[ทดลองอ่าน] เจ้าแมวน้อยกับดอกกุหลาบแสนสวยของเขา ตอนที่ 2

猫咪的玫瑰
เจ้าแมวน้อยกับดอกกุหลาบแสนสวยของเขา

一十四洲 (อีสือซื่อโจว) เขียน
จิงจิง แปล
Caring Wong ภาพ

– โปรย –

การที่ถูกดีดออกจากยานหลักและติดอยู่ในหลุมดำ
ทำให้ตอนนี้สถานการณ์ของยานเขตหกตึงเครียดถึงขีดสุด
หลังจากหลินซือสลบไปเพราะถูกรังสีอันแรงกล้าจากหลุมดำ
พอฟื้นขึ้นมา ก็พบว่าเกิดเรื่องวิกฤติขึ้นแล้ว

เพราะร่างทดลองที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมร่างหนึ่งดันตื่นขึ้นมา
เดาว่าสาเหตุน่าจะเป็นเพราะรังสีจากหลุมดำที่ทำเขาสลบไปนั่นแหละ
แต่นอกจากจะไร้ความทรงจำ และมีท่าทางไม่เป็นมิตรแล้ว
หลิงอีก็ยังทำเขาไหล่หลุดอีกด้วย!

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

2

จากส่วนลึกที่สุดของกระแสวังวน (2)

 

ยิ่งเสียงเคาะดังขึ้นเรื่อย ๆ ความถี่ก็ยิ่งรัวเร็วมากขึ้นเช่นกัน

หลินซือพูดกับลูเซีย “เปิดโหมดคุ้มกันระดับหนึ่ง”

ยังไม่ทันขาดคำ เสียงแตกละเอียดอย่างรุนแรงก็ดังมาจากผนังอีกด้าน

“แคปซูลจำศีล…ถูกทำลายงั้นเหรอ” เซสขมวดคิ้วมุ่น

“อาจจะใช่” หลินซือหรี่ตา “รังสีฮอว์กิ้งทำให้เกิดการกลายพันธุ์ขั้นรุนแรง หวังว่าร่างทดลองจะยังพอมีสติหลงเหลืออยู่นะ”

แม้ว่าแคปซูลจำศีลที่ใช้บนยานอวกาศจะไม่อาจนับว่าแข็งแรงมากนัก แต่ก็ผลิตมาจากวัสดุที่ทนทาน ลำพังแค่พละกำลังของมนุษย์จึงยากที่จะเปิดออก

แสดงว่าร่างทดลองนั้นกลายพันธุ์ขั้นรุนแรงจนร่างกายแข็งแกร่งขึ้นมาภายในระยะเวลาสั้น ๆ และนี่ก็ ‘อันตรายขั้นสุด’ เหมือนที่ลูเซียคาดการณ์ไว้

ลูเซียแจ้ง “เปิดระบบคุ้มกันเรียบร้อย”

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขตหกได้ทำการทดลองดัดแปลงพันธุกรรมอยู่ตลอด ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ร่างทดลองสูญเสียการควบคุมพ้น ด้วยเหตุนี้จึงมีการติดตั้งระบบคุ้มกันในตัว แต่ถึงอย่างนั้น กองทัพก็ควบคุมการจัดสรรหุ่นยนต์และอาวุธร้ายแรงอย่างเข้มงวด ไม่มีทางจัดสรรให้กับเขตทดลองวิจัยทางวิทยาศาสตร์แน่ ดังนั้นประสิทธิภาพของระบบคุ้มกันนี้จึงจำกัดอยู่แค่การปิดล็อกประตูทางเข้า ดีดพื้นที่หลบภัยออก และเรียกเขตสามซึ่งเป็นเขตของกองทัพ

หลินซือหยิบยากล่อมประสาทชนิดรุนแรงหลอดหนึ่งออกมาจากห้องเย็น ดูดยาเข้ากระบอกเข็มฉีดยา สาวเท้าเดินไปที่หน้าประตูห้องทดลอง แล้วหันไปบอกคนอื่น ๆ “พวกคุณถอยไปก่อน”

“เอาไปแค่ยากล่อมประสาทจะไหวเหรอครับ ถ้าพลังจู่โจมแข็งแกร่งเกินไปจะทำยังไง” เด็กหนุ่มกังวลใจ

เห็นเพียงหลินซือกดปุ่มอะไรสักอย่าง ก่อนที่ช่องโลหะจะเด้งออกมาจากผนัง ด้านในบรรจุปืนพกสีเงินไว้หนึ่งกระบอกทว่ามองไม่ออกว่าเป็นรุ่นอะไร

เด็กหนุ่ม “…”

อาวุธร้ายแรงที่แอบซ่อนเอาไว้!

มิน่าล่ะ อาจารย์ที่ปรึกษาของพวกตนถึงเคยพูดเตือนว่า หลินซือคนนี้ แม้เป็นหัวหน้าเขตหกของพวกเรา แต่ทว่าก็เป็นบุคคลอันตรายอย่างแท้จริง เวลาปกติเลี่ยงได้ก็ขอให้เลี่ยงจะดีกว่า

หลินซือเดินมาหยุดตรงหน้าประตูเหล็ก หลังสแกนม่านตาผ่าน ประตูโลหะก็ค่อย ๆ เลื่อนเปิด

ทันทีที่ประตูเปิดออกความมืดมิดก็ปรากฏให้เห็นเป็นอันดับแรก จากนั้นลูเซียก็ช่วยเปิดไฟให้

สุสาน…นี่คือคำแรกที่เขานึกถึงตอนเห็นห้องเก็บชีวเคมีอันกว้างขวางและเงียบเชียบไร้ชีวิตชีวา

ผนังทั้งสี่ด้านเต็มไปด้วยตัวอย่างชีวภาพชนิดต่าง ๆ บนพื้นมีแคปซูลจำศีลวงรีสีเงินวางเรียงรายอยู่หลายร้อยอัน ส่วนใหญ่ภายในจะว่างเปล่า มีสัตว์เป็นส่วนน้อย นอกจากนี้ยังมีมนุษย์อีกสองสามคน

แคปซูลจำศีลหมายเลขเก้าสิบเจ็ดตั้งอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุด

หลินซือเดินเข้าไปใกล้ เสียงฝีเท้าสะท้อนดังก้อง

ปลายทางนั้นมืดสลัวเนื่องจากแสงไฟส่องสว่างไม่ทั่วถึง แคปซูลหมายเลขเก้าสิบเจ็ดถูกทำลายจนเปิดอ้า ของเหลวสีน้ำทะเลซึ่งเป็นตัวช่วยสำหรับการจำศีลไหลเจิ่งนองทั่วพื้น ด้านบนของแคปซูลถูกทำลายจนเป็นรูโหว่ พร้อมด้วยคราบเลือดที่เกรอะกรังอยู่ตามขอบ

และในตอนนั้นเอง มือข้างหนึ่งก็โผล่มาจับที่ขอบนั้น

นิ้วมือเรียวยาวทั้งห้าถูกขอบแคปซูลบาดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด

จากนั้นตามมาด้วยศีรษะดำขลับเปียกชื้น หัวไหล่มนเล็กบางขาวดุจหิมะ

ร่างกลายพันธุ์หยัดตัวลุกขึ้นจากแคปซูลจำศีล ของเหลวสีน้ำทะเลไหลลู่ลงมาตามเรือนกาย คล้ายเงือกหนุ่มในท้องทะเลที่ขึ้นมาเกยฝั่ง

หลินซือยกปืนพกขึ้น ชี้ไปทางร่างนั้นจากระยะไกลเพื่อป้องกันการจู่โจมกะทันหัน

“หลิงอี” เขาตะโกนเรียกชื่อร่างกลายพันธุ์

ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง

ข้างแคปซูลจำศีลคือข้อมูลทั้งหมดของร่างทดลอง

 

ชื่อ: หลิงอี

อายุทางสรีรวิทยา: 15

โปรเจ็กต์: limitless ระยะที่สอง

ความคืบหน้าการทดลอง: ล้มเหลว

 

ร่างกลายพันธุ์จ้องเขม็งมาที่หลินซือ นัยน์ตาสีดำทะมึนไร้อารมณ์ความรู้สึก กล้ามเนื้อหดเกร็งเล็กน้อย บ่งบอกถึงอาการระวังตัวและตั้งท่าเตรียมพร้อมอันเป็นสัญญาณโจมตีพื้นฐานของสัตว์ป่า

โชคยังดี แม้จะแสดงท่าทางพร้อมจู่โจมให้เห็นแต่ก็นับว่ายังมีสติ ไม่คลุ้มคลั่งใด ๆ

หลินซือลดปืนพกลงช้า ๆ พยายามใช้น้ำเสียงสุขุมอ่อนโยน “หลิงอี ฉันชื่อหลินซือ จำฉันได้ไหม”

หลิงอียืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟมืดสลัว แววตาไร้เศษเสี้ยวอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์พาดผ่าน

หลินซือถามต่อ “เข้าใจที่ฉันพูดไหม”

ยังคงไร้การตอบสนอง อย่าว่าแต่ขยับปากพูดเลย แม้แต่การพยักหน้าหรือส่ายศีรษะง่าย ๆ ก็ยังไม่มี

หลินซือเห็นดังนั้นก็ยอมแพ้ หยุดใช้วิธีการของมนุษย์ตอบโต้กับอีกฝ่าย เปลี่ยนมาเลือกใช้รูปแบบพฤติกรรมของสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่สุดแทน

หลินซือถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างระมัดระวัง หยุดยืนอยู่ท่ามกลางแคปซูลจำศีลที่วางเรียงรายแน่นขนัด พยายามไม่ให้รับรู้ถึงการมีอยู่ของตัวเองเพื่อเว้นระยะให้อีกฝ่ายรู้สึกปลอดภัย

ดังคาด หลังจากทำตัวนิ่งเงียบชั่วขณะ หลิงอีก็ยกขาข้ามแคปซูลจำศีลออกมายืนบนพื้น เท้าเหยียบเศษแก้วที่แตกกระจัดกระจายทั่วพื้น หยดน้ำไหลตามเรียวขาเล็กขาว แน่นอนว่าเศษกระจกต้องบาดฝ่าเท้าแสนนุ่มนิ่มนั้น แต่ทว่าหลิงอีกลับทำราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย

หลินซือเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

หลิงอีระวังตัวขึ้นทันทีเมื่อเห็นหลินซือ

“ฉันจะไม่ทำร้ายนาย” หลินซือยื่นมือไปหาอีกฝ่าย “มาสิ”

ขณะพูดก็ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาหลิงอีอย่างเชื่องช้า พร้อมสังเกตความเปลี่ยนแปลงผ่านสีหน้าหลิงอีในทุกย่างก้าว

ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หลิงอีตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดและระแวดระวังตัวไปทุกส่วน คล้ายแมวป่าตัวน้อยที่ถูกพบตรงมุมถนนตอนที่อยู่บนโลกมนุษย์ เมื่อคนแปลกหน้าประชิดใกล้ มันก็จะง้างกรงเล็บหมายจู่โจม หรือไม่ก็ร่นถอยหลังวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

ยังดีที่หลินซือพอจะมีความรู้เรื่องพฤติกรรมของสัตว์อยู่บ้าง รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะลดระดับความคุกคามในตัวเองให้เหลือน้อยที่สุด เห็นได้ชัดว่าสมัยเป็นนักศึกษา เขาน่าจะเข้าไปลูบคลำแมวป่าตามหัวมุมถนนเล่นได้ ถ้าหากเขาตั้งใจจะเข้าใกล้น่ะนะ

เขาค่อย ๆ ขยับเคลื่อนเข้าใกล้ทีละก้าว ขณะที่หลิงอียังคงยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่

ของเหลวสีน้ำทะเลระเหยไปอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสโดนมวลอากาศ เวลานี้ผมเผ้าของหลิงอีแห้งสนิทไปแล้วครึ่งหนึ่ง เส้นผมสีดำประบ่าดูหนานุ่มรับกับดวงตาทรงอัลมอนด์คู่สวย ร่างทั้งร่างให้ความรู้สึกงดงามดูลึกลับน่าค้นหา ซึ่งความงดงามนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเครื่องหน้าละเอียดลออ แต่ยังก่อให้เกิดความรู้สึกไกลตัวยากจะอธิบายเป็นคำพูด เสมือนโผล่มาจากห้วงทะเลลึก

หลิงอีคือผลการทดลองที่ล้มเหลวของหลินซือ ก่อนหน้านี้หลังจากผ่าตัดดัดแปลงพันธุกรรมเสร็จสิ้น ไม่ว่ากระตุ้นด้วยวิธีการใดก็ไม่อาจทำให้หลิงอีลืมตาตื่นขึ้นมาได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผลงานที่ล้มเหลวกลับฟื้นคืนสติจากการแผ่รังสีฮอว์กิ้งที่นำมาซึ่งการกลายพันธุ์โดยไม่ทราบสาเหตุ

การกลายพันธุ์ไม่อาจย้อนกลับ หลินซือจึงคาดหวังว่า การกลายพันธุ์โดยไม่ทราบสาเหตุและไม่อาจควบคุมได้นี้จะยังไม่กลืนกินสติปัญญาในฐานะมนุษย์ของหลิงอีไปจนหมด

เขายื่นมือไปข้างศีรษะร่างกลายพันธุ์ช้า ๆ นิ้วมือสัมผัสเส้นผมของอีกฝ่าย ขั้นต่อไปคือลูบเบา ๆ ให้เกิดความรู้สึกปลอบโยน

ตอนนั้นเองยานอวกาศก็สั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง

การสั่นสะเทือนนี้ทำเส้นประสาทที่รัดตึงของหลิงอีขาดสะบั้น ชั่วพริบตาก็พลิกข้อมือหลินซือ บิดไปข้างหลังด้วยความรุนแรง แทงเข่าโจมตีโคนขาหลังของหลินซืออย่างจัง ฝ่ามืออีกข้างก็ฉวยจังหวะออกแรงกดบังคับหลินซือให้ติดกับพื้น

พละกำลังหลิงอีมหาศาลยากจะหาอะไรเปรียบ หลินซือมั่นใจว่าได้ยินเสียงกระดูกข้อต่อบริเวณไหล่ขวาของตนเคลื่อนหลุดชัดเจน

หลินซือครางต่ำเสียงอู้อี้ พยายามข่มกลั้นความปวดหนึบที่ปะทุขึ้นมาในชั่วพริบตาสุดความสามารถ

โชคดีที่แรงสั่นสะเทือนดำเนินไปเพียงชั่วครู่ ไม่กี่สิบวินาทีต่อมาก็สงบลง

คนอื่น ๆ ที่เฝ้าระวังสถานการณ์อยู่ตลอดเวลาสาวเท้าวิ่งเข้ามาทันทีที่เห็นเหตุการณ์ แล้วตะโกนเรียก “ดอกเตอร์หลิน!”

หลินซือปรายตามองพวกเขา “…”

ในมือแต่ละคนมียาสลบ ปืน และมีดผ่าตัด ยังถือว่าปกติ แต่กลับมีเด็กหนุ่มสองคนที่พรวดพราดเข้ามาโดยไม่มีอาวุธติดมือ แต่กลับใช้ชั้นวางบีกเกอร์แทนอาวุธเสียอย่างนั้น

“อย่าเข้ามา ถอยไป” หลินซือออกคำสั่งเสียงเรียบ

เหล่าเด็กหนุ่มมองหลินซือด้วยแววตาลังเล สลับมองหลิงอีแวบหนึ่ง

หลินซือสัมผัสได้ถึงพละกำลังของหลิงอีที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นได้อย่างชัดเจน

ความปวดร้าวที่แล่นวาบขึ้นมาจากข้อต่อหัวไหล่ทำเอาร่างกายหลินซือสั่นสะท้าน เขาจึงพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เรียบนิ่ง “ถอยไป ออกไปจากห้อง ผมรับมือไหว”

เด็กหนุ่มทั้งห้าจึงยอมล่าถอยออกไป โดยทิ้งยาชากับปืนที่ถือมาไว้ให้ แล้วซ่อนตัวจับตาดูหลิงอีจากมุมใดมุมหนึ่ง

“ไม่ต้องกลัว” หลินซือหอบหายใจ ผ่อนคลายความเจ็บปวดจากร่างกายที่เครียดเกร็ง “เราเป็นเพื่อนเธอ”

ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถตั้งท่าต่อสู้ตรงตามมาตรฐานได้ขนาดนี้ แสดงว่ายังจดจำทักษะการขยับกล้ามเนื้อได้บ้าง แปลว่าคงไม่ได้สูญสิ้นสติปัญญาไปทั้งหมดแน่นอน

หลินซือใช้มือซ้ายข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บวางบนหน้าอก ถอนหายใจเฮือกแล้วตบเบา ๆ ตรงแขนของตนข้างที่ถูกหลิงอีบิด

“เด็กดี ปล่อยฉันก่อน หลิงอี หลิงหลิง…”

แรงกดบริเวณบ่าคลายลงเล็กน้อย

หลินซือคว้ามืออีกฝ่าย ยกออกแผ่วเบา โชคดีว่าหลิงอีไม่คิดต่อต้าน ในที่สุดหลินซือก็หลุดจากพันธนาการเสียที ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้น ขยับเคลื่อนกายเข้าใกล้

หลิงอีลดการระวังตัวไปแล้วส่วนหนึ่ง หากแต่นัยน์ตาคู่สวยยังคงมองจ้องหลินซือไม่วางตา

“มากับฉันนะ ฉันจะพาเธอไปตรวจเอง” หลินซือพยายามใช้น้ำเสียงอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอ่ยตะล่อมหลิงอีคล้ายปลอบประโลมเด็กน้อย

ชั่วขณะต่อมา ความลังเลใจปรากฏชัดบนใบหน้า หลิงอีขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าไร้เลือดฝาด ร่างทั้งร่างสั่นเทาอย่างรุนแรง

เรียวขาสองข้างไม่อาจทรงตัวยืนไหว หลิงอีโอนเอนล้มพับไปข้างหน้า ฟุบเข้าสู่อ้อมอกหลินซือพอดิบพอดี

หลินซือสัมผัสได้ถึงความสั่นเทารุนแรงจากตัวหลิงอี จึงเอื้อมมือซ้ายไปแตะบริเวณลำคอ ชีพจรเต้นรัวกระหน่ำ ซึ่งมันเร็วเกินกว่าอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจมนุษย์

เขาตระกองกอดหลิงอีไว้ แล้วตบไหล่ของอีกฝ่ายสักพัก

ส่วนหลิงอีก็ใช้เรียวแขนโอบรัดหลินซือแน่น หลับตาสนิท แพขนตายาวหนาสั่นไหว พยายามกดศีรษะซุกหน้าอกหลินซือสุดชีวิต

ในที่สุดหลิงอีก็เปล่งคำภาษามนุษย์ออกมาเป็นครั้งแรก

“เจ็บ…”

ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้หลินซือสั่งการอะไร เด็กหนุ่มเหล่านั้นสองคนมาช่วยพยุง ที่เหลือก็ไปเปิดเครื่องตรวจร่างกายในห้องทดลอง ส่วนเซสไปเตรียมอุปกรณ์การแพทย์ หลินซือหัวไหล่หลุดแค่หนึ่งข้าง เคราะห์ดีที่สถานการณ์ไม่ได้แย่ไปกว่านี้

ลูเซียเข้าควบคุมแคปซูลรักษาพยาบาลเพื่อดำเนินการตรวจร่างกายได้สำเร็จ ทว่ามือข้างหนึ่งของหลิงอีกลับคว้าจับหลินซือไว้แน่น พานให้เด็กหนุ่มสองสามคนต้องออกแรงอย่างหนักในการแยกพวกเขาออกจากกัน

เซสช่วยหลินซือปฐมพยาบาลแขนขวา ส่วนหลินซือก็อ่านข้อมูลต่าง ๆ ของหลิงอีบนหน้าจอด้วยใจจดจ่อ

“กลายพันธุ์ขั้นสูง เตรียมเก็บตัวอย่างไปวิเคราะห์ด้วย” หลินซือคลึงขมับ “ปฏิกิริยาตอบสนองต่อการปรับตัวรุนแรงมาก หวังว่าเขาจะมีชีวิตรอดแล้วกัน”

เด็กหนุ่มหลายคนที่ไม่เคยเข้าร่วมโปรเจ็กต์ของหลินซือมาก่อน ขณะนี้ได้ยื่นขอข้อมูลจากลูเซีย และกำลังเรียนรู้ขั้นตอนติดตามการทดลองดัดแปลงพันธุกรรมมนุษย์เพิ่มเติม ท่าทางดูน่าไว้วางใจอย่างยิ่ง

หลินซือมอบหมายให้พวกเขาทำเรื่องนี้ ก่อนจะไปตรวจสอบสถานะขับเคลื่อนของยานอวกาศ

ลูเซียเป็นเพียงระบบที่ยังอยู่ระหว่างการทดสอบ จึงไม่ทันได้ฝึกซ้อมขับเคลื่อนยานอวกาศในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน กระนั้นเธอกลับแสดงความสามารถด้านการนำทางได้อย่างยอดเยี่ยม จากการวิเคราะห์โครงสร้างหลุมดำโดยสนามโน้มถ่วง[1]และโมเมนตัมเชิงมุม[2] นอกจากแรงสั่นสะเทือนชั่วครั้งชั่วคราวแล้ว ยานอวกาศก็ทรงตัวอย่างปลอดภัยไปตลอดเส้นทาง

 

เวลาล่วงเลยมาแล้วสามวัน ขณะที่การเดินทางดำเนินไปอย่างมั่นคง อาการหลิงอีกลับย่ำแย่

มองเผิน ๆ จากภายนอก ร่างกายหลิงอีไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ องค์ประกอบเครื่องหน้างดงาม เรือนกายอ่อนเยาว์ กล้ามเนื้อบางสวยรางเลือน หากแต่ภายในร่างกายนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน

ทันทีที่ได้รับผลตรวจของวันนี้มา หลินซือก็ขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย แล้วส่งต่อให้เซส “คุณดูนี่”

หนึ่งในภาควิชาเฉพาะทางของเซสคือมานุษยวิทยา เซสรับเอากระดาษสองสามแผ่นนั้นกลับมาดู หลังเปรียบเทียบกับผลการตรวจบรรดาร่างทดลองของหลินซือในแต่ละครั้งที่ผ่านมาก็ได้แต่ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น “อย่าว่าแต่เนื้อเยื่อเลย ขนาดโครงสร้างเซลล์ยังเปลี่ยนไปด้วย ถ้าว่ากันตามหลักการแล้ว มันยากจะนับว่าเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง”

แม้ว่าหลิงอีจะนอนหลับใหลอยู่ตลอดเวลา แต่ทุกชั่วขณะร่างกายกลับเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง ระหว่างนั้นยังเกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อการปรับตัวอย่างรุนแรง ถึงขั้นอวัยวะล้มเหลวไปหลายหน ทว่าสุดท้ายหลิงอีก็หอบหิ้วชีวิตกลับมาได้อีกครั้งราวกับปาฏิหาริย์

ร่างกายหลิงอีไวต่อสิ่งแปลกปลอมเป็นพิเศษ การฉีดของเหลวบรรเทาปฏิกิริยาตอบสนองต่อการปรับตัวจึงไม่เป็นผลใด ๆ อย่างสิ้นเชิง กลับยิ่งทำให้เกิดการตอบสนองรุนแรงมากขึ้น แม้แต่อาหารเหลวสำหรับหล่อเลี้ยงชีวิตก็ใช้การไม่ได้เช่นกัน

“พลังชีวิตกล้าแข็งมาก” หลินซือหยุดยืนข้างเตียง มุมปากยกโค้งเล็กน้อย “แต่ถ้ายังไม่ฟื้นขึ้นมาอีก เกรงว่าคงจะหิวตายไปซะก่อน”

เขาตบผิวแก้มเนียนนุ่มนั้นเบา ๆ

“กินข้าวได้แล้ว”

แพขนตาของหลิงอีสั่นไหว ก่อนที่ดวงตาจะปรือปรอยขึ้นมาช้า ๆ

เซสถึงกับร้องเสียงสูงแทรกขึ้น “ท่านพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่มหัศจรรย์พันลึก ท่านพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ช่างน่าเกรงกลัวเหลือเกิน”

ท่าทางหลิงอีสงบนิ่งกว่าตอนฟื้นคืนสติเป็นครั้งแรก แต่พอเหลือบไปเห็นหลินซือก็ระแวดระวังขึ้นมาทันที หลิงอีกระโจนตัวถอยห่างอย่างรวดเร็ว ลุกขึ้นนั่งกอดหมอน แล้วฝังตัวแนบติดกับผนังข้างเตียง

หลินซือมองเจ้าสิ่งเล็ก ๆ ที่นอนบนเตียงของเขา สวมใส่เสื้อผ้าของเขา มิหนำซ้ำยังจ้องมองเขาด้วยสายตามุ่งร้ายระคนหวั่นกลัวเต็มเปี่ยม ก่อนสบถ “ชิ” แล้วถามเซส “อาการดูแปลก ๆ เขาเป็นอะไรไป”

“ถ้าวิเคราะห์ตามลักษณะนิสัยของสัตว์ เขาอาจเชื่อมโยงคุณกับความเจ็บปวดที่ทำให้ตัวเองหมดสติเข้าด้วยกัน”

หลินซือคลี่ยิ้มร้าย

แล้วหยิบหลอดบรรจุสารอาหารที่กินได้ออกมาหนึ่งหลอด ดึงเปิด ก่อนนำส่วนที่ใช้สำหรับดูดสารอาหารใส่ปากตัวเองต่อหน้าต่อตาหลิงอี งับมันไว้แล้วดูดไปสองสามคำ จากนั้นค่อยถามหลิงอี “หิวไหม”

หลิงอีฟังเข้าใจหรือเปล่าไม่รู้ แต่อย่างน้อยจากท่าทีของหลินซือก็พอมองออกว่า นี่คือการกินอาหาร สายตาเขาจับจ้องอยู่ที่หลอดสารอาหาร ว่ากันตามหลักแล้ว ตอนนี้หลิงอีคงหิวโหยมาก

หลังผ่านการสู้รบทางจิตใจมาแล้วรอบหนึ่ง หลิงอีจึงยอมอ้าปากรับส่วนที่ใช้ดูดสารอาหารที่หลินซือยื่นให้แต่โดยดี

กลีบปากนิ่มสีแดงสดงับเอาไว้แล้วดูดกินสารอาหารเหลวสีขาวเข้าไป

เสี้ยววินาทีต่อมาก็พ่นอาหารเหลวและส่วนที่ใช้ดูดออกมา

หลิงอีมีสีหน้าย่ำแย่มาก ไอโขลกหลายต่อหลายครั้ง อาเจียนอยู่สองสามที ใบหน้าเริ่มซีดขาว

หลินซือเลิกคิ้ว “เขาเป็นอะไรไปอีก”

เซสมีท่าทางจริงจัง “ดอกเตอร์ ผมคิดว่านี่ไม่ใช่ปฏิกิริยาทางกายภาพแล้วละ สำหรับคนที่เคยใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์จนเคยชิน สารอาหารเหลวมันกินยากมากจริง ๆ ยังไงก็ไม่มีทางรับไหว แต่ผมขอเดาว่า เขาน่าจะคิดว่าคุณแอบวางยาพิษเขา”

หลินซือ “…เอ่อ”

เห็นเพียงเจ้าเด็กหน้าสวยนั่นแหงนศีรษะขึ้นมา จ้องมองหลินซือเขม็งด้วยแววตาเหี้ยมโหด แม้แต่ขอบตายังแดงก่ำไปด้วยความกรุ่นโกรธ

 

 

[1] บริเวณที่แรงดึงดูดกระทำต่อวัตถุ

[2] มวลและความเร็วที่กระทำต่อวัตถุซึ่งเคลื่อนที่ในแกนหมุน

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า