曾是年少时
รักเธอตั้งแต่วันวาน
ชิงเหม่ย 青浼 เขียน
หนูน้อยฉี แปล
— โปรย —
“…อืม” อ้ายเจียออกแรงทาบทับตัวเธอ หลังได้ยินเสียงเธอร้องด้วยความตกใจ
เขาก็พึมพำว่า “ตอนนี้เธอต่างหากที่พยายามฆ่าฉัน”
จินหยางหัวเราะ
เธอพยายามผ่อนคลายท่ามกลางเสียงหัวเราะ
ก่อนยกลำตัวท่อนบนขึ้นแนบกับกายของเด็กหนุ่มโดยสมบูรณ์…
เธอลูบไล้กล้ามเนื้อแน่นตึงที่แผ่นหลังเขา
วินาทีที่สองหนุ่มสาวแนบเนื้อชิดใกล้กันแทบกลายเป็นเนื้อเดียว
เธอก็ได้ยินอ้ายเจียคำรามในลำคอคล้ายผ่อนคลายคล้ายครวญครางด้วยความเจ็บปวด
จากนั้นเด็กหนุ่มก็ปรนเปรอความหฤหรรษ์ให้เธออย่างใจเย็น
ด้วยความอ่อนโยนที่สุดท่ามกลางความยินยอมพร้อมใจของเธอเอง
“ได้ไหม”
“…อืม”
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
42
คำตอบที่รวบรัดไม่คัดค้านใดๆ ทั้งสิ้นของจินหยางกลับทำอ้ายเจียตะลึงงัน
เขานั่งยองที่ขอบตู้คอนเทนเนอร์ขณะจับมือของจินหยางไว้ ท่าทางราวกับคนปัญญาอ่อน นัยน์ตาอ้ายเจียจับจ้องสีหน้าสบายๆ ของเธออยู่นาน สุดท้ายฉายแววตา “ไม่เชื่อ” ออกมา “เพื่อไม่ให้เธอเบี้ยว ไม่ยอมรับภายหลัง ฉันขอยืนยันอีกที พวกเราเข้าใจคำว่า ‘คบ’ ตรงกันใช่ไหม”
“…นายคิดว่าฉันเข้าใจว่ายังไง”
“‘การคบค้าสมาคมของมนุษย์’ ‘การไปมาหาสู่กันแบบคนทั่วไป’ ‘ความสัมพันธ์พบปะพูดคุยระหว่างเพื่อนบ้าน’”
“ถ้าฉันพูดว่าฉันเข้าใจแบบนั้น นายจะโยนฉันลงไปเหมือนสการ์โยนมูฟาซาลงเหวไหม”
“เขาเป็นใคร”
“อาสิงโตและพ่อสิงโตของพระเอกที่เป็นสิงโตจากการ์ตูน เดอะไลออนคิง[1]ของดิสนีย์” จินหยางเฉลย “ในเรื่องมีฉากหนึ่งที่พ่อสิงโตของพระเอกห้อยตัวอยู่ที่ปากเหว อาสิงโตจับอุ้งมือของพ่อสิงโตไว้ก่อนปล่อยมือทำให้พ่อสิงโตร่วงตกเหว…เหมือนนายตอนนี้แหละ เหมือนกันเปี๊ยบเลย”
“…เธอจริงจังหน่อยจะได้ไหม”
อ้ายเจียแทบเสียสติเพราะจินหยาง เมื่อกี้เขายังตื่นเต้นจนพูดตะกุกตะกักอยู่บ้าง…ขณะนี้เขารู้สึกอยากโยนเธอลงไปจริงๆ
ติดก็ตรงที่คนที่ห้อยต่องแต่งบนบันไดมีสีหน้าสงบนิ่งดั่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ฉันจริงจังอยู่นี่ไง ฉันบอกว่า ‘ได้’ นายฟังไม่ออกเหรอ ยังจะถามซ้ำไปซ้ำมาอะไรมากมาย ตอนนี้ฉันต้องตอบว่า ‘ไม่ได้’ ใช่ไหม นายถึงจะสบายใจน่ะ”
“…” อ้ายเจียนิ่งอึ้งครู่หนึ่ง “ฉันจะโยนเธอลงไปจริงๆ แล้วนะ!”
จินหยางเงียบก่อนเอ่ยว่า “…ฉันว่าฉันเข้าใจสถานการณ์ชัดเจนดีนะ นายถือดีอะไรมาโยนฉันลงไป”
“…”
สุดท้ายอ้ายเจียก็ได้แต่จับมือของเธอไว้ สีหน้าอิดหนาระอาใจ ขณะที่อีกมือเปิดไฟฉายในมือถือส่องให้เธอ เขามองจินหยางปีนอย่างระมัดระวังลงจากตู้คอนเทนเนอร์ไปถึงพื้น…จากนั้นเขาก็ขยับเท้าแค่สองสามทีก็ปีนลงมาได้สำเร็จ “ตึ้ง” ตัวเขาหยุดยืนมั่นคงอยู่เบื้องหน้าจินหยาง เวลานี้ทั้งคู่ยืนอยู่ด้านหลังของรถบรรทุก อีกฟากหนึ่งของรถคือเหล่าผู้ชมที่ทยอยเดินเบียดเสียดกันออกจากสนามแข่งพร้อมอารมณ์ขุ่นเคือง
อ้ายเจียล้วงสองมือเข้ากระเป๋าเสื้อฮู้ด งอหลังเล็กน้อยเพื่อขยับเข้าใกล้จินหยาง…พอกลิ่นกายของเด็กหนุ่มโชยมาใกล้ จินหยางเบือนหน้าหนีเล็กน้อย ก่อนได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นข้างหูเธอ “นี่ หรือตอนนี้มีแค่ฉันคนเดียวที่รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย”
ไม่ใช่
ก่อนนายจะถามคำถามนี้ ฉันไม่รู้สึกว่ามีอะไรน่าตื่นเต้น
แต่ตอนนี้ฉันเองก็ไม่แน่ใจแล้ว
“นายพูดให้น้อยหน่อยได้ไหม เวลาแบบนี้ความเงียบชนะเสียงรู้หรือเปล่า”
“…อ๋อเหรอ”
อ้ายเจียตอบอย่างขอไปที เห็นได้ชัดว่าใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ท่าทางเหมือนกำลังชั่งใจอย่างหนักว่าอยากทำอะไรสักอย่าง…
จินหยางขมวดคิ้วนิดๆ มองอ้ายเจีย เธอมองวงหน้าคมคายอย่างวัยรุ่นที่ขยับเข้าใกล้เธอเรื่อยๆ…เธอเลิกคิ้ว คล้ายเดาได้ว่าเขาคิดจะทำอะไร ก่อนลังเลสามวินาที สุดท้ายก็ไม่ได้ขยับหลบ
ท่ามกลางความมืด เธอรู้สึกว่าโชคดีมากที่อ้ายเจียเห็นหน้าเธอไม่ชัด ลมรอบตัวพัดโหมแรงและหนาวจัด…แบบนี้เขาน่าจะไม่ได้ยินเสียงหัวใจเต้นกระหน่ำปานตีกลองและใบหน้าที่เริ่มร้อนผะผ่าวของเธอ
เมื่อลมหายใจเขาค่อยๆ ขยับใกล้เข้ามาจนขาดอีกเพียงเล็กน้อย จินหยางคิดว่าปลายจมูกเขาจะสัมผัสถูกหน้าเธอ จังหวะนั้นเธอก็กลั้นหายใจ จับกระเป๋าของตัวเองไว้แน่นตามสัญชาตญาณ เวลานี้เอง…
“ฮือๆๆ เขาทำอย่างนี้ได้ยังไง…ทำไมเขาถึงต้องออกจากเกมด้วย ฉันยอมรับได้ที่เขาสะเทือนใจและไม่อยากเป็นนักกีฬาอีก รู้สึกเห็นใจเขาด้วยซ้ำ! แต่ฉันยอมรับไม่ได้ที่เขาทำกับเพื่อนร่วมทีมแบบนี้! ออกจากเกมก่อนจบเกม!”
เสียงแหลมสะอึกสะอื้นของเด็กสาวดังแว่วเข้าหู จินหยางขนลุกซู่ไปทั่วร่าง พอได้สติกลับมา อ้ายเจียก็ดึงเธอหลบเข้าไปในมุมที่มืดกว่าเดิม!
ทั้งคู่ตัวแนบชิด แอบซ่อนอยู่ในเงามืดของรถบรรทุก แผ่นหลังของจินหยางแนบกับตู้คอนเทนเนอร์ของรถบรรทุก ตรงหน้าของเธอคือแผงอกของอ้ายเจีย เขาก้มหน้านิดๆ ริมฝีปากอยู่ข้างใบหูของเธอ…
เธอแทบรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นรัวแรงและทรงพลังของเขา
จินหยางตีอ้ายเจียเบาๆ เตือนให้เขาผ่อนคลายลงหน่อย บัดนี้เขาเกร็งตัวอย่างกับท่อนเหล็กที่โถมทับใส่ตัวเธอ เธอแทบหายใจไม่ออกอยู่แล้ว…จินหยางรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อที่เกร็งแข็งดั่งก้อนหินใต้ฝ่ามือเธอผ่อนคลายลง เธอถึงค่อยเหลียวมองต้นตอของเสียง…
ครั้นเพ่งดูถึงพบว่าเป็นสาวน้อยที่วางป้ายไฟลงข้างถังขยะเมื่อกี้…ยากจะเชื่อว่าอีสปอร์ตยังมีแฟนเกิร์ลที่ทุ่มเทความรักให้จากใจจริง เวลานี้กลุ่มพวกเขาที่มีทั้งชายและหญิงกำลังเดินขึ้นหน้ามาด้วยกัน สาวน้อยตรงกลางนั้น…
เวลานี้ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด
คนอื่นที่เดินมาด้วยกันล้วนมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก พวกเขาพยายามตบไหล่เธอปลอบประโลม…
บรรยากาศไม่ค่อยดี
ทว่าจินหยางกลับเข้าใจพวกเขาอย่างง่ายดาย…
อ้างอิงจากทีมต่างๆ ที่มีฐานแฟนคลับแล้ว ไม่ใช่แฟนคลับของทุกทีมจะเข้ากันได้ดี ปกติแล้วพวกเขาแค่สามัคคีกันยามที่มีศัตรูร่วมกันเท่านั้น
ในช่วงเวลาทำกิจกรรมต่างๆ หากเกิดเรื่องไม่ดีในกิจกรรมใดอันนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เลวร้าย และเมื่อเกิดปัญหาภายในบางอย่างที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์แย่ๆ หากเวลานี้ในทีมมีใครสักคนถ่วงความเจริญของทีมอย่างเห็นได้ชัด บรรดาแฟนคลับในกลุ่มแฟนคลับนี้ก็ไม่ถือสาที่จะทะเลาะกันเองก่อน…
พวกเขาจะเปลี่ยนไป ด่ากันโดยไม่ไว้หน้า ชี้นิ้วด่าสมาชิกทีมที่เป็นตัวถ่วงของทีมโปรด แล้วลามไปด่าแฟนคลับของคนคนนั้นด้วย…
ด่าว่าเป็นตัวถ่วงความเจริญ
หน้าไม่อาย
ไม่คิดจะพัฒนาตัวเอง
หน้าด้านหน้าทน
อย่างนี้เป็นต้น นับว่าด่าได้ด่าดี
กฎข้อนี้เป็นเหมือนกันหมดทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นวงการบันเทิงหรือวงการอีสปอร์ต
อย่างเช่นตอนนี้
จินหยางเห็นชัดว่าด้านหลังสาวน้อยที่ร้องไห้คร่ำครวญ มีหนึ่งชายหนึ่งหญิงที่ยืนกลอกตา ฝ่ายหญิงถึงกับพึมพำเสียงเบาว่า “สมาชิกทีมคนอื่นต่างหากที่อยากร้องไห้ ออกจากเกมก่อนเกมจบแบบนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน เกรียนคีย์บอร์ดด่าก็เรื่องของเกรียนคีย์บอร์ด แต่เพื่อนร่วมทีมที่ตั้งใจเล่นทุกนัดถือว่าติดค้างเขาด้วยงั้นหรือ”
“นั่นสิ ไม่อยากชนะก็ให้ตัวสำรองลงเล่นแทนสิ ครั้งก่อนตอนเหลียงเซิงไลฟ์สตรีมไม่ได้บอกว่าทีมเขาจ้างเลนกลางคนใหม่แล้วเหรอ ฉันยังคิดว่าเขาจะลงแข่งซะอีก เขาอยู่ที่ไหนล่ะ ไม่ใช่มาชมมหกรรมแข่งอีสปอร์ตระดับโลกเหมือนกันเหรอ เปิดตัวในนัดที่สามดีออก ถ้าเปลี่ยนคนแข่งก็คงไม่แจกคิลสามเลนรวด คิดว่าคงไม่ถึงขั้นโดนศัตรูนำสามต่อศูนย์หรอก” ฝ่ายชายเห็นด้วย
สาวน้อยที่โยนป้ายไฟทิ้งมัวแต่ร้องไห้เพราะการกระทำของไอดอลตัวเองเลยไม่โกรธ แต่ผู้หญิงอีกคนที่ปลอบเธอได้ยินบทสนทนาของเพื่อนด้านหลังแล้วรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย เธอกระวีกระวาดบอกลาก่อนลากเพื่อนของตัวเองเดินจากไป
ไม่ไกลออกไปจากตำแหน่งหน้ารถ กลุ่มคนแยกย้ายกันไปแล้ว แต่คู่ชายหญิงที่ถกกันเมื่อครู่ยังยืนอยู่ที่เดิม พูดคุยกันอย่างจริงจังถึงเรื่องที่ว่าหากเปลี่ยนนักกีฬาเลนกลางคนใหม่ เป็นไปได้ไหมว่าจะทำคะแนนสามไล่ตามสอง…
เวลานี้ในสายตาของพวกเขา การแข่งขันที่ทีม YQCB เอาชนะไม่ได้แม้แต่นัดเดียวนี้ ทำให้อ้ายเจียที่พวกเขาไม่รู้ข้อมูลอะไรเลยกลายเป็นนักกีฬาผู้ยิ่งใหญ่รัศมีเจิดจรัส เป็นดั่งวีรบุรุษผู้กอบกู้ทีม
พอสนทนากันถึงช่วงท้าย พวกเขาก็กล่อมตัวเองเป็นผลสำเร็จ…ราวกับว่าถ้าอ้ายเจียลงแข่งให้ทีม YQCB จะต้องทำคะแนนสามไล่ตามสอง ชนะมหกรรมแข่งอีสปอร์ตระดับโลกได้อย่างไรอย่างนั้น
จินหยางฟังมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่าคนพวกนี้น่าขำอยู่บ้าง…เธอเบือนหน้าไป ปลายจมูกปะทะไหล่กว้างของ “วีรบุรุษผู้กอบกู้ทีม” แล้วแอบหัวเราะคิกคัก
“…”
อ้ายเจียไม่รู้ว่าเธอหัวเราะอะไร เขาเองก็ได้ยินทั้งคู่ที่จัดว่าเป็นแฟนคลับของทีม YQCB ชมเขาจากใจจริง เขารู้สึกกระดากมากเหมือนกัน…จินหยางซบไหล่เขาแล้วหัวเราะ “คิกๆๆ” จนสั่นเทาไปทั้งตัว เขายื่นมือไปโอบเอวเธอไว้ เคืองนิดๆ ไม่ให้เธอหัวเราะต่อและไม่ให้เธอขยับตัวตามใจชอบ…
จินหยางดิ้นรนขัดขืนชั่วครู่ ทว่าแขนของเขากลับรัดแน่นขึ้น
อ้ายเจียไม่รู้ว่าการกระทำนี้เล่นงานตัวเขาเองหรือเธอกันแน่ เขารู้สึกแค่ว่าส่วนเว้าของเอวเธอแนบติดกล้ามแขนของเขา น้ำหอมกลิ่นส้มประจำตัวเธอโชยเตะจมูกเขา
“นี่” จินหยางพิงตัวกับไหล่ของเขา ตอนเอ่ยก็คล้ายตัวไหมพ่นใยทั้งอ่อนโยนและเชื่องช้า “…คนพวกนี้มั่นใจในตัวนายจริงๆ ถ้านายลงแข่งแล้วพวกเขาพบว่านายเล่นห่วยกว่าซาเชียนจะทำอย่างไร”
“…”
ท่ามกลางราตรีกาลอ้ายเจียถลึงตาใส่จินหยางเงียบๆ
เวลานี้จินหยางแปลกใจที่พบว่าแม้รอบข้างมืดเพียงนี้ แต่ดวงตาของเขายังสว่างไสวมากขนาดนี้
เธอหัวเราะอีกครั้ง แล้วพูดยิ้มๆ ว่า “อา พอสักที ไม่ต้องถลึงตาใส่ฉันแล้ว ฉันล้อเล่นน่า อย่างน้อยนายก็ไม่ออกจากเกมก่อนจบเกมแน่”
จินหยางบอก เธออดยื่นมือออกไปแตะขนตาของเขาไม่ได้ ขนตาของเขาขยับไหวเบาๆ เพราะสัมผัสของเธอ ชวนให้จั๊กจี้นิดๆ คล้ายแตะพู่กันขนาดเล็ก…
มือจินหยางเพิ่งแตะโดนขนตา ข้อมือเธอก็ถูกมือใหญ่จับไว้ก่อนถูกดันให้แนบกับตู้คอนเทนเนอร์ทางด้านหลัง อ้ายเจียเตือนเธอเสียงต่ำ “อย่าขยับไปมา”
จินหยางเงยหน้ามองเขา สายตาขบขันจางๆ
ความขบขันนั้นคล้ายขนนกปัดผ่านหัวใจของเด็กหนุ่มแผ่วเบา
เขาหลุบตาลง กวาดสายตาผ่านริมฝีปากของเธอเหมือนอยากลิ้มลอง ในสมองดั่งมีฝูงม้าวิ่งตะบึง มีเสียงโห่ร้องดังสนั่น และภาพฟ้าแลบฟ้าผ่า…
ลูกกระเดือกของเด็กหนุ่มขยับอย่างไร้สุ้มเสียง…
ทว่าในจังหวะสุดท้ายเขากลับขลาดเขลา
อ้ายเจียก้มหน้า แววตาดุดันดุจสุนัขป่าตัวร้าย เขาประทับจูบที่เปลือกตาของคนในอ้อมแขนแรงๆ ท่ามกลางความมืดเด็กหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงระอาว่า…
“ทำไมเธอถึงไม่เป็นผู้ชายนะ ถ้าเธอเป็นผู้ชาย ฉันคงอัดเธอตายแล้ว”
ตกดึก บรรยากาศบนรถที่กำลังแล่นกลับโรงแรมค่อนข้างตึงเครียด
ช่วงแรกแทบไม่มีใครแย้มปาก
จนกระทั่งเสี่ยวเซียนที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดเปิดบทสนทนา เขายึดมือถือของสมาชิกทุกคนไว้ แล้วจัดการลบแอปพลิเคชันเทียปาและ QQ ที่มีเวยปั๋วติดมากับแอปจนเกลี้ยง ก่อนคืนมือถือให้สมาชิกทีม เขาเสริมว่า “พรุ่งนี้เช้าฉันจะตรวจสอบอีกที พวกนายทำตัวดีๆ หน่อย อย่าหาเรื่องโดนด่า…จำไว้ว่าหาเรื่องโดนด่าในที่นี้มีสองความหมาย ถูกฉันด่ากับถูกพวกเกรียนคีย์บอร์ดด่า”
ไม่มีใครแย้งคำพูดเสี่ยวเซียนเพราะทุกคนต่างสลดหดหู่ประหนึ่งสุนัขตาย
ซาเชียนนั่งอยู่แถวสุดท้าย ก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จา จินหยางพบว่าไม่มีใครเดินไปถามว่าทำไมช่วงสุดท้ายเขาถึงกดออกจากเกมเลย รอจนเสี่ยวเซียนเดินไปยืนตรงหน้าเขา ท่าทางลังเลว่าจะขอมือถือจากเขาดีไหม…ทว่าเสี่ยวเซียนไตร่ตรองสักพักค่อยคิดได้ว่าขอหรือไม่ขอก็มีค่าเท่ากัน เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ไม่เอ่ยปาก แค่ยื่นมือไปตบไหล่ซาเชียนแล้วหมุนตัวเดินกลับมาอยู่ด้านหน้าสุดของรถ
ตอนเดินผ่านอ้ายเจีย เสี่ยวเซียนชะงักฝีเท้าแป๊บหนึ่ง ก่อนถอยหลังเร็วรี่ เขามองสำรวจอ้ายเจียขึ้นลงรอบหนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณผู้เล่นสำรองครับ ขอถามหน่อยครับว่าคุณยิ้มอะไร ทำท่าอย่างกับคนกำลังมีความรัก”
อ้ายเจีย “…”
อ้ายเจียยกมือจับหน้าตัวเองทันควัน เขาเงยหน้ามองเสี่ยวเซียนสีหน้าใสซื่อ “ฉันไม่ได้ยิ้มนะ พี่อย่าพูดมั่วๆ สิ”
เสี่ยวเซียน “หยิบมือถือขึ้นมาเปิดกล้องส่องหน้าตัวเองดูซะสิ ถ้าแสงในรถมืดไปให้ฉันส่องไฟเพิ่มให้นายด้วยเป็นยังไง…เพื่อนนายยังดูเศร้ากว่านายอีก!”
อ้ายเจียรีบหันมองจินหยาง จินหยางมองตอบเขาสีหน้าซื่อบริสุทธิ์
อ้ายเจียหันหน้า “ขวับ” กลับไปหาเสี่ยวเซียน “ตั้งแต่เล็ก แม่ฉันบอกว่าฉันหน้าตาเหมือนเด็กอารมณ์ดี ต่อให้เสียใจก็เหมือนว่ามุมปากโค้งขึ้นนิดหน่อย…ความจริงฉันเสียใจมากๆ เลยนะ”
เสี่ยวเซียนทำหน้า “นายคิดว่าฉันโง่เหรอ” ก่อนเปรย “ตอนเริ่มแข่งนัดที่สาม ขณะทุกคนภาวนาต่อฟ้า นายไปอยู่ที่ไหน”
“บรรยากาศในห้องพักอึดอัดเกินไป ฉันเลยหนีออกไปข้างนอก” อ้ายเจียยักไหล่ “ฉันต้องปีนขึ้นไปบนตู้คอนเทนเนอร์หลังรถบรรทุกเพื่อชมการแข่งขันนัดที่สามเลยนะ สวรรค์เป็นพยานให้ความจริงใจนี้ได้”
เสี่ยวเซียนร้อง “อ้อ” แล้วเอ่ยเสริมว่า “ถ้าอย่างนั้นยังดีที่พวกเราแข่งจบเร็ว ลมบนหลังคารถแรงออกจะตาย เกิดป่วยขึ้นมาจะทำยังไง”
“…”
นี่เป็นการพาลหาเรื่องชัดๆ
แถมยังเป็นการพาลหาเรื่องแบบไร้เหตุผลอีกต่างหาก
อ้ายเจียมองเสี่ยวเซียนอย่างเห็นใจ ขณะตั้งใจตรองว่าตัวเองควรยอมรับผิดกับผู้จัดการทีมที่เจียนบ้าเต็มแก่คนนี้เพื่อให้เขาได้ระบายอารมณ์บ้างดีไหม เวลานี้เหลียงเซิงลุกขึ้นมาลากตัวผู้จัดการทีมที่เห็นใครก็อยากเข้าไปอัดคนเขาสักยกให้กลับไปนั่งที่เดิม เขาหันมองอ้ายเจียด้วยแววตาสงสารแวบหนึ่งพร้อมพูดว่า “ขอโทษด้วยนะ ลืมล่ามโซ่สุนัขบ้าน่ะ”
กล่าวจบเหลียงเซิงก็ผลักเสี่ยวเซียน “พอแพ้แล้วกระทั่งหายใจก็ผิดสินะ คนเขาไม่ได้ลงแข่งสักเกม ทั้งคืนไม่ได้แตะคีย์บอร์ดเลยสักหน ขนาดนี้แล้วยังผิดอีกหรือ…พี่เลิกมองคนในแง่ร้าย ยุแยงให้สมาชิกทีมแตกแยกกันได้แล้ว!”
“…ตอนฉันเดินผ่าน เขานั่งยิ้มแป้นให้พนักพิงด้านหน้าอยู่จริงๆ นะ!” ผู้จัดการทีมแย้งคล้ายถูกใส่ร้าย “ท่าทางเหมือนกำลังจมอยู่ในแม่น้ำแห่งรัก!”
“พอพี่แพ้การแข่งขันแล้วจะให้ศาลผู้เฒ่าจันทรา[2]ขาดควันธูปด้วยหรือไง”
“ฉันไม่สน”
“ฉันเองก็ไม่สนเหมือนกัน!” เสียงของกัปตันทีมสูงขึ้นแปดคีย์ “พี่นั่งลงเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
ที่หน้ารถ ผู้จัดการทีมและกัปตันทีมยังคงถกเถียงกัน พาให้บรรยากาศภายในรถที่เดิมเงียบกริบและตึงเครียดผ่อนคลายและคึกคักขึ้น
อ้ายเจียสองมือกอดพนักพิงด้านหน้า แล้วหันมองจินหยางที่นั่งอยู่ด้านข้าง…เดิมเธอนั่งมองตรงไปด้านหน้าไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ครั้นรู้สึกว่าเธอถูกเตะเท้าทีหนึ่ง เธอก็ผินหน้าไปมองเด็กหนุ่มข้างกาย…
เขายิ้มแฉ่งอย่างเบิกบานใจ
จินหยาง “…”
ที่นั่งแถวหน้า เสี่ยวเซียนยังเถียงกับเหลียงเซิงถึงเรื่องที่อ้ายเจียยิ้มหรือไม่ยิ้มอย่างเมามัน เสี่ยวเซียนตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด เวลานี้ถูกกัปตันทีมบังคับให้กล่าวขอโทษ…
เป็นคดีที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมที่สุดในโลกใบนี้จริงๆ
“ทีมคุณแพ้การแข่งขันนะคะ คุณผู้เล่นสำรอง”
“อ้อ”
“คุณยิ้มแป้นหน้าบานเชียว ช่วยควบคุมอารมณ์ตัวเองหน่อยได้ไหม”
“แพ้ก็แพ้สิ ครั้งหน้าเอาชนะคืนมาก็สิ้นเรื่อง” อ้ายเจียกะพริบตาปริบๆ พลางปล่อยมือออกจากพนักเก้าอี้ เขายื่นมือไปแตะหน้าของจินหยาง “เรื่องวันนี้เธอไม่ดีใจสักนิดเลยเหรอ ทำไมเธอทำหน้านิ่งเชียว เธอน่าจะมีความสุขมากเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ไหนบอกว่าผู้หญิงมักมีอารมณ์ร่วมมากจนสามารถร่ายกลอนแห่งรัก[3]ได้เลยยังไงล่ะ”
คำถามรัวเป็นชุด
“…แค่อารมณ์ของนายคนเดียวก็ร่ายกลอนสมัยราชวงศ์ถังจบไปสามร้อยบทแล้ว ไม่ขาดกลอนจากใจสาวน้อยบทหนึ่งของฉันหรอก” จินหยางยื่นมือไปจับคางอ้ายเจีย ดันหน้าเขาให้กลับไปมองตรงหน้า “เสี่ยวเซียนมาแล้ว ตอนนี้กรุณาทำหน้าเสียใจด้วย”
“…”
พอถึงโรงแรม
เพราะแพ้การแข่งขัน เสี่ยวเซียนเลยเสียใจจนนอนไม่หลับ
เพราะแพ้การแข่งขัน เหลียงเซิงเลยเสียใจจนนอนไม่หลับ
…เพราะได้คบกับเทพธิดาแห่งโชคลาภ อ้ายเจียเลยดีใจจนนอนไม่หลับ
ด้วยเหตุนี้คนสามคนเลยมารวมตัวกันที่ระเบียง แล้วเริ่มสนทนากันเรื่อยเปื่อย คุยถึงการแข่งขันวันนี้ คุยถึงเหล่าเกรียนคีย์บอร์ดในอินเทอร์เน็ต คุยถึงป้ายเชียร์ที่ถูกทิ้งข้างถังขยะ คุยถึงอนาคตของซาเชียน และคุยถึงอนาคตของทีม YQCB
คนทั้งสามต่างคนต่างคีบบุหรี่หนึ่งมวน จุดสูบกันจนระเบียงคละคลุ้งไปด้วยควัน ส่งให้บรรยากาศประหนึ่งแดนเซียน…จากเดิมที่คุยกันเรื่องจริงจัง ภายหลังก็เปลี่ยนมาคุยเรื่องโอกาสที่จะเลียนแบบการจัดการทีมให้เหมือนภูมิภาคเกาหลีใต้ที่เน้นการเก็บเงินเก็บเลเวล พอคุยมาถึงช่วงหลังก็เถลไถลไปเรื่อยเปื่อย หัวข้อสนทนาเบี่ยงไกลออกไปเรื่อยๆ…
เสี่ยวเซียนคาบบุหรี่ไว้ขณะยกเท้าเตะอ้ายเจียที่นั่งอยู่ตรงกลาง “สรุปว่าวันนี้นายยิ้มมีความสุขอะไร อัตราเฉลี่ยคุยสามประโยค เงียบสิบวินาที ยิ้มมีความสุขหนึ่งหนนี่เกินกว่าระดับความสุขที่นักกีฬาน้องใหม่จะแสดงออกและนักกีฬาตัวสำรองควรจะแสดงออกนอกหน้า…นายจะเป็นพ่อคนรึไง”
เหลียงเซิงดึงบุหรี่ออกจากปากครู่หนึ่งขณะหลุดขำ “พรืด”
อ้ายเจียคาบบุหรี่ไว้ หรี่ตาเล็กน้อยคล้ายจมอยู่ในห้วงความทรงจำอันแสนสุข “ตอนใกล้จบนัดที่สาม จังหวะที่ซาเชียนกดออกจากเกม ฉันกับเธอนั่งอยู่บนตู้คอนเทนเนอร์ เธอบอกฉันว่าถ้าอนาคตฉันจะกลายเป็นคนแบบนี้ ยังงั้นก็อย่าเป็นนักกีฬาอีสปอร์ตเลยดีกว่า”
เสี่ยวเซียนตะลึงประเดี๋ยวเดียว ก่อนร้อง “อ้อ” แล้วจมอยู่ในห้วงความคิด
เหลียงเซิงพยักหน้า “เธอพูดถูก”
“ดังนั้นฉันเลยถามเธอว่าจะคอยจับตาดูฉันไหม จะได้มั่นใจว่าฉันจะไม่ทำผิด” อ้ายเจียหยุดคิดแล้วเอ่ยเสริม “และจะคบกับฉันได้ไหม”
เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับโค้งมุมปากค้าง…
“เธอตอบรับว่าจะคบกับฉันแล้ว”
เสี่ยวเซียนกับเหลียงเซิงฟังแล้วปากอ้าตาค้าง
เสี่ยวเซียนตกตะลึงพรึงเพริด “นี่อะไรกัน เพลงประกอบการแข่งขันที่ทีม YQCB แพ้เพราะมากจนนายรู้สึกว่าเหมาะจะใช้เป็นเพลงประกอบการสารภาพรักของตัวเองหรือ”
อ้ายเจียก้มหน้ายิ้มละไม “อารมณ์พาไปก็เลยสารภาพน่ะ…พี่กล้าเชื่อไหมว่าก่อนปีนขึ้นรถบรรทุกพังๆ นั่น ฉันยังโสดอยู่ ตอนปีนลงมาฉันก็มีแฟนซะแล้ว”
เสี่ยวเซียน “…”
เหลียงเซิง “…”
เหลียงเซิง “ไม่ใช่สิ คุณผู้เล่นสำรอง ฉันเห็นแฟนนาย…ถือว่าเป็นแฟนก่อนก็แล้วกัน ทำไมเธอถึงทำหน้านิ่งขนาดนั้นล่ะ ไม่เหมือนคนที่ตกอยู่ในแม่น้ำแห่งรักเลย…นายแน่ใจนะว่า ‘คบ’ ในสายตาของนายมีความหมายเดียวกันกับในสายตาของเธอ”
“…”
ไม่แน่ใจ
รอยยิ้มบนหน้าของอ้ายเจียแข็งค้าง
…นี่คือเรื่องที่อ้ายเจียกังวล
เพราะเหมือนว่าตั้งแต่ต้นจนจบ จินหยางยังไม่ได้ตอบคำถามนี้ของเขาตรงๆ เลย
ด้วยเหตุนี้รอยยิ้มบนใบหน้าเด็กหนุ่มเริ่มเลือนหาย เขาดีดก้นบุหรี่ เลิกคิ้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจคล้ายบอกคนอื่นและบอกตัวเองว่า “ตอนหลังฉันจูบเธอแล้วนะ!”
เสี่ยวเซียนที่มีอารมณ์ร่วมกับเนื้อเรื่องที่อ้ายเจียเล่ามากเกินไปถอนหายใจโล่งอก “อ้อ จูบแล้วเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็พอไหว”
เหลียงเซิง “จูบปากรึเปล่า”
อ้ายเจีย “ไม่ใช่ จูบเปลือกตา”
เสี่ยวเซียน “…”
ขณะเสี่ยวเซียนเงียบอยู่นั้น เหลียงเซิงก็ดับบุหรี่ในมือ จู่ๆ เขาก็ชะโงกตัวมาหาและ “จุ๊บ” หน้าของอ้ายเจียฟอดหนึ่ง!
อ้ายเจีย “…”
เสี่ยวเซียน “…”
เหลียงเซิง “จูบหน้าจะนับเป็นอะไรได้ จูบราตรีสวัสดิ์ก่อนนอนของคนชาติทางตะวันตกยังร้อนแรงกว่านี้อีก ตอนนี้ฉันจูบนายแล้วเหมือนกัน นายรู้สึกพิเศษอะไรไหมล่ะ!”
บุหรี่ในมือของอ้ายเจียที่ไหม้ไปได้ท่อนหนึ่งร่วงลงพื้น เขาเหลียวมองเหลียงเซิงช้าๆ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุขแล้ว รอยยิ้มประดับหน้าค่อยๆ จางลง…
จูบหน้าไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไรจริงด้วย
ด้อยกว่าจูบราตรีสวัสดิ์ของคนชาติทางตะวันตกอีก
เธอไม่แม้แต่จะยิ้มให้เขาเท่าไหร่เลย
สีหน้าเรียบเฉย
ไม่เหมือนเด็กสาวที่กำลังมีความรักสักกระผีก
ความไม่สบายใจพุ่งสูง กลบทับสติสัมปชัญญะจนสิ้น
เวลานี้ผู้จัดการทีม YQCB ปากอ้าตาค้างขณะมองอ้ายเจียที่มีสีหน้าดุจคนที่เพิ่งได้สติกลับคืนมาและจมอยู่ในห้วงความเจ็บปวดกะทันหัน และเหลียงเซียงที่ทำหน้า “สรุปว่าหนุ่มใสซื่ออย่างนายเข้าใจเรื่องพวกนี้ไหมเนี่ย” อยู่ด้านข้าง
เนิ่นนานกว่าเสี่ยวเซียนจะเค้นประโยคหนึ่งออกมาได้…
“เหลียงเซิง นาย…ช่างเถอะ อ้ายเจีย นายอย่า…อ๊ากๆๆ อ๊ากๆๆ ปัดโธ่เว๊ย วันนี้แพ้การแข่งเกมก็เศร้ามากพอแล้ว หนุ่มอัจฉริยะทั้งสองยังคิดจะบีบให้ฉันสติแตกจนต้องกระโดดตึกตายไปก่อนใช่ไหมถึงจะพอใจน่ะ”
[1] ภาพยนตร์อะนิเมะเพลงของวอลต์ ดิสนีย์ ออกฉายครั้งแรกปี ค.ศ.1994
[2] เทพพ่อสื่อผู้บันดาลความรักและการแต่งงานตามความเชื่อของชาวจีน
[3] เป็นประโยคจากนิยายกำลังภายในเรื่อง ตำนานชำระกระบี่ในธารน้ำแข็ง ประพันธ์โดยเหลียงอวี่เซิง (หรือเนี่ยอู้เซ็ง) (ค.ศ.1924-2009)