โชคลาภหมื่นล้านบันดาลรัก
天降横财一百亿
เจียงจื่อกุย 江子归 เขียน
เหวินหรง แปล
— โปรย —
เรื่องที่รู้ๆ กันอยู่สำหรับคนทั่วไปคือ
หากมีเงินและได้ใช้เงินนั้น ก็จะมีความสุข
แต่สำหรับ สวี่รุ่ย การต้องใช้เงินแต่ละหยวนในกรอบของการทดลอง
ทั้งเหนื่อย ทั้งลุ้น และแน่นอนว่ามีความสุข
ภารกิจการใช้เงินที่เธอต้องทำในแต่ละครั้งนับวันจะท้าทายขึ้นเรื่อยๆ
จำนวนเงินทะยานสู่หลักสิบล้าน
เดิมพันแต่ละครั้งยังคงเป็นชีวิตน้อยๆ ของเธอ
โชคดีที่ตอนนี้เธอมี ลั่วหาน
ซึ่งหายจากโรคภัยกลับมาแข็งแรงแล้วคอยช่วยเหลือเสมอ
ดังนั้นสวี่รุ่ยจะไม่ยอมแพ้ เธอจะใช้เงินพวกนั้นให้หมดเกลี้ยง
พิชิตทุกภารกิจเพื่อมีชีวิตรอดให้ได้!
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
87
เพิ่งกินอาหารเย็นเสร็จไม่ทันไร สวี่รุ่ยก็ลากตาไปเล่นเกมตรงโซฟา
อายุปูนนี้แล้ว เธอไม่อยากให้ตาหาเรื่องให้ตัวเองเหน็ดเหนื่อยทุกวี่วัน ได้ปลีกตัวจากงานแสนยุ่งมาพักผ่อนหย่อนใจบ้างก็ไม่เลว
ประกอบกับเธอยังเล่นไม่ผ่านด่าน สวี่รุ่ยจึงอ้อนให้ตาช่วยด้วยการเอ่ยชมชุดใหญ่
“ตาฉลาดที่สุด รีบแสดงความสามารถแบบตอนเล่นเกมแพลนส์ วีเอส ซอมบีส์[1]เร็วเข้า ช่วยหนูเล่นไปจนถึงด่านสุดท้ายที่เป็นห้องลับเลยนะคะ! มีเซอร์ไพรส์ด้วย!”
“เกมไร้สาระอะไรน่ะ”
แม้จู้หงเซินจะทำเมินเฉย แต่พอถูกเยินยอมากเข้าก็ใจอ่อน
ประจวบกับคืนนี้ไม่มีงานพบปะสังสรรค์ สองตาหลานนอนขลุกอยู่บนโซฟาพลางคิดหาทุกวิถีทางเพื่อผ่านด่านห้องลับ เพิ่งผ่านมาถึงด่านสุดท้าย กริ่งประตูก็ดังขึ้น ปรากฏว่ามีแขกมาหา
น้ำเสียงของจู้หงเซินไม่สบอารมณ์ “ใครกัน”
จะเป็นใครได้อีก ก็ต้องเป็นลั่วฉือที่มารับผิด
หากเขาไม่ได้ใช้นามสกุลลั่ว และปู่ของเขาไม่ได้ชื่อลั่วเจิ้งถิง มาขอโทษด้วยวิธีแบบนี้ มีหวังโดนไล่ตะเพิดไปนานแล้ว
นี่เป็นความคิดแวบแรกเมื่อสวี่รุ่ยเห็นสีหน้าของตา
“พี่ฉือ พี่ทำอะไรใหญ่โต!”
เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ สวี่รุ่ยรีบเดินเข้าไปดึงกิ่งขวากอันใหญ่ลงจากหลังอีกฝ่าย “เอาละๆ ให้อภัยพี่แล้ว!”
ลั่วฉือมองจู้หงเซินที่นั่งอยู่บนโซฟาพลางเอ่ยเสียงดังฟังชัด “ไม่ทำยังงี้จะแสดงให้เห็นว่าฉันจริงใจได้ยังไง ถึงอย่างไรน้องสาวเกือบโดนทำร้ายเพราะฉัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องขอโทษอย่างจริงจังและตั้งใจ”
จู้หงเซินก้มหน้าเล่นเกมต่อ “ลั่วเจิ้งถิงสอนให้แกมาขอโทษอย่างจริงใจอย่างนี้เหรอ”
ลั่วฉือแย้มยิ้มสดใส “ปู่ให้ผมแบกกิ่งขวากมารับโทษครับ ผมทำตามคำสั่ง บอกว่ากิ่งขวากก็กิ่งขวากจริงๆ ไม่ได้ทำแบบขอไปทีเลยแม้แต่น้อย”
จู้หงเซินแค่นเสียงดูแคลน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเกมดึงดูดความสนใจเขารึเปล่า ตาจึงไม่โกรธจนขาดสติ สวี่รุ่ยคิดว่ามันคือปาฏิหาริย์
โชคดีที่หลังจากนั้นลั่วฉือก็ทำตัวเป็นปกติเหมือนที่ชาวบ้านทำกัน ด้วยการขอโทษแล้วมอบของขวัญให้
เขาไม่ได้มอบให้เฉพาะจู้หงเซินเท่านั้น ยังมีของขวัญให้สวี่รุ่ยด้วย เป็นกระเป๋าสีส้มใบหนึ่ง ไม่เพียงผลิตอย่างสวยงาม การออกแบบยังแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร
สิ่งนี้คือกระเป๋าเท็ดดี้ เคลลีของแอร์เมส
ลั่วฉือนั่งลงฝั่งตรงข้ามพลางยิ้ม “ผู้หญิงอย่างพวกเธอชอบพูดกันว่าอยากได้กระเป๋าเบอร์กินไม่ใช่เหรอ แต่ฉันว่าถ้าเธอใช้จะแก่เกินไป เพื่อนฉันช่วยหิ้วกระเป๋าใบนี้มาจากต่างประเทศ ดูแล้วน่ารักดี เธอชอบหรือเปล่า ถ้าไม่ชอบฉันจะได้เอาอย่างอื่นมาให้”
แม้ใบนี้จะไม่ใช่กระเป๋าเบอร์กิน ทว่าก็เป็นรุ่นลิมิติด อิดิชันของแอร์เมสปี 2006 มีมูลค่าแปดหมื่นถึงหนึ่งแสนหยวน
หากจะมีกระเป๋ามือสองของแบรนด์ไหนที่สามารถขายได้แพงกว่าราคาหน้าร้าน แบรนด์แรกสุดที่นึกถึงคงหนีไม่พ้นแอร์เมส
ถึงสวี่รุ่ยไม่เชื่อรสนิยมของผู้ชายทั้งแท่งอย่างลั่วฉือ แต่กระเป๋าใบนี้กลับดูสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ อย่างน้อยปัจจุบันก็หาซื้อกระเป๋าใบนี้ในร้านแอร์เมสไม่ได้แล้ว
นอกจากเครื่องประดับ ก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่ชื่นชอบกระเป๋า
สวี่รุ่ยยกกระเป๋าเท็ดดี้ เคลลีขึ้นมาลองสะพายพลางบอกอย่างอารมณ์ดี “ไม่เลวเลย ขอบคุณนะคะ!”
ลั่วฉือเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของเธอก็รู้ว่าให้ของขวัญถูกต้อง ในที่สุดก็ปลดเปลื้องภาระในใจไปได้หนึ่งเรื่อง ไม่งั้นน้องชายของเขากลับมาจะพลอยซวยไปด้วย เขาอดถอนใจที่เขาพูดมากเกินไปไม่ได้ ทำไมถึงได้พลั้งปากเล่าเรื่องที่ห้างสรรพสินค้าให้ลั่วหานรู้นะ
ถ้าสะใภ้บ้านไหนถูกมองว่าเป็นมือที่สามของผู้ชายคนอื่นจนถูกทำร้าย จะไม่ร้อนใจได้อย่างไร
แต่ลั่วหานกลับไม่ร้อนใจ เพียงแต่บอกว่าให้ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา
เทียบกับแบบนั้น ลั่วฉือคิดว่าให้น้องชายอัดเขาสักหมัดยังดีกว่า ถึงอย่างไรน้องชายก็ร่างกายอ่อนแอ สุภาพเรียบร้อย ต่อยเขาก็ไม่น่าจะเจ็บ
แน่นอนว่าถ้อยคำเหล่านี้ของลั่วฉือแค่คิดในใจ เรื่องที่พูดออกจากปากล้วนเป็นเรื่องจริงจังอย่างการพูดคุยโครงการใหม่กับสวี่รุ่ย
“เธอไม่ได้เชื่อมั่นในธุรกิจเกมหรอกเหรอ นอกจากเกมบนมือถือ เธอคิดว่าเว็บเกมเป็นยังไงบ้าง มีคนแนะนำโครงการเว็บเกมหลายโครงการเลย”
“เว็บเกมอะไร เกมเบราเซอร์น่ะเหรอ”
“ใช่ อ้อ เธอลองดูนี่สิ”
ลั่วฉือถือโอกาสหยิบข้อมูลการตลาดชุดหนึ่งออกจากกระเป๋ายื่นให้สวี่รุ่ย “ข้อมูลเกี่ยวกับเว็บเกม สองปีมานี้ได้รับความนิยมถล่มทลายจริงๆ”
แม้สวี่รุ่ยย้อนเวลากลับมาจากเจ็ดปีให้หลัง ทว่าก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ขอไม่พูดถึงเรื่องที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นพิเศษ ก็ใช่ว่าเธอจะรู้แจ้งในเรื่องของอุตสาหกรรมนานาชนิดอย่างอื่นทั้งหมด แต่ดูจากข้อมูลวิจัยการตลาด ไม่แน่ว่าอาจได้แรงบันดาลใจ
ถึงเอกสารฉบับนี้จะไม่หนา แต่ก็ใช่ว่าจะอ่านจบได้ในเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
สวี่รุ่ยพูดหลังรับมา “งั้นฉันขอดูก่อน จริงสิ พี่จะอยู่ที่เมือง B อีกกี่วัน มหาวิทยาลัยใกล้เปิดเทอมแล้วใช่ไหม”
ลั่วฉือพยักหน้า “ใช่ ฉันจะกลับเมือง S พรุ่งนี้ อ้อ ถึงตอนนั้นจะมี…”
พูดยังไม่ทันจบประโยค เดิมมีแค่สวี่รุ่ยกับลั่วฉือเท่านั้นที่พูดคุยกันอยู่ ห้องนั่งเล่นมีเสียงเกมบนมือถือดังเป็นครั้งคราว จู่ๆ ก็มีเสียงเพลงโผล่มาท่อนหนึ่ง
ทำนองเพลงนี้คุ้นหูมากทีเดียว สวี่รุ่ยฟังแล้วรู้โดยพลันว่านี่คือ “เธอผู้ยิ้มสดใส” เพลงฮิตในอัลบั้มใหม่ของห่าวชิว
ตั้งแต่ห่าวชิวเซ็นสัญญากับหัวเทียน มีเดีย ความนิยมก็พุ่งทะยานมาโดยตลอด ไม่เพียงอัลบั้มใหม่ขายดิบขายดี ช่วงครึ่งปีหลังยังจัดคอนเสิร์ตด้วย
เทียบกับจ้าวอีอีในอดีตแล้วเหนือกว่ามาก
เพราะเหตุนี้ถึงได้บอกว่าสุราดีย่อมไม่กลัวตรอกลึก[2] ยิ่งปัจจุบันพอเดินออกมาจากตรอกซอมซ่อ เพลงใหม่ของห่าวชิวก็โด่งดังไปทั่วทุกพื้นที่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลง “เธอผู้ยิ้มสดใส” เป็นซิงเกิลอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงหลายชาร์ต
ไม่รู้ว่าสวี่รุ่ยไม่มีความรู้ความเข้าใจมากพอหรือเปล่า ทำนองเพลงนี้ค่อนข้างคุ้นหู ทว่ากลับไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับชื่อเพลงนี้ในชาติก่อนเลย…
แต่นี่ไม่ใช่เวลาตรึกตรองถึงสิ่งเหล่านี้ เพราะหลังอินโทรเพลงจบลงก็มีเสียงคนดังขึ้น
“สวี่รุ่ย ฉันชอบเธอ เป็นแฟนกับฉันได้รึเปล่า”
เสียงนี้…
เหลยอวี่ฉืองั้นเหรอ
สวี่รุ่ยงง ที่งงยิ่งกว่าคือเสียงนั้นแว่วมาจากมือถือ และมันอยู่ในมือของตา!
ลั่วฉือเองก็ไปต่อไม่ถูก “เกิดอะไรขึ้นสวี่รุ่ย นี่เสียงไอ้เจ้าเหลยอะไรนั่นไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ เขาพัฒนาเกมให้ฉันเล่น บอกว่าเล่นผ่านด่านจะมีเซอร์ไพรส์ อะไรกันเนี่ย ตกใจหมดเลย”
สวี่รุ่ยรีบลุกขึ้นและถลาไปหาตา ถ้าชี้แจงได้เร็วพอก็อาจรอด
ลั่วฉือนับถือเลย ที่แท้เล่นเกมได้ สร้างเกมเป็น ก็นำมาใช้จีบสาวได้จริงๆ สินะ
เพียงแต่…จังหวะเวลาไม่ดีเอาเสียเลย
ลั่วฉือหัวเราะเสียงดังอย่างไม่คิดปิดบังเมื่อเห็นสีหน้าบูดบึ้งของจู้หงเซิน “ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ”
สวี่รุ่ยอยากบีบคอเขาให้ตายเหมือนที่อยากบีบคอเจ้าระบบให้ตายชะมัด
ทว่าเธอทำไม่ได้ เธอยังต้องรับมือกับสายตาคมกริบของตา และพยายามพลิกสถานการณ์ครั้งนี้ให้ได้
วิดีโอสารภาพรักหลังผ่านด่านในเกมที่ว่านี้ จู้หงเซินได้ฟังแค่ประโยคแรกก็กดปิดและถอนการติดตั้งเกมทันที
“นี่น่ะเหรอเซอร์ไพรส์ที่เธอว่า”
“ตาคะ ฟังหนูอธิบาย…”
“ได้ เธออธิบายมา”
“นี่คือเกมที่รุ่นพี่คนหนึ่งของหนูพัฒนาขึ้น เขาน่าจะอยากแกล้งเล่น ไม่ใช่แบบที่ตาคิดนะคะ”
“สวี่รุ่ย ตอนนี้เพิ่งเดือนมีนาคม”
“ทำไมเหรอคะ”
จู้หงเซินประชดพร้อมกับเหลือบมองยายเด็กโง่แวบหนึ่ง “ยังไม่ถึงวันโกหกเลยนะ”
สวี่รุ่ยพูดอะไรไม่ออก
อันที่จริงเธอก็ไม่แน่ใจว่าแกล้งกันเล่นหรือเปล่า แต่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน อยู่ดีๆ จะมาขอเธอเป็นแฟน หากไม่ได้แกล้งกันจะเป็นอะไรไปได้อีก
แต่เห็นได้ชัดว่าตาไม่เชื่อคำแก้ตัวประเภทนี้
สวี่รุ่ยกอดแขนตาพลางหว่านล้อม “ตาคะ คนอื่นจะทำอะไร หนูควบคุมไม่ได้ แต่รับรองได้ว่าหนูมีจิตใจหนักแน่นมั่นคง ไม่เคยคิดจะมีความรักในวัยเรียน! หนูตั้งใจเรียนทุกวันนะคะ!”
จู้หงเซินแค่นเสียงดูแคลน เขารู้จักหลานสาวตัวเองดี พวกแมลงวันข้างนอกต่างหากที่ไม่ดี
ทว่าเพื่อเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เขาจึงบอกอย่างไม่รีบร้อน “ฉันว่าเธอชักจะว่างเกินไปแล้ว ในเมื่อกลับมาอยู่บ้านก็หาครูสักสองสามคนมาช่วยสอนพิเศษให้เธอดีกว่า
“จะได้ไม่มีเวลาไปเล่นเกม”
“…”
ไม่มีอะไรน่าเศร้าใจไปกว่าสิ่งนี้อีกแล้ว
วันต่อมา สวี่รุ่ยเล่าเรื่องเมื่อคืนให้เหลยอวี่ฉือฟัง
เธอถอนหายใจไม่หยุด “พี่ล้อเล่นแรงเกินไปแล้วนะ ตาของฉันติดต่อครูให้ถึงสามคนในคราวเดียว…”
เหลยอวี่ฉือหันกลับมาบอก “ฉันไม่ได้ล้อเล่น”
เสียงของสวี่รุ่ยขาดหายไปกะทันหัน เกือบทำจานอาหารในมือหล่นลงพื้น “ไม่จริงใช่ไหมคะ”
เหลยอวี่ฉือหยิบตะเกียบสองคู่ออกมาจากกล่องใส่ตะเกียบ และยื่นคู่หนึ่งให้เธอ “สวี่รุ่ย ฉันชอบเธอจริงๆ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนมาสารภาพรักกับเธอ แต่เป็นครั้งแรกที่ถูกสารภาพรักกลางโรงอาหาร
เมื่อเห็นว่ากำลังจะตกเป็นเป้าสนใจ สวี่รุ่ยก็คว้าตะเกียบแล้วลากเขาไปยังโต๊ะอาหารที่ลับตาคน ก่อนวางจานอาหารลง
เธอประสานสายตากับเหลยอวี่ฉือ หลังพบว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะล้อเล่นจริงๆ ก็อดอึดอัดใจเล็กน้อยไม่ได้
“รุ่นพี่ ความจริงฉัน…”
เพิ่งอ้าปากพูดไม่ทันไร เหลยอวี่ฉือก็ตัดบท เขาจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเธอ “สวี่รุ่ย ให้โอกาสฉันได้เลี้ยงข้าวเธอบ้างเถอะนะ ให้ฉันเลี้ยงข้าวเธอไปจนถึงตอนที่พวกเราเรียนมหาวิทยาลัยเลยดีไหม”
เขากุมมือที่วางอยู่บนโต๊ะของสวี่รุ่ย พอยิ้มแล้วดูเจ้าเล่ห์นิดหน่อย แต่น้ำเสียงกลับจริงจัง
ภพก่อนสวี่รุ่ยมีชีวิตอยู่จนอายุยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองปี ได้รับจดหมายรักไม่น้อย สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็เคยมีคนมอบความรู้สึกดีๆ ให้ ทว่าไม่มีใครตรงไปตรงมาเท่าเหลยอวี่ฉือ
เธอดึงมือกลับ แม้ไม่อาจทำใจแข็ง ทว่าเรื่องแบบนี้บังคับกันไม่ได้
สวี่รุ่ยกล่าวแบบไม่มีทางเลือก “ขอโทษด้วยค่ะ ฉันชินกับการที่ตัวเองเป็นคนจ่ายเงินมากกว่า”
เหลยอวี่ฉือหัวเราะพลางพูดเสียงแหบพร่า “นี่คือการปฏิเสธใช่ไหม”
สวี่รุ่ยพยักหน้าและปลอบเขาด้วยการบอกว่า “ในอนาคตพี่ต้องได้พบคนที่ดีกว่านี้แน่นอนค่ะ”
“อืม ก็อาจเป็นแบบนั้น”
เหลยอวี่ฉือหลุบตาลงเพื่อซ่อนความผิดหวัง แต่กลับระบายยิ้มอยู่ตลอดเวลา ทำราวกับว่าเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เธอคิดว่ามินิเกมนั้นสนุกหรือเปล่า”
“หา ก็ไม่เลวนะคะ ฉันคิดว่าหากเพิ่มองค์ประกอบเหล่านี้เข้าไปได้ ฉันจะบอกอะไรให้พี่ฟัง… ถึงตอนนั้นเราปล่อยออนไลน์ให้ลองเล่นได้ ลองดูว่าจะขายดีรึเปล่า”
สวี่รุ่ยกล่าวถึงสิ่งดึงดูดความสนใจในยุคหลังต่ออีกหลายอย่าง แต่เหลยอวี่ฉือกลับไม่สนใจเลยสักนิด เขาทำท่าไม่พอใจหน่อยๆ
“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้”
“แล้วหมายถึงอะไรคะ”
“ไม่มีอะไรแล้ว”
“อ้อ” สวี่รุ่ยคิดว่าการไม่มีอะไรก็มีข้อดีของมันเอง
เหมือนว่าหลังเธอกับเหลยอวี่ฉือพูดจากันชัดเจนแล้ว ก็กลับมาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันดังเดิม รวมถึงความสัมพันธ์ของนักลงทุนกับฝ่ายผู้ดำเนินโครงการด้วย
เธอคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ซับซ้อนเกินไป รังแต่จะสิ้นเปลืองเวลาและพลังงานโดยใช่เหตุ
สวี่รุ่ยรู้สึกว่าเวลาของตัวเองมีไม่พอใช้ เธอให้เวลากับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ไม่ได้จริงๆ แน่นอนว่าเธอไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นการมีความรักหรือเรื่องของเหลยอวี่ฉือก็ตาม
…
“เธอสนใจเรื่องอะไรล่ะ”
ระหว่างที่สวี่รุ่ยคุยสายกับลั่วหาน จู่ๆ ก็ได้ยินเขาถามประโยคนี้
เธอคิดครู่หนึ่งแล้วตอบติดตลก “ฉันสนใจเล่นสนุกมากที่สุด รองลงมาคือทำความรู้จักกับเพื่อนๆ ยังต้องหาเงินและใช้เงิน ต่อให้เรียงลำดับอีกสิบเรื่องก็ไปไม่ถึงเรื่องความรัก”
อีกด้านหนึ่ง ลั่วหานอ่านข้อมูลของศัตรูหัวใจพลางคลี่ยิ้มน้อยๆ อย่างช่วยไม่ได้ น้ำเสียงของเขากลับราบเรียบ “ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นสารภาพรัก เธอจะรับรักหรือเปล่า”
สวี่รุ่ยนอนเอนกายอยู่บนเตียง กล่าวยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจ “เปลี่ยนเป็นใครล่ะ ถ้าเปลี่ยนเป็นทอม ครูซ แต่ต้องอายุน้อยลงมายี่สิบปีนะ ฉันไม่ชอบคนแก่ หรือไม่ก็อย่างฮั่วเฉิง แน่นอนว่าดีที่สุดต้องเป็นไมเคิล แจ็กสัน ฮ่าๆๆๆ”
ลั่วหานเลิกคิ้ว “ฮั่วเฉิงคือใคร”
สวี่รุ่ยหัวเราะ “ต่อให้ภาษาจีนของนายดีแค่ไหน แก่นแท้ก็ยังเป็นคนอเมริกัน นายไม่รู้จักนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมหรือไง”
ลั่วหานร้อง “อ้อ” เบาๆ “เธอชอบนักแสดงพวกนี้เหรอ”
“ก็พอจะชอบอยู่บ้าง นายถามคำถามที่มันห่างไกลจากความเป็นจริงกับฉัน ฉันก็ทำได้แค่ยกนักแสดงมาตอบคำถามของนาย”
เดิมสวี่รุ่ยยังอยากคุยกับเพื่อนซี้อีกสักหน่อย แต่มีสายใหม่เข้ามาจึงต้องจำใจบอกลาลั่วหาน
สายที่โทร.เข้ามาจากเจียหมิงสตูดิโอ
ช่วงนี้จางเฉายุ่งอยู่กับการเจรจาร่วมทุนกับสองบริษัทยักษ์ใหญ่ตามความต้องการของสวี่รุ่ย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับลิขสิทธิ์การถ่ายทำซีรีส์จากนิยายออนไลน์สองเรื่องที่สตูดิโอซื้อเก็บไว้
สตูดิโอแห่งหนึ่งที่เพิ่งก่อตั้งไม่นาน แม้แต่ใบอนุญาตก็ยังอยู่ระหว่างการยื่นคำร้อง จะเจรจาความร่วมมือและขอร่วมลงทุนกับสองบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการยังงั้นเหรอ
ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
จางเฉาเป็นคนเก่าแก่ในวงการ เขารู้สึกว่าตัวเองเสียสติไปแล้วเช่นกัน ทว่าไม่นานก็พบว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น
เหมือนอย่างตอนที่เขาคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นตัวตลกในวงการ สถานการณ์ก็เริ่มดีขึ้น
เป็นไปได้ว่าจะเจรจาสำเร็จ
ในสาย จางเฉากล่าวอย่างเก็บซ่อนความตื่นเต้นไว้ไม่ได้ “โอวหยางจิ้นบอกว่าถ้าคุณหนูสวี่อยากถ่ายทำจริงๆ เขายินดีเป็นโปรดิวเซอร์ให้ละครสองเรื่องนี้ครับ”
สวี่รุ่ยเกือบคิดว่าตัวเองได้ยินผิด “พวกเราจะถ่ายซีรีส์กันไม่ใช่เหรอคะ ต้องให้เขาเป็นโปรดิวเซอร์ด้วยเหรอ เรื่องนี้เกินความจำเป็นหรือเปล่าคะ”
จางเฉากลับไม่คิดอย่างนั้น เขาบอกเสียงตื่นเต้น “มีเขาช่วยไม่ดีเหรอครับ ด้วยเส้นสายในวงการของโอวหยางจิ้น จะช่วยให้การถ่ายทำเป็นละครฟอร์มยักษ์เสร็จลุล่วงอย่างรวดเร็ว ถ้าโด่งดังขึ้นมา สตูดิโอของพวกเราก็จะประสบความสำเร็จภายในพริบตา!”
สวี่รุ่ยค่อนข้างกังวล แม้นิยายสองเรื่องนี้ผลิตเป็นภาพยนตร์ในเวลาต่อมา แต่ก่อนนั้นเป็นซีรีส์ หลังจากซีรีส์โด่งดังแล้วถึงค่อยเป็นภาพยนตร์ทำเงิน ไม่รู้เหมือนกันว่าติดอันดับรายได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ไหม
ท้ายที่สุด เหตุผลที่บอกว่าลงทุนในวงการภาพยนตร์และซีรีส์เหมือนเผาเงินทิ้งก็เป็นเพราะขาดทุนบ่อยครั้ง แน่นอนว่าหากวันดีคืนดีเกิดดังเป็นพลุแตก นั่นคือกำไรมหาศาล
ทว่าภาพยนตร์มากมายในหนึ่งปีจะมีสักกี่เรื่องที่ได้กำไรถล่มทลาย
“อย่างนี้จะเสี่ยงมากเกินไปรึเปล่าคะ”
“คุณหนูสวี่ครับ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ความเสี่ยงต้องมากแน่นอน”
จางเฉาหัวเราะก่อนเสริมอย่างมั่นใจ “แต่คุณเป็นใครล่ะครับ แม้แต่โอวหยางจิ้นยังรีบมาช่วย ธุรกิจนี้ยังจะขาดทุนได้อีกเหรอครับ ยิ่งกว่านั้นคุณหนูสวี่ยังไม่คุ้นเคยกับวงการนี้ การได้โอวหยางจิ้นนั่งแท่นเป็นโปรดิวเซอร์ หากขาดทุนจริงๆ ซีรีส์ฟอร์มยักษ์ยังงี้ พวกเราก็ได้ชื่อเสียง หลายเรื่องต่อจากนั้นก็จะง่ายกว่าเดิมแล้วครับ”
แม้สวี่รุ่ยไม่คุ้นเคยกับวงการนี้ ทว่าเธอเฉลียวฉลาด ไม่นานก็เข้าใจทุกอย่าง
ถึงอย่างไรก็เป็นครั้งแรก ขาดทุนแล้วก็ให้ขาดทุนไป ใช่ว่าจะขาดทุนไม่ได้สักหน่อย!
เธอไม่มีอะไรอื่น นอกจากมีเงินเหลือเฟือ
ระบบ 1212 “นับวันสหายตัวน้อยยิ่งมีสติมากขึ้นเรื่อยๆ นะ”
สวี่รุ่ยพึมพำ “ยังต้องให้พูดอีกเรอะ! จริงสิ คุณโผล่มาได้ยังไง ถ้าเป็นภารกิจหลักก็เก็บสะสมไว้ได้เลย ช่วงเวลาใช้จ่ายอย่างอิสระยังไม่ทันถึงหนึ่งเดือนเลยนะ”
ระบบ 1212 “อืม ระบบแค่จะเตือนโฮสต์สักหน่อย ปัจจุบันเก็บสะสมภารกิจหลักไว้สามครั้ง ทั้งหมดเป็นเงินยี่สิบล้านห้าแสนหยวน ยอดเงินสะสมของภารกิจประจำวันเจ็ดแสนสองหมื่นหยวน…”
สวี่รุ่ยสุขีสุดๆ เมื่อได้ยินว่ามีเงินยี่สิบกว่าล้าน พลันนั้นก็รู้สึกว่าการถ่ายทำภาพยนตร์สักเรื่องไม่ใช่ปัญหา
ภาพยนตร์แนววัยรุ่นหลายเรื่องที่โด่งดังต่อจากนี้ใช้เงินแค่ไม่กี่สิบล้าน แต่ทำยอดทะลุหลายร้อยล้านได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ
คิดมาถึงตรงนี้ สวี่รุ่ยไม่รอช้ารีบต่อสายไปที่สตูดิโอ ดูว่าพลาดการซื้อลิขสิทธิ์เรื่องใดไปบ้างหรือเปล่า นอกจากนี้ยังพยายามนึกถึงทีมผู้ผลิต ผู้กำกับ และนักแสดงนำตอนนั้น…และจดบันทึกไว้
ความจำดีไม่สู้น้ำหมึกสีซีดจาง[3]
ก่อนที่จะมีเงินและรู้จักคนมากมายขนาดนี้ สวี่รุ่ยไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องแรก
แต่ตอนนี้คิดได้แล้ว
เธอมีเงิน สามารถตัดสินใจสร้างภาพยนตร์เองได้!
เจียหมิงสตูดิโอมีรายรับที่แท้จริงก้อนแรกก่อนถ่ายทำภาพยนตร์ซะอีก
ได้มาจาก “สาวน้อยยอดนักเตะ” ของเวินเจียหมิง ไม่คิดว่าจะมีช่องโทรทัศน์ดาวเทียมช่องหนึ่งขอซื้อลิขสิทธิ์ และนำเอาคลิปวิดีโอในอินเทอร์เน็ตไปออกอากาศเป็นละครคอเมดี
เวินเจียหมิงบินมาเมือง B หน้าชื่นตาบาน
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ สวี่รุ่ยจึงโดดเรียนวิชาภาษาฝรั่งเศสมาพบเวินเจียหมิงที่ร้านกาแฟ
พอเวินเจียหมิงเห็นบอดีการ์ดสี่คนกระจายตัวอยู่ด้านหลังสวี่รุ่ย ในแววตาเขาก็ปรากฏความเห็นใจ “เป็นบอสนี่ไม่ง่ายเลย น่าสงสารยิ่งกว่าหยาหย่าซะอีก หล่อนถูกส่งไปเรียนที่ปารีส อย่างน้อยก็มีแม่คอยควบคุมเพียงคนเดียว แต่เธอมีคนคุมตั้งสี่คน”
สวี่รุ่ยแย้มยิ้ม “เอาละ ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ฉันได้ยินมาว่าสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม H อยากลงทุนถ่ายทำสาวน้อยยอดนักเตะ ภาคสองด้วยเหรอคะ”
เวินเจียหมิงหัวเราะอารมณ์ดีทันควันที่พูดถึงเรื่องนี้ “ใช่ ละครเรื่องนี้ไม่เพียงได้รับการตอบรับดีในโลกออนไลน์ หลายวันมานี้เรตติ้งช่องโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมก็ดีเหมือนกัน ยังเคยติดอันดับค้นหายอดนิยมบนเวยปั๋วครั้งหนึ่งด้วยนะ!”
สวี่รุ่ยแสดงความยินดีกับเขา มีหรือเวินเจียหมิงจะกล้ารับไว้ จึงรีบยอกลับทันควัน
“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะบอสสายตาเฉียบแหลม ถ้าไม่มีเงินทุนของเธอตอนนั้น ละครเรื่องนี้คงต้องเลิกล้มกลางคันแล้ว”
“ฮ่าๆๆ แต่พี่ยังจำได้รึเปล่าว่าทำไมฉันถึงลงทุนกับละครเรื่องนี้”
เวินเจียหมิงผงะ เขาไม่เคยลืม เพียงแต่ไม่คิดว่าสวี่รุ่ยจะยังจำได้
“เป็นเพราะ วันที่ฉันร่วมชายคากับจักรพรรดิ เหรอ”
“ใช่ค่ะ”
“แต่พวกเราควรตีเหล็กตอนร้อน ถ่ายทำ สาวน้อยยอดนักเตะ ภาคสองต่อก่อนไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ค่ะ ไม่ จะมีภาคต่อสักกี่เรื่องที่ประสบความสำเร็จมากกว่าภาคแรก”
สวี่รุ่ยคิดเรื่องนี้มาดีแล้ว เวินเจียหมิงมีเงินทุนมากพอ และด้วยความช่วยเหลือจากเธอ ทำให้ สาวน้อยยอดนักเตะ ถ่ายทำออกมามีคุณภาพมาก จึงได้รับผลลัพธ์ที่ดีมากกว่าเมื่อก่อน แต่ยังห่างไกลจากการโด่งดังทั่วโลกออนไลน์อยู่โข
ละครเรื่องแรกที่จะโด่งดังไกลยังคงเป็น วันที่ฉันร่วมชายคากับจักรพรรดิ
“แต่ วันที่ฉันร่วมชายคากับจักรพรรดิ ก็ใช่ว่าจะเหนือกว่า สาวน้อยยอดนักเตะ นะ”
“ต้องเหนือกว่า สาวน้อยยอดนักเตะ แน่นอนค่ะ”
“จริงเหรอ”
สวี่รุ่ยมั่นใจเต็มเปี่ยม ดวงตาทั้งคู่ทอประกายขณะจ้องเวินเจียหมิง “ฉันเชื่อมือพี่ค่ะ พี่ต้องกลายเป็นมือหนึ่งของวงการละครแน่นอน!”
เวินเจียหมิงขยี้ผม ในใจสับสนวุ่นวาย
ถึงแม้เวินเจียหมิงจะเขียนบททั้งสองเรื่องด้วยตัวเอง ทว่าเขายังแทบไม่เชื่อว่าเรื่องต่อไปจะโด่งดังกว่าเรื่องก่อน
ท้ายที่สุด สาวน้อยยอดนักเตะ ก็ประสบความสำเร็จในฐานะซีรีส์ฟอร์มเล็กอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
คำพูดของสวี่รุ่ยจุดประกายความเชื่อมั่นให้เขาอีกครั้ง
ซีรีส์อันดับหนึ่งงั้นเหรอ
เวินเจียหมิงรู้สึกค้นไม้คันมือ แต่ยังลังเลนิดหน่อย “งั้นพวกเราไม่ถ่ายทำภาคสอง แต่จะลองถ่ายทำ วันที่ฉันร่วมชายคากับจักรพรรดิ แทนใช่ไหม”
สวี่รุ่ยตัดสินใจครั้งสุดท้าย “ต้องลองค่ะ ฉันจะลงทุนกับพี่เต็มที่”
พอเวินเจียหมิงได้ยินประโยคที่สองก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ถึงขนาดมีกำลังใจในการทำงานเต็มร้อย!
แค่ชั่วเวลาจิบกาแฟหนึ่งแก้ว สวี่รุ่ยก็กำหนดทิศทางความเป็นไปของเรื่องราวทั้งหมด รวมถึงพูดโน้มน้าวเวินเจียหมิงสำเร็จ
แยกจากเวินเจียหมิง เธอไม่ได้ตรงกลับบ้าน
ไม่ๆๆ ไม่ได้โดดเรียน หรือหาทางหนีเรียนวิชาภาษาฝรั่งเศสหรอก
สวี่รุ่ยสนใจเรียนภาษาต่างประเทศหลายๆ ภาษา เพราะในอนาคตยังต้องท่องเที่ยวในประเทศต่างๆ ทว่าวันนี้เธอยังมีธุระอีกเรื่องหนึ่ง นอกจากไปพบเวินเจียหมิง สวี่รุ่ยยังนัดโอวหยางจิ้นไว้ด้วย
อันที่จริงถึงโอวหยางจิ้นจะไม่ได้มาเมือง B ตอนสวี่รุ่ยเดินทางไปฮ่องกงเพื่อเลือกม้าสิ้นเดือนนี้ก็ต้องไปเยี่ยมเยียนเขาถึงบ้าน
ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ความช่วยเหลือไม่กี่ประโยค และไม่ใช่การแนะนำสายสัมพันธ์ แต่เป็นการยื่นมือเข้ามาช่วยให้เธอเดินเข้าสู่วงการด้วยตัวเอง
“ถึงโรงแรมแล้วครับคุณหนูสวี่รุ่ย”
คนขับรถจอดรถที่หน้าประตูโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง บอดีการ์ดลงมาเปิดประตูรถให้สวี่รุ่ย ผู้ช่วยของโอวหยางจิ้นยืนรออยู่ตรงประตู
ผู้ช่วยมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอาฟา เขาติดตามโอวหยางจิ้น และได้พบนักแสดงรุ่นเล็กรุ่นใหญ่มากมาย
ตอนเห็นไมบัคคันนั้นแล่นเข้ามาและมีบอดีการ์ดใส่สูทสี่คนก้าวลงจากรถ เขายังนึกว่าผู้มาเยือนเป็นศิลปินสักคน และต้องเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่งั้นคงเรียกใช้บอดีการ์ดระดับนี้ไม่ได้ บอดีการ์ดก็มีการจัดแบ่งระดับเหมือนกัน
ขณะอาฟาคิดว่าแดดดี้โอวนัดใครในวงการมาเจอ กลับเห็นเด็กสาวไม่คุ้นหน้าคนหนึ่งก้าวลงจากรถ ดูแล้วอายุน้อยมาก
ในวงการดูเหมือนมีศิลปินวัยรุ่นจำนวนมาก ทว่าคนคนนี้ไม่ใช่แค่ดูเหมือนวัยรุ่นเท่านั้น แต่เธอยังเด็กอยู่จริงๆ แถมหน้าตาสะสวย ไม่ใช่แค่เครื่องหน้าที่ชวนให้คนประทับใจ รูปร่างยังดีเยี่ยม สูงโปร่ง เท้าขาวเนียนสวมรองเท้าโลฟเฟอร์[4]ลายการ์ตูนของเฟนดิ
อายุกับฐานะทางสังคมอย่างนี้ทำให้อาฟานึกออกทันใดว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขารีบเดินเข้าไปต้อนรับ
“คุณหนูสวี่ใช่ไหมครับ ผมเป็นผู้ช่วยของคุณโอวหยางจิ้น”
“ใช่ค่ะ สวัสดีค่ะ”
ตอนแรกสวี่รุ่ยคิดว่าโอวหยางจิ้นจะนัดพบที่ห้องอาหารของโรงแรม หรือไม่ก็สถานที่อื่น คิดไม่ถึงว่าเขาจะนัดให้ไปเจอที่ห้องพัก
โอวหยางจิ้นพักอยู่ในห้องสวีตของโรงแรมแห่งนี้ สวี่รุ่ยพาบอดีการ์ดเดินตามผู้ช่วยเข้าไปในห้อง
มีแวบหนึ่งที่เธอนึกถึงข่าวบันเทิงซึ่งเคยอ่านก่อนหน้า ทว่ากลับไม่ต้องกังวลเลยสักนิด ไม่ใช่เพราะมีบอดีการ์ดอยู่สี่คน แต่เพราะเธอคือหลานสาวของจู้หงเซิน
บางทีแค่มีเงินก็ไม่เพียงพอ
แต่ไม่มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้
ระบบ 1212 “ถือว่าโฮสต์ยังพอมีสติอยู่บ้าง”
สวี่รุ่ยไม่แสดงสีหน้าใดๆ และตอบในใจดุจเดิมตามความเคยชิน “ถ้าเป็นภารกิจหลักก็เก็บสะสมไว้ได้เลย ช่วงเวลาการใช้จ่ายอย่างอิสระยังไม่ทันครบหนึ่งเดือน”
ระบบ 1212 “โอ้ ไม่ใช่ภารกิจหลัก”
สวี่รุ่ยเฉลียวใจ “ไม่ใช่ภารกิจหลักเหรอ หรือเป็นภารกิจสายฟ้าแลบ นี่ยังไม่ถึงหนึ่งเดือนเลยนะ ทำไมถึงมีภารกิจสายฟ้าแลบอีกแล้วล่ะ”
ระบบ 1212 “โอ้ ไม่ใช่ภารกิจสายฟ้าแลบ แต่เป็นภารกิจสุ่ม”
พอได้ยินว่าเป็นภารกิจสุ่ม หัวใจที่เต้นโครมครามรุนแรงของสวี่รุ่ยก็ฟื้นคืนกลับมาครึ่งหนึ่ง
อย่างน้อยภารกิจสุ่มก็ไม่เหมือนภารกิจสายฟ้าแลบที่พอพลั้งพลาดแล้วจะหักลบโบนัสชีวิตออกหลายหน อยากสละสิทธิ์ก็ยังจะหักลบออกเพิ่มเป็นเท่าตัว
[1] Plants vs. Zombies เป็นเกมแนว Tower Defense ที่ได้รับความนิยมมากทั่วโลก ผู้เล่นต้องปลูกพืชนานาชนิดมาต่อสู้กับเหล่าซอมบี้ผู้หิวโหย ซึ่งพร้อมจะเข้ามาเขมือบเราในบ้านทุกเมื่อ
[2] หมายถึง ของดีไม่ต้องป่าวประกาศมาก คนจะตามหาจนเจอ
[3] อุปมาว่า ต่อให้ความจำดีแค่ไหนก็สู้การจดบันทึกไม่ได้
[4] รองเท้าที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อให้ใส่สบาย ไม่ต้องผูกเชือกรองเท้า แต่เดิมเป็นรองเท้าที่ไม่เป็นทางการมาก ใส่ได้กับทุกแฟชั่น