不要物种歧视
อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันสิ เล่ม 2
月下蝶影
เย่ว์เซี่ยเตี๋ยอิ่ง
เขียน
นกแก้ว
แปล
— โปรย —
‘พยับเมฆบนท้องนภาหมุนแปรปรวนคล้ายจะบังเกิดอสนีบาต
ฝูหลีมองมังกรทองที่ขวางด้านหน้าตนก่อนแหงนหน้ามองฟ้า’
เขาไม่เคยคาดคิดและก็ไม่เคยคาดหวังมาก่อนว่าวันหนึ่งจะมีใครเอาชีวิตทั้งชีวิตมาปกป้องเขา
หลังจากตัดสินใจเข้าทำงานใน ‘กรมควบคุม’ ความสัมพันธ์ของฝูหลีกับจวงชิงก็รุดหน้า
ทว่าจะอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะปกป้องเขาถึงเพียงนี้
การมีใครสักคนร่วมต่อสู้ไปด้วยกันก็ดีเช่นนี้เอง
ไม่ว่าต้องเจอกับปีศาจตนใด หรือเรื่องราวในอดีตที่เลวร้ายสักแค่ไหน
ขอแค่มีใครสักคนยอมเดิน ‘จับมือ’ กันไปก็ใช้ได้แล้ว
ว่าแต่ ‘จับมือ’ เลยเหรอ ปีศาจน้อยใหญ่ในกรมควบคุมจะไม่ว่าอะไรใช่ไหม
แต่ความจริงจะว่าอะไรก็ช่างเถอะ แค่อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันก็พอแล้ว
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 55
ในใจของแผนกสารสนเทศแห่งกรมควบคุมดูแลผู้ฝึกตนตอนนี้กำลังทุกข์ถนัด แต่ไม่สามารถพูดออกมาได้
ตั้งแต่รุ่งสางสื่อต่าง ๆ ก็เริ่มปั่นกระแสเรื่องโจรสลัดเจอเรือผีสิงอะไรสักอย่างแล้วมอบตัวเองถึงประตูให้พลเรือรบจับคาหนังคาเขา มิหนำซ้ำสื่อรับจ้างพวกนี้ยังเล่าอย่างมั่นอกมั่นใจ เขียนบรรยายเสียเห็นภาพเพื่อบิลด์อารมณ์ร่วมเต็มที่ ต่างนั่งเทียนสร้างเรื่องราวเวรกรรมตามสนองอันน่าตื่นเต้นเหนือธรรมชาติได้อย่างเป็นตุเป็นตะ
มีนักข่าวลงทุนถึงขั้นไปขอสัมภาษณ์โจรสลัดที่ถูกจับตัว พอโดนทางตำรวจปฏิเสธก็ยิ่งใส่สีตีไข่ บอกว่าโจรสลัดพวกนั้นถูกผีหลอกจนสติแตก ดังนั้นจึงไม่สามารถให้สัมภาษณ์ได้
แม้ว่าจะมีชาวเน็ตหลายคนรู้สึกว่าข่าวพวกนี้ไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ แต่ยามทำงานหรือเรียนเบื่อ ๆ มีเรื่องลึกลับน่าตื่นเต้นให้อ่านก็ช่วยเพิ่มความตื่นเต้นให้ผู้คนไม่น้อย
ชาวเน็ตเอ : [ผีในทะเลก็รักษากฎหมายดีนะ แทนที่จะหลอกโจรสลัดพวกนี้ให้ตายหรือจับกิน กลับให้พวกนั้นไปเจอเข้ากับเรือรบแทน นี่คือมีปัญหาให้หาทหารสินะ]
ชาวเน็ตบีตอบ : [ผีก็มาจากคนนี่แหละ บางทีตอนมีชีวิตผีตนนี้อาจเป็นคนที่เคร่งครัดกฎหมายก็ได้มั้ง]
จินตนาการของชาวเน็ตกว้างไกลมาแต่ไหนแต่ไร พอถกกันมาก ๆ เข้าก็มีคนชอบผีในข่าวลือนี่ขึ้นมาจริง ๆ ถึงขนาดวาดแฟนอาร์ตจิบิน่ารัก ๆ ให้พร้อมแต่งเรื่องราวอันอบอุ่นและน่ารัก เช่น บางทีเขาอาจเป็นทหารที่รบแพ้ตายในทะเลเมื่อร้อยปีก่อน แม้จะกลายเป็นวิญญาณล่องลอยกลางทะเลก็ยังอยากคอยปกป้องประชาชนในทะเล หรือไม่ก็อาจเป็นนักรบที่ตอนมีชีวิตคอยผดุงความยุติธรรม ตายไปแล้วก็ยังไม่ลืมปณิธาน
เรื่องราวไม่เกี่ยวว่าจะจริงหรือไม่จริง ขึ้นอยู่กับว่าทำให้คนซาบซึ้งกินใจหรือเปล่าต่างหาก
