一级律师
คุณทนายความขั้นหนึ่ง
木苏里 มู่ซูหลี่ เขียน
isamare แปล
溫捌 เวินปา วาด
— โปรย —
เมื่อหลายเดือนก่อน เยียนสุยจือ ยังดำรงตำแหน่งทนายความขั้นหนึ่ง
ทั้งยังรับผิดชอบตำแหน่งคณบดีคณะนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเมซระหว่างดวงดาวอย่างสง่าผ่าเผยอยู่เลย
ไม่ทันไร ก็กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวและ ‘คนตาย’ ไปเสียแล้ว
เขาที่ถูกพาดหัวข่าวว่าเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุวางระเบิด
ได้บุคคลปริศนายื่นมือเข้ามาช่วยผ่าตัดปรับแต่งยีน ปรับเปลี่ยนใบหน้า สรีระและลดอายุ
จนอยู่ในรูปลักษณ์ของนักศึกษาจบใหม่ พร้อมบัตรประชาชนปลอมที่ใช้ชื่อว่า ‘หร่วนเหยี่ย’
ตัดสินใจสืบเรื่องคดีวางระเบิดของตัวเอง โดยแฝงตัวไปเป็นเด็กฝึกงาน
ในสำนักงานเซาธ์ครอสส์ซึ่งเป็นสำนักกฎหมายที่รับผิดชอบคดีนี้
ณ ที่นั้น เขาดันได้เจอกับ กู้เยี่ยน ลูกศิษย์จอมหน้าตายของตัวเองที่ความสัมพันธ์ไม่ลงรอย
อีกทั้งยังต้องเข้าไปเป็นเด็กฝึกงานในความดูแลของอีกฝ่ายที่ไม่เต็มใจจะอยู่ร่วมกันสักนิด
ไม่คิดจะรับเด็กฝึกงานงั้นเหรอ บังเอิญจัง ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
ความจริงแล้วนายจะส่งฉันไปให้ทนายคนอื่นก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องอยู่ที่นี่ ที่ไหนฉันก็โอเคทั้งนั้น
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 1.2
รายงานตัว
ห้าวันถัดมา เยียนสุยจือนั่งอยู่ในสำนักงานกฎหมายอันโด่งดังที่สุดในเดอคาร์มาแล้ว
เก้าอี้โซฟาในห้องรับรองทั้งนุ่มและสบาย เด็กฝึกงานที่มารายงานตัวหลายคนกลับนั่งอย่างสงบเสงี่ยมมาก มีเพียงเขาที่นั่งไขว่ห้าง มือเท้าคาง พลางคลึงแหวนอัจฉริยะในมือเล่นอย่างใจลอย อากัปกิริยาทั้งสง่างามและผ่อนคลาย ดูไม่เหมือนนักศึกษาที่มาเข้ารับการประเมินแม้แต่น้อย ทว่าเหมือนมาประเมินคนอื่นมากกว่า
เด็กหนุ่มผมทองที่นั่งด้านข้างเหลือบมองเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ช่วงสั้น ๆ แค่สิบนาทีเหลือบมองมาแล้วหลายสิบครั้ง
“เพื่อน หน้าฉันเหลี่ยมเหมือนจอทดสอบเหรอ” เยียนสุยจือที่กำลังใจลอยพลันตวัดสายตามอง
เด็กหนุ่มผมทองเพิ่งดื่มกาแฟเข้าไปอึกหนึ่งพลันสำลักออกมาทั้งที่ยังอยู่ในมาดสงบเสงี่ยม
เขาลนลานดึงกระดาษทิชชูสองสามแผ่นมาซับ เช็ดคราบกาแฟที่เปื้อนบนคาง พร้อมตอบด้วยใบหน้าเหยเก “หา? ไม่ใช่อยู่แล้ว”
“งั้นทำไมนายถึงมองฉันแล้วตัวสั่นเหมือนเหยียบกระบองไฟฟ้าล่ะ”
