[ทดลองอ่าน] ใครบางคน บทที่ 4

某某
ใครบางคน

木苏里 มู่ซูหลี่ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล
Zolaida ภาพ

– โปรย –

เซิ่งวั่งย้ายกลับมาอยู่คฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลในตรอกไป๋หม่า
ทว่าผู้ที่ย้ายเข้ามาในเวลาเดียวกันยังมีผู้หญิงที่พ่อของเขากำลังคบหาอยู่ด้วย
และผู้เป็นพ่อก็ชี้ไปทางลูกชายของผู้หญิงคนนั้นแล้วสั่งว่า: เรียกพี่สิ
แล้วเรื่องราวระหว่าง เครื่องทำความเย็นจอมหยิ่งหัวแข็งผู้กินไม้อ่อนไม่กินไม้แข็ง
กับ คุณชายน้อยจอมขี้เกียจผู้คิดว่าตัวเองสูงส่งค่าตัวแพง ก็เริ่มต้นขึ้นนับแต่นั้น
แต่มันไม่ง่ายเลย…เพราะเมื่อเวลาผ่านไปอะไรๆ ก็ยิ่งไม่เป็นอย่างที่คิดหวังไว้

เจียงเทียนไม่ใช่พี่ชายอีกแล้ว และก็ไม่ใช่แฟนอีกต่อไป วกไปวนมา
สุดท้ายก็กลับมาเป็นคนที่เซิ่งวั่งไม่รู้ว่าควรจะเรียกอะไรดี
กลับไปเป็น ‘ใครบางคน’ ที่เรียกออกปากไม่ได้อีกครั้ง

เซิ่งวั่ง: ฉันเป็นชายแท้แบบไม่หักไม่งอเลย (straight)
เจียงเทียน: ฉันเป็นโฮโมโฟบ (homophobia)

แท็กเนื้อหา: การเติบโตของช่วงวัยรุ่น (coming of age) ,
รักเดียวใจเดียว, การกลับมาพบพานกันใหม่หลังจากกันไป

1v1+he

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 4

 

นี่เป็นการสอบที่ยาวนานที่สุดตั้งแต่เคยมีมา

อีกสามสิบนาทีจะหมดเวลาสอบ เซิ่งวั่งควงปากการอบนิ้วชี้อยู่สองรอบก่อนมันจะตกลงบนโต๊ะ แม้การเคลื่อนไหวนี้จะแผ่วเบา แต่ก็ดึงดูดสายตามาได้ไม่น้อย…ไม่ว่าจะเป็นสายตาอยากรู้อยากเห็น สายตารอดูเรื่องเด็ด สายตาเห็นใจ หรือจะเป็นเพียงการปรายตามองเฉย ๆ ก็ตาม

ในหมู่คนอายุสิบกว่าปีนั้น ข่าวลือมักจะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว คนหนุ่มสาวไม่มีความลับต่อกัน ทุกเรื่องราวจึงกลายเป็นเรื่องที่รู้เห็นกันไปทั่ว

เพียงแค่ชั่วข้ามคืน ทุกคนก็รู้กันทั่วถึงว่าสุดหล่อที่เพิ่งย้ายมาห้องติวเข้มอย่างห้อง A นั้นคงได้เบิกเนตรเอากับทั้งห้าวิชาแล้ว และคาดว่าคะแนนคงพุ่งไปทางเลขหลักเดียวแน่นอน เรียกได้ว่าไม่มีอะไรจะซวยไปกว่านี้แล้ว! แม้แต่อาจารย์ประจำชั้นห้องอื่นที่ถูกสุ่มมาคุมสอบยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเจ้าตัวเสียหลายที

เสียงออดดังขึ้นในวินาทีสุดท้าย อาจารย์คุมสอบปรบมือพร้อมกล่าว “เอาละ หมดเวลาแล้ว วางปากกา นี่ ผู้ชายแถวแรกริมหน้าต่าง เลิกเขียนได้แล้ว เป็นเด็กห้อง A กันทั้งนั้น ยังจะมาแคร์สิบยี่สิบกว่าวินาทีนี่อีก เหลือทางรอดให้เด็กห้องอื่นบ้างเถอะ”

