[ทดลองอ่าน] การกลับมาของนางฟ้า ตอนที่ 3

การกลับมาของนางฟ้า
回归的女神

 

เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน
ซานซาน แปล

 

— โปรย —

หนิงซี เด็กเก่งขั้นเทพที่เพื่อนๆ สมัยมัธยมปลายตั้งฉายาให้ว่า “ยายกระปุกหมู”
ต้องสูญเสียครอบครัวเพราะการกลั่นแกล้งของเพื่อนนักเรียน
จนเธอต้องระหกระเหินไปเรียนต่อต่างประเทศ ปากกัดตีนถีบตามลำพังเพื่อเอาชีวิตรอด

            เจ็ดปีผ่านไป เธอกลับมาอีกครั้งพร้อมกับรูปร่างหน้าตาที่สวยงามราวกับนางฟ้า
และก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงเป็นขวัญใจของแฟนคลับจำนวนมาก
ทว่าการกลับมาครั้งนี้ของเธอไม่ใช่แค่เพื่อแสวงหาเกียรติยศ เงินทอง แต่เพื่อแก้แค้น!

เมื่อหนิงซีหวนกลับประเทศอีกครั้ง ฉางสือกุย
ประธานหนุ่มหล่อพ่อรวยที่แอบชอบเธอมาตั้งแต่สมัยเรียน
จึงรีบก้าวเข้ามาสารภาพรักกับเธอก่อนที่จะสายเกินไปอย่างครั้งก่อน

ท่ามกลางเรื่องราวความรักของไฮโซหนุ่มกับดาราสาวมีปมปัญหาผุดขึ้นมามากมาย
ทั้งคู่ต้องร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคและข่าวลือนานัปการไปด้วยกันอย่างไม่ย่อท้อ

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

3

 

โจวเจิ้งชวนเจอะเจอผู้หญิงสวยมามากมาย ใสซื่อ เซ็กซี่ หรือสูงส่งเลอเลิศก็มีหมดทุกแบบ

เหตุผลที่เขาตกตะลึงนี้ไม่ใช่เพราะหนิงซีสวยกว่านักแสดงหญิงคนไหนในวงการ แต่ท่าทางที่เธอเดินต่างหาก เหมือนกับนางรองที่เขาจินตนาการไว้ในหัวทุกกระเบียดนิ้ว

เขาเป็นนักแสดงมืออาชีพ ทุกครั้งที่ลุยถ่ายละครจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นตัวละครตามบทนั้นๆ พร้อมกับนึกภาพและตีความตัวละครอื่นไว้คร่าวๆ ด้วย วิธีนี้ทำให้เขาเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวละครที่เขาสวมบทบาทได้ดีขึ้น

ภาพของจินโหยวเยียนที่เขาจินตนาการไว้ในหัวควรจะมีผมดำขลับเงางาม ผิวขาวและเครื่องหน้าสวย ท่าทางหยิ่งถือตัว ราศรีลูกสาวเศรษฐีจับไปทั้งตัว ไม่ว่าใครอยู่ตรงหน้าเธอก็จะถูกข่มรัศมีให้หมองลง

นางรองในเรื่องนี้เป็นตัวละครที่สำคัญมากตัวหนึ่ง ตอนเขารู้ว่าจะให้รุ่นน้องที่เป็นนักแสดงใหม่รับบทนี้ ยังรู้สึกว่าน่าเสียดายพอดู เขาเสียดายที่บทดีๆ ต้องมาพังเพราะพวกมือใหม่

แต่ตอนนี้โจวเจิ้งชวนรู้สึกหน้าชาอยู่บ้าง เหมือนตัวเองโดนหนิงซีตบหน้าฉาดใหญ่ ดีที่เขาแสดงละครเก่ง คนอื่นถึงดูไม่ออกว่าเขาเผลอเก็บอาการไม่อยู่

“พี่โจวคะ” หนิงซีเดินไปตรงหน้าโจวเจิ้งชวนแล้วผงกศีรษะทักทายเขาอย่างมีมารยาท

“เดี๋ยวตอนถ่ายทำ คุณไม่ต้องตื่นเต้นนะ” โจวเจิ้งชวนส่งยิ้มอบอุ่นให้หนิงซี เขาเป็นห่วงว่าเธอจะตื่นเต้นเกินไปจนแสดงได้ไม่ดีเท่าที่ควร จึงจงใจพูดเล่นอีกสองสามคำ

จูเจียเฟยที่รับบทนางเอกนั่งอ่านบทอยู่ใต้ร่มไม้ พูดยิ้มๆ กับผู้ช่วยของตัวเอง “ใครๆ ก็บอกว่าพี่โจวเอ็นดูปกป้องรุ่นน้องดี วันนี้ได้เห็นกับตาถึงรู้ว่าที่ลือกันเป็นความจริง”

ผู้ช่วยถือพัดโบกลมให้เธอพลางพูดเสียงค่อย “เมื่อเช้าตอนอาจารย์[1]โจวรับโทรศัพท์ ดูคล้ายสีหน้าไม่ค่อยดีนะ”

จูเจียเฟยหน้าขรึม ลดเสียงพูดเบาๆ “วันหลังอย่าพูดเรื่องแบบนี้อีก เกิดหลุดออกไป ฉันก็เป็นหมาหัวเน่าน่ะสิ”

วันนี้โจวเจิ้งชวนรับโทรศัพท์จากใครแล้วสีหน้าไม่ดีก็ไม่ใช่กงการอะไรของเธอทั้งสิ้น ถึงเวลาพอลือออกไปกลายเป็นว่าโจวเจิ้งชวนชักสีหน้าไม่พอใจใส่นางรอง แต่สืบไปสืบมาดันเจอต้นตอข่าวลือว่ามาจากเธอ แล้วจะให้เธอวางตัวอย่างไร

โจวเจิ้งชวนกับนางรองมาจากบริษัทเดียวกัน ความสัมพันธ์จะย่ำแย่แค่ไหนก็ไม่มีทางแตกหักกัน ตอนนั้นมีแต่จะเกลียดคนนอกอย่างเธอที่ปล่อยข่าวลือแบบนี้

ผู้ช่วยเห็นจูเจียเฟยสีหน้าไม่ค่อยดีก็ไม่กล้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้าอีก ได้แต่พัดให้เธอไปเรื่อยๆ ระหว่างที่รอให้เริ่มถ่ายทำ

 

“อย่าตื่นเต้น หายใจลึกๆ” ก่อนเริ่มถ่ายจริง โจวเจิ้งชวนทำไม้ทำมือส่งกำลังใจให้หนิงซี

เธอส่งยิ้มตอบแล้วสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ค่อยนั่งลงข้างโต๊ะกาแฟที่จัดฉากไว้แล้ว

ความจริงในใจผู้กำกับยังตื่นเต้นมากกว่า เขากลัวว่าทางจิ่วจี๋จะยัดเยียดดาราใหม่ที่เล่นละครไม่เป็นมาให้จนทำละครเขาพัง ดังนั้นพอเห็นนักแสดงสองคนพร้อมแล้ว เขายกมือขึ้นส่งสัญญาณบอกให้คนสับสเลตเตรียมตัว “หนึ่ง สอง สาม แอ๊คชั่น!”

ละครเรื่องนี้มีพระเอกเป็นตัวเดินเรื่องหลัก ภายนอกเขาเป็นลูกชายเศรษฐี นิสัยเสเพลไม่ทำงานทำการ แต่ก็พอจะเก่งอยู่บ้าง จริงๆ แล้วเขาเป็นคนสำคัญของรัฐบาลที่ปฏิบัติการต่อสู้ฟาดฟันกับชาวต่างชาติด้วยปฏิภาณไหวพริบและความกล้าหาญทุกรูปแบบ

ในละครจะมีฉากบู๊ดุเดือดเสี่ยงอันตรายเยอะ เนื้อเรื่องก็เชื่อมโยงกันเป็นลูกโซ่ ขอแค่คุมจังหวะการเล่าเรื่องให้ดี หลังเริ่มฉายต้องมีผู้ชมตามดูจำนวนมากแน่

บทจินโหยวเยียนที่หนิงซีแสดงเป็นตัวละครสำคัญมาก เพราะพ่อของเธอเป็นข้าราชการฝ่ายหัวก้าวหน้าซึ่งสมคบคิดกับกลุ่มอิทธิพลต่างชาติ เป็นพวกคนไร้อุดมการณ์ ยอมขายชาติเพื่อลาภยศ

ครึ่งหลังของเรื่อง พ่อของจินโหยวเยียนจะเข้าร่วมกับฝ่ายพระเอกลับๆ แต่เพราะเกี่ยวพันกับความลับมากเกินไป ดังนั้นเขาไม่ได้บอกให้คนในครอบครัวรู้ ในช่วงไคลแมกซ์ พอจินโหยวเยียนรู้ถึงทางเลือกของพ่อแล้ว เพื่อช่วยปิดบังให้พ่อตัวเอง พระเอก รวมถึงเหล่าคนรักชาติเบื้องหลังพวกเขา เธอแขนขาดข้างหนึ่งและเสียโฉม สุดท้ายจากไปอยู่ต่างประเทศ จนกระทั่งตอนจบถึงได้กลับมาพบกับพระเอกนางเอกในวัยชราแล้ว

ฉากที่โจวเจิ้งชวนกับหนิงซีกำลังจะถ่ายเป็นตอนที่จินโหยวเยียนชอบพระเอกแต่พระเอกไม่รู้ตัว จากนั้นทั้งสองคนต่างแยกย้ายกันไป “ใครกันที่ทำให้คุณชายเสิ่นโกรธถึงขนาดนี้” จินโหยวเยียนนั่งอยู่ข้างโต๊ะกาแฟ กวักมือเรียกบริกรแล้วพยักพเยิดไปทางเสิ่นเส้าเซิง “ขอกาแฟให้คุณคนนี้แก้วหนึ่ง ไม่ใส่น้ำตาล ขอบคุณค่ะ”

“คุณหนูจิน” เสิ่นเส้าเซิงดูเหมือนเพิ่งมองเห็นจินโหยวเยียน สองมือเขาล้วงกระเป๋ากางเกง ยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นเป็นรอยยิ้ม จากนั้นนั่งลงตรงข้าม “จะให้สาวสวยขนาดนี้เลี้ยงกาแฟได้ยังไงกัน ผมเกรงใจครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเต็มใจจ่ายค่ากาแฟให้คนอย่างคุณชายเสิ่น” เธอพูดถึงตรงนี้แล้วกวาดตามองสำรวจชายหนุ่มจากเรือนผมลงมาที่แผงอกรอบหนึ่ง ค่อยหยิบช้อนเงินคนกาแฟเบาๆ

“กล้องสอง ซูมไปที่หน้าเธอ กล้องสาม จับภาพใบหน้าด้านข้างของเธอไว้” ผู้กำกับเฉินหยิบโทรโข่งพูดสั่งการ จากนั้นมองภาพบนจอมอนิเตอร์ต่อ

ข้อมือขาวนุ่มนวลเนียนสวมสร้อยไข่มุกดำไว้ เมื่อมองผ่านเลนส์กล้องสวยจนเหมือนจะเปล่งประกายออกมา

“จากกันคราวก่อนผ่านไปปีกว่าแล้ว คุณชายเสิ่นนับวันยิ่งหล่อสะดุดตาขึ้นทุกทีนะคะ” จินโหยวเยียนวางช้อนเงินลง มองเสิ่นเส้าเซิง สีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม หากแววตาแฝงไมตรีที่แม้แต่เธอเองก็ไม่รู้ตัว

โจวเจิ้งชวนเห็นสายตานี้แล้วใจสั่นวูบหนึ่ง เขาอดคิดไม่ได้ว่าเสิ่นเส้าเซิงในเรื่องนี้ต้องตาบอดหนักขนาดไหน ถึงดูไม่ออกว่าผู้หญิงสุดเลิศคนนี้มีใจให้ตัวเอง

ดีที่เขาเข้าวงการมาหลายปี ไม่ปล่อยให้ความรู้สึกแค่นี้ส่งผลต่อการแสดงอย่างสมบทบาทต่อหน้ากล้อง ดังนั้นฉากนี้ยังคงถ่ายทำต่อไปจนจบ

เมื่อถ่ายเสร็จหนึ่งฉาก ผู้กำกับถอนหายใจโล่งอก พวกทีมงานเบื้องหลังจำนวนไม่น้อยก็พากันรู้สึกว่าพวกเขาโชคดี ดูท่าดาราใหม่คนนี้จะเชื่อมือได้ พวกเขาไม่ต้องห่วงว่าเธอจะเป็นตัวถ่วงให้การถ่ายทำล่าช้าแล้ว

 

หลังถ่ายทำผ่านไปสองวัน ผู้กำกับบอกโจวเจิ้งชวนระหว่างคุยสัพเพเหระกัน “เด็กใหม่ค่ายคุณหนนี้พอมีแววดีนะ”

โจวเจิ้งชวนยกยิ้ม “ได้ยินว่าคนนี้ทางบริษัทไปเซ็นสัญญาถึงเมืองนอกแล้วพากลับมา พวกข้างบนให้ความสำคัญน่าดู”

ผู้กำกับเฉินรู้ว่าเขาเตือนตัวเองอยู่เลยพูดยิ้มๆ “เด็กใหม่มีศักยภาพ ใครๆ ก็ชื่นชมทั้งนั้นแหละ”

พวกเขาสบตากันแล้วหัวเราะ ไม่คุยเรื่องดาราใหม่อีก

เมื่อถ่ายละครเสร็จหนึ่งฉาก หนิงซีนั่งอยู่บนเก้าอี้เติมแป้ง ฤดูร้อนอากาศอบอ้าวมาก เครื่องสำอางบนหน้าลบเลือนง่ายมาก ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่ถ่ายจบฉากหนึ่งก็ต้องเติมแป้งก่อนถึงจะเข้ากล้องได้

“โรงแรมด้านข้างคึกคักจัง ได้ยินว่ามีพวกลูกหลานไฮโซมาจัดพิธีหมั้นแบบโบราณที่นั่น” เสี่ยวหยาง ผู้ช่วยของหนิงซียกน้ำถั่วเขียวแช่เย็นมาให้แล้วบอกด้วยน้ำเสียงแกมอิจฉาอยู่บ้าง “ด้านนอกมีรถหรูจอดเต็มไปหมดเลยค่ะ หลับตาจิ้มมาสักคัน แพงหูฉี่ชนิดที่ฉันต้องทำงานแทบตายทั้งชาติเลย”

หนิงซีรับน้ำถั่วเขียวมาดื่มอึกหนึ่ง จากนั้นอมยิ้ม ยื่นนิ้วชี้ไปเชยคางอ้วนๆ เล็กๆ ของเสี่ยวหยาง “รถหรูคันไหนกันนะที่คู่ควรให้เสี่ยวหยางของฉันต้องทำงานแทบตายทั้งชาติ”

จู่ๆ เจอสาวสวยขนาดนี้แซว เสี่ยวหยางรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนวาบๆ ใจเต้นแรงขึ้น

โอ๊ย แม่จ๋า เธอเป็นผู้หญิง มีรสนิยมชอบผู้ชายนะ!

เห็นผู้ช่วยของตัวเองแก้มแดงระเรื่อแล้ว หนิงซียิ้มจนตาหยี “ถ้าอยากรู้นักก็ไปดูสิ ถึงยังไงตรงนี้ก็ไม่มีงานอะไร”

เสี่ยวหยางส่ายหน้าพูดอย่างลังเล “พี่จางบอกไว้ว่าห้ามฉันทิ้งงานโดยพลการค่ะ”

“ไม่เป็นไร ฉันบอกให้เธอไปเอง เขาไม่หักเงินเดือนเธอหรอก” หนิงซีเปิดบทละครในมือ “เธอแค่อย่าลืมเวลาเท่านั้นเป็นพอ”

“งั้นฉันไปถ่ายรูปสักสองรูปแล้วจะกลับมานะคะ” เสี่ยวหยางตาเป็นประกาย ลุกขึ้นยืน “ฉันจะไม่เถลไถลนานเกินไป”

 

“ผู้ช่วยคุณก็ไปมุงดูเหมือนกันหรือ” จูเจียเฟยเดินมานั่งเก้าอี้ข้างหนิงซีพลางคลี่ยิ้มอ่อนใจ

“พี่เฟย” หนิงซีวางบทละครในมือลง ส่งยิ้มเป็นมิตรให้จูเจียเฟย “เขายังเด็กค่ะ ชอบมุงดูอะไรสนุกๆ ก็เป็นเรื่องปกติ”

“คุณอายุมากกว่าเขาเท่าไหร่กันเชียว” จูเจียเฟยล้วงพัดลมใส่ถ่านแบบพกพาในกระเป๋าออกมาส่งให้หนิงซี ยังเปิดอีกเครื่องหนึ่งเป่าลมให้ตัวเองดังฟู่ๆ “คุณสื่ออารมณ์ของตัวละครได้ดีมาก เมื่อก่อนเคยแสดงหนังหรือเปล่า”

“เคยเล่นเป็นตัวประกอบ แล้วก็ตัวละครเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีบทเท่าไหร่ค่ะ” หนิงซีรับพัดลมเล็กๆ ไว้แล้วกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย

“คนในวงการส่วนใหญ่ก็เดินทีละก้าวแบบนี้ทั้งนั้น” จูเจียเฟยไม่ได้มีท่าทีดูถูกหนิงซีที่อ่อนประสบการณ์ “คุณยังอายุน้อย วันหน้ามีโอกาสถมเถ” ไม่เหมือนเธอที่อายุเกินสามสิบแล้วยังแสดงวนเวียนอยู่กับบทเดิมๆ มีบางช่วงที่สภาพร่างกายแย่ ได้แต่อาศัยแต่งหน้าหนาเตอะปกปิดความโทรมไว้

อายุยี่สิบสามเป็นวัยที่สวยสะพรั่งพอดี

พวกเธอพูดคุยกันไม่นานนัก เสี่ยวหยางถือมือถือกลับมา พอเดินมาถึงเบื้องหน้าหนิงซีก็พูดว่า “พี่ซีซี คู่รักคู่นี้ไม่ได้รวยอย่างเดียวนะ ยังหน้าตาดีมาก เมื่อกี้ยังมีคนในกองละครเราบอกว่าหน้าตาของสองคนนี้อยู่ในวงการบันเทิงได้สบายๆ”

“หน้าตาดีขนาดนั้นจริงๆ หรือ” จูเจียเฟยถามอย่างอยากรู้บ้าง

“ค่ะ” เสี่ยวหยางพยักหน้าอย่างมั่นใจ จากนั้นเรียกรูปที่แก็บไว้ในมือถือขึ้นมาแล้วยื่นไปตรงหน้าจูเจียเฟย

จูเจียเฟยรับมือถือมาดู ผู้ชายบนหน้าจอใส่สูทยุคศตวรรษที่สามสิบ ส่วนผู้หญิงใส่กี่เพ้าแพงหรู ทั้งคู่หน้าตาหล่อสวยโดดเด่นกว่าใครจริงๆ

“นี่ไม่ใช่ลูกชายตระกูลเฉินหรือ กลับใจมีคู่หมั้นเป็นตัวเป็นตนสักที เขากับลูกสาวตระกูลเว่ยเรียกว่าสมน้ำสมเนื้อกันดีนะ” จูเจียเฟยจำหน้าคนในรูปได้แล้วพูดเสียงเรียบ

เธอเห็นทายาทเศรษฐีประเภทนี้มามาก ชอบควงพวกนางแบบสาวๆ หรือไม่ก็ดาราเล็กๆ ไร้เกรดไม่ซ้ำหน้า แต่เดี๋ยวพอมีคู่หมั้นหรือแต่งงาน ก็จะมีนักข่าวชมกันใหญ่ว่าถอดเขี้ยวเล็บแล้ว หรือไม่ก็หลงรักเจ้าสาวหัวปักหัวปำอะไรเทือกนี้

หนิงซีได้ยินแล้วหัวเราะคิก กวาดสายตาผ่านมือถือที่จูเจียเฟยส่งคืนให้เสี่ยวหยาง นัยน์ตาของเธอทอประกายวาววับราวกับพรายน้ำระยิบระยับงามจับตาที่สุดในฤดูใบไม้ผลิ

“หนุ่มหล่อสาวสวยฐานะสมกัน ดีออกค่ะ”

“ใช่ ขออวยพรให้พวกเขารักกันยืนยาวละกัน” จูเจียเฟยพูดประโยคนี้ยิ้มๆ

หนิงซียกยิ้มมุมปากคล้ายเห็นด้วยกับคำพูดของจูเจียเฟย

 

[1] เป็นคำเรียกดาราศิลปินในวงการบันเทิงจีนที่มีความสามารถและประสบการณ์สูงด้วยความยกย่อง ไม่ได้หมายถึงอาจารย์สอนหนังสือ

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า