曾是年少时
รักเธอตั้งแต่วันวาน
ชิงเหม่ย 青浼 เขียน
หนูน้อยฉี แปล
— โปรย —
สำหรับจินหยางแล้ว ที่น่าเสียดายที่สุดน่าจะเป็นเรื่องที่เวลานี้เธอไม่ได้อยู่เคียงข้างเขา
อย่างน้อยถ้าอยู่ข้างๆ เขาก็พอจะมอบอ้อมกอดที่อบอุ่นให้เขา
หรือไม่ก็ตบไหล่เขาเงียบๆ ได้
พวกเราควรเรียนรู้หลักการหนึ่งตั้งแต่เนิ่นๆ นั่นก็คือ
อีสปอร์ตไม่ได้มีชัยชนะและเกียรติยศอยู่เคียงข้างตลอดเวลา
ยิ่งเสียงปรบมือในจุดที่สว่างไสวดังมากเท่าไหร่
เงาดำหลังแสงก็จะยิ่งมืดมนมากเท่านั้น
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
73
ถ้าคุณมีช่วงชีวิตวัยเด็ก คุณก็น่าจะเคยได้ยินนิทานเรื่อง ปลาไหลชมจันทร์
ในสมัยโบราณมีชาวนาครอบครัวหนึ่งขายปลาไหลหาเลี้ยงชีพ
ครั้งหนึ่งชาวนาจับปลาไหลกลับมา เขาวางโอ่งบรรจุปลาไหลไว้ในลานเรือน วันนั้นเป็นวันขึ้นสิบห้าค่ำจันทร์เต็มดวงพอดี ชาวนาพาภรรยามานั่งรับลมเย็นที่ลานเรือน จังหวะนี้เองเขาเห็นปลาไหลตัวหนึ่งในโอ่งเงยหน้าแล้วส่ายไปมาใส่ดวงจันทร์!
ชาวนาตกใจอักโข คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะจับปลาไหลชมจันทร์ในตำนานได้…รูปลักษณ์ภายนอกของปลาไหลชมจันทร์เหมือนปลาไหลดินทั่วไปไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ตั้งแต่เล็กมันจะกินเนื้อเน่าซากศพของสัตว์เป็นอาหาร นานวันเข้าตัวมันจึงสะสมพิษร้าย ถ้าคนพลาดกินเข้าไปจะมีอันตรายถึงชีวิต
ชาวนาก้าวไปข้างหน้าคิดจะคว้าปลาไหลชมจันทร์ออกมาจากโอ่ง แล้วฟาดมันให้ตาย แต่คิดไม่ถึงว่าปลาไหลจอมเจ้าเล่ห์จะรีบหดหัวกลับไปปะปนกับปลาไหลตัวอื่น!
ชาวนาทั้งโมโหทั้งหงุดหงิดแต่ทำอะไรไม่ได้ เพื่อรับผิดชอบต่อคนซื้อปลา เขาเลยได้แต่เตรียมปล่อยปลาไหลทั้งหมดในโอ่งนี้…แต่ขณะทเขาเตรียมจะลงมือ ภรรยาของเขากลับห้ามเขาไว้และให้เขาไปเอาโอ่งอีกสองใบในเรือนมาแบ่งปลาไหลหนึ่งโอ่งออกเป็นสองโอ่ง แยกกันเลี้ยง
คืนวันต่อมา ปลาไหลชมจันทร์ในโอ่งฝั่งซ้ายชะเง้อขึ้นมา ชาวนาเลยเก็บโอ่งฝั่งขวาที่มีปลาไหลธรรมดาไว้ดุจเดิม ก่อนแบ่งปลาไหลในโอ่งฝั่งซ้ายออกเป็นสองโอ่งอีกรอบหนึ่ง…
ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ
สุดท้ายเมื่อปลาไหลในโอ่งถูกแบ่งออกเรื่อยๆ ก็มีจำนวนลดลงเรื่อยๆ จวบจนเหลือปลาไหลแค่สองตัวที่ถูกจับแบ่งไว้ตัวละโอ่ง ปลาไหลชมจันทร์ตัวนั้นยังทำท่าเดิม การเงยหน้าชมจันทร์ครั้งสุดท้ายของมัน ทำให้มันถูกชาวนาจับตัวไว้ได้ก่อนฟาดมันกับพื้นจนตาย
…ปลาไหลชมจันทร์ตายเพราะได้ใจเกินไป คิดว่าตัวเองปกปิดได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว เอาแต่ลอบดีใจว่าหลอกคนจนหัวปั่นโดยลืมไปว่าในโลกใบนี้มีตรรกะอยู่หนึ่งอย่างที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์ ดั่งซุนอู้คง[1]ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ข้ามผ่านเขาอู่จื่อซานไปไม่ได้ พ่อ[2]ก็ยังเป็นพ่ออยู่วันยังค่ำ
…และถงถงก็คือปลาไหลชมจันทร์ที่ลอบดีใจคิดว่าปกปิดตัวเองไว้ได้ดีมาก และยังโง่ไปท้าทายอ้ายเจียก่อน
…
ทันทีที่โพสต์กระทู้ ขณะคนทั่วไปที่ไม่รู้ความจริงด่าอ้ายเจียว่าทำตัวเหลวไหล เสี่ยวเซียนที่คอยเฝ้าดูทุกอย่างอยู่ด้านข้างเงียบๆ ก็อาละวาดแล้ว!
ตอนนั้นเป็นเวลาสี่ทุ่ม
ทีมงานทั่วไปเลิกงานกลับบ้านกันหมดแล้ว ดังนั้นคนที่ได้ยลสีหน้าเขียวคล้ำของผู้จัดการทีมเลยมีแค่พวกอ้ายเจียที่เป็นนักกีฬาของทีม พวกเขาได้เห็นบารมีที่ผู้จัดการทีมอีสปอร์ตคนหนึ่งควรมีกับตาตัวเอง…
ภาพที่เห็นคือเสี่ยวเซียนยืนอยู่บนโซฟาเท้าเปล่า เท้าข้างหนึ่งเหยียบพนักพิง ทำท่าสุดเท่ขณะแผดเสียงตะโกนใส่คณะผู้บริหารสโมสรที่อยู่ปลายสายอย่างองอาจแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน “ผมต้องการคำอธิบาย! พวกเด็กอันธพาลยังยอมเชื่อฟังแต่โดยดี ยุติปัญหาอย่างสงบ แค่ทีมงานเบื้องหลังคนหนึ่งถือดีอะไรมาเสนอหน้าป่วนนักกีฬา! ผมไม่สน! ผมไม่ฟัง! ผมไม่ทำแล้ว! พรุ่งนี้ต้องให้ผู้หญิงคนนั้นมากราบขอรับผิดกับพวกเรา ผมยังจะฟ้องเธอ ไล่เธอออกด้วย…อะไรคือให้ผมใจเย็นหน่อย! ผมใจไม่เย็น! ผมกับเธอเลือกได้คนเดียว พวกคุณคิดเอาเองก็แล้วกัน!”
เสี่ยวเซียนพูดจบก็ตัดสายโทรศัพท์ทิ้ง “ติ๊ด”
พอเงยหน้าค่อยพบว่าทุกคนในห้องฝึกซ้อม…ไม่ว่าจะเป็นคนที่เล่นเกมหรือไม่ได้เล่นเกมล้วนอยู่ในท่าหมุนตัว ไม่ก็ปีน ไม่ก็เกาะ ไม่ก็พิงพนักเก้าอี้ ขณะเลิกคิ้วสูงมองเขา
“…” เสี่ยวเซียนยังไม่ทันเก็บสีหน้าโหดร้ายป่าเถื่อน “มองบ้าอะไร!”
หรงหรง “เป็นครั้งแรกที่รู้ว่า ‘ผู้จัดการทีม’ อาจไม่ได้เป็นศัพท์ที่มีความหมายเดียวกับ ‘เครื่องรางนำโชคของทีม’ หรือ ‘ของตกแต่งทีม’”
รุ่ยถ่า “ทำไมเมื่อก่อนฉันไม่เห็นรู้เลยว่ามีใครในคณะผู้บริหารเป็นแฟนของพี่ด้วย”
อ้ายเจีย “มีเหรอ”
รุ่ยถ่า “ก็เห็นพูด ‘ผมไม่สน! ผมไม่ฟัง! ผมไม่ทำแล้ว!’ อะไรพวกนี้นี่นา”
อ้ายเจียเองก็มีแฟน ดังนั้นหลังจากเขาก้มหน้าตั้งใจไตร่ตรองเรื่องทั้งหมดแล้ว ก็เผยสีหน้ากระจ่างแจ้ง…จากนั้นมองเสี่ยวเซียนอีกคราด้วยแววตานับถือเปี่ยมล้น
เสียวหน่วน “พี่ลงจากโซฟาก่อนเถอะ”
เหลียงเซิง “ส่วนตัวฉันคิดว่าถ้าพรุ่งนี้ทางคณะผู้บริหารเสนอให้พี่ไสหัวออกไปแทนคงสุดยอดไปเลย…ยังไงซะจากหน้าตาและอายุ เป็นไปได้มากว่าคนที่มีพ่อเป็นผู้บริหาร หรือมีคนรักอยู่ในคณะผู้บริหารน่าจะเป็นผู้หญิงคนนั้น”
ขณะเสี่ยวเซียนยุ่งง่วนอยู่กับการก้มลงเก็บหมอนขึ้นมาปาใส่เหลียงเซิง อ้ายซาก็เตะน่องอ้ายเจียหนหนึ่ง…นี่ราวกับเป็นการเปิดบทสนทนาระหว่างมิดทั้งคู่ เป็นเหมือนการส่งสัญญาณเรียกต่างๆ อาทิ “การทักทายทั่วไป” “การเรียก” “โปรดฟังฉันจะเริ่มพูดแล้ว” รวมไปถึง “นี่” ครั้นเห็นอ้ายเจียหมุนตัวมา อ้ายซาก็เลิกคิ้ว “แค่นี้ก็จับคนที่โพสต์กระทู้ด่านายได้แล้วเหรอ นายกับเสี่ยวเซียนวางแผนอะไรถึงจับตัวเจ้าของกระทู้ได้น่ะ”
“ก็หลอกว่าแฟนฉันจะมาเมือง S และโวยวายจะให้ฉันไปรับที่สนามบิน วิธีไปรับมีเป็นหมื่นพันวิธี พอแต่ละคนถาม ฉันก็บอกวิธีไปรับที่แตกต่างกันให้พวกเธอฟัง จากนั้นก็รอเจ้าของกระทู้แฉข่าว วิธีที่ป่าวประกาศออกไปจะต้องเป็นเวอร์ชันลำดับที่ ‘999’ ที่ฉันบอกเธอด้วยตัวเองแน่” อ้ายเจียนั่งบนโซฟา ยกขาไขว่ห้างตอบสีหน้าเฉยชา
อ้ายซามองสำรวจอ้ายเจียด้วยแววตาไม่เหมือนเดิม “ดูแล้วนายไม่ได้…มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวขนาดนั้นนี่”
อ้ายเจีย “คนเราพัฒนากันได้”
เสียวหน่วน “ฉันไม่คิดยังงั้น”
อ้ายเจีย “แฟนฉันสอนฉัน เมื่อก่อนเธอใช้วิธีนี้บอกความลับกับเพื่อน…แต่ละคนจะฟังกันคนละเวอร์ชัน ถ้ามีใครเผยความลับก็หมายความว่าคนคนนั้นตกอับแล้ว…เธอไม่ได้รู้สึกว่าแบบนี้มีอะไรไม่ดี อย่างน้อยขณะที่เธอทดสอบความซื่อสัตย์ของเพื่อน เธอก็ได้ดื่มด่ำกับความสุขที่ได้ฟังข่าวซุบซิบ”
“เธอจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ!” เสียวหน่วนเบิกตาโต
“ไม่ เธอทำได้” เหลียงเซิงพูดอย่างนึกสงสาร “ฉันยังยึดมั่นกับความจริงที่ว่าแฟนสาวของสหายผู้คุมตู้กดน้ำของพวกเราเป็นมารร้าย…ถ้าเธอจะมาที่ฐาน ช่วยบอกฉันด้วย ฉันจะไปแอบให้ไกล”
“เธอไม่มาที่ฐานและไม่แม้แต่จะเหลือบมองนาย” อ้ายเจียพูดกับเหลียงเซิงน้ำเสียงจนใจ
“นัยน์ตาเมดูซา[3]” เหลียงเซิงพูดเสียงเรียบ “อย่ามองฉันเลย ยังไงซะแค่มองแวบเดียวก็ถึงตายได้…สรุปแล้วเธอมาเมือง S รึเปล่า”
“หืม”
“หรือนับแต่ต้นเรื่องของเหตุการณ์ที่แสนยืดยาวที่ว่า ‘แฟนฉันจะมาเปลี่ยนเครื่องที่เมือง S’ ทุกคำก็ล้วนโกหก”
“…”
“ต้องให้ฉันบอกหรือเปล่า” เหลียงเซิงพูดอย่างปวดใจ “สีหน้านายตอนนี้ดูแล้วไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยนะสหายผู้คุมตู้กดน้ำที่รักยิ่งของฉัน”
อ้ายเจียไม่ปริปาก ก่อนเขาจะได้สติกลับมา เขาก็จับที่เท้าแขนโซฟา สบถพร้อมดีดตัวลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้ว…
ขณะเสี่ยวเซียนที่ยืนอยู่บนโซฟาทำตัวเป็นนักเลง กดโทร.ออกเป็นครั้งที่สอง และเริ่มบทสนทนาด้วยประโยค “ฮัลโหล ประธานหลิวใช่ไหมครับ ผมมีเรื่องหนึ่งอยากขออนุญาตคุณครับ” บอกให้ทุกคนรู้ว่าวันนี้เขาใจกล้าบ้าบิ่นโทร.หาผู้บริหารคนที่สอง ทางด้านหลังของเขา อ้ายเจียก็รีบร้อนวิ่งขึ้นชั้นบนไปยืนยันกับแฟนเขาถึงความจริงเรื่อง “ก่อนไปอยากนอนกับแฟนหนุ่มของฉันหน่อย”
เวลานี้ตีหนึ่งแล้ว ทุกคนในฐานกลับดูร่าเริง ตื่นเต้น จริงจัง และเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เสี่ยวเซียนโทร.ไปรบกวนทุกคนที่ยอมรับสายเขา รบกวนผู้บริหารทุกคนที่ยอมฟังเขาพูด แถมยังลงโทษพวกคนน่าสงสารที่ดึกแล้วยังไม่หลับไม่นอนและลืมตั้งค่ามือถือเป็นโหมดห้ามรบกวนอย่างไร้มนุษยธรรมด้วย…
สุดท้ายตัวเขาเองอาละวาดจนเหนื่อยแล้ว หอบหายใจแฮกๆ ขณะไถลตัวลงมานั่งบนโซฟา
“จบแค่นี้เหรอ” เหลียงเซิงอารมณ์ค้าง “ฉันยังคิดว่าอย่างน้อยพี่จะโทร.ไปหาผู้หญิงที่ก่อเรื่องคนนั้นด้วยซะอีก”
“ฉันไม่โทร.” ผู้จัดการทีมที่นั่งอยู่บนโซฟายิ้มเหี้ยม “ฉันรอ ‘เซอร์ไพรส์’ เธอพรุ่งนี้เช้า”
ทุกคน “…”
เช้าวันต่อมา
น่าจะเพราะอยากชมละครสนุก ทุกคนเลยตื่นกันเช้ามาก
หากพูดแบบเหลียงเซิงก็คือต่อให้เป็นวันแข่ง พวกเขาก็ไม่เคยตื่นเช้าขนาดนี้ พวกนักกีฬาพาขอบตาดำมารวมตัวกันกินข้าวเช้าอย่างที่ในหนึ่งปีจะเกิดขึ้นสักครั้งที่ห้องรับแขก
เช้าวันนี้อ้ายเจียที่เพิ่งได้รับคำตอบที่น่ายินดีว่า “ฉันจะมานอนกับนาย” ตอนนี้ประคองชามเกี๊ยวน้ำไว้และเข้าร่วมกลุ่มคนรอชมเรื่องสนุก แถมยังทำตัวสาระแนชะเง้อคอรอวินาทีที่ถงถงจะย่างเข้าประตูใหญ่ของฐาน
และแล้วเวลาประมาณเก้าโมงสิบกว่านาที ในที่สุดพวกเขาก็พบคนที่พวกเขาเฝ้ารอ…
ถงถงที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเผชิญหน้ากับอะไรดูอารมณ์ดีมาก (น่าจะเพราะเหตุผลบางอย่างที่เธอนึกว่าไม่มีใครรู้) เธอเดินทอดน่องพูดคุยยิ้มแย้มเข้ามาในฐานพร้อมกับสาวน้อยคนเมื่อวานที่เข้าห้องชงกาแฟไปสัมภาษณ์อ้ายเจียพร้อมกัน ยังไม่ทันที่เธอจะหยุดยืนอย่างมั่นคง ก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวทางห้องรับแขกซะก่อน
เมื่อหันมองค่อยพบว่าทุกคนอยู่กันครบเหมือนผีหลอก เธอเลิกคิ้วแล้วรีบฉีกยิ้ม “ตื่นกันเช้าขนาดนี้เลยเหรอ”
ไม่มีใครตอบเธอ ขณะเธอทำหน้ากังขา เสี่ยวเซียนก็เดินออกจากห้องครัว มองพวกเธอผาดหนึ่งก่อนวางแก้วนมในมือลง “หลี่ถง เจี่ยงลู่ พวกเธอสองคนมานี่หน่อย”
น้ำเสียงนั้น…
เหลียงเซิงเอี้ยวตัวไปกระซิบข้างหูอ้ายเจีย “ฉันรู้สึกว่าที่พี่เขาอยากพูดน่าจะเป็น ‘มานี่ คุกเข่าลงต่อหน้าเจิ้น[4]’”
อ้ายเจีย “…”
เสี่ยวเซียนนั่งลงบนโซฟา ลูบซองบุหรี่ก่อนนึกได้ว่าห้ามสูบบุหรี่ในฐาน เขาหรี่ตากุมซองบุหรี่ไว้ในฝ่ามือ เงยหน้ามองสาวน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยท่าทางประหม่า ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขางอนิ้วเคาะโต๊ะน้ำชา “พวกเธอสองคนใครเป็นคนโพสต์กระทู้ลงเทียปา”
ตอนนั้นหน้าของทั้งคู่เปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า
“ไม่มีนี่คะ!”
“กระทู้อะไรคะ”
ทั้งคู่พูดพร้อมกัน ก่อนหันหน้าไปสบตาอีกฝ่าย แลกเปลี่ยนสายตาแปลกๆ แก่กัน…สาวน้อยที่ชื่อเจี่ยงลู่ที่เป็นคนเปิดบทสนทนากับอ้ายเจียเมื่อวานกระตุกแขนเสื้อของถงถงอย่างกังวล เธอแทบไม่ได้เล่นเทียปาเลย
“จับได้แล้ว เลิกแสดงละครต่อหน้าฉันเถอะ สนุกมากไหม” เสี่ยวเซียนพูดเสียงเรียบ “ฉันจำได้ว่าในสัญญาจ้างของพวกเธอมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการรักษาความลับด้วยใช่ไหม การรักษาความลับนี่รวมไปถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการแข่งนัดฝึกซ้อม สภาพการณ์ของทีม ความเป็นส่วนตัวของนักกีฬา และอื่นๆ พวกเธอคิดว่าสัญญาที่พวกเธอเซ็นตอนเข้าทำงานเป็นการเซ็นเล่นๆ ยังงั้นเหรอ!”
พอกล่าวถึงท่อนท้ายเสียงของเสี่ยวเซียนก็ดังขึ้นกะทันหัน ทำเอาสองคนด้านหน้าตกใจจนตัวสั่น…
ด้านหลังของเสี่ยวเซียน อ้ายเจียยัดเกี๊ยวน้ำชิ้นหนึ่งเข้าปาก เคี้ยวสองทีก็กลืนลงท้อง “บ้านข้างๆ ได้ยินเสียงตะโกนของพี่หมดแล้ว เบาเสียงหน่อยสิ”
เสี่ยวเซียนไม่สนใจ ลุกพรวด “ผึ่ง” ขึ้นจากโซฟา เอ่ยว่า “ปกติพวกเธอเอารูปในฐานที่เป็นภาพหน้าจอคอมพ์ของนักกีฬาตอนฝึกซ้อมโพสต์ลงเวยปั๋วส่วนตัวโดยไม่แม้แต่จะเซนเซอร์ด้วยซ้ำ เรื่องนี้ฉันไม่เคยว่าพวกเธอ…คงเพราะฉันปล่อยปละละเลยพวกเธอมากเกินไปเลยคิดว่าเรื่องนี้ไม่ร้ายแรงสินะ ทีมงานของสโมสรตัวเองแจ้นเข้าเทียปา โพสต์กระทู้ป่วนนักกีฬาทีมตัวเอง ทำเอาบรรยากาศภายในทีมย่ำแย่ไปหมด…”
ถงถงเม้มปากแน่น ขณะที่เจี่ยงลู่ดูเหมือนจะร้องไห้แล้ว “เซียนเกอ พวกเราไม่ได้โพสต์กระทู้นะคะ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่พูดอะไรอยู่…”
เสี่ยวเซียนเอามือไพล่หลัง มองพวกเธอสองคนและมองทีมงานทุกคนที่อยู่ด้านหลังพวกเธอ สีหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยว่า “กลัวอะไร อย่าให้ฉันดูถูกพวกเธอเลย เมื่อวานยังพิมพ์เสียดสีนักกีฬาว่า ‘ซูเปอร์สตาร์อีสปอร์ต’ อย่างมีความสุขในเทียปา ทำไมถึงลำพองขนาดนั้นล่ะ ตอนเห็นพวกคนที่ไม่รู้ความจริงพากันคอมเมนต์ [สุดยอด] [ฮ่าๆๆๆ] ตามกระแสในเทียปาแล้วมีความสุขมากใช่ไหม พอใจมากใช่ไหม รู้สึกว่าตัวเองทั้งฉลาดมีไหวพริบทั้งมีอารมณ์ขัน แทบรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เดบิวต์[5]ใช่ไหม”
ในฐานเงียบกริบ
เสี่ยวเซียนแทบบีบซองบุหรี่ในมือจนเละ “ฉันควรด่าพวกเธอยังไงดีเนี่ย…พูดตามตรงนะฉันอยากอัดพวกเธอให้ตายไปเลย โพสต์พวกกระทู้แบบนั้น นอกจากตอบสนองความโรคจิตในใจที่ชอบเห็นคนถูกนินทาค่อนแคะแล้ว พวกเธอยังได้อะไรอีก ในชีวิตคนเรามีเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจตั้งเยอะ ดังนั้นพวกเธอเลยเอาความสุขของตัวเองไปตั้งอยู่บนความทุกข์ของคนอื่นงั้นเหรอ!”
ระหว่างที่เสี่ยวเซียนพูด เจี่ยงลู่ก็หยิบมือถือออกมาทั้งๆ ที่ตัวสั่น จากนั้นถามว่ากระทู้ไหน และรีบกดเข้าไปดู…
หากไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้จริงๆ ก็ถือว่าฝีมือการแสดงเธอยอดเยี่ยมเหลือประมาณ
ถงถงยืนมือห้อยข้างลำตัวอยู่ข้างเจี่ยงลู่ จากท่าทางงุนงงคราแรกก็เปลี่ยนเป็นหวาดหวั่นนิดๆ จนตอนนี้กลายเป็นเฉยชาสีหน้าไร้อารมณ์…
เจี่ยงลู่ก้มหน้าอ่านกระทู้แล้ว เธอค่อยอ้าปากพูดว่า “ฉันรู้ว่าพี่พูดถึงกระทู้ไหน แต่ฉันไม่คิดว่ากระทู้นี้จะลงเนื้อหาอะไรที่พี่จะโยนความผิดมาให้พวกเราได้…”
“เธอยังจะแถอีกนะ!”
เสี่ยวเซียนดูคล้ายสิงโตที่กำลังแผดเสียงคำราม…
“ในกระทู้เขียนอะไรไว้งั้นเหรอ! เมื่อวานที่อ้ายเจียบอกว่าจะไปรับแฟนสาว พวกเธอรู้กันใช่ไหมล่ะ! เมื่อก่อนก็มีแฉข่าวบอกว่าทีมตัดสินใจว่าหากไม่ไหวจริงๆ จะให้อ้ายเจียลงแข่งก่อน เรื่องนี้ประกาศให้คนนอกรู้ก็ถือว่าแล้วไป แต่เรื่องแฟนสาวของอ้ายเจียจะมาที่ฐานเพิ่งอนุมัติไปไม่นาน คืนวันเดียวกันก็มีโพสต์ในเทียปาเลย พวกเธออยากบอกฉันว่าเป็นคนอื่นที่ติดกล้องวงจรปิดในฐานทีม YQCB ของพวกเรางั้นเหรอ หา! เห็นฉันโง่รึไง!!”
ครั้งนี้มีทีมงานหลายคนพากันลุกขึ้นยืน พวกเขาเดินมาล้อมวงมุงดูเหตุการณ์ทางนี้ หลายคนยังกระซิบกระซาบกัน จากนั้นก็หยิบมือถือขึ้นมา…เห็นชัดว่าได้รับการชี้ทางเลยรีบเข้าไปค้นหากระทู้นั้นมาอ่าน
“ฉันไม่ได้บอกว่ามีคนติดกล้องวงจรปิดที่ฐานนะคะ” ถงถงแก้ตัว “ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าทำไม ช่วงนี้ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรกับอ้ายเจีย พวกพี่จะหาเรื่องฉันตลอด แปลกจัง…เมื่อวานเรื่องที่อ้ายเจียขอลาไปรับแฟน ทีมงานและนักกีฬาทุกคนในฐานก็ได้ยินกันหมด พวกพี่อาศัยอะไรมาบอกว่าพวกเราสองคนเป็นคนทำคะ”
เธอพูดพลางดึงมือถือจากมือเจี่ยงลู่ ตวาดเสียงแหลมและหงุดหงิดว่า “เลิกอ่านได้แล้ว!”
ขณะบรรยากาศตึงเครียดจนราวกับจะทำให้คนขาดอากาศหายใจได้ทุกเมื่อ
จู่ๆ ก็มีเสียงหลุดหัวเราะดังมาจากกลุ่มคนด้านหลัง
ทุกคนอึ้งงัน เหลียวมอง ก่อนเห็นอ้ายเจียที่นั่งยองอยู่ข้างโต๊ะกินข้าวก้มหน้าหัวเราะใส่ชามเกี๊ยวน้ำตรงหน้าตัวเอง คล้ายเขารู้สึกได้ถึงสายตาของผู้คนที่มองมา เขาเงยหน้า รอยยิ้มยังคงอยู่ ท่าทางเขาเฉื่อยเนือยขณะเอ่ยว่า “เสแสร้ง”
สีหน้าของถงถงเปลี่ยนจากขาวเป็นเขียว “นายหมายความว่าไง”
อ้ายเจียเหลือบมอง “…ฉันชักจะชื่นชมเธอแล้วสิ ครั้งก่อนถูกฉันด่าก็ทำตัวน่าสงสาร ทำท่าทางเหมือนพวกผู้ชายอย่างฉันรังแกสาวน้อยตัวเล็กๆ…พริบตาเดียวก็หันไปโพสต์กระทู้ป่วน ตอนนี้ก็คิดจะแสร้งทำเป็นผู้บริสุทธิ์อีกสินะ เธอนี่สุดยอดจริงๆ”
อ้ายเจียมองสำรวจถงถงขึ้นลงด้วยสายตาเย็นชา ถงถงรู้สึกคล้ายถูกน้ำเย็นราดศีรษะ…ความหนาวเย็นแผ่ลามจากปลายเท้าขึ้นสู่ด้านบน รู้สึกแย่สุดเปรียบ
ถงถงตัวแข็งค้าง เธอกะพริบตาปริบๆ ไม่พูดอะไร
อ้ายเจียใช้ตะเกียบในมือชี้ไปที่เธอจากระยะไกล พูดเสียงเรียบว่า “เธอควรดีใจนะ ฉันเคยพูดแล้วว่าฉันไม่ลงมือกับผู้หญิง”
เขาพูดจบก็วางตะเกียบลงบนชาม “แปะ” เสียงใสดังกังวาน เจี่ยงลู่รู้สึกชัดเจนว่าคนที่ยืนติดกับเธอสะดุ้งโหยง คล้ายกลัวอะไร…จากนั้นก็ทำตัวลีบหลบไปทางด้านหลัง
ไม่ไกลออกไป อ้ายเจียงวางตะเกียบแล้วใช้กระดาษทิชชูเช็ดปาก เขาหลุบตาลงพร้อมประกาศว่า “กินอิ่มแล้ว”
เหลียงเซิงที่นั่งอยู่ข้างอ้ายเจียประคองชามขึ้นมา ขยับไปใกล้เสียวหน่วน
เสียวหน่วนผลักเขาออก สีหน้าไม่สบอารมณ์
“อ้ายเจีย ต้องว่ากันด้วยเหตุผลสิ” ถงถงอับอาย พูดเสียงเครือว่า “ครั้งก่อนผิดใจกันเป็นเพราะพวกเราสื่อสารกันไม่ดี ฉันลบโพสต์นั้นแล้ว…ยังดีที่ว่าตอนหลังไม่ได้ส่งผลกระทบร้ายแรงอะไร แต่ถ้าเรื่องครั้งนี้โทษฉันอีก แบบนี้ควรแล้วเหรอ คนในฐานตั้งหลายคน ทุกคนต่างรู้ว่านายจะไปรับแฟนนาย แล้วพวกนายโทษฉัน บอกว่าฉันเป็นคนโพสต์กระทู้เรอะ ถือดีอะไร ฉันเองก็โมโหเป็นเหมือนกันนะ”
อ้ายเจียกวาดตามองเธอผาดหนึ่ง สายตาเขาดุจมองคนแปลกหน้า จากนั้นก็ไม่แม้แต่จะสนใจเธออีก
เสี่ยวเซียนรับลูก พูดต่อในจังหวะที่เหมาะสม “กระทู้นั้นบอกไว้ชัดเจนมากว่าอ้ายเจียจะยืมรถตู้สโมสรไปรับแฟน”
“เขาจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว เขียนผิดตรงไหน”
เวลานี้ถงถงหันหลังให้โซนทีมงานจึงไม่เห็นทีมงานแผนกอื่นเผยสีหน้ากังขา เธอพูดเองเออเองอย่างมั่นใจ…
“เมื่อวานตอนฉันกับเจี่ยงลู่ไปถึงห้องชงกาแฟ เพราะอยากรู้อยากเห็นเลยถามอ้ายเจียว่าจะไปรับแฟนยังไง เขาบอกพวกเราว่าจะยืมรถตู้กับคนขับรถของสโมสร…แล้วยังไง พวกเราถาม คนอื่นก็ถามเหมือนกัน ตอนพวกเราออกมายังได้ยินคนของแผนกโฆษณาเชียร์ให้ส่งคนไปถามอ้ายเจียเรื่องนี้อยู่เลย”
ถงถงยิ่งพูดยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมีเหตุผลเลยเชิดหน้าขึ้น
จังหวะนี้เองเธอก็ได้ยินคนด้านหลังร้อง “หือ” เธอเหลียวมอง เห็นสาวน้อยจากแผนกโฆษณามีสีหน้าลังเล…เมื่อสบตาถงถง สาวน้อยกะพริบตาปริบๆ และเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “แต่เจียเกอบอกพวกเราว่าจะนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปรับแฟนสาวของเขานะ”
สาวน้อยอีกคนของแผนกโฆษณามองเพื่อนร่วมแผนกของตัวเองอย่างตกใจ “ไม่ใช่มั้ง เจียเกอบอกว่าจะขี่จักรยานไปนี่นา ฉันยังคิดว่าเขาบ้าไปแล้วเลย!”
ตอนนี้คนของแผนกประชาสัมพันธ์พูดแทรกว่า “บ้าอะไร พวกเธอจำผิดแล้วมั้ง เมื่อวานตอนฉันเข้าห้องชงกาแฟไปถามเจียเกอ เขาบอกว่าเขาจะให้เสี่ยวเซียนช่วยพาไปรับ…อ๋อ!”
ยามนี้ทุกคนเผยสีหน้ากระจ่างแจ้ง
จากนั้นมองถงถงอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยแววตาทั้งเห็นใจ เหยียดหยาม ตกใจ และอึ้งงัน
“เป็นเธอจริงเหรอ”
“นี่ ไม่งั้นจะเป็นใคร ที่พวกเราได้ยินไม่ใช่ฉบับ ‘ใช้รถตู้สโมสร’ ซะหน่อย”
“ทำไมต้องโพสต์กระทู้หาเรื่องนักกีฬาทีมตัวเองด้วย…”
“บ้าเอ๊ย เพราะเรื่องนี้ หลายวันมานี้แผนกประชาสัมพันธ์เลยยุ่งกันหัวหมุน เธอรู้ไหมว่าแจ้งขอลบกระทู้ต้องใช้เงินเท่าไหร่ เชี่ย!”
“ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ”
“นั่นสิ ไม่ขอปิดบัง พวกเราแผนกประชาสัมพันธ์ยังต้องทำงานล่วงเวลาเพราะเรื่องนี้ด้วย…เสียทั้งกำลังคนเสียทั้งกำลังทรัพย์”
“…รอจ่ายค่าปรับได้เลย คนโรคจิต”
เสียงซุบซิบดังขึ้น
เวลาเดียวกันนั้นเห็นแค่ว่าสีหน้ามั่นใจของถงถงซึ่งยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอันตรธานอย่างไร้ร่องรอย ใบหน้าเล็กเปลี่ยนสีจากขาวเป็นแดงก่อนเป็นเขียว เปลี่ยนแปลงหลากสีสัน เธอหันขวับไปถลึงตาใส่อ้ายเจียราวกับคนที่มีความแค้นต่อกันอย่างใหญ่หลวง
เธอตัวสั่นเล็กน้อย กำสองมือเป็นหมัดแน่น จิกเล็บลึกเข้าไปในฝ่ามือ
เวลานี้เองอ้ายเจียที่เดิมนั่งมองเรื่องสนุกอยู่หลังโต๊ะไม่ไกลออกไปพร้อมสีหน้าดูถูก จู่ๆ ก็ฉีกยิ้มจอมปลอมให้เธอ…
“กับดักแผนการมีเป็นหมื่นเป็นพันแบบ เธอชอบแบบไหนฉันก็มีให้หมด”
[1] หรือซุนหงอคง หรือเห้งเจีย เป็นหนึ่งในตัวละครเอกเรื่อง ไซอิ๋ว
[2] เป็นคำเรียกหยอกล้อของคนจีน หมายถึง คนที่มีอำนาจหรือความสามารถสูงกว่า เป็นบุคคลที่ควรให้ความเคารพ
[3] ในเทพปกรณัมกรีกบรรยายว่าเมดูซามีใบหน้ามนุษย์ มีงูพิษเป็นเส้นผม คนที่จ้องเมดูซาโดยตรงจะกลายเป็นหิน
[4] สรรพนามเรียกแทนตัวเองของจักรพรรดิจีน
[5] Debut การปรากฏต่อสาธารณะชนเป็นครั้งแรกของนักแสดงหรือนักกีฬา