โชคลาภหมื่นล้านบันดาลรัก
天降横财一百亿
เจียงจื่อกุย 江子归 เขียน
เหวินหรง แปล
— โปรย —
เรื่องที่รู้ๆ กันอยู่สำหรับคนทั่วไปคือ
หากมีเงินและได้ใช้เงินนั้น ก็จะมีความสุข
แต่สำหรับ สวี่รุ่ย การต้องใช้เงินแต่ละหยวนในกรอบของการทดลอง
ทั้งเหนื่อย ทั้งลุ้น และแน่นอนว่ามีความสุข
ภารกิจการใช้เงินที่เธอต้องทำในแต่ละครั้งนับวันจะท้าทายขึ้นเรื่อยๆ
จำนวนเงินทะยานสู่หลักสิบล้าน
เดิมพันแต่ละครั้งยังคงเป็นชีวิตน้อยๆ ของเธอ
โชคดีที่ตอนนี้เธอมี ลั่วหาน
ซึ่งหายจากโรคภัยกลับมาแข็งแรงแล้วคอยช่วยเหลือเสมอ
ดังนั้นสวี่รุ่ยจะไม่ยอมแพ้ เธอจะใช้เงินพวกนั้นให้หมดเกลี้ยง
พิชิตทุกภารกิจเพื่อมีชีวิตรอดให้ได้!
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
83
สาเหตุที่สวี่รุ่ยยังพอมีเวลาตัดสินใจว่าจะไปไหนโดยไม่ต้องรีบร้อนลงจากรถ เพราะโบนัสครั้งนี้พัฒนาขึ้นเล็กน้อย
ระบบ 1212 “โบนัสเวลาสองร้อยนาที จำนวนเงินสี่ล้าน ขอบเขตสองร้อยเมตร เวลาเตรียมตัวสิบนาที”
“อะไรคือเวลาเตรียมตัวสิบนาที”
ระบบ 1212 “ตามตัวอักษรเลย เป็นเวลาพิเศษให้เตรียมตัวก่อนเริ่มตรวจจับขอบเขตและจับเวลา”
สวี่รุ่ยเฉลียวฉลาด จึงเข้าใจโดยพลัน “คือฉันมีเวลาสิบนาทีในการตัดสินใจว่าจะเริ่มใช้โบนัสที่ไหนใช่ไหม”
ระบบ 1212 “จะว่างั้นก็ได้ เงินเข้าบัญชีเรียบร้อย เริ่มนับเวลาเตรียมตัว”
สวี่รุ่ยไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่หนึ่งวินาที เธอรีบบอกให้ลั่วฉือเปลี่ยนทิศทาง มุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าที่ใกล้ที่สุดตามป้ายบอกทาง
เป็นสถานที่ช็อปปิงซึ่งน่าฝากชีวิตที่สุด และขับรถยนต์ไปถึงภายในเวลาสิบนาที
ลั่วฉือให้ความร่วมมือดีมาก ต้องขอบคุณที่รถไม่ติด เขาขับรถมุ่งสู่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน
ระบบ 1212 [เวลาเตรียมตัวสองนาทีสุดท้าย]
สวี่รุ่ยกระโดดลงจากรถ วิ่งปรี่ไปยังชั้นใต้ดินอย่างไม่คิดชีวิต โชคดีที่ใส่รองเท้าบู๊ตมาร์ติน ถ้าใส่รองเท้าส้นสูงมาคงหมดกัน!
“สวี่รุ่ย!”
ลั่วฉือไม่เข้าใจ เขาเห็นผู้หญิงที่บ้าช็อปปิงมาไม่น้อย บทอยากช็อปปิงถึงกับบินไปแมนฮัตตันช่วงสุดสัปดาห์ก็มี
แต่ยังไม่เคยเห็นคนที่บ้าคลั่งขนาดสวี่รุ่ย
“ระวังตัวด้วย!”