ทุกคนหัวเราะเสียงเบา เด็กหนุ่มคนนั้นปล่อยปากกาด้วยใบหน้าแดงก่ำ แล้วรีบเช็ดเหงื่อบนฝ่ามือที่เกิดจากความลน

“ดูท่าทางล่ก ๆ ของนายดิ ก็แค่ข้อสุดท้ายไม่ใช่หรือไง คนอื่นเขาเพิ่งย้ายมาใหม่ยังใจเย็นกว่านายเลย” เพื่อนที่นั่งด้านหลังเตะตูดเขาไปทีหนึ่งพร้อมคำพูดล้อเล่นที่หลุดปากออกมา คนทั้งมวลต่างเบือนสายตามองมาทางเซิ่งวั่ง

คำหยอกล้อเช่นนี้จะว่าดีก็ไม่ใช่ ร้ายก็ไม่เชิง เพียงแค่เพราะว่ายังไม่คุ้นเคย นัยในประโยคจึงสื่อว่าเด็กใหม่อยู่นอกกลุ่มโดยไม่เจตนา ซึ่งนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ต้องผ่านในทุกการย้ายโรงเรียนอยู่แล้ว เซิ่งวั่งจึงไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาดอะไรนัก แถมยังตอบรับยิ้ม ๆ อีกคำ “นั่นสิ”

คนที่เหลือทั้งหมดคิดไม่ถึงว่าเจ้าตัวจะตอบเช่นนี้ ทำเอาอึ้งกันไปเป็นแถบ

“เลิกคุยกันได้แล้ว นักเรียนคนสุดท้ายของแถวเก็บข้อสอบจากหลังมาหน้า” เมื่อจบประโยคของอาจารย์คุมสอบ ในห้องเรียนก็เกิดเสียงลากเก้าอี้ดังขึ้น

เจียงเทียนลุกขึ้นยืนพร้อมข้อสอบ สองนิ้วเคาะลงบนโต๊ะเซิ่งวั่งดัง ‘ก๊อก’ เป็นการสื่อให้อีกฝ่ายส่งข้อสอบ

เซิ่งวั่งเหลือบมอง ขณะที่กำลังยื่นข้อสอบ เกาเทียนหยางก็ถือโอกาสหันมาถาม “นายยังไหวไหม”

“พอไหว” เซิ่งวั่งตอบ

“โห ยังยิ้มได้อีกนะ” เกาเทียนหยางชูนิ้วโป้งให้เขา “สภาพจิตใจอย่างได้ ถ้าฉันเจอเหตุการณ์แบบนายบ้าง ฉันคงกดดันตาย”

ทำโจทย์ผิดก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยปากกายังขยับอยู่เนือง ๆ แต่การที่ทำโจทย์ไม่ได้สักข้อแล้วแล้วต้องนั่งแช่อยู่สองชั่วโมงต่างหากที่เป็นเรื่องทรมาน

เพื่อนร่วมห้องหลายคนชำเลืองมองมา อยากเห็นว่ากระดาษข้อสอบของเซิ่งวั่งจะขาวสะอาดเพียงไหน คนปกติธรรมดาทั่วไปต่างมีความอยากรู้อยากเห็นทั้งนั้น แม้แต่เกาเทียนหยางเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ทว่าก็ไม่มีใครทำสำเร็จ เพราะข้าง ๆ มีเทพด้านการเรียนแสนเย็นชาที่ดูจะมีความอดทนต่ำยืนเฝ้าอยู่

พวกเขายังไม่ทันได้มองเห็นอะไร เจียงเทียนก็ดึงข้อสอบไปก่อนแล้ว เซิ่งวั่งที่กำลังพูดรู้สึกได้ว่าจู่ ๆ ในมือก็ว่างเปล่า เขาจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่เจียงเทียนไปถึงโต๊ะเกาเทียนหยางเรียบร้อยแล้ว

“ให้ครับ ให้” เกาเทียนหยางป๊อดสุดจะทน รีบยื่นข้อสอบให้ไปอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดก็ผ่านไปได้วิชาหนึ่ง