เวลาเยียนสุยจือเหน็บแนมผู้อื่นมักจะแต่งแต้มรอยยิ้มเล็กน้อยเสมอ ซึ่งบังเอิญว่าหน้าตาของเขาดูดีแบบที่แฝงความเย็นชาเอาไว้ ทุกครั้งที่แย้มยิ้มก็ราวกับน้ำค้างแข็งละลาย ตบตาผู้คนได้ดีเป็นพิเศษ ดังนั้นคนที่ถูกเหน็บแนมส่วนใหญ่มักจะเผลอคิดว่านี่เป็นวิธีการแสดงออกที่เป็นมิตรอย่างหนึ่ง
นักศึกษาผมทองคนนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ไม่เพียงไม่คิดว่าตัวเองถูกเหน็บแนม ซ้ำยังคิดว่าการกระทำของตนที่แอบเหลือบมองเมื่อครู่เสียมารยาทจริง ๆ “ขอโทษนะ แค่…นายดูคล้ายคณบดีของเรานิดหน่อย”
เขาพูดแล้วก็หยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแก้ให้ถูกต้อง “อดีตคณบดีน่ะ นายรู้จักอยู่แล้ว ศาสตราจารย์เยียนผู้โด่งดัง แถมยังหนุ่มมากท่านนั้นไง แน่นอนว่าก็ไม่ได้เหมือนมากหรอก นายเด็กกว่าเขาเยอะ แค่ใบหน้าด้านข้างบางมุม ไหนจะท่านั่งที่ค่อนข้าง…ทำให้ฉันนึกถึงงานประชุมตรวจวิจัยประจำปี ดังนั้นก็เลยเผลอเกร็งโดยไม่รู้ตัวน่ะ”
เมื่อเด็กหนุ่มผมทองเอ่ยถึงอดีตคณบดี สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเสียดายมาก เขาถอนหายใจกล่าว “เดิมทีงานประชุมตรวจวิจัยและพิธีจบการศึกษาปีนี้เขาก็ต้องเข้าร่วมด้วย ไม่คิดเลยว่าจะเกิดอุบัติเหตุนั้นขึ้น ยังหนุ่มขนาดนั้นก็จากโลกไปแล้ว น่าเสียดายจริง ๆ เลยเนอะว่าไหม”
เขาอยากได้ความรู้สึกร่วม ปรากฏว่าเมื่อเงยหน้ามองก็เห็นใบหน้าเขียวคล้ำของอีกฝ่าย
ขณะเยียนสุยจือยังสลัดความรู้สึกซับซ้อนที่มีคนกล่าวไว้อาลัยต่อหน้าไม่ได้ ผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่รับผิดชอบจัดแจงเด็กฝึกงานก็เดินออกมาแล้ว
เมื่อตรวจสอบหนังสือรายงานตัวเสร็จ เธอก็พาเด็กฝึกงานขึ้นไปชั้นบน
“ก่อนหน้านี้พวกเรารับเด็กฝึกงานมาแล้วสามกลุ่ม ดังนั้นตอนนี้ทนายว่าความ[1]ที่ดูแลเด็กฝึกงานจึงเหลืออยู่ไม่มาก ฉันจะพาพวกเธอไปพบแต่ละท่าน หลังทำความรู้จักกันแล้วค่อยแบ่งบรรจุพวกเธอ…”
ระหว่างที่เดินขึ้นไปข้างบน ผู้จัดการฝ่ายบุคคลยังแนะนำสภาพแวดล้อมในสำนักงานกฎหมายให้ฟัง รวมทั้งเรื่องที่ควรให้ความสำคัญอีกจำนวนหนึ่งด้วย แต่ครึ่งหลังเยียนสุยจือจับใจความไม่ได้
เพราะเขาเห็นคนคุ้นเคยคนหนึ่งเข้า
ขณะที่พวกเขาเดินขึ้นมาได้ครึ่งทาง ทนายหลายคนก็ลงมาข้างล่างพอดี ทนายที่เดินรั้งท้ายตัวสูงมาก หน้าตาหล่อเหลาอย่างยิ่ง มือข้างหนึ่งถือแก้วกาแฟ อีกข้างหนึ่งกดหูฟังไร้สายสีขาวแนบหู คล้ายกำลังติดต่อกับใครบางคนอยู่ แววตาเรียบเฉยทอดมองผ่านหางตามาอย่างไม่ใส่ใจ กวาดมองเด็กฝึกงานกลุ่มนี้แวบหนึ่ง แสดงความเย็นชายากจะเข้าถึงอย่างชัดเจน
ทนายหนุ่มคนนี้ชื่อว่ากู้เยี่ยน เคยเป็นนักศึกษาของเยียนสุยจือ