เจ้าหน้าที่ทีมข่าวสารอ่านเรื่องราวของทหารกล้าที่กลายเป็นวิญญาณเมื่อหลายร้อยปีก่อนและคอยปกปักรักษาผู้คนบนท้องทะเลจบก็พลอยซึ้งจนตาแดง ๆ ไปด้วย และแอบแชร์เรื่องนี้ไปที่บอร์ดของผู้ฝึกตนพร้อมให้เครดิตผู้แต่ง จากนั้นก็โดเนทเงินให้กับคนวาดการ์ตูนเรื่องนี้
“ทำไมชาวเน็ตพวกนี้ถึงแต่งเรื่องเก่งขนาดนี้เนี่ย” เจ้าหน้าที่ขยี้ ๆ ตาที่แดงเรื่อของตัวเอง แล้วหันไปติดต่อแผนกที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบที่มาที่ไป
เขาประหลาดใจไม่น้อยเมื่อได้รับคำตอบ นึกว่าเรือแค่เสียการควบคุมธรรมดา นึกไม่ถึงว่าโจรสลัดจะโวยวายว่าเจอผีจริง ๆ มิหนำซ้ำได้ยินว่าหลังจากลากเรือโจรสลัดเข้าฝั่งแล้วให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ อุปกรณ์ทั้งหมดกลับทำงานได้อย่างปกติ
หรือว่าจะเจอปรากฏการณ์เหนือวิทยาศาสตร์เข้าแล้วจริง ๆ
แม้จะคลางแคลงใจอยู่มาก แต่เจ้าหน้าที่ทีมข่าวสารช่ำชองด้านการจัดการกระแสสังคมแนวนี้อยู่แล้ว อันดับแรกเริ่มจากให้แอ๊กเคานต์เกร็ดความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องผีที่เป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์ ตบท้ายด้วยความเป็นจริงของเรื่อง พร้อมสรุปด้วยแนวคิดทางวิทยาศาสตร์
จากนั้นก็เลือกแอ๊กเคานต์ที่มีความน่าเชื่อถือออกมาบอกว่าเรือโจรสลัดเกิดปัญหา บวกกับได้รับผลกระทบจากกระแสน้ำในมหาสมุทร จึงลอยไปอยู่ที่หน้าเรือรบ ส่วนที่ว่าทำไมโจรสลัดถึงโวยวายว่าเจอผี มีความเป็นไปได้สองข้อ คือ หนึ่ง พวกเขาอาจจะอยู่กลางทะเลนานเกินไป กินอาหารด้อยคุณภาพ ทำให้เกิดภาพหลอน สอง พวกเขาอาจแกล้งบ้าเสียสติเพื่อหลบเลี่ยงการลงโทษทางกฎหมาย
หลังจากนั้นก็สาธยายความชั่วช้าของโจรสลัดกลุ่มนี้ เช่น เคยปล้นเรือสินค้าอะไรบ้าง ฆ่าลูกเรือผู้บริสุทธิ์ไปตั้งเท่าไหร่ ชาวเน็ตที่ตกตะลึงกับพฤติกรรมอันบ้าคลั่งของโจรสลัดก็พากันโมโหจัด ด่าว่าคนพวกนี้ไม่มีความเป็นคน และลืมเรื่องผีสางไปเสียสนิท
บนโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่ใช้วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้หรอก ถ้าเกิดมี เช่นนั้นก็สร้างทฤษฎีขึ้นมาให้มันเปลี่ยนเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์เสีย
“จริงสิ สองวันนี้ดูเหมือนจะไม่เห็นเจ้านายมาทำงานเลยแฮะ” หลังจากจัดการเรื่องกระแสข่าวเสร็จ เจ้าหน้าที่ทีมข่าวสารเอก็เอ่ยขึ้น “ปกติเวลาเกิดเรื่องแบบนี้ไม่ว่ายังไงเจ้านายก็ต้องมาดูด้วยตัวเองว่าจัดการไปถึงไหนแล้วไม่ใช่เหรอ แต่สองวันนี้ไม่เห็นแม้แต่เงา”
เจ้าหน้าที่บีโคลงหัว “ดูเหมือนจะบาดเจ็บน่ะ ช่วงสองวันนี้งานส่วนใหญ่เป็นพวกหัวหน้าหน่วยกับพี่ฝูไปจัดการกันเองหมด”
“นี่ ฉันอยากคุยอะไรกับนายอย่าง นายอย่าปากโป้งเด็ดขาดเลยนะ” เจ้าหน้าที่เอขยับไปกระซิบกับเจ้าหน้าที่อีกคนใกล้ๆ “นายคิดบ้างหรือเปล่าว่าในหมู่คนระดับสูงของแผนกเรา พี่ฝูนี่บารมีเยอะมากเลยนะ”