เซิ่งวั่งยืดแขนบิดขี้เกียจ จากนั้นก็หยิบขวดน้ำแล้วลุกขึ้น

“นักเรียน เธอจะทำอะไรน่ะ” อาจารย์คุมสอบมองเขาอย่างมึนงง

เด็กหนุ่มมึนเสียยิ่งกว่าอีกฝ่าย “ไปกดน้ำด้านหลังครับ”

พอพูดจบก็กวาดตามองไปรอบ ๆ แล้วก็พลันพบว่าตอนนี้คนทั้งห้องยังนั่งนิ่งอยู่กับที่ เขาเป็นคนเดียวที่เตรียมจะไปพัก

อาจารย์คุมสอบวางกระดาษคำตอบปึกที่เพิ่งเก็บมาไว้ตรงริมซ้ายของโต๊ะ ก่อนจะหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลที่วางอยู่ด้านขวาแล้วกล่าว “ยังสอบไม่เสร็จเลย มีข้อสอบอีกชุดนะ เธอลืมแล้วเหรอ”

“…”

เซิ่งวั่งเซนั่งลงที่เดิม อาจารย์คุมสอบเปิดซองแล้วเริ่มแจกข้อสอบชุดใหม่

เกาเทียนหยางโยกเก้าอี้จนพนักมาพิงกับโต๊ะเขาแล้วบอก “อ้อ ใช่ นายไม่รู้สินะ ข้อสอบคณิตโรงเรียนเราแบ่งเป็นสองชุด สอบชุดหลักก่อนสองชั่วโมง จากนั้นก็สอบข้อเพิ่มเติมอีกแผ่น เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง แน่นอนว่าการสอบจริงจะแจกก่อนล่วงหน้าห้านาที”

พอพูดจบแล้วไม่ได้ยินเสียงตอบรับเขาจึงหันไปมอง และพบกับเซิ่งวั่งที่กำลังนั่งพิงพนักด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ

“ขอถามแค่คำเดียว คะแนนคณิตที่นี่เท่าไหร่” น้ำเสียงของเซิ่งวั่งหมดอาลัยตายอยากแล้วเรียบร้อย

“ของนักเรียนสายวิทย์ 200 คะแนน คะแนนรวมแอดมิชชั่นทั้งหมด 480 นายลองคิดจากสัดส่วนนี้แล้วกัน”

“…”

เด็กหนุ่มนั่งแหงนหน้าอยู่หลายวินาที จนกระทั่งหลังศีรษะถูกคนใช้นิ้วจิ้มทีหนึ่ง

เสียงของเจียงเทียนดังขึ้นอีกครั้ง “ยกหัวออกให้พ้นจากขอบโต๊ะฉันแล้วรับข้อสอบมาด้วย”

สัมผัสที่ศีรษะให้ความรู้สึกแปลกประหลาด ขนตรงต้นคอของเซิ่งวั่งพากันลุกชัน เขารีบนั่งตัวตรงราวกับศพที่กระตุกขึ้นนั่ง หลังแยกกระดาษข้อสอบของตัวเองออกมาก็โยนข้อสอบชุดสุดท้ายข้ามไหล่ไป

พอเจอข้อสอบวิชาคณิตสุดแปลก การสอบวิชาหลัง ๆ ก็ไม่มีอะไรมาทำให้สะทกสะท้านได้อีก แค่ชั่วพริบตาก็ถึงเวลาสามทุ่ม

“เจียงเทียน อาจารย์อู๋เรียกนายไปที่ห้องพักครู” เพิ่งส่งข้อสอบเสร็จ เด็กสาวที่นั่งริมหน้าต่างติดทางเดินก็ฝากคำพูดมาให้

เซิ่งวั่งเหลือบไปมอง พบว่าตัวซวยนั่นกำลังเตรียมหิ้วกระเป๋ากลับ อีกฝ่ายพอได้ยินก็ขมวดคิ้วทันที “ตอนนี้?”