ความจริงแล้วในสายอาชีพนี้ โดยเฉพาะสำนักงานกฎหมายที่โด่งดังแห่งนี้ การได้พบนักศึกษาของเขาถือเป็นเรื่องปกติมาก ทนายความเกินครึ่งของที่นี่อาจจบมาจากคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเมซ แต่นักศึกษาคณะนิติศาสตร์มีถึงหลักหมื่นคนในหนึ่งปี โดยปกติศาสตราจารย์เยียนแค่หันหน้าก็ลืมแล้ว มีปฏิสัมพันธ์ด้วยน้อยมาก คนที่พอจะจำได้นั้นนับนิ้วได้เลย
กู้เยี่ยนเป็นหนึ่งในนั้น
เพราะอะไรน่ะเหรอ
เพราะว่ากันตามหลักการแล้วนักศึกษากู้คนนี้ถือว่าเป็นลูกศิษย์ในความดูแลของเขา
แถมเพราะนักศึกษากู้คนนี้เอาแต่ทำหน้าเย็นชาทั้งวันเหมือนมีปัญหากับเขาเป็นพิเศษ
ความจริงแล้วในตอนแรกความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ระหว่างพวกเขาไม่ได้แย่ถึงขนาดนี้
มหาวิทยาลัยเมซยึดถือประเพณีหนึ่งมาโดยตลอด หลังจากที่นักศึกษาใหม่เข้าเรียนได้สามเดือน จำเป็นต้องเลือกศาสตราจารย์หนึ่งท่านเป็นผู้ให้คำแนะนำโดยตรงของตัวเอง หรือกล่าวได้ว่า เหล่านักศึกษาเพิ่งจะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและวิชาเรียนใหม่ ๆ ได้ไม่นาน ก็ต้องรีบปรับสภาพจิตใจให้มั่นคงโดยเร็ว เพื่อจะได้กำหนดเส้นทางในอนาคตของตัวเองให้ชัดเจน
จุดประสงค์น่าชื่นชมมาก แต่ในทางปฏิบัติกลับเหมือนการเล่นตลก
ทุกปีเมื่อถึงเทศกาลที่นักศึกษาใหม่ต้องตัดสินใจเลือก บรรดารุ่นพี่จะรวมตัวกันที่ตลาดอีมาร์เก็ตในมหาวิทยาลัยเพื่อเร่ขายเอไอจิ๋วประดิษฐ์เองด้วยสีหน้าอ่อนโยน ใช้สำหรับบำบัดโรคกลัวการตัดสินใจ[2] หรือเสี่ยงโชคแย่งตัวศาสตราจารย์โดยเฉพาะ เป็นบริการครบจบในหนึ่งเดียว
ขั้นตอนจะว่าวุ่นวายก็วุ่นวาย ทว่าผลลัพธ์ยังคงมาบรรจบกันอยู่ดี ศาสตราจารย์ที่นักศึกษาส่วนใหญ่เลือกล้วนมาจากความประทับใจแรกที่ไม่เลว
ดูจากนิสัยของกู้เยี่ยนแล้ว เยียนสุยจือคิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้เสี่ยงโชคได้ตนแน่นอน แต่เป็นการตัดสินใจเลือกอย่างจริงจังของอีกฝ่าย
อธิบายได้ว่านักศึกษากู้พยายามก้าวผ่านเส้นทางขึ้นภูเขาอันชื่อว่า ‘เคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์’ แล้ว เพียงแต่ระหว่างทางไม่รู้ว่าถูกใครวางยาเบื่อหนูเข้า ไม่พูดสักคำก็กระโดดลงหน้าผา
เยียนสุยจือเคยขบคิดถึงปัญหานี้มาก่อนในตอนที่มโนธรรมในใจทำงาน แต่คิดได้ไม่กี่นาทีก็ถูกขัดจังหวะด้วยงานอื่นเสมอ ส่งผลให้ในช่วงเวลายาวนานก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้ว่าทำไมนักศึกษากู้คนนี้ถึงดูมีปัญหากับเขาขนาดนั้น
หลังจากกู้เยี่ยนจบการศึกษาแล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องขบคิดถึงมันอีก
ขึ้นลงบันไดไม่เกินครึ่งนาที ศาสตราจารย์เยียนยังมีเวลาให้ใจลอย กว่าจะได้สติกลับคืนมา กู้เยี่ยนก็เบี่ยงตัวหลีกทางให้กลุ่มเด็กฝึกงานอย่างพวกเขาแล้ว
เพราะเป็นลูกศิษย์ที่เคยให้คำชี้แนะมาก่อน ได้พบกันอีกครั้งภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ศาสตราจารย์เยียนอดทอดถอนใจเล็กน้อยไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ตอนที่หันตัวบริเวณทางเลี้ยวชั้นสองก็เผลอมองลงไปข้างล่างแวบหนึ่ง เห็นกู้เยี่ยนที่เดินลงบันไดขั้นสุดท้ายถอดหูฟังไร้สายออกพอดี ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมาทางเขา
เยียนสุยจือชะงักไป
แววตาของกู้เยี่ยนฉายความผิดปกติเพียงครู่เดียว ก่อนชำเลืองผ่านอย่างไม่ใส่ใจ ละสายตาอย่างเย็นชา สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย กระทั่งจังหวะก้าวเท้ายังไม่สะดุดเลยสักนิด ในขณะเดียวกับที่สายตาคู่นั้นผละไป เขาก็ผลักประตูบานหนึ่งที่อยู่ชั้นล่างแล้วเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง
เยียนสุยจือเลิกคิ้วขึ้น
ถึงอย่างไรรูปลักษณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ตัวเขาในตอนนี้เป็นเพียงคนแปลกหน้าสำหรับกู้เยี่ยนเท่านั้น ปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้จึงนับว่าปกติมาก เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร หันปลายเท้าตามประกบหางแถวเด็กฝึกงานกลุ่มนั้นอย่างไม่รีบร้อนเข้าไปในห้องประชุมชั้นสอง
“หลายท่านที่เดินลงไปเมื่อกี้ล้วนเป็นทนายว่าความ ชั้นสองคือห้องทำงานของพวกเขา” คุณฟิซซ์ ผู้จัดการฝ่ายบุคคลยิ้มพลางกล่าว “ปกติไม่ค่อยเห็นเงาของคนงานยุ่งเหล่านี้เท่าไร วันนี้ที่มารวมตัวกันแบบนี้ก็เพราะสละเวลามาพบพวกเธอโดยเฉพาะ เมื่อกี้คงได้ทักทายกันบ้างแล้วมั้ง เว้นแต่ว่าใครบางคนกำลังใจลอยอยู่”
เยียนสุยจือที่ใจลอยตอบสนองทันที ยกมือยิ้มให้ “ขอโทษจริง ๆ ครับ ผมอาจจะตื่นเต้นเกินไปหน่อย”
ทุกคน “…”
นี่กำลังโกหกอยู่ชัด ๆ
ทุกคนที่มีตา ณ ที่นั้นล้วนมองออกว่าเขาไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเลยสักนิด
ฟิซซ์ยิ้มพลางโบกมือหย็อย ๆ “ไม่เป็นไร สำหรับเด็กหนุ่มที่หน้าตาเจริญตาเจริญใจแบบนี้ ฉันจะลืมว่าตัวเองอารมณ์ฉุนเฉียวง่ายไปชั่วคราวแล้วกัน”
คงเป็นเพราะคุณฟิซซ์คนนี้ดูเข้าหาง่ายมาก หญิงสาวสองคนจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยถาม “ทนายที่ลงไปข้างล่างเมื่อกี้รับเด็กฝึกงานกันหมดเหรอคะ ทั้งหมดเลย?”
ฟิซซ์ตอบกลับด้วยสีหน้าท่าทางแบบ ‘ฉันเป็นผู้มากประสบการณ์’ “ฉันก็อยากตอบว่า ‘ใช่แล้ว ทั้งหมดเลย’ แต่น่าเสียดายมาก มีท่านหนึ่งไม่รับ”
“ท่านไหนคะ”
ฟิซซ์คลี่ยิ้ม “ฉันว่ารู้คำตอบไปพวกเธอคงอารมณ์เสียกว่าเดิม เพราะตอนแรกฉันก็อารมณ์เสียกว่าใครเพื่อนเลย”
“อ้อ…โอเคค่ะ” หญิงสาวสองคนนั้นตอบเสียงยานคาง เห็นชัดว่าเข้าใจความหมายของเธอแล้ว นี่คงเป็นเซนส์ของการให้ค่ากับหน้าตาของผู้อื่นที่มีมาตั้งแต่เกิด
ไม่รู้ว่าผู้ชายคนอื่นเข้าใจกันหรือเปล่า แต่เด็กหนุ่มผมทองที่เหยียบกระบองไฟฟ้าคนนั้นไม่เข้าใจแน่นอน เขาเอาแต่มองพวกเธอไปมาด้วยสีหน้าว่างเปล่า
ศาสตราจารย์เยียนมองเด็กหนุ่มผมทองจากมุมของผู้สอนที่ต้องคัดเลือกคน คิดว่าเส้นทางอาชีพของเด็กบื้อคนนี้ได้เดินมาถึงปลายทางแล้ว ทักษะการตีความคำพูดและความคิดเข้าขั้นน่าเป็นห่วงถึงขนาดนี้ เวลาขึ้นศาลคงร้องไห้จนถูกคนหามลงมาเป็นแน่
แต่ในเวลาเดียวกับที่หญิงสาวสองคนนั้นกำลังเสียดาย เยียนสุยจือกลับปรบมือยิ้มอยู่ในใจ ขอบคุณฟ้าดินที่นักศึกษากู้จอมหน้าตายไม่รับเด็กฝึกงาน ไม่งั้นหากสวรรค์เล่นตลกส่งตนไปอยู่ในความดูแลของเขา สถานะอาจารย์ลูกศิษย์คงสับสนวุ่นวายจนนับไม่ถูกกันพอดี
“ทำไมเขาถึงไม่รับเด็กฝึกงานล่ะคะ” หญิงสาวที่ค่อนข้างร่าเริงคนหนึ่งในกลุ่มยังคาใจกับเรื่องนี้
ฟิซซ์ไม่ได้แสดงความรำคาญแต่อย่างใด “กลัวว่าจะทำเด็กฝึกงานโกรธจนหนีไป เขาเคยบอกกับนิติกรแบบนี้”
“ทำเด็กฝึกงานโกรธจนหนีไป? เขาอารมณ์ร้ายเหรอคะ”
“ไม่ใช่หรอก แต่ว่า…” ฟิซซ์ราวกับหาถ้อยคำมาจำกัดความไม่ได้ สุดท้ายจึงแค่ยักไหล่ “ยังไงก็เถอะ เลิกคิดไปได้เลยสาว ๆ”
เยียนสุยจือฟังเงียบ ๆ อยู่ด้านข้าง ในใจกลับคิดว่า ด้วยนิสัยของนักศึกษากู้ในตอนนั้น ที่ไม่รับเด็กฝึกงานอาจไม่ใช่กลัวว่าเด็กฝึกงานจะหนีไปเพราะถูกเขาพาลโมโหใส่หรอก แต่เป็นไปได้สูงว่านิติกรกลัวว่าเขาจะหนีไปเพราะถูกเด็กฝึกงานยั่วโมโหต่างหาก
เป็นไปได้สูงจริง ๆ
ฟิซซ์อยู่คุยเล่นกับทุกคนที่นี่ได้เพียงครู่เดียว บรรดาทนายที่ลงไปทำธุระข้างล่างก็ทยอยกลับขึ้นมาข้างบน ผลักประตูเข้ามาในห้องประชุม
หลังจากที่ทุกคนทยอยนั่งลง ฟิซซ์กวาดตามองรอบหนึ่งก่อนถามด้วยความสงสัย “ทนายมอร์ล่ะ ยังมาไม่ถึงเหรอ”
“วันนี้ฉันยังไม่เห็นเขาเลย” ทนายผมสีเทานัยน์ตาสีเทาผู้มีใบหน้าเคร่งขรึมตอบ “เธอแน่ใจเหรอว่าเขาว่าง”
“พวกคุณคุยกันไปก่อน ฉันจะไปติดต่อเขา” ฟิซซ์พูดจบก็เหยียบรองเท้าส้นสูงเรียวบางเดินออกไปทันที
แม้บอกว่าพูดคุย ความจริงแล้วเป็นการสัมภาษณ์ที่บรรยากาศค่อนข้างผ่อนคลายเลยทีเดียว
ทว่าต่อให้ผ่อนคลายอย่างไรก็เป็นการสัมภาษณ์ หัวข้อสนทนาวนเวียนอยู่ที่ประสบการณ์ที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มจนจบ และประสบการณ์เหล่านั้นล้วนอิงตามไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ที่แนบอยู่ด้านหลังหนังสือรายงานตัว
ศาสตราจารย์เยียนรักษารอยยิ้มสง่างามและผ่อนคลายไว้ตลอดเวลาโดยไม่พูดอะไรสักคำ แม้แต่หนังสือรายงานตัวของเขายังทำขึ้นในตลาดมืด ไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ก็ย่อมเป็นของปลอมเช่นกัน ในเมื่อเป็นนักศึกษาที่แอบอ้างปลอมตัวเข้ามาก็ต้องถ่อมตัวสักหน่อย หากพูดเยอะผิดแยะก็จะยิ่งเผยพิรุธได้ง่าย
และเป็นเพราะท่าทางของเขาผ่อนคลายไร้กังวลเกินไป หนำซ้ำยังขยับที่นั่งเข้าใกล้ทนายเหล่านั้นมากขึ้นอย่างหน้าไม่อาย ส่งผลให้ตลอดการ ‘สัมภาษณ์’ สี่สิบกว่านาทีนั้น เด็กฝึกงานจึงเห็นเขาเป็นผู้สัมภาษณ์ไปโดยไม่รู้ตัว บรรดาทนายเองก็ไม่รู้สึกตัวเลยว่าฝ่ายตัวเองมีคนหนึ่งปนเข้ามา ถึงขั้นหลายครั้งที่คุยกันอย่างออกรสแล้วยังพยักหน้าซ้ายทีขวาทีหันมาถามเยียนสุยจือด้วยว่า “เด็กฝึกงานกลุ่มนี้ไม่เลวเลยว่าไหม”
หมาป่าหางโต[3]อย่างศาสตราจารย์เยียนก็ยิ้มตอบอย่างสุภาพ “ไม่เลวจริง ๆ”
บรรยากาศปรองดอง สุขสันต์ทั้งเจ้าภาพและแขก
จวบจนทนายเหล่านั้นออกจากห้องประชุม ทุกคนล้วนยังไม่รู้ตัวว่ามีจุดใดไม่ถูกต้อง
แน่นอนว่าเยียนสุยจือที่ยั้งตนเองไม่ให้เผลอโต้ตอบกับทนายเหล่านั้นไปพึงพอใจกับผลลัพธ์นี้
ทว่าผ่านไปเพียงครู่เดียวเขาก็ยิ้มไม่ออก…
ฟิซซ์เหยียบรองเท้าส้นสูงเดินขึ้นบันไดมาอย่างรีบร้อน เสียงของเธอลอดผ่านประตูที่เปิดแง้มเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ไม่รู้กำลังปรึกษาหารือกับใครอยู่ “จะทำแบบนี้จริงเหรอ นายแน่ใจนะ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่แย่มากเลยล่ะ”
“แน่ใจ เมื่อกี้ฉันคุยกับเขาแล้ว” น้ำเสียงทุ้มต่ำของผู้ชายคนหนึ่งตอบกลับมา
“ถูกเหน็บมาแล้วใช่ไหม”
“เฮอะ…” ชายคนนั้นกล่าว “ทำตามนี้ไปก่อนแล้วกัน เธอรีบเข้าไปเถอะ อย่าปล่อยนักศึกษาหนุ่มสาวกลุ่มนั้นนั่งคอยเก้ออยู่ในห้องเลย”
ขณะที่ทุกคนในห้องประชุมกำลังมองหน้ากันด้วยความงุนงง ฟิซซ์ก็เดินเข้ามา กระแอมไอพร้อมแย้มยิ้มบาง “พวกเธอทำได้เยี่ยมมาก ทนายทุกท่านพึงพอใจกันมาก แต่มีข่าวที่ค่อนข้างน่าเสียดายเรื่องหนึ่ง เดิมทีทนายมอร์ที่ต้องรับเด็กฝึกงานประสบอุบัติเหตุบนยานจัมป์ไดรฟ์ ติดอยู่ระหว่างดาวเคราะห์เพื่อนบ้าน กลับมาไม่ได้ภายในครึ่งเดือนนี้ ดังนั้นเด็กฝึกงานที่เดิมทีต้องอยู่ในความรับผิดชอบของเขาจึงถูกโอนไปให้ทนายที่ยอดเยี่ยมอีกท่านหนึ่งแทน”
เยียนสุยจือพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา
สัมผัสที่หกของเขามักถูกต้องแม่นยำเสมอ สถิติโดยรวมคือครึ่งต่อครึ่ง และจะเห็