“นั่นเพราะนายไม่รู้น่ะสิว่าพี่ฝูมีบุญคุณช่วยชีวิตคนระดับสูงตั้งหลายคน” เจ้าหน้าที่บีเหลียวมองรอบ ๆ ก่อนลดเสียง “ดูจากฝีมือพี่ฝูในคลิปคืนวันสารทจีนนั่น เกรงว่านอกจากเจ้านายแล้ว ในแผนกเราคงไม่มีใครสู้เขาได้ด้วยซ้ำ”
“พวกนายสองคนสุมหัวคุยอะไรกันน่ะ” จางเคอเดินเข้าห้องทำงานมาเอาแฟ้มเอกสารเคาะหัวพวกเขาคนละที “ตั้งใจทำงาน อย่ามัวแต่เมาท์”
ทั้งสองยิ้มแหย ๆ ดูท่าที่พวกเขาพูดกันพี่จางคงได้ยินเข้าแล้ว หูพี่จางดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย
“พวกนายสงสัยละสิว่าทำไมฉันถึงได้ยินที่พวกนายพูด” จางเคอยื่นแฟ้มเอกสารให้เจ้าหน้าที่ทั้งสอง “คนที่ตบะสูง ๆ จะมองไกลพันลี้ หูฟังรอบทิศไม่ใช่ปัญหาเลย แล้วพวกนายว่าที่พวกนายคุยกันพี่ฝูจะได้ยินหรือเปล่าล่ะ”
“พี่จาง พวกผมแค่สงสัยนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอื่นเลย” เจ้าหน้าที่เอมองรอบตัวอย่างหวาด ๆ กลัวพี่ฝูโผล่พรวดมา “พี่ฝูตบะสูงออกขนาดนั้น ทุกคนจะสนใจหน่อยก็ช่วยไม่ได้นี่นา”
“โบราณเขาว่า ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวตาย” จางเคอกางแขนพาดบนไหล่ข้างละคน “ยังมีอีกอย่าง ไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ระวังจะเจอเคราะห์ เข้าใจใช่ไหม”
ทั้งสองพยักหน้ารัว ๆ ต่อให้ไม่เข้าใจก็ต้องเข้าใจ
“เอาละ เรื่องฝึกบำเพ็ญพวกนายไม่เข้าใจตรงไหนก็ไปขอคำแนะนำจากพี่ฝูได้นะ” จางเคอหยุดแกล้ง “เรื่องอื่น ๆ ก็อย่าไปพูดมาก เอกสารนี่เป็นหลักการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยทางไซเบอร์อันใหม่ พวกนายลองอ่านดูดี ๆ แล้วกัน”
พอเห็นจางเคอไม่จี้เอาผิดต่อทั้งสองก็พลอยโล่งอก พอเห็นข้อปฏิบัติเรื่องความปลอดภัยหนาเตอะนั่นแล้วดันรู้สึกยินดีเหมือนเป็นมาโซคิสต์เสียอย่างนั้น
จางเคอเดินออกจากห้องทำงานอย่างพอใจ เจ้าเด็กพวกนี้หากไม่ขู่สักหน่อยก็คงไม่รู้อะไรควรไม่ควร อย่างไรก็ตาม มีหรือพี่ฝูจะเบื่อขนาดมาฟังว่าพวกเขาพูดอะไรกัน สองวันนี้ไม่รู้ทำเรื่องอะไรไว้ ไม่เพียงถูกหักเงินเดือนแทบไม่เหลือหลอ ยังต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างบริษัทกับบ้านเจ้านาย
คิดอะไรก็ได้อย่างนั้นจริง ๆ พอเดินถึงบันไดวน จางเคอก็เห็นฝูหลีกำลังกวักมือให้ต้นไม้โน้มกิ่งลงมาเพื่อเด็ดผลไม้ที่ดีที่สุดซึ่งออกผลอยู่บนยอดถนัด ๆ ต้นไม้ต้นนี้ไม่รู้ปลูกอยู่ที่นี่กี่ปีแล้ว แม้แปลงร่างไม่ได้แต่ก็พอมีสติปัญญา ปกติใครหมายจะเด็ดผลของมันล้วนถูกเถาวัลย์บนลำต้นฟาดใส่ คิดไม่ถึงเลยว่าพี่ฝูจะกล่อมให้มันโน้มกิ่งลงมาได้
ผลไม้สีแดงฉ่ำดูล่อตาล่อใจเสียเหลือเกิน รอฝูหลีเดินเข้ามาแล้วจางเคอก็หน้าด้านขอ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายดันปฏิเสธ
พี่ฝูที่ใจป้ำเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เสมอกลับไม่ยอมให้ผลไม้เขาสักลูกเนี่ยนะ หรืออยู่กับเจ้านายนานเกินไปเลยติดนิสัยขี้เหนียวมา
“ผลไม้พวกนี้ผมจะเอาไปให้จวงชิงกิน ถ้าคุณชอบ พรุ่งนี้ผมค่อยเด็ดเพิ่มให้” ฝูหลีหยิบมือถือออกมาดูเวลา “ใกล้ได้เวลาเลิกงานแล้ว ผมไปก่อนละ”
“พี่ฝูครับ พี่ฝู” จางเคอรีบคว้าแขนฝูหลีไว้ก่อน “พี่อย่าเพิ่งไป ผมมีเรื่องอยากถามหน่อย”
“อะไรหรือ” ฝูหลีหยิบมือถือมาดูอีกรอบ
“อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดครบร้อยห้าสิบปีของเจ้าสำนักผม ตลอดมาท่านผู้เฒ่าเลื่อมใสพี่มาก ไม่ทราบพี่จะพอให้เกียรติไปกินข้าวด้วยสักมื้อได้ไหมครับ” จางเคอเองก็อยากอาศัยโอกาสนี้ให้ฝูหลีขยายเส้นสายในแวดวงผู้ฝึกตน สังคมสมัยนี้ยิ่งมีเพื่อนเยอะชีวิตยิ่งสะดวก หากขลุกอยู่แต่กับเจ้านายคงได้กลายเป็นเมอสิเยอร์กร็องเดต์[1]ฉบับในประเทศแน่
“ได้สิ” ฝูหลีรับคำอย่างง่ายดาย จางเคอเลยถือโอกาสยัดบัตรเชิญใส่มืออีกฝ่ายทันที
เนื่องจากรถโดยสารประจำทางไปไม่ถึงคฤหาสน์ของจวงชิง ฝูหลีจึงจำต้องลงรถตรงสี่แยกแล้วเดินผ่านถนนสายหนึ่งก่อนจะถึงทางเข้าหมู่บ้าน
ยามประจำหมู่บ้านเห็นเขาก็ยิ้มให้ “มาแล้วหรือครับคุณฝู”
“สวัสดียามบ่ายครับ” ฝูหลียิ้มอย่างเป็นมิตรให้ยาม พอเดินไปสองก้าวก็หันกลับไปมองป้อมยามอีกครั้ง ก่อนจะย่ำเท้าเดินไปทางคฤหาสน์ของจวงชิง
นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรชั้นสูงนั้นวางตัวดีมาก พนักงานนิติฯเมื่อพบเจอใครก็จะยิ้มให้อย่างมีมารยาท ด้วยเหตุนี้เองทำให้ลูกบ้านยินยอมที่จะจ่ายค่าส่วนกลางที่แพงกว่าหมู่บ้านอื่น ๆ
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู จวงชิงก็รีบสาวเท้ามาเปิดประตูแล้วพูดหน้าตายว่า “คุณมาทำไมอีกแล้ว”
“ปลาที่ตกวันก่อนยังกินไม่หมดเลยไม่ใช่เหรอ” ฝูหลีหยิบผลไม้ออกมาวางบนจานผลไม้บนโต๊ะน้ำชา “ผมเห็นผลไม้ในแผนกเราออกผลดีมาก เสียดายไม่มีคนกิน”
“คุณมาเยี่ยมไข้หรือมากินข้าวฟรีกันแน่เนี่ย” พอพูดแล้วจวงชิงก็มีน้ำโหหน่อย ๆ เมื่อวานตอนเที่ยงฝูหลีบอกจะทำกับข้าวแล้วเกือบทำไฟไหม้ห้องครัว ทำเอาสัญญาณเตือนไฟไหม้ในบ้านร้องลั่นจนเรียกพนักงานนิติฯมากันเป็นขบวน
“อย่าพูดจริงจังขนาดนั้นสิ” ฝูหลีปอกผลไม้พลางเอ่ย “บนโลกนี้มีปีศาจสมบูรณ์แบบที่ไหน ผมก็แค่ไม่สันทัดด้านทำครัวแค่นิดหน่อย…”
“แค่นิดหน่อย?” จวงชิงแย่งผลไม้ที่ปอกเรียบร้อยแล้วจากมืออีกฝ่ายมาใส่ปากตัวเอง จากนั้นส่งเสียงหึเดินเข้าครัวไป ไม่รู้ชาติที่แล้วทำกรรมอะไรไว้ ชาตินี้คอยจัดการดูแลความวุ่นวายอย่างเหนื่อยยากแสนเข็ญ กว่าจะได้คนที่มีฝีมือด้านการต่อสู้มาสักคนก็ยังไม่ช่วยให้เบาใจ
มีชีวิตอยู่มาสี่พันกว่าปี ทำกับข้าวก็ไม่เป็น เขียนหนังสือก็ไม่สวย แถมยังใช้เงินมือเติบ นี่มันแทบไม่มีอะไรดีสักอย่าง!
หลังจากฆ่าปลาผ่าท้องขอดเกล็ดอย่างชำนิชำนาญแล้ว จวงชิงก็เทน้ำมันลงกระทะด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ บอกจะดูแลเขา สุดท้ายกลับกินปลากินกุ้งเยอะกว่าเขาด้วยซ้ำ กับแค่เล่นเกมเตตริสก็ร้องโวยวายเสียงดังได้ สี่พันกว่าปีมานี้มีชีวิตอยู่อย่างเสียเปล่าแท้ ๆ
เมื่อทอดปลาและหั่นเป็นชิ้นเสร็จ จวงชิงก็เดินถือจานหน้านิ่งไปวางตรงหน้าฝูหลี “กินรองท้องก่อน”
พอกลับเข้าห้องครัว ชายหนุ่มพลันขมวดคิ้ว หรือเขาเป็นคนดีเกิน ทำไมกับข้าวยังไม่ทันเสร็จก็ต้องทอดปลาให้อีกฝ่ายรองท้องก่อนด้วย
ประสาทหรือเปล่าเนี่ย
ปลาทอดน้ำแดง ปลานึ่ง ปลาต้มผักกาดดอง หัวปลานึ่งราดพริก
บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารจานปลา ฝูหลีเข้าไปตักข้าวและหยิบตะเกียบในครัวอย่างรู้งาน เมื่อจัดวางอุปกรณ์รับประทานอาหารเรียบร้อย ฝูหลีก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงหยิบขวดหยกบนตัวออกมาสามขวด “นี่ให้คุณ”
จวงชิงหรี่ตามองขวดสามขวดที่เรียงอย่างเรียบร้อยบนโต๊ะ “ทำไมคุณไปเอามาอีกแล้วล่ะ บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าผมไม่ต้องการดื่มเจ้านี่”
“อันนี้ต้องดื่มต่อเนื่อง” ฝูหลีดันขวดไปตรงหน้าจวงชิง “เดี๋ยวนี้มนุษย์บุกรุกพื้นที่ทางธรรมชาติกันหนักมาก คุณภาพไขทิพย์ไม่เท่าแต่ก่อนแล้ว ต้องให้คุณทนดื่มพวกนี้ไปก่อน”
จวงชิงมองไขทิพย์ตรงหน้าโดยพยายามแสร้งทำเป็นไม่สนใจสุดฤทธิ์
ฝูหลีเหลือบมองอีกฝ่ายทีหนึ่งแล้วชี้ไปที่ปลาทอดน้ำแดงตรงกลางโต๊ะ “ปลาตัวนี้อ้วนดี ผมตกปลาตัวใหญ่ขนาดนี้ได้เมื่อไหร่น่ะ”
“นั่นเพราะผมเป็นคนตกขึ้นมาน่ะสิ” จวงชิงตอบหน้าตาย “อย่าคุยตอนกินข้าว”
ฝูหลีกินปลาทอดน้ำแดงเกินครึ่งตัวเป็นการไว้หน้าจวงชิง จากนั้นก็เริ่มคุยจ้อต่อ “คุณเพียบพร้อมขนาดนี้ หลังลอกคราบครั้งสุดท้ายต้องมีเพศเมียมาขอจับคู่เยอะแน่นอนเลย”
“งานใหญ่ยังไม่สำเร็จ คิดอะไรเรื่องจับคู่” จวงชิงปรายหางตามองฝูหลี “หรือว่าคุณมีความคิดนี้”
จวงชิงวางตะเกียบลง “ผมว่าสาวน้อยที่โรงแรมหยวนเยว่ ไม่ก็คนที่ชื่อฟู่ซือนั่นก็ไม่เลวทีเดียวนะ ในโลกผู้ฝึกตนตอนนี้ก็ไม่ขัดขวางความรักระหว่างปีศาจกับมนุษย์แล้ว คุณจะไปหาพวกเขาก็ได้นะ”
“ไม่เหมาะหรอก” ฝูหลีโคลงหัว “อายุขัยมนุษย์สั้นไม่เกินร้อยปี ไม่ว่าสำหรับอีกฝ่ายหรือเราแล้วไม่นับเป็นคู่ที่ดี”
“ความหมายของคุณคือ ถ้าอายุขัยพวกเขาเหมาะสม คุณก็จะคบกับพวกเขาอย่างนั้นสิ” จวงชิงลุกขึ้นยืนหน้านิ่ง “กินเสร็จแล้วไปล้างจานด้วย”
“ผมแค่อธิบายเหตุผลให้ฟัง ไม่ได้หมายความว่าอยากคบกับพวกเขาสักหน่อย” ฝูหลีลุกขึ้นเก็บโต๊ะ “ช่างเถอะ เด็กยังไม่โตแบบคุณพูดไปก็ไม่เข้าใจ”
จวงชิงตีหน้าเย็นชาไม่สนใจเขา
“ยิ่งไปกว่านั้น ผมก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฟู่ซือคนนั้นด้วย เขาแค่ติดร่างแหในแผนร้ายเท่านั้น ผมเอาฟองอากาศของเซิ่นออกจากสมองเขาแล้ว ต่อจากนี้พวกเราก็ไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้า” ฝูหลียกจานชามสกปรกเข้าครัวแล้วก้มหน้าก้มตาล้างจาน
จวงชิงเงยหน้ามองไปทางห้องครัวก็เห็นแผ่นหลังฝูหลีที่ผูกผ้ากันเปื้อนกำลังล้างจาน พร้อมกับได้ยินเสียงอีกฝ่ายฮัมเพลงที่ไม่รู้ชื่ออะไร
จวงชิงเดินไปห้องหนังสือพลิกดูตำราโบราณสองสามเล่ม ข้างในมีบันทึกสมัยโบราณของทั้งมนุษย์และผู้ฝึกตน
ความจริงเขาอ่านหนังสือพวกนี้หลายรอบจนนับไม่ถ้วนแล้ว ซึ่งไม่มีปีศาจอสูรตนไหนตรงกับลักษณะเด่นของร่างเดิมฝูหลี กระทั่งคัมภีร์โบราณของมนุษย์ที่รู้จักกันกว้างขวางที่สุดอย่างคัมภีร์ซานไห่จิง ที่เนื้อหามีทั้งจริงทั้งหลอก ก็ยังไม่มีปีศาจในตำนานตนไหนที่เหมือนกับฝูหลี
พอพลิกดูหน้าหนังสือสักหน้าส่ง ๆ ในนั้นมีรูปแอ๊บสแตร็กต์บิด ๆ เบี้ยว ๆ จวงชิงหัวเราะเยาะตัวเอง เนื้อหาในบันทึกเล่มนี้เป็นเรื่องราวเมื่อไม่กี่พันปีก่อนทั้งนั้น ทว่าฝูหลีอายุมากกว่าสี่พันปี นอกจากนั้นหลายปีมานี้ก็อาศัยอยู่ในภูเขาห่างไกล จะไปมีข้อมูลเกี่ยวกับอีกฝ่ายอยู่ในบันทึกของมนุษย์ได้อย่างไร
เขาเปิดหนังสือเย็บสันแบบโบราณที่กระดาษเก่าเหลืองเล่มหนึ่งซึ่งด้านในบันทึกเรื่องเล่าพื้นบ้านสนุก ๆ หลายเรื่อง ส่วนใหญ่เป็นนิทานที่ชาวบ้านแต่งขึ้นมา ไม่ได้มีคุณค่าทางวัฒนธรรมอะไร ดังนั้นนอกจากไม่กี่เล่มที่เขาครอบครอง ก็ไม่มีส่งทอดต่อกันในหมู่มนุษย์นานแล้ว
หน้าที่เปิดกางไว้เป็นเรื่องราวที่น่าเบื่อสุด ๆ เรื่องหนึ่ง
เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยราชวงศ์ซินมีหมอเจอกระต่ายตัวหนึ่งแบกคนมาหา ซ้ำยังพูดภาษามนุษย์ หมอตกใจยกใหญ่ เมื่อฟื้นคืนสติก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือฝันไป
ราชวงศ์ซิน…ก็ประมาณปีคริสต์ศักราชที่สิบ เป็นรัชสมัยสั้น ๆ ซึ่งเปรียบดั่งดอกถานฮวาที่บานเพียงชั่วข้ามคืนทำให้มีบันทึกเกี่ยวกับรัชสมัยนี้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แล้วจะไปมีเรื่องภูตผีแบบนี้ตกทอดต่อมาได้อย่างไร
เรื่องแนวชาวนาพบปีศาจ บัณฑิตพบรักกับผีสาวสวยนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรมานานแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงเรื่องแต่งของบัณฑิตขี้อิจฉาที่จินตนาการว่าอยากพบรักกับคนงามบ้างก็เท่านั้นเอง
“จวงชิง” ฝูหลียืนเคาะข้างประตู “รีบพักผ่อน แล้วก็อย่าลืมดื่มไขทิพย์ล่ะ ผมกลับก่อนนะ”
“เดี๋ยว” จวงชิงหยิบมือถือออกมา “คุณเปลี่ยนกลับร่างเดิมหน่อย”
“หา?” ฝูหลีชะงัก “คุณจะทำอะไร”
“คุณคิดว่าตัวเองเป็นกระต่ายมหัศจรรย์ไม่ใช่เหรอ” จวงชิงตอบเขา “ผมจะถ่ายรูปเอาไว้ค่อยๆ สืบหา”
ฝูหลีจึงยอมคืนร่างเดิมอย่างอิดออดเล็กน้อย
จวงชิงใช้มือถือถ่ายรูปทุกซอกทุกมุมเสร็จแล้วก็หิ้วกระต่ายมาวางบนโต๊ะ “ถ้าคุณอยู่ในร่างกระต่ายตลอด คืนนี้ผมให้คุณยืมโซฟาในห้องรับแขกนอนได้นะ”
“ไม่ต้องดีกว่า” ฝูหลีกระโดดลงจากโต๊ะ เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์พลางเอ่ย “ผมค่อนข้างชอบนอนบนเตียงมากกว่า”
ปัง
ฝูหลีมองประตูที่ปิดอย่างไร้เยื่อใยด้านหลังตนแล้วก็ไหล่ตก ถอนหายใจพูดว่า “ปีศาจช่วงวัยต่อต้านนี่เอาใจยากจริง ๆ”
จวงชิงยืนหลังหน้าต่างทอดสายตามองฝูหลีที่ค่อย ๆ เดินออกจากหมู่บ้าน จากนั้นยื่นมือไปดึงผ้าม่านปิด
เมื่อเดินถึงทางเข้าหมู่บ้านฝูหลีก็พบว่ามีคนมุงอยู่บริเวณนั้นหลายคน มีกระทั่งตำรวจที่รีบรุดมายังจุดเกิดเหตุ
“ไอ้พวกเมาแล้วขับพวกนี้นี่เป็นภัยกับทั้งตัวเองและสังคมจริง ๆ” เผิงหางถ่ายรูปจุดเกิดเหตุเสร็จก็ก้มมองแท่นยืนยามข้างหน้า ซึ่งถ้าไม่ได้แท่นนี่ขวางไว้ คนเมาคงขับรถชนป้อมยามไปแล้ว
หมู่บ้านจัดสรรหรูหราแบบนี้ทุกทางเข้าจะมียามประจำการอย่างน้อยสี่คน หากรถชนป้อมยามจัง ๆ ก็อาจมีการสูญเสียชีวิตกันเกิดขึ้น
หน่วยพิสูจน์หลักฐานถ่ายรูปเก็บหลักฐานสถานที่เกิดเหตุแล้วพูดกับเผิงหาง “ผู้กองเผิง ดูจากรอยล้อในที่เกิดเหตุแล้วคนขับไม่มีการเหยียบเบรกเลยครับ”
“ระยำเอ๊ย!” เผิงหางผรุสวาท “อยากตายก็ตายไปคนเดียวสิวะ ไม่ต้องมาลากคนอื่นเดือดร้อนด้วย”
“เสียงเบาหน่อยผู้กองเผิง รอบ ๆ ยังมีคนมุงอยู่นะ” เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเอ่ยเตือนเขาเสียงเบา “ยังไงเก็บไว้ค่อยไปด่าในโรงพักดีกว่า”
เผิงหางสูดลมหายใจลึก ๆ สองที “ลูกบ้านที่บาดเจ็บเป็นยังไงบ้าง”
“ได้ยินคนบนรถพยาบาลบอกว่า ผู้บาดเจ็บโชคดี ก่อนรถชนบังเอิญสะดุดล้ม เลยพ้นเส้นทางที่รถพุ่งชนพอดี มีแค่แผลถลอกบนหลัง ไม่สาหัสอะไร”
“งั้นก็ดีแล้ว”
ตอนนี้เพื่อนร่วมงานจากกองบังคับการตำรวจจราจรกำลังเก็บหลักฐานอยู่บริเวณนั้น ส่วนคนร้ายเมาแล้วขับถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลแล้ว
เผิงหางขยุ้มผมสั้นเกรียนของตัวเองด้วยความหงุดหงิด พอหันไปทางกลุ่มคนมุงก็เห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคย เขาจึงรีบเบียดผู้คนไปเรียกฝูหลี “คุณฝู คุณอาศัยอยู่ที่นี่เหรอครับ”
ไม่กี่เดือนก่อนยังเป็นกรรมกรแบกอิฐขนปูนในไซต์ก่อสร้างอยู่เลย ไม่ทันไรก็ยกระดับมาอยู่คฤหาสน์ระดับสูงเสียแล้ว หรือว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลพิเศษยี่สิบใบมา
“คุณตำรวจเผิง” ฝูหลียิ้มทักทายเผิงหาง “ผมอยู่หอของบริษัทครับ ที่นี่เป็นบ้านของเจ้าของบริษัท”
เข้าบริษัทไม่นานก็มาเยี่ยมเจ้าของเป็นการส่วนตัวถึงบ้านได้แล้ว ดูท่าฝูหลีคนนี้คงได้รับความสำคัญจากเจ้านายน่าดู เผิงหางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาต้องเรียกฝูหลีไว้ด้วย พอเผชิญหน้ากับใบหน้าประดับรอยยิ้มของอีกฝ่าย เขากลับรู้สึกเกรงใจขึ้นมาหน่อย ๆ แล้ว
“เมื่อกี้ตรงนี้มีอุบัติเหตุนิดหน่อย คุณฝูเดินทางตอนกลางคืนระวังความปลอดภัยด้วยนะครับ”
“ขอบคุณครับ” ฝูหลีผงกหัว “ผมจะจำไว้”
เผื่อไปชนรถใครพังเข้า เขาชดใช้ไม่ไหวจริง ๆ
หลังจากยุ่งกับจุดเกิดเหตุเสร็จแล้ว เผิงหางก็เอนตัวนอนบนรถ รู้สึกอยากจะหลับไปเสียเดี๋ยวนั้น เขาทำงานล่วงเวลามาสามสิบกว่าชั่วโมงแล้ว ทว่าจู่ ๆ เขาก็ผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง เล่นเอาเพื่อนร่วมงานที่นั่งข้าง ๆ สะดุ้งตกใจ
“ผู้กองเผิง มีอะไรเหรอครับ”
“ถ้านายเห็นที่ที่หนึ่งจู่ ๆ มีคนมุงกันเยอะ แถมมีตำรวจอยู่ด้วย นายจะมองด้วยความอยากรู้หน่อยไหม”
“คนเรามีความอยากรู้อยากเห็นอยู่แล้ว ต่อให้ไม่เข้าไปร่วมวงด้วย ยังไงก็ขอดูสักหน่อย”
ใช่ นี่ต่างหากคือปฏิกิริยาของคนทั่วไป ต่อให้ไม่ร่วมมุงด้วยก็ต้องหันดูสักหน่อยโดยอัตโนมัติ ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าตงิดใจตรงไหน นั่นคือ ตั้งแต่ต้นจนจบฝูหลีไม่มีความสนใจในอุบัติเหตุรถชนสักนิดเดียว ระหว่างคุยกับเขาก็ไม่มีท่าทางอยากรู้อยากเห็นอะไร
ดูท่าว่าเจ้าหนุ่มฝูหลีนี่จะไม่มีความอยากรู้อยากเห็นแบบนั้น ยิ่งพอนึกถึงเรื่องหญิงกระโดดตึก งูเหลือม เจ้าของห้องเช่า อุบัติเหตุรถชน…
เผิงหางลูบ ๆ แขนตัวเอง ดูเหมือนว่าฝูหลีคนนี้จะไม่ค่อยปกติเท่าไหร่
คนที่พูดอย่างมั่นหน้ามากมักจะโดนตบหน้าได้ง่าย
คืนก่อนฝูหลีเพิ่งพูดเสียดิบดีว่าฟู่ซือก็แค่คนที่ถูกลากมาใช้ในแผนการร้ายเท่านั้น วันถัดมาขณะออกไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุผีอาละวาดที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง พวกเขาบังเอิญเจอกับฟู่ซือตรงทางขึ้นบันไดพอดี
ข้างตัวฟู่ซือมีกลุ่มผู้บริหารมหาวิทยาลัยติดตาม ส่วนทางฝั่งจวงชิงกับฝูหลีก็มีอธิการบดีนำทางให้ด้วยตัวเอง
“ประธานจวง” ฟู่ซือเคยติดต่อสมาคมกับจวงชิงในวงการธุรกิจมาบ้าง เขาจับมือกับชายหนุ่มอย่างเป็นมิตร ครั้นสายตาเลื่อนไปตกที่ฝูหลี สีหน้าก็เคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะ “ท่านนี้คือ?”
“ผู้ช่วยของผม” จวงชิงดึงมือกลับ สีหน้าเย็นชาสุดขีด ไม่แนะนำแม้แต่ชื่อของฝูหลี
“ผู้ช่วยของประธานจวงหน้าคุ้นมากเลยนะครับ เหมือนผมเคยเจอเขาที่ไหนมาก่อน” ฟู่ซือหยิบนามบัตรส่งให้ฝูหลี “หวังว่าครั้งหน้าพวกเราจะมีโอกาสได้ร่วมงานกันนะครับ”
ฝูหลีรับนามบัตรมา “อาจเป็นเพราะผมหน้าค่อนข้างโหลก็ได้ครับ”
คนอื่น ๆ บริเวณนั้น “…”
คนหน้าตาดีนี่มักจะมีความมาดมั่นตลอด ผู้ชายที่หน้าตาดีขนาดนี้ยังพูดว่าตัวเองหน้าโหล นี่มันใช่เหรอ
“คุณนี่ตลกจังเลยนะครับ” แววตาฟู่ซือหวานละมุน เวลาชายหนุ่มมองใครก็มักจะทำให้ผู้ถูกมองหลงคิดว่าเขาสนใจตัวเอง ผู้ชายแบบนี้เป็นที่ชื่นชอบของผู้หญิงนัก ขณะเดียวกันก็เป็นที่นิยมชมชอบของผู้ชายด้วย
“เชิญประธานฟู่ตามสบาย พวกผมยังมีธุระต้องทำ ขอลากันตรงนี้ครับ” จวงชิงผงกหัวให้ฟู่ซือเล็กน้อย ในความสุภาพนั้นแฝงไว้ด้วยความหยิ่งทะนง กระนั้นด้วยสถานะของจวงชิงในวงการธุรกิจ การวางตัวเช่นนี้ในสายตาคนอื่นถือว่ามีมารยาทและสง่างาม
เวลาที่สถานะคนเราต่างกัน ท่าทีที่แสดงออกมาก็จะถูกตีความแตกต่างกันออกไปในสายตาผู้อื่น
“เชิญครับ” ฟู่ซือหลบทางไปด้านข้างให้หนึ่งก้าว เขาหันมองส่งจวงชิงกับฝูหลีขึ้นบันไดโดยสายตาจดจ่อที่แผ่นหลังฝูหลีไม่วาง
จังหวะที่ฝูหลีจะเลี้ยวมุมลับสายตาไป เขาหยุดและมองลงมาข้างล่างจึงประสานสายตาเข้ากับฟู่ซือพอดี
ฟู่ซือชะงักนิดหน่อย แววตาฉายความงงงวยและแปลกใจ
“ลาก่อนครับ” ฝูหลียิ้มให้ฟู่ซือแล้วเดินตามจวงชิงไป
ฟู่ซืออ้าปากคิดจะตอบกลับ ทว่าจู่ ๆ กลับเกิดอาการวิงเวียน พอทรงตัวได้ก็รู้สึกตัวเองแปลก ๆ ไป อธิบายไม่ถูก
“เวลาทำงานอย่าใจลอย” จวงชิงที่อยู่หน้าประตูดาดฟ้าเชิดคางกล่าว “ไปเปิดประตู”
อธิการบดีที่หยิบกุญแจออกมาเตรียมจะไปเปิดถูกจวงชิงห้ามไว้
“พวกคุณไม่ต้อง” เขาดึงกุญแจมาจากมืออธิการบดีส่งให้ฝูหลี “คุณนำไป”
รอฝูหลีรับกุญแจแล้วเขาก็พูดเสริม “มีอะไรทำจะได้ไม่ฟุ้งซ่านง่าย ๆ”
ฝูหลี “?”
[1] ตัวละครในนิยายเรื่อง Eugénie Grandet เขียนโดย Honoré de Balzac มีนิสัยตระหนี่ถี่เหนียวมาก