“ใช่ อาจารย์มาบอกตอนเสียงออดดังเมื่อกี้น่ะ” เธอชี้ไปที่มุมหน้าต่างแล้วกล่าว “ให้นายไปหาทันทีหลังสอบเสร็จ”

เจียงเทียนดูเหมือนกำลังรีบ แม้สีหน้าจะไม่พอใจนัก แต่ก็วางกระเป๋าลงก่อนออกนอกห้องไป

ตอนกลางคืนโรงเรียนมีรถคอยรับส่งนักเรียนที่ไม่ได้อยู่หอตามแต่ละพื้นที่ในเมือง แค่แตะบัตรนักเรียนก็ใช้ได้แล้ว เวลาออกรถจะปรับไปตามเวลาเลิกเรียนของนักเรียนแต่ละชั้นปี ถ้าวันสอบอย่างวันนี้ก็จะออกรถตอน 21.20 น. พวกนักเรียนส่งข้อสอบเสร็จ เก็บข้าวเก็บของแล้วค่อยเดินไปยังจุดขึ้นรถก็ยังมีเวลาเหลือเฟือ

“ฉันกลับกับรถโรงเรียน นายล่ะ” เกาเทียนหยางถามขึ้น

เซิ่งวั่งกำลังกดน้ำจากตู้กดน้ำหลังห้อง “รอคนมารับ”

“โอเคร เจอกัลพรุ่งเน้” อีกฝ่ายออกสำเนียงม้วนลิ้นที่ไม่รู้ว่าไปเรียนมาจากไหนจบก็หิ้วกระเป๋าจากไป ปรากฏว่าออกไปจากห้องได้ไม่นานก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกล่าว “เพื่อนยาก ไปห้องพักครูหน่อย เหล่าเหอ[1]เรียกนาย ฉันเจอ  ‘จารย์ตอนออกไปเมื่อกี้”

“เหล่าเหอไหน” เซิ่งวั่งจิบน้ำอึกหนึ่งก่อนถาม

“อาจารย์ประจำชั้นไง ยังจะมีเหล่าเหอไหนอีก” เกาเทียนหยางตอบ “เออ ใช่ ตั้งแต่นายมาก็เหมือนจะยังไม่เคยเจอนี่นะ เมื่อวาน ’จารย์ติดธุระเลยไม่ได้เข้าโรงเรียน วันนี้ยังไปคุมสอบห้องอื่นอีก คงเพิ่งว่างตอนนี้แหละมั้ง”

เกาเทียนหยางจากไปหลังบอกเสร็จ เซิ่งวั่งวางขวดน้ำลง พอส่งข้อความเสียงให้ลุงเสี่ยวเฉินที่จะมารับเขาเสร็จถึงเดินไปทางห้องพักครู

ในระดับชั้น ม.5 มีห้องพักครูขนาดใหญ่อยู่ห้องหนึ่ง อาจารย์ประจำแต่ละวิชาหลักต่างอยู่ในนั้นกันหมด ปกติแล้วอาจารย์แต่ละคนไม่ได้สอนแค่ห้องใดห้องหนึ่งเท่านั้น ทว่าห้อง A เป็นข้อยกเว้น สวี่ปากกว้างเคยพาเขาทัวร์มาก่อน อาจารย์ประจำวิชาหลักของห้อง A ไม่ได้สอนนักเรียนห้องอื่น เพราะฉะนั้นพวกเขาถึงมีห้องพักครูเฉพาะสำหรับแค่ห้าคน

เซิ่งวั่งเดินไปตามโถงทางเดิน

ตึกหมิงหลี่ที่เป็นพื้นที่ของเด็ก ม.5 มีทั้งหมดสี่ชั้น นอกจากชั้นบนสุดแล้ว แต่ละชั้นจะมีห้องเรียนหลายห้อง ขณะที่ชั้นบนสุดมีแค่ห้อง A ห้องพักครูของห้อง A ห้องน้ำ กับห้องมืดอีกสองห้อง

หน้าห้องมืดไม่มีป้ายแขวนอยู่ อีกทั้งสองวันที่ผ่านมาก็ถูกล็อกเอาไว้ตลอด เซิ่งวั่งจึงดูไม่ออกว่ามีไว้ใช้ทำอะไร

ตอนที่กำลังจะเดินถึงห้องพักครูนั้น เขาก็พบว่าบนทางเดินมีคนยืนอยู่ ห้องมืดทั้งสองห้องไม่ได้เปิดไฟ ด้านหน้าประตูจึงมืดสนิท ที่ตรงนั้นมีคนสองคนกำลังยืนพิงราวทางเดินคุยกัน

แค่มองก็รู้แล้วว่าคนที่หันหลังให้เขาคือเจียงเทียน ถ้างั้นอีกคนไม่ต้องคิดก็รู้ว่าคงเป็นอาจารย์อู๋

เซิ่งวั่งไม่มีงานอดิเรกชอบแอบฟังเรื่องส่วนตัวของคนอื่น แต่อย่างไรก็อยู่ห่างไม่มาก คำพูดบางส่วนจึงเล็ดลอดเข้าหูของเขา

“ได้ เรื่องสอบก็ตามนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้อาจารย์ไปให้คำตอบกับหัวหน้าสวี่” นี่เป็นคำพูดของอาจารย์อู๋

“ครับ” เจียงเทียนตอบรับอย่างเรียบง่าย

“งั้นพ่อเธอ…”

อาจารย์อู๋เพิ่งเอ่ยปาก เจียงเทียนก็ตัดบทฝ่ายตรงข้าม “เรื่องของผมไม่เกี่ยวกับเขา”

ยามที่เจ้าตัวพูดประโยคนี้ น้ำเสียงพลันเย็นเยียบขึ้น แฝงด้วยความรู้สึกหงุดหงิดอย่างยากจะบรรยาย แม้แต่เซิ่งวั่งที่ไม่กินเส้นกับเขาก็ยังไม่เคยได้ยินน้ำเสียงที่ย่ำแย่ขนาดนี้จากอีกฝ่ายมาก่อน

อาจารย์อู๋ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ตบบ่าอีกฝ่ายสองสามที

“อาจารย์ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหมครับ” เจียงเทียนถามอย่างตรงไปตรงมา

“ไม่มีแล้ว แค่นี้แหละ”

“งั้นผมขอกลับก่อน”

จบคำเขาก็หมุนตัวเตรียมจากไป แต่กลับสบเข้ากับสายตาของเซิ่งวั่งเสียก่อน วินาทีนั้นเซิ่งวั่งเกิดความรู้สึกอับอายขึ้นในใจอย่างน่าประหลาด

แค่คิดนิดเดียวก็รู้แล้วว่าบทสนทนาเช่นนี้ไม่เหมาะจะให้คนอื่นได้ยิน

เซิ่งวั่งจึงโพล่งขึ้นแทบจะในทันที “เหล่าเหอให้ฉันมาหาที่ห้องพักครู”

นัยน์ตาสีดำสนิทของเจียงเทียนจ้องเซิ่งวั่ง ไม่รู้ว่าเชื่อที่เด็กหนุ่มพูดหรือเปล่า เขายืนอยู่กับที่แค่ไม่กี่วินาทีก็เริ่มก้าวเท้าด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ยามที่เฉียดผ่านข้างกายเซิ่งวั่ง อีกฝ่ายก้มหัวลง เท้าไหล่เซิ่งวั่งพร้อมเอ่ยคำพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อาจารย์เหอเพิ่งสามสิบกว่า ยังไม่ถึงขั้นต้องถูกเรียกว่าเหล่าเหอ”

พอพูดจบก็เดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา

เซิ่งวั่งยืนค้างอยู่กับที่สักพัก พอหันไปอีกทีบนทางเดินก็ว่างเปล่าไร้คนแล้ว เขาร้อง ‘จิ๊’ ในใจทีหนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องพักครู

โต๊ะของอาจารย์ประจำชั้นตั้งอยู่ในตำแหน่งแรก บนโต๊ะมีป้ายชื่อเขียนเอาไว้ว่า ‘เหอจิ้น’

เป็นไปตามที่เจียงเทียนบอก อาจารย์ประจำชั้นดูเพิ่งจะอายุพ้นสามสิบมาได้ไม่นาน บนใบหน้าเรียวรูปไข่ประดับด้วยแว่นสายตา ผิวค่อนข้างขาว ผมหยักศกประบ่า แค่เพียงแต่งหน้าแต่งตัวอีกหน่อยก็คงจะดูสวยไม่เบา จุดด้อยเพียงอย่างเดียวคือผอมเกินไป ทำให้ดูอ่อนแออมโรคเล็กน้อย

ใช่แล้ว เหอจิ้นเป็นอาจารย์สาวที่สอนวิชาฟิสิกส์ให้ห้อง A

เด็กหนุ่มนึกไปถึงคำว่า ‘เหล่าเหอ’ ที่ตัวเองเรียกผิดไปเมื่อครู่จึงใช้นิ้วชี้ถูปลายจมูกเล็กน้อย ถ้าโทษก็คงต้องโทษเจ้าโง่เกาเทียนหยางที่เรียกอาจารย์ประจำชั้นแบบนี้ว่า ‘เหล่าเหอ’ ได้ยังไง ไม่รู้คิดอะไรอยู่

“มาแล้วเหรอจ๊ะ” ดวงตาหลังเลนส์แว่นของเหอจิ้นโค้งขึ้น ดูอ่อนโยนเข้าถึงง่าย

เซิ่งวั่งส่งยิ้มให้เธอ “อาจารย์เรียกหาผมเหรอครับ”

“ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ แค่เมื่อวานไม่ได้อยู่ต้อนรับนักเรียนใหม่เลยรู้สึกผิดนิดหน่อย” เธอกล่าวกับเซิ่งวั่ง “อีกอย่างก็มีปัญหาเรื่องความคืบหน้าของเนื้อหาบทเรียนแหละนะ”

เธอพยักพเยิดไปทางด้านหลังพร้อมกล่าว “พวกเราได้ยินมาจากเหล่าสวี่แล้ว เนื้อหาการเรียนทุกวิชาของเธอช้ากว่านักเรียนคนอื่นถึงหนึ่งเล่มหนังสือเรียนเลยทีเดียว ต้องโทษฉันที่เมื่อวานไม่อยู่โรงเรียน ไม่งั้นคงทำเรื่องยื่นขอให้เธอไม่ต้องสอบประจำสัปดาห์ในวันนี้ จะได้ไม่ต้องฝืน”

เขายิ้มฝืดเฝื่อนพร้อมกล่าวอยู่ภายในใจ : ทำไมอาจารย์ไม่รีบบอกเล่า!

เหอจิ้นดูออกถึงความแตกสลายภายใต้รอยยิ้มของเด็กหนุ่มจึงรู้สึกขบขันไม่น้อย เธอกล่าวขึ้นอีก “สิบกว่าชั่วโมงในวันนี้ลำบากนิดหน่อยสินะ”

เซิ่งวั่งกล่าวอย่างถ่อมตัว “อย่าว่าแต่นิดหน่อยเลยครับ”

อาจารย์คนอื่น ๆ เองก็พากันนึกสนุก รวมถึงเหล่าอู๋ที่เมื่อครู่คุยอยู่กับเจียงเทียนด้วย “ไม่เป็นไร พวกอาจารย์รู้สถานการณ์ของเธอ คะแนนรอบนี้คงไม่จริงจังมาก ได้แค่ 5 หรือ 10 คะแนนก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องกดดันนะ”

“เดี๋ยวสิ วิชาอื่นฉันไม่สน แต่ถ้าภาษาจีนก็ได้แค่ 5 หรือ 10 คะแนนนี่ไม่ได้หรอกมั้ง”

“ภาษาอังกฤษก็เหมือนกัน”

เหล่าอาจารย์เริ่มพากันหยอกเย้า บรรยากาศในห้องพักครูจึงผ่อนคลายลงไม่น้อย เหอจิ้นปรายตามองเซิ่งวั่งทีหนึ่งคล้ายกับกำลังจับสังเกตว่าเจ้าตัวเครียดหรือไม่ แล้วกลับพบว่านักเรียนใหม่คนนี้ใจกว้างไม่น้อย

ดังนั้นเธอจึงไม่อ้อมค้อมอีกต่อไปและกล่าวออกมาตรง ๆ “ถึงจะไม่ต้องจริงจังกับการสอบรอบนี้ก็ตาม แต่การตามเนื้อหาตั้งเยอะขนาดนี้ไม่ทันก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี หลักสูตรห้อง A เรียนค่อนข้างไว ทุกคนต้องเรียนเนื้อหาของ ม.ปลายทั้งหมดให้จบภายในเทอมแรก คงไม่สามารถหยุดเพื่อรอเธอคนเดียวได้ เพราะฉะนั้น…เธอคงต้องหาวิธีเอาเอง ระหว่างที่เรียนรู้บทเรียนใหม่ก็ต้องรีบตามส่วนที่ยังขาดหายให้ทันด้วยนะ”

สิ่งนี้เป็นไปตามที่เซิ่งวั่งคาดการณ์ไว้ เขาจึงพยักหน้า

เหอจิ้นกล่าวต่ออีก “ใช้เวลาว่างนอกวิชาเรียนให้ดี ต้องลำบากแน่นอน แต่กัดฟันทนหน่อยก็คงผ่านไปได้ ช่วงปิดเทอมฤดูร้อนนี้พอจะมีเวลาว่างอยู่บ้าง คาบทบทวนบทเรียนช่วงค่ำก็ถึงแค่สองทุ่ม แถมวันก่อนสอบไม่มีคาบทบทวนบทเรียน ฉะนั้นหยุดพักไปได้เลย”

นี่เป็นครั้งแรกที่เซิ่งวั่งได้ยินว่าอย่างนี้ก็เรียกหยุดพักได้ด้วย เขาได้แต่หัวเราะเสียงแห้ง

อาจารย์ท่านอื่นก็หัวเราะตาม เหอจิ้นโบกมือกล่าว “อย่าห่อเหี่ยวแบบนี้สิ เอาละ มาพูดเรื่องจริงจังต่อนะ การสอบครั้งนี้ไม่นับก็จริง แต่สัปดาห์หน้ามีการสอบประจำสัปดาห์อีก ฉันหวังว่าจะเห็นพัฒนาการของเธอนะจ๊ะ”

“แน่นอนครับ”

เหอจิ้นสบตากับอาจารย์ท่านอื่นพร้อมเอ่ย “พวกอาจารย์ลองแพลนกันแล้วว่าสัปดาห์หน้าจะสอนกันได้ถึงไหน เดี๋ยวเราจะตั้งคะแนนเป้าหมายให้เธอแล้วกันนะ”

เซิ่งวั่งตอบอย่างไม่อิดออด “ได้ครับ เท่าไหร่ครับ”

“ข้อสอบวิชาฟิสิกส์กับเคมีเต็ม 120 คะแนน หวังว่าเธอจะได้มากกว่า 50 ในสัปดาห์หน้านะ ข้อสอบคณิตเต็ม 160 คะแนน ไม่นับรวมข้อเพิ่มเติม เอาให้ได้ 70 แล้วกัน ส่วนภาษาจีนกับภาษาอังกฤษไม่ต้อง พอยืดหยุ่นได้”

อาจารย์สาวพูดไปพูดมา เมื่อพบว่านักเรียนใหม่คนนี้แสดงสีหน้าประหลาดจึงถามขึ้น “ทำไมเหรอ หรือว่ายากไป”

“เปล่าครับ”

“งั้นมีอะไรหรือเปล่า”

เซิ่งวั่งอึกอักก่อนตอบ “ไม่มีอะไรครับ เอาประมาณนี้ก่อนก็ได้”

อาจารย์ทั้งหลายงงกันอยู่ครึ่งค่อนวัน ปรากฏว่าพอถึงคาบทบทวนบทเรียนในเย็นวันต่อมา เมื่อดูข้อสอบประจำสัปดาห์ที่ตรวจเสร็จ คะแนนของเด็กใหม่ที่เพิ่งได้หนังสือเรียนก่อนสอบหนึ่งวันกลับเป็นไปดังนี้ :

ฟิสิกส์กับเคมีได้ 62 กับ 68 คะแนนตามลำดับ คณิตได้ 83 ส่วนคะแนนวิชาภาษาจีนกับภาษาอังกฤษนั้นสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยห้อง A อยู่มากโข

 

 

[1] เหล่า แปลตรงตัวว่าแก่ มักจะนำมาใช้เรียกนำหน้าชื่อหรือนามสกุล ใช้เรียกคนที่แก่กว่าซึ่งอยู่ในช่วงวัยกลางคนหรือวัยชรา แต่บางทีก็ใช้เป็นฉายาหรือคำเรียกในหมู่คนที่สนิทกันโดยไม่จำกัดอายุ

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า