สวี่รุ่ยเองก็รู้ว่าต้องระวัง บริเวณชั้นใต้ดินมีรถราวิ่งขวักไขว่ยังงี้ค่อนข้างอันตราย
ยิ่งกว่านั้นวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ แม้เป็นเวลาบ่ายสามโมงแล้ว แต่ก็มีลูกค้าเข้าๆ ออกๆ ไม่น้อย
โชคดีที่สวี่รุ่ยตัวเบาหวิว ปฏิกิริยาตอบสนองว่องไวจึงวิ่งปรู๊ดมาถึงทางเข้าลิฟต์โซน A ภายในสองนาที
ระบบ 1212 “ขณะนี้เริ่มจำกัดระยะทางสองร้อยเมตรและเริ่มจับเวลา”
สวี่รุ่ยพรูลมหายใจ สองร้อยเมตร อย่างมากก็แค่เหมาซื้อหลายๆ ร้านบริเวณใกล้ๆ ลิฟต์ให้หมด ทั้งหมดมีตั้งหกชั้นเชียวนะ!
ลั่วฉือไล่ตามมา เขาพูดพลางหอบหายใจ “เธอจะรีบร้อนอะไรนักหนา ทำฉันตกใจหมด ถ้าอะไรขึ้นมีหวังตาของเธอฆ่าฉันตายแน่!”
สวี่รุ่ยรู้สึกผิดเช่นกัน “ขอโทษนะพี่ฉือ ฉันรีบไปหน่อย”
“ห้างสรรพสินค้าไม่ได้หนีไปไหนสักหน่อย มีอะไรให้ต้องรีบร้อน จะมาแย่งของลดราคาหรือไง มันไม่คุ้มกับฐานะของเธอหรอกนะ”
“ฉัน…ฉันแค่อยากช็อปปิงกะทันหัน พี่ไม่เข้าใจ ฉันรีบมากๆ”
นับวันสวี่รุ่ยยิ่งพบว่าพฤติกรรมการช็อปปิงของเธอที่มาพร้อมกับจำนวนเงินที่พุ่งทะยานขึ้นนั้นไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นฟังด้วยเหตุผลของคนปกติ
อย่างเช่น ต่อจากนี้เธอจะอธิบายอย่างไรว่าจะไม่ช็อปปิงในร้านที่อยู่ห่างออกไปมากกว่าสองร้อยเมตร
คงทำได้แค่…ทำตัวไม่ปกติต่อไป
อย่างมากก็แค่อยากช็อปปิงมากเกินไปหน่อยเท่านั้น
เฮ้อ แล้วแต่จะคิดเถอะ
สวี่รุ่ยไม่คิดจะแก้ตัว ลั่วฉือตาไม่บอด มีหรือจะดูไม่ออกว่าอารมณ์ของเธอเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ความวิตกกังวลของเธอไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำ
“สวี่รุ่ย เธอไม่สบายหรือเปล่า หน้าผากมีเหงื่อออกนะ เฮ้ หน้าก็ร้อนด้วย”
“โอ๊ย ฉันไม่ได้เป็นอะไร ได้ซื้อของสักหน่อยเดี๋ยวก็หาย”
“เหอะ ที่แท้เธอมาช็อปปิงที่นี่คลายเครียดสินะ”
“ใช่ๆ พี่ฉือไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนฉันหรอก ฉันมีที่ให้ช็อปปิงแล้ว พี่ไปทำธุระของพี่เถอะ เดี๋ยวฉันให้คนขับรถที่บ้านมารับ”
สวี่รุ่ยแทบผลักลั่วฉือให้เดิน เขาจะได้ไม่ตกใจกับพฤติกรรมผลาญเงินของเธอ
แต่ยิ่งเธอเป็นแบบนี้ ลั่วฉือยิ่งไม่กล้าไปไหน “วันนี้ฉันไม่ยุ่ง เดินช็อปปิงเป็นเพื่อนเธอสักพักก็ไม่มีปัญหา ลั่วหานไม่อยู่ ฉันจะทำหน้าที่ช่วยเธอถือกระเป๋ากับถุงช็อปปิงแทนน้องชายเอง”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวโทร.ให้ผู้ช่วยมาถือให้ก็ได้…”
พอลิฟต์มาถึง สวี่รุ่ยยังสลัดเขาไม่หลุด ตรงกันข้ามกลับโดนลูกค้าข้างหลังผลักเข้าไปด้านใน ทั้งคู่ยืนคนละมุมของลิฟต์
ระบบ 1212 [หนึ่งร้อยเก้าสิบห้านาทีสุดท้าย]
ให้ตาย เสียเวลาพูดพล่ามกันไปตั้งห้านาที
เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้น B1 สวี่รุ่ยยังไม่ขยับ
พอประตูเปิดอีกรอบที่ชั้นหนึ่ง สวี่รุ่ยไม่รอช้ารีบเบียดออกไป
ลั่วฉือก็รีบเบียดตัวออกมาเช่นกัน
สวี่รุ่ยเคยมาห้างสรรพสินค้าแห่งนี้หลายครั้งในช่วงฤดูใบไม้ผลิ อยู่ใกล้กับย่านศูนย์กลางธุรกิจและมีทำเลที่ตั้งดีเยี่ยม ถึงแม้ชั้น B1 จะมีสินค้าประเภทเครื่องประดับ เครื่องสำอาง น้ำหอม และรองเท้าสตรี ทว่าแบรนด์ดังระดับโลกจะอยู่ที่ชั้นหนึ่งทั้งหมด
สวี่รุ่ยรู้สึกปลอดโปร่งทันทีที่ออกจากลิฟต์ ร้านแบรนด์ดังนับไม่ถ้วนปรากฏสู่สายตา ไล่ตั้งแต่โบเตกา เวเนตาไปจนถึงบุลแกรี ชาเนล ซีลีน ดิออร์ นอกจากนี้ยังมีแอร์เมเนจิลโด เซนญา กุชชี หลุย วิตตอง รวมทั้งปราดา และอีฟ แซงต์ โลรองต์
มีครบทุกแบรนด์
จัดตกแต่งอย่างสวยงามเลิศหรู
ลำพังแค่เห็นโลโก้ก็รู้สึกดีมากแล้ว
ทว่าร้านค้าชื่อดังเหล่านี้ แต่ละร้านครอบครองพื้นที่ไม่น้อย ด้วยขอบเขตจำกัดอยู่ที่สองร้อยเมตร มากสุดก็มีที่ให้สวี่รุ่ยเดินช็อปปิงได้สักสองร้าน
สำหรับชั้นนี้ ร้านที่อยู่ใกล้สวี่รุ่ยที่สุดก็คือชาเนลกับแอร์เมเนจิลโด เซนญา
ฮ่าๆๆ โชคดี!
สวี่รุ่ยเลี้ยวซ้ายเดินเข้าประตูใหญ่ของชาเนลโดยไม่ต้องหยุดคิด
หากบอกว่าเมื่อกี้ลั่วฉือยังกังวลกับท่าทางของสวี่รุ่ย ตอนนี้พอเห็นดวงตาทั้งคู่ของเธอเปล่งประกายและยิ้มจนเห็นฟันทุกซี่ก็รู้ว่าเธอได้รับการเยียวยาจนหายดีแล้ว ช่างเป็นยาวิเศษจริงๆ
ลั่วฉือส่ายหน้าพลางขยับเท้าตามไป
เมื่อเข้าไปด้านในร้านชาเนลจะพบ “แผงกระจก” สไตล์ป๊อบอาร์ต ที่นำเสนอความสง่างามและหรูหราแบบคลาสสิก
ร้านนี้มีพื้นที่หกร้อยตารางเมตร สามารถหาซื้อเครื่องประดับ เครื่องหนัง นาฬิกา รวมถึงเสื้อผ้าที่ใช้ศิลปะการตัดเย็บชั้นสูงได้
แน่นอนว่าสวี่รุ่ยอยู่ห่างจากทางเข้าลิฟต์ได้เพียงสองร้อยเมตรเท่านั้น พื้นที่ที่เธอไปได้ย่อมเป็นโซนเครื่องประดับ โซนเครื่องหนัง โซนนาฬิกาข้อมือ และโซนเสื้อผ้าที่ตัดเย็บอย่างพิถีพิถัน…อีกนิดหน่อย
แต่ละโซนของห้างแห่งนี้ล้วนกว้างขวางและแยกเป็นสัดส่วน สวี่รุ่ยจำต้องละทิ้งเสื้อผ้าแล้วเลือกเครื่องหนังแทน
พนักงานขายของร้านแบรนด์เนมดีมากๆ ไม่ส่งเสียงดัง ไม่เดินตาม ลูกค้าลองหยิบใช้ตามลำพังได้เหมือนอยู่บ้านของตัวเอง เวลาที่ต้องการใช้บริการจากพวกเขา พวกเขาก็จะปรากฏตัวทันควัน
คอลเล็กชันที่สวี่รุ่ยชื่นชอบที่สุดคือกระเป๋าถือชาเนลบอยที่ดูเรียบง่ายและทันสมัย
แม้เคยซื้อไปหลายใบแล้ว ทว่าเมื่อเห็นสินค้าใหม่ๆ บนชั้นวางก็ตัดสินใจกวาดมาทั้งหมด ทั้งใบเล็ก ใบกลาง หรือแม้กระทั่งใบกลางของคอลเล็กชันใหม่อีกหนึ่งใบ
ตอนสวี่รุ่ยซื้อของเหล่านี้ เธอมองเพียงแวบเดียวแล้วเหมามาทั้งหมด ก่อนถือโอกาสไปเลือกนาฬิกาที่ถูกใจจากโซนนาฬิกาข้อมือสักสองสามเรือน
“อืม เรือนนี้ เรือนนั้น เรือนนี้ด้วยค่ะ สองเรือนนั้นด้วย เอาทั้งหมดเลย”
ของพวกนี้ไม่ได้แพงมาก แน่นอนว่าถ้าเทียบกับเงินสี่ล้าน
อย่างไรก็ตามนาฬิการาคาหลักหมื่นพวกนี้เหมาะที่จะมอบเป็นของขวัญให้คนอื่น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องระดับความสนิทสนม
“ก็บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง ได้ซื้อของหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”
สวี่รุ่ยหิ้วถุงช็อปปิงหลายใบออกจากร้านพลางแย้มยิ้ม “พี่กลับไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันจะให้ผู้ช่วยมาเดินช็อปปิงเป็นเพื่อน”
อันที่จริงลั่วฉือสังเกตมาสักระยะหนึ่งแล้วว่าสวี่รุ่ยกลับมาเป็นปกติดังเดิม
แม้ซื้อของได้ว่องไวและไม่ลังเลกว่าหญิงสาวคนอื่นๆ แต่ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเธอ ก็แค่กระเป๋าไม่กี่ใบกับนาฬิกาไม่กี่เรือน
ลั่วฉือลูบศีรษะเธอเบาๆ “งั้นรีบโทร.หาผู้ช่วย ฉันไม่อยู่รบกวนความสนุกของเธอแล้ว”
สวี่รุ่ยปัดมือเขาออก “ทำไมพวกพี่ชอบลูบหัวกันนัก อยากให้ฉันตัวเตี้ยสินะ”
ลั่วฉือดึงดันจะลูบศีรษะเธอให้ได้ เขาบอกพร้อมกับหัวเราะชอบใจ “เธอตัวสูงขนาดนี้ทำไมยังอยากสูงอีก จะเป็นนางแบบหรือไง มีลั่วหานคนเดียวเท่านั้นแหละที่พอจะเทียบได้”
“ไปให้พ้นเลย เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย”
สวี่รุ่ยผลักเขาหนึ่งทีพลางขึงตาใส่เขาแล้วหัวเราะ “รีบไปสักที ฉันจะช็อปปิงต่อ ขี้เกียจยุ่งกับพี่แล้ว!”
“งั้นก็ช็อปปิงให้สนุกล่ะ!”
ลั่วฉือหัวเราะอารมณ์ดี จากนั้นยื่นถุงช็อปปิงคืนให้ ตบไหล่เธอเบาๆ ก่อนเดินจากไป
สวี่รุ่ยเห็นเขาเดินไปแล้วถึงได้หมุนตัวไปยังร้านที่อยู่ฝั่งขวาของลิฟต์
สำหรับสวี่รุ่ยกับลั่วฉือ เป็นเพียงการหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่รู้เลยว่าคนที่จับตามองภาพฉากนั้นเอาไปคิดจริงจัง
นั่นคือสาวๆ ที่กำลังจะเดินเข้าร้านชาเนล ทั้งหมดมีอายุมากกว่าสวี่รุ่ยราวสองปี ใช้ของแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่งกายทันสมัย
พวกหล่อนเป็นพยานมองการร่ำลาของสวี่รุ่ยกับลั่วฉือมาสักพักแล้ว
ทุกคนถือได้ว่าเป็นลูกหลานของนักการเมืองและนักธุรกิจท้องถิ่น เป็นธรรมดาที่จะรู้จักลั่วฉือ สำหรับไต้จิงจิงแล้วไม่เพียงแค่รู้จัก
“จิงจิง นั่นลั่วฉือไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ เธอพูดกับเขาชัดเจนแล้ว ไม่ใช่ว่าคบกันแล้วเหรอ”
“จิงจิง ทั้งซื้อชาเนล ทั้งลูบหัว แถมยังกอดกันอีก คุณชายฉือคืนดีกับเธอแล้ว ทำไมมากอดกับนางแบบสาวล่ะ”
“สารเลว”
“ยายนางแบบนั่นต่างหากที่น่ารังเกียจ เดินไปทางแอร์เมเนจิลโด เซนญาแล้ว ไปซื้อของให้คุณชายฉือหรือเปล่า เอาใจเก่งจริงๆ”
“เอาใจเก่งบ้าบออะไร ใช้เงินคุณชายฉือทั้งนั้น”
“ถ้าไม่ทำยังงี้จะฉกฉวยมากกว่าเดิมได้ยังไง พวกเธอไม่รู้ซะแล้ว นางแบบพวกนั้นรูปลักษณ์ภายนอกเอย อะไรเอยน่าทึ่งไปหมด จะเล่าให้พวกเธอฟังก็ได้ ก่อนหน้านี้เพื่อนสมัยเด็กของฉันคนหนึ่ง…”
ไต้จิงจิงไม่มีอารมณ์จะฟังเรื่องพวกนี้ หล่อนไม่พูดไม่จาสักคำ เพียงจ้องประตูร้านของแอร์เมเนจิลโด เซนญาทั้งสีหน้าเย็นชา
อยากจิกยายนางแบบนั่นออกมาให้รู้แล้วรู้รอด ขอดูหน่อยว่าสินค้าเกรดต่ำนั่นดีกว่าหล่อนตรงไหน ลั่วฉือถึงได้หน้ามืดตามัวปฏิเสธหล่อน
“น่าโมโหเกินไปแล้ว จิงจิง เธอคงไม่ปล่อยผ่านไปแบบนี้ใช่ไหม”
“ใช่ คนประเภทนี้ต้องสั่งสอน!”
สวี่รุ่ยไม่รู้เลยว่าตัวเองถูกจับตามอง และไม่ใช่จากคนแค่กลุ่มเดียวด้วย
หนุ่มสาวอีกคู่หนึ่งกำลังเดินออกจากร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามกับร้านแอร์เมเนจิลโด เซนญา เด็กหนุ่มแต่งกายด้วยชุดเบสบอลและสวมหมวกแก๊ป เผยให้เห็นขายาวทั้งสองข้าง เขาอยู่ในอารมณ์เบื่อหน่ายเล็กน้อย ส่วนเด็กสาวสวมชุดกระโปรงสั้นสำหรับต้นฤดูใบไม้ผลิ เห็นได้ชัดว่าบรรจงแต่งกายมาอย่างดี
ขณะที่เหลยอวี่ฉือกับหยางเหล่ยซึ่งเดินตามกันมากำลังจะแยกย้าย
“พี่อวี่ ขอบคุณสำหรับข้อมูลการแข่งขันนะคะ แม่ฉันยังบอกว่าถ้าพี่ช่วยติวให้ฉันได้จะยิ่งดีเลย”
“ขอโทษทีนะ ฉันไม่มีเวลา”
“ฉันไม่เชื่อหรอกค่ะ พี่เข้าชิงหวาได้แล้ว ยังจะไม่มีเวลาอะไรอีก พี่ช่วยฉันหน่อยนะคะ”
หยางเหล่ยก้าวไปดึงมือของเหลยอวี่ฉือมาจับไว้พลางออดอ้อนเสียงหวาน “พี่อวี่”
เหลยอวี่ฉือคิดในใจว่าหากเปลี่ยนเป็นใบหน้าของอีกคนหนึ่ง ขอแค่ตะโกนเรียก อย่าว่าแต่ติว ให้ทำอะไรเขาก็ยอมทั้งนั้น
“อย่าทำแบบนี้เลยหยางเหล่ย”
เหลยอวี่ฉือดึงมือหล่อนออก และหันหลังทำท่าจะก้าวเดิน แต่ต้องชะงักฝีเท้ากะทันหัน สายตาหยุดค้างอยู่เบื้องหน้า
ชายหญิงท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมคู่หนึ่ง ฝ่ายชายลูบศีรษะเด็กสาว เด็กสาวยิ้มรับพร้อมกับปัดมือออก ก่อนที่ชายหนุ่มจะยื่นถุงช็อปปิงในมือให้
ดูอย่างไรก็เหมือนคู่รักวัยรุ่นที่เหมาะสมกัน
หยางเหล่ยที่ตามมาย่อมเห็นเช่นกัน นัยน์ตาหล่อนฉายแววสุขล้น
“เอ๊ะ นั่นสวี่รุ่ยไม่ใช่เหรอคะ ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร คงไม่ได้เป็นแฟนสวี่รุ่ยหรอกนะ”
“ไม่รู้”
“โอ้ ตกใจหมดเลย ฉันเห็นพี่อวี่กินข้าวกับสวี่รุ่ยทุกวัน ยังนึกว่าพวกพี่คบกันซะอีก”
“เอาละ ฉันกลับแล้วนะ” เหลยอวี่ฉือทิ้งท้ายอย่างเย็นชาก่อนเดินจากไป
หยางเหล่ยรีบเดินตาม พบว่าเขาไม่ได้ตรงไปที่ลิฟต์ แต่มุ่งหน้าไปทางร้านแอร์เมเนจิลโด เซนญาแทน
หรือจะไปหาสวี่รุ่ย
ใช่แล้ว
เหลยอวี่ฉือไปที่ร้านแอร์เมเนจิลโด เซนญา และตัดสินใจว่าจะลองพยายามดูสักตั้ง ต่อให้อีกฝ่ายมีแฟนแล้วก็ตาม
อีกอย่าง อาจไม่ใช่แฟนก็ได้
ร้านทางฝั่งขวาของลิฟต์ที่สวี่รุ่ยเดินเข้าไปคือร้านแอร์เมเนจิลโด เซนญา
แอร์เมเนจิลโด เซนญาขึ้นชื่อเรื่องชุดสูทมากที่สุด แต่สวี่รุ่ยรู้ดีว่าสูทของตาสั่งตัดจากอิตาลี อย่างแบรนด์คีตัน บางครั้งก็สั่งตัดจากลอนดอน สรุปว่าตาจะไม่ซื้อสูทสำเร็จรูปเด็ดขาด ถึงแม้จะเป็นเสื้อผ้าของแบรนด์ที่ตัดเย็บอย่างประณีตก็ตาม
อีกอย่าง ถ้าซื้อเสื้อผ้าให้โดยไม่ลอง เกรงว่าจะไม่พอดีตัว
สวี่รุ่ยคิดว่ายังมีเวลาเหลือเฟือจึงเดินเข้ามาช็อปปิง และจะฉวยโอกาสนี้ซื้อของเล็กๆ น้อยๆ กลับไปให้ตากับเพื่อนซี้สักชิ้นสองชิ้น
ตั้งแต่เลือกซื้อไปจนถึงจ่ายเงินใช้เวลาไม่เกินสิบนาที จากนั้นก็เดินออกมา และพบเหลยอวี่ฉือที่ปรี่เข้ามาหาเธอพอดี
“เอ๊ะ บังเอิญจัง”
สวี่รุ่ยที่ถือถุงช็อปปิงอยู่หลายใบกำลังจะโทร.หาเฉียนเสี่ยวลี่ แต่ยังไม่ทันหยิบมือถือ พอเงยหน้าก็เห็นเหลยอวี่ฉือ
“จริงด้วย” เหลยอวี่ฉือมองเด็กสาวตรงหน้าสายตาวูบไหว “มาคนเดียวเหรอ”
สวี่รุ่ยคลี่ยิ้มพลางควานหามือถือต่อ “กำลังจะเรียกคนมาพอดีเลยค่ะ”
“ฉันช่วยถือดีกว่า เธอไม่มีมือจะค้นกระเป๋าแล้ว ซื้ออะไรเยอะแยะขนาดนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันวางบนพื้นก็ได้”
สวี่รุ่ยทำตัวเหมือนปกติ เหลยอวี่ฉือจึงล้วงมือสองข้างในกระเป๋าและเอนตัวเล็กน้อย พูดเหมือนไม่ใส่ใจ “เรียกคนเมื่อกี้น่ะเหรอ”
สวี่รุ่ยหามือถืออยู่นานแต่ก็ไม่พบ ให้ตายสิ คงไม่ได้หล่นอยู่บนรถลั่วฉือหรอกมั้ง
เฮ้อ ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอให้คนมารับแล้วละ
สวี่รุ่ยกำลังจะขอยืมมือถือเหลยอวี่ฉือ พอได้ยินคำถามนี้ก็งงนิดหน่อย “คนไหนคะ”
“คนที่กอดกันสนิทสนมกับเธอด้านนอกนั่นไง”
เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังของเหลยอวี่ฉือ สวี่รุ่ยเหลียวมอง พบว่าเป็นหยางเหล่ย ช่างบังเอิญเหลือเกิน
แม้เรื่องที่กอดกันชวนให้ฉงนไม่น้อย แต่สวี่รุ่ยก็เข้าใจแล้วว่าพวกเขาพูดถึงใคร
“พูดถึงลั่วฉือใช่ไหม พี่ไม่เคยเจอเขาเหรอคะ ก่อนหน้านี้เขาลงทุนกับเกมบนมือถือเหมือนกัน ค่อนข้างสนิทกับเหล่าหนิวเลยค่ะ”
สวี่รุ่ยแตะแขนเขาเบาๆ เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ครั้งหน้าจะแนะนำให้พวกพี่รู้จักกัน เป็นประโยชน์มากเลยละ”
สวี่รุ่ยเปิดเผยมาก หยางเหล่ยรู้สึกขัดหูขัดตายิ่งยวด ยังจะแนะนำลั่วฉือให้เหลยอวี่ฉือรู้จักอีก ถือว่าหน้าหนาพอตัว
ไม่เพียงหล่อนที่คิดว่าสวี่รุ่ยหน้าหนา คนอีกฟากที่มีท่าทางฉุนเฉียวก็รู้สึกว่าเธอหน้าหนาไม่ต่างกัน
นั่นคือไต้จิงจิงกับบรรดาผองเพื่อนของหล่อน
พวกหล่อนเห็นเทพบุตรในกลุ่มแอบคบกับคนอื่นยังพอทน ยายคนนี้ยังเหยียบเรือสองแคม เรืออีกลำก็ดูแล้วไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่เลย
ยั่วโมโหกันชัดๆ
ไต้จิงจิงคือคนที่เดือดดาลที่สุด หล่อนโดนปฏิเสธ แต่ยายนางแบบสาวคนนี้ได้ประโยชน์แล้วยังหว่านเสน่ห์ไปทั่ว ช่างไร้ยางอายเหลือเกิน
ยิ่งเพื่อนสาวใส่ไฟให้เรื่องราวลุกลามบานปลาย ความใจเย็นของหล่อนก็สิ้นสุดทันใด ถือกระเป๋าเดินบุ่มบ่ามเข้ามาหา
เทียบกับความเดือดดาลของไต้จิงจิง เหลยอวี่ฉือกลับคิดว่าคำตอบนี้มีความเป็นไปได้ เขาแกล้งถามติดตลก “เขาคงไม่ใช่แฟนเธอหรอกนะ”
“แน่นอนว่า…”
คำว่า “ไม่ใช่” ของสวี่รุ่ยยังไม่ทันหลุดออกจากปาก เหลยอวี่ฉือก็ดึงเธอไปหลบด้านหลัง ตามด้วยเสียงโครมครามดังขึ้นฉับพลัน
“ทำอะไรของเธอ! เป็นบ้าไปแล้วเหรอ!”
เหลยอวี่ฉือคว้าตัวคนเสียสติที่จู่ๆ ก็พุ่งมาจากฝั่งตรงข้าม ถึงหล่อนแต่งตัวดี ทว่าท่าทางตอนถือกระเป๋าจะมาทำร้ายคนอื่นยังงี้ไม่ต่างจากคนโรคจิตสักนิด โดยเฉพาะแววตาดุดันอย่างกับจะฆ่าแกงกันนั่น เหมือนมีความแค้นฝังใจอย่างไรอย่างนั้น
สวี่รุ่ยกับเหล่ยอวี่ฉือยืนหันหน้าเข้าหากัน เธอเพิ่งรู้ว่าอะไรเป็นอะไรภายหลังก็ต่อเมื่อเขาคว้าตัวเธอไว้ จากนั้นเธอถึงเข้าใจสถานการณ์เมื่อครู่
ผู้หญิงในชุดเดรสคอลเล็กชันใหม่ฤดูใบไม้ผลิแบรนด์ไดแอน วอน เฟอร์สเตนเบิร์ก และถือกระเป๋าเลดี้ ดิออร์จะเข้ามาทำร้ายเธอ
โลกนี้ผิดเพี้ยนไปแล้วรึเปล่า
สิ่งสำคัญคือเห็นได้ชัดว่าพุ่งรี่มาหาเธอ!
ยังไม่จบแค่นี้ ยายคนเสียสติยังมีพวกผู้ช่วย
เมื่อพวกหล่อนแต่ละคนเห็นว่าเพื่อนรักโดนผู้ชายรังแกก็แห่กันเข้ามายึดพื้นที่
พอเหลยอวี่ฉือจับคนนี้ได้ คนนั้นก็หลุดมือไป สถานการณ์โกลาหล
สวี่รุ่ยอ้าปากค้างพลางถอยหนีไม่คิดชีวิต
เธอวิ่งไปได้ไม่ถึงสองก้าว ระบบก็ส่งเสียงแจ้งเตือนแสบแก้วหู “แจ้งเตือนสองร้อยเมตร! แจ้งเตือนสองร้อยเมตร! แจ้งเตือนสองร้อยเมตร!”