猫咪的玫瑰
เจ้าแมวน้อยกับดอกกุหลาบแสนสวยของเขา
一十四洲 (อีสือซื่อโจว) เขียน
จิงจิง แปล
Caring Wong ภาพ
– โปรย –
การที่ถูกดีดออกจากยานหลักและติดอยู่ในหลุมดำ
ทำให้ตอนนี้สถานการณ์ของยานเขตหกตึงเครียดถึงขีดสุด
หลังจากหลินซือสลบไปเพราะถูกรังสีอันแรงกล้าจากหลุมดำ
พอฟื้นขึ้นมา ก็พบว่าเกิดเรื่องวิกฤติขึ้นแล้ว
เพราะร่างทดลองที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมร่างหนึ่งดันตื่นขึ้นมา
เดาว่าสาเหตุน่าจะเป็นเพราะรังสีจากหลุมดำที่ทำเขาสลบไปนั่นแหละ
แต่นอกจากจะไร้ความทรงจำ และมีท่าทางไม่เป็นมิตรแล้ว
หลิงอีก็ยังทำเขาไหล่หลุดอีกด้วย!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
5
สู่ดาวแม่อันไกลโพ้น (1)
ขณะนั้นหลิงอีบังเอิญผ่านโถงทางเดินมาพอดี เพราะความสามารถทางการได้ยินที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปเท่าทวีคูณ หลิงอีจึงได้ยินบทสนทนาระหว่างเซสกับหลินซือชัดเจนเป็นธรรมดา
เขาเกาะขอบประตูแล้วตะโกนขึ้นมาเสียงใสประโยคหนึ่ง “หลินซือเป็นคนไม่ดี!”
หลินซือหมุนตัวไปมองเขา ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นึกค่อนขอดในใจว่า เจ้าเด็กนี่นับวันยิ่งกำเริบเสิบสานใหญ่โต
หลิงอีกลัวสีหน้าเช่นนี้ของหลินซือเป็นที่สุด จึงวิ่งปรู๊ดหายเข้ากลีบเมฆไป
ขั้นตอนการเชื่อมต่อเป็นไปอย่างราบรื่น มีแค่ระดับความเสียหายของเขตหกค่อนข้างสูงเกินไป เกราะหุ้มภายนอกชำรุดและบุบสลาย ดูไม่เข้ากับยานหลักเท่าไรนัก
ประตูยานเปิดออก เจิ้งซูสาวเท้าวิ่งเข้ามาสวมกอดหลินซือ “ยินดีต้อนรับกลับมา”
หลินซือว่า “ความเสียหายระดับเจ็ด ต่อไปนายงานหนักแน่”
“พวกนายไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนอื่น…” เจิ้งซูกวาดสายตามองบรรดาเด็กหนุ่ม นับจำนวนคนสักพัก “กลับมากันหมดเลย ปาฏิหาริย์มากจริง ๆ”
สีหน้าหลินซือพลันฉายแววผิดธรรมชาติขึ้นมาชั่วขณะ “…ที่จริงมีเพิ่มมาอีกคน”
เจิ้งซู “ฮะ?”
“เด็กในแคปซูลหมายเลขเก้าสิบเจ็ดฟื้นแล้ว” หลินซือนวดคลึงหัวคิ้ว “แถมยังเกิดการกลายพันธุ์ขั้นสูง จำอะไรไม่ได้สักอย่าง เป็นอะไรที่ยุ่งยากมาก และยังไม่เหมาะที่จะส่งมอบให้กองทัพในตอนนี้ ฉันคงต้องไปขอสิทธิ์ดูแลกับจอมพลเอสยอร์ช”
ไม่ทันสิ้นคำ เสียงหวีดแหลมก็ดังโพล่งขึ้นมาจากด้านหลังเจิ้งซู
“คุณหลิน!” ผู้ช่วยสาวผมทองพุ่งเข้ามากอดเขาเต็มรัก “พระเจ้าคุ้มครอง!”
กอดหลินซือเสร็จก็หันไปมองหลิงอี
“หนูน้อยน่ารักแสนฉลาดของฉัน” เธอมองหลิงอีด้วยสายตาหลงใหล “หนูฟื้นแล้ว ตอนแรกเราพยายามใช้สารพัดวิธีกระตุ้น แต่หนูก็ไม่ยอมฟื้นเลย”
หลิงอีตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อยขณะมองหญิงสาวตรงหน้าที่แสดงความกระตือรือร้นเกินเหตุ
“ผมจะไปส่งสมุดปูมเดินทาง” หลินซือจัดเรียงข้อมูลเสร็จ แล้วบอกกับผู้ช่วย “บิดดี้ คุณพาเขาไปตรวจร่างกายทีนะ”
“ค่ะ” บิดดี้จูงมือหลิงอี “หนูน้อยน่ารัก ตามฉันมาจ้ะ”
หลิงอีไม่ค่อยคุ้นเคยกับพวกเขา แม้ว่าในใจจะรู้สึกไม่ชอบ แต่ก็อดชำเลืองมองหลินซือผู้ซึ่งคุ้นเคยเพียงหนึ่งเดียวไม่ได้
หลินซือลูบศีรษะเขา “เชื่อฟังเธอ ตรวจเสร็จฉันจะไปรับนาย”
ร่างทดลองทุกร่างหลังประสบความสำเร็จในการทดลอง จะต้องทำการประเมินละเอียดยิบหลากหลายขั้นตอน ตั้งแต่ระดับประสาทสัมผัส ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ตลอดจนความเร็วในการตอบสนองของเส้นประสาท แม้กระทั่งจำนวนเซลล์ประสาท ทั้งที่ปกติข้อมูลเหล่านี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการตรวจสอบแต่อย่างใด
หนึ่งในการทดสอบจำนวนมากนี้จำต้องใช้อุปกรณ์ที่แม่นยำและมีความยุ่งยากขั้นสูง และนี่ไม่ใช่ขอบเขตงานของหลินซือ แต่ทว่าเป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของผู้ช่วยอย่างบิดดี้ ฉะนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาหลินซือจึงไม่เคยลงมือทำเลย
ขั้นตอนส่งมอบทั้งเยอะแยะทั้งซับซ้อน จากนั้นก็ต้องรายงานความเสียหายไปยังเขตสองที่รับหน้าที่ดูแลวางแผนงานวัสดุ เพื่อทำเรื่องยื่นขอเครื่องมือทดลอง อุปกรณ์ ข้อมูลใหม่ นอกจากนี้หลินซือยังต้องไปเผชิญหน้าคำแสดงความยินดีจากเพื่อนร่วมงานมากมายเนื่องจากหนีเอาชีวิตรอดมาได้ กว่าจะจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จ บิดดี้ก็พาหลิงอีออกมาจากห้องทดลองแล้ว
เจ้าสิ่งเล็ก ๆ ขอบตาแดงก่ำอย่างตัดพ้อ เมื่อเห็นหลินซือก็รีบเบะปากใส่ทันที
“เธอแทงผม…”
คราวนี้ไม่หลงเหลือความเคียดแค้นอีกต่อไป เพราะรู้แล้วว่าใครคือผู้ปกครอง อันที่จริงการทดสอบต้องมีขั้นตอนแหย่โพรบ[1]จำนวนมากมาย พอเปรียบเทียบเจ้าสิ่งนี้กับตอนที่เจาะเลือดบนยานอวกาศ การเจาะเลือดดูจิ๊บจ๊อยไปเลย
เขาพยายามเหลือบมองหลินซือ เห็นหลินซือไม่ได้ทำสีหน้าดุดัน กระทั่งสาวเท้าสองสามก้าวเข้ามาหาตนเอง หยาดน้ำตาก็ร่วงเผาะ สลัดมือบิดดี้ทิ้ง โผเข้าสู่อ้อมอกหลินซือแล้วปล่อยโฮ
หลอดลมของเด็กน้อยยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่นัก จึงทำให้สะอึกสะอื้นเวลาร้องไห้ “คะ…คุณส่งผม…หะ…ให้ผู้หญิงนิสัยไม่ดี…”
หลินซือไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี ยื่นมือไปลูบตามสันหลังเด็กน้อยเป็นพัก ๆ เพราะกลัวจะหอบหายใจไม่ทัน จากนั้นค่อยผละตัวออกมา
บิดดี้มองหลิงอีด้วยสายตาเอ็นดู “เด็กดีจริง ๆ แหม”
ทว่าหลังจากนั้นก็เปลี่ยนสีหน้ากลายเป็นเคร่งขรึมทันที ก่อนจะส่งผลการทดสอบให้กับหลินซือ “คุณหลิน ผลลัพธ์น่าตกใจเกินกว่าที่จินตนาการไว้มาก กองทัพต้องเป็นบ้าเพราะเรื่องนี้แน่”
เสียงอุปกรณ์สื่อสารบนข้อมือหลินซือดัง ติ๊ง! จอฮอโลแกรมฉายภาพผลการทดสอบ โดยจะเลื่อนอัตโนมัติไปทีละหน้า
แม้ว่าจะเตรียมรับมือมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่กระนั้นก็ยังมีข้อมูลบางส่วนที่เหนือความคาดการณ์ของหลินซือ
“บางส่วนยังไม่มีข้อมูล โครงสร้างเซลล์มีการกลายสภาพ ทำให้เครื่องมือของเราตรวจสอบไม่ได้” บิดดี้กล่าว “คุณหลิน คุณเคยจินตนาการถึงขีดจำกัดของมนุษย์บ้างไหม ถ้าพวกเราเลียนแบบการกลายพันธุ์นี้ออกมา…”
“ยาก” หลินซือกล่าว “กระบวนการกลายพันธุ์ของเขาแทบจะเสร็จสิ้นในชั่วพริบตา จากนั้นก็มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการปรับตัวอย่างรุนแรง พวกเราไม่มีทางดัดแปลงพันธุกรรมเสร็จสิ้นภายในระยะเวลาสั้น ๆ แบบนั้นได้หรอก”
การดัดแปลงดีเอ็นเอก็เหมือนผูกโซ่ตรวนแล้วเต้นรำอยู่บนปลายเข็ม[2] เมื่อสารพันธุกรรมขาดสะบั้นอย่างไม่ปกติ การรวมตัวของโปรตีนจะหยุดชะงัก ถ้าหากเอนไซม์สำคัญไม่เพียงพอต่อความต้องการ เซลล์จะตายไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้ารักษาลำดับความสำคัญไว้…” หลินซือขมวดคิ้วน้อย ๆ “แต่อันดับแรกต้องให้กองทัพอนุมัติโปรเจ็กต์ limitless ระยะที่สามก่อน”
“นี่คือผลงานศิลปะที่หลุมดำสรรค์สร้างขึ้น” บิดดี้เหลือบมองหลิงอี เอ่ยอย่างชื่นชม “แต่เขาดูเหมือนเทวดาตัวน้อย ๆ”
เทวดาตัวน้อย ๆ ที่ว่ายังคงร้องไห้ไม่หยุด ร้องจนเหนื่อยหอบ
บิดดี้ส่ายศีรษะยิ้ม ๆ “อายุจิตใจเขาประมาณกี่ปี เดี๋ยวฉันไปหาแอดิเลดแล้วขอให้เขาช่วยดูหน่อยก็ได้”
“ไม่เป็นไร” หลินซือตบแผ่นหลังหลิงอีเบา ๆ “จนถึงตอนนี้ ยีนของเขายังกลายพันธุ์ไม่หยุดเลย สมองก็พัฒนาขึ้นทุกวัน”
“กองทัพต้องอนุมัติโปรเจ็กต์ระยะที่สามแน่นอน จากอุบัติเหตุการกลายพันธุ์ครั้งนี้ ทำให้พวกเรามีความหวังมากขึ้น”
“พวกเขาไม่ทำหรอก” น้ำเสียงหลินซือราบเรียบ แล้วดันหลิงอีออกจากอ้อมอก “เราแยกกันสักพักนะ”
หลิงอีส่ายศีรษะสุดแรง พูดกระท่อนกระแท่น “ผะ…ผมกลัว”
หลินซือเลิกคิ้ว “ได้ยินเรื่องที่พวกเรากำลังพูดหรือเปล่า”
หลิงอีพยักหน้า
“นายค่อนข้างพิเศษ” หลินซือเชยปลายคางเขา ใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ “ถ้านายปฏิเสธไม่ยอมให้เจาะเลือด งั้นฉันคงต้องผ่าตัดนายแล้วละ”
เด็กน้อยตกใจ ถึงขั้นลืมร้องไห้
“มีแต่ผู้ปกครองที่ขาดประสบการณ์เท่านั้นแหละถึงทำเด็กน้อยตกใจกลัวแบบนี้” บิดดี้ส่ายหน้ายิ้ม ๆ “มานี่มาที่รัก ฉันจะพาเธอไปกินของอร่อย ๆ พวกเราไม่ทำร้ายเธอหรอก”
หลิงอีถูกบิดดี้ลากไป เดินได้หนึ่งก้าวไม่วายเหลียวหลังกลับมามองถึงสามหน
หลินซือยืนอยู่ที่เดิม ยังคงดูผลการทดสอบอยู่
หลิงอีมีความสามารถทางกายภาพเหนือจินตนาการ ทว่าเขาไม่รู้ตัว แถมยังใช้ไม่เป็น มีเพียงตอนที่เพิ่งฟื้นแล้วสติหลุดไป จึงเผลอใช้มันออกมา
เขาต้องได้รับการฝึกฝนเฉพาะทางอีกเยอะ แต่ไม่ควรมอบหมายให้ทางกองทัพไปเสียหมด กองทัพคงเห็นเขาเป็นเพียงอาวุธมนุษย์ ฝึกฝนให้กลายเป็นสัตว์ประหลาด นอกจากนี้เขตหกยังต้องการทำวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับการกลายพันธุ์ของเขาเช่นกัน…
หลินซือสัมผัสตัวเลือกส่งข้อความบนอุปกรณ์สื่อสาร จอฮอโลแกรมจึงปรากฏข้อความแจ้งเตือนขึ้นมา ‘จอมพลเอสยอร์ชเขตสามได้รับเรียบร้อย’ เขากดอีกสองสามครั้ง ปิดอุปกรณ์สื่อสาร แล้วเดินไปยังสะพานสายรุ้งซึ่งเป็นเส้นทางนำไปสู่เขตสาม
หลินซือมาถึงหน่วยบัญชาการสูงสุดที่อยู่ใจกลางเขตสาม เคาะประตูสองครั้ง ก่อนจะได้ยินเสียงทรงพลังหนักแน่นดังมาจากข้างใน “เข้ามา”
เจ้าของเสียง จอมพลเอสยอร์ชท่านนี้อายุห้าสิบเจ็ดปี มีผมสั้นและหนวดเคราสีเทาเงินดูแข็งแกร่ง เครื่องหน้าคมเข้มดุดัน รูปร่างสูงใหญ่ สวมเครื่องแบบทหารสีดำทั้งตัว นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ พร้อมไล่สายตาอ่านข้อมูลเหล่านั้น
จอมพลเอสยอร์ชช้อนนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาขึ้น “ผมดีใจที่คุณรอดกลับมาได้ แต่ถ้าคุณยังจะยืนหยัดทำโปรเจ็กต์ทดลองโง่งมนั่นต่อ ผมขอแนะนำให้คุณไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้”
“ผมมีข้อสงสัยมาตลอดครับ ท่านจอมพล” หลินซือพูดเนิบช้า “อะไรที่ทำให้คุณอคติกับ ‘limitless’ นักเหรอครับ”
“ผมไม่ได้อคติ” จอมพลเอสยอร์ชใช้ข้อนิ้วชี้เคาะลงบนโต๊ะ “ผมคาดหวังให้คุณอุทิศตัวเองเพื่อโปรเจ็กต์ที่มีประโยชน์เชิงปฏิบัติกับพวกเรามากกว่า อย่างเช่น สนามพลังลุนดิสของเขตหนึ่ง ระบบปฏิบัติการลูเซียและเครื่องจักรเซลล์ประสาทชีวภาพของเขตห้า หลินซือ ผมเองก็ข้องใจเหมือนกัน ทำไมคุณถึงไม่มุ่งความสนใจไปด้านอื่นบ้าง”
“ตอนนี้พวกเรายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดาวเคราะห์ปลายทางด้วยซ้ำ คิดแต่ว่ามันอาศัยอยู่ได้จากหลักทฤษฎี ไม่รู้กระทั่งว่าที่แห่งนั้นมีสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมอยู่หรือเปล่า” หลินซือว่า “เขตอื่นสร้างอาวุธได้มากมาย พัฒนาวัสดุสำหรับพื้นที่หลบภัยได้ แต่เขตหกไม่รู้อะไรเกี่ยวกับปฏิกิริยานิวเคลียร์และเครื่องจักรกลสักอย่าง พวกเราทำได้แค่พัฒนาความแข็งแกร่งของมนุษย์”
หลินซือสบตาจอมพลเอสยอร์ช
“สภาพแวดล้อมของที่นั่นมนุษย์อาจจะอยู่รอดยาก และอาจจะมีไวรัสที่ระบบภูมิคุ้มกันของเราไม่สามารถรับมือได้ สุดท้ายไม่ว่ายังไง อาวุธสังหารขั้นสูงของเขตห้าก็ใช้งานได้ยากมาก ทหารทั่วไปไม่มีทางทำให้มันบรรลุประสิทธิผลที่ยอดเยี่ยมที่สุดได้หรอก ถึงผมไม่อยู่ แต่ร่างทดลองชุดที่สองก็น่าจะเข้ารับการตรวจเลือกทหารกับกองทัพไปได้หลายวันแล้ว ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะไม่เห็นข้อได้เปรียบของพวกเขา”
“ผมยอมรับข้อได้เปรียบของพวกเขา แต่คุณต้องหยุด!” น้ำเสียงของจอมพลเอสยอร์ชเข้มขึ้นชัดเจน “เขตวิจัยทางวิทยาศาสตร์อื่น ๆ ต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือก็เพื่อความศิวิไลซ์ทางวิทยาการเทคโนโลยีของพวกเรา แต่คุณ…คุณมันก้าวข้ามหลักจริยธรรมเกินไปแล้ว!”
หลินซือชี้ผลข้อมูลทดสอบของหลิงอี
“ไหนคุณลองบอกผมซิ เขายังนับเป็นมนุษย์อยู่ไหม เทียบกับ limitless แล้ว อันที่จริงผมอยากวิจัยไวรัสมากกว่า แต่น่าเสียดาย ท่านจอมพลไม่อนุญาตให้ผมแตะต้องโปรเจ็กต์เกี่ยวกับไวรัสและทุกอย่างตั้งแต่แรก” หลินซือพูดเน้นทีละประโยค “คุณน่ะไม่ได้ปฏิเสธความก้าวหน้าทางพันธุกรรมมนุษย์หรอก ไม่ใช่เพราะความดื้อรั้นด้วย คุณแค่ไม่ไว้ใจในตัวผม คุณมักสงสัยว่าผมลักลอบวางแผนทรยศ พยายามสร้างกองกำลังมนุษย์กลายพันธุ์ หรือปล่อยไวรัส ท่านจอมพล บางทีคุณอาจจะคิดมากเกินไปนะ ผมก็แค่หมอคนหนึ่ง”
“หมอที่เคยใช้ปืนนิวเคลียร์เล็งแผงควบคุมหลักของยานอวกาศน่ะเหรอ” จอมพลยิ้มเยาะ “ต้องให้ผมเล่นวิดีโอเมื่อร้อยกว่าปีก่อนอีกสักรอบไหม”
“แต่สุดท้ายผมก็วางมันลง แล้วเลือกที่จะโดนแช่แข็ง” หลินซือกล่าว “ผมยังคิดว่าผมเป็นหมอที่มีจรรยาบรรณ ต่อให้คนที่นอนอยู่บนเตียงผ่าตัดเป็นคู่อริของผม ผมก็จะไม่จงใจทิ้งมีดผ่าตัดไว้ในท้องเขาเด็ดขาด”
เขากล่าวต่อ “ผมไม่เอาหนังสืออนุมัติโปรเจ็กต์ระยะที่สามแล้วก็ได้ แต่ผมต้องการสิทธิ์เลี้ยงดูเด็กคนนี้”
“เขาอันตรายเกินไป” จอมพลกล่าว
“เขาไม่อันตรายสักนิด”
“พอผมมอบสิทธิ์เลี้ยงดูจากกองทัพให้คุณถึงมือ จากนั้นคุณค่อยวิจัยร่างกายเขาต่อ ใช้พันธุกรรมเขามาทำข้อมูลต้นฉบับ แล้วแอบดำเนินโปรเจ็กต์ระยะสามของคุณอย่างลับ ๆ งั้นสิ” จอมพลกดเสียงต่ำเจือโทสะ
“อย่างน้อยผมก็ฝึกให้เขาเป็นคน แต่กองทัพคงรู้จักแค่การฝึกฝนให้เขากลายเป็นมนุษย์เครื่องจักรสังหาร”
“ขอโทษที่ผมไม่สามารถเชื่อใจคุณได้ คุณคงจะถ่ายทอดความแค้นที่มีต่อวอยเอเจอร์ให้เขา ซึ่งพลังทำลายล้างของเขารุนแรงเกินไป”
“ทำไมผมต้องแค้นวอยเอเจอร์” หลินซือโน้มตัวเข้าใกล้ท่านจอมพล เว้นจังหวะพูดทีละคำ “ท่านจอมพล หรือคุณลืมเรื่องที่ตัวเองทำลงไปแล้ว”
“ระวังคำพูดคุณด้วย ดอกเตอร์หลิน” จอมพลเอสยอร์ชกดมือลงกับปืนพกสีดำบนโต๊ะ
เสียงฝีเท้าอันเร่งรีบดังสะท้อนในระยะใกล้จนถึงไกล[3] ก่อนจะมีคนเปิดประตูห้องทำงานเข้ามา
“ฉันเคยบอกกี่ครั้งกี่หนแล้ว พวกคุณสองคนห้ามพบกันตามลำพังโดยไม่มีฉันอยู่ด้วย!”
ผู้มาใหม่คือคุณนายเฉิน อำนาจบนยานอวกาศเทียบเท่าจอมพลเอสยอร์ช ผมเผ้าของเธอยุ่งเหยิงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเร่งรีบวิ่งมา หลังเห็นบรรยากาศราวชักดาบง้างธนู[4]ของคนทั้งสอง น้ำเสียงก็แฝงความกรุ่นโกรธบางเบา “ครั้งที่แล้วก็แบบนี้ พวกคุณสองคนเก็บดาบระงับอารมณ์กันหน่อยเป็นไหม”
หลินซือยืดตัวยืนตรง “ท่านจอมพลมีอคติกับผม”
จอมพลว่า “ความผิดพลาดครั้งใหญ่ของผมคือการอนุญาตให้ละลายน้ำแข็งเขาเมื่อห้าปีก่อน”
แม้แต่คุณนายเฉินที่ควบคุมอารมณ์เก่งที่สุดก็ยังเหลืออด “ฉันอยากให้พวกคุณแก้ไขความเข้าใจผิดกับอคติที่มีต่อกัน แล้วพูดคุยกันอย่างใจเย็น”
“ผมลองแล้ว” หลินซือยักไหล่ “ผมไม่คาดหวังให้ท่านจอมพลอนุมัติโปรเจ็กต์ระยะที่สามของผมแล้ว แค่อยากขอสิทธิ์ดูแลร่างทดลองกลายพันธุ์ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะแก้เหงาตอนไม่มีโปรเจ็กต์ไปพลาง ๆ แต่ท่านจอมพลเอาแต่คิดว่าผมลักลอบวางแผนทรยศไม่เลิก”
“พอแล้ว” คุณนายเฉินส่ายศีรษะ “เอสยอร์ช มอบอำนาจดูแลเรื่องนี้ให้ฉัน ฉันจะตัดสินใจเอง หลินซือ ส่วนคุณก็ส่งข้อมูลมา”
“ขอบคุณครับคุณนาย” หลินซือเปิดอุปกรณ์สื่อสาร สิ่งที่เด้งขึ้นมาเป็นอันดับแรกคือข้อความ ‘ค่ะ’ ของบิดดี้ โดยข้อความที่เขาส่งไปก่อนหน้านี้คือ ‘บอกคุณนายเฉินว่าผมไปเขตสาม’
เขากระตุกยิ้มมุมปากเบา ๆ ก่อนส่งข้อมูลให้คุณนายเฉิน จากนั้นจึงเอ่ย “ผมขอตัวก่อน คุณนายครับ ผมไม่สามารถหายใจร่วมห้องกับท่านจอมพลได้นานนัก”
คุณนายเฉินพยักหน้าอย่างจนใจ
เมื่อหลินซือกลับมาถึงห้อง ก็พบว่าหลิงอีได้แทรกตัวเข้าไปซุกในผ้าห่มเรียบร้อย
ตลอดหลายวันมานี้เจ้าสิ่งเล็ก ๆ เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องของเขา โดยมีลูเซียคอยอยู่เป็นเพื่อน ส่วนหลินซือก็ไปอยู่ห้องอื่น แต่ทว่าตอนนี้เจ้าหน้าที่เดิมของเขตหกได้กลับมาประจำตำแหน่งที่ควรอยู่แล้ว จึงไม่มีห้องว่างสำหรับหลินซือ
หลิงอีเห็นเขาก้าวเข้ามา จึงมุดตัวเข้าไปในกองผ้าห่ม แล้วกลิ้งไปอีกฝั่งของเตียง
พอหลินซือดึงผ้าห่มออก หลิงอีก็รีบหดตัวซุกลงไป
หลินซือไม่คิดจะเล่นซ่อนหากับอีกฝ่าย จึงหย่อนตัวนั่งลงด้านข้างแล้วเริ่มจัดการหน้าที่ในส่วนอื่น ๆ
ผ่านไปครู่ใหญ่ หลิงอีกลับเป็นฝ่ายโผล่ศีรษะออกมาจากผ้าห่มเสียเอง พลางจดจ้องหลินซือด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้
หลินซือชักจะรู้สึกว่าเจ้าสิ่งเล็ก ๆ ดูน่าสนใจเข้าไปทุกที จึงแสร้งทำเป็นไม่แยแสอีกฝ่าย ตั้งใจว่าจะรอดูอีกสักหน่อยว่าจะทำอะไรต่อไป
หลิงอีจ้องมองอยู่สักพัก ในที่สุดก็ยอมเอ่ยปากพูดเสียงค่อย “บิดดี้บอกว่า หลินซือจะกลับมานอนเป็นเพื่อนผม”
ที่แท้เมื่อสักครู่ก็เขยิบตำแหน่งเพื่อแบ่งที่ว่างให้เขานี่เอง
[1] หรือหมุดหยั่งแผล ซึ่งมีลักษณะคล้ายเข็ม ปลายแหลม เป็นอุปกรณ์ใช้ตรวจวัดความลึกของแผล
[2] เป็นสำนวนหมายถึงมีแนวคิดที่ดี แต่ถูกจำกัดด้วยปัจจัยภายนอกบางอย่างจนไม่สามารถพัฒนาได้อย่างอิสระโดยสมบูรณ์
[3] เป็นสำนวน มีความหมายว่า เรื่องเกิดขึ้นเรื่อย ๆ จนขยายใหญ่ ในที่นี้คือเสียงฝีเท้าดังก้องมาเรื่อย ๆ ไม่หยุด
[4] สถานการณ์ตึงเครียด