียนซาจนขาด อาชาถูกข่มขู่ด้วยคมดาบ ฝีเท้าก็สะเปะสะปะเพราะความตื่นตระหนก เซียวฉือเหย่คว้าแขนของทหารม้าที่ตวัดดาบใส่เขา แต่มิได้ฟันให้ขาด กลับยืมแรงอีกฝ่ายพลิกตัวขึ้นหลังม้า ทหารม้าผู้นั้นรับน้ำหนักไม่ไหวกลิ้งตกลงไป ทำให้โคลนกระเด็นขึ้นมาเป็นวง

เมื่อม้าของเผ่าโกวหม่าถูกเปลี่ยนเจ้าของ ก็สะบัดหัวอย่างหงุดหงิด ย่ำเท้าไปมาไม่ยอมวิ่งต่อ ฮาเซินที่อยู่ข้างหลังประชิดเข้ามาแล้ว เซียวฉือเหย่ใช้ขาหนีบท้องม้า ดึงเชือกบังเหียน บังคับให้ม้าโถมตัวไปด้านข้าง

ฮาเซินไล่ตามมาอย่างเร่งร้อนเกินไป ตอนที่ม้าสองตัวชนกระแทกกันโคลนสาดกระเซ็น ดาบหลางลี่แทงไปที่หน้าอกของฮาเซินด้วยเรี่ยวแรงดุดันมหาศาล ฮาเซินไม่กล้าประมาท ต้านรับไว้สุดกำลัง

หนักยิ่งนัก!

สองแขนของฮาเซินรู้สึกหนักอึ้ง ดาบโค้งเกือบหลุดจากมือเพราะเรี่ยวแรงของเซียวฉือเหย่ เขาตระหนักทันทีว่ากำลังแขนของอีกฝ่ายร้ายกาจ ดังนั้นจึงหลบเลี่ยงเวลาเซียวฉือเหย่ฟาดฟัน ไม่ปะทะด้วยตรงๆ

เหล่าทหารม้าที่ทยอยไล่ตามมาข้างหลังหมอบลงบนหลังม้า อาชาใต้ร่างเซียวฉือเหย่กระสับกระส่ายลุกลน พวกเขายื่นดาบโค้งออกมาตัดเข่าหน้าของอาชาตัวนี้พร้อมกัน อาชาแผดเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ลำตัวโน้มไปข้างหน้าและจมลงในแอ่งโคลน

เซียวฉือเหย่กลิ้งลงจากม้า เขาถูกล้อมไว้แล้ว

ทหารม้าเปียนซาล้อมเซียวฉือเหย่เป็นวงกลม ทหารรักษาพระองค์ที่วิ่งหนีสบถด่าพลางตะโกน “เวรเอ๊ย ผู้บังคับการตกจากม้าแล้ว!”

ทหารรักษาพระองค์ที่ยังไม่ได้พุ่งเข้าไปในถูต๋าหลงฉีหันหลังกลับทันที ชักดาบกระโจนเข้าใส่กลุ่มทหารม้า พวกเขาเอาอย่างอีกฝ่าย หากหยุดยั้งทหารม้าเปียนซาไม่ได้ กระโดดขึ้นหลังม้าของผู้อื่นไม่ได้ ก็จะฟันขาม้าให้ขาด ทำให้ทหารม้าเปียนซากลิ้งตกลงมา พวกเขาจดจำคำพูดของเซียวฉือเหย่ได้แม่นยำ ทหารม้าเปียนซาไม่เชี่ยวชาญการยืนต่อสู้บนพื้นในระยะประชิด

แต่นั่นหมายถึงกองกำลังที่รับมือกับทหารม้าเหล็กหลีเป่ยทางตอนเหนือ

กองกำลังทางใต้ของฮาเซินนั้นต่อสู้กับทหารราบที่ดีที่สุดของต้าโจว คนที่พวกเขารับมือด้วยคือลู่ก่วงไป๋ อีกทั้งประสบการณ์ในการซุ่มโจมตีทหารม้าของเซียวฉือเหย่ทั้งหมดล้วนมาจากลู่ก่วงไป๋ กองกำลังของฮาเซินไม่กลัวการอยู่บนพื้นดินแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม พวกเขาลงจากม้าแล้วกลับเผชิญหน้ากับทหารรักษาพระองค์อย่างสุขุม ถึงขั้นไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวด้วยซ้ำ กลิ้งไปบนพื้นและลุกขึ้นต่อสู้ได้ในชั่วพริบตา

ให้ตาย!

เหล่าทหารรักษาพระองค์ที่ไม่เคยพ่ายแพ้สบถด่าพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

มารดามันเถอะ ยังเก่งกว่าพวกเราเสียอีก!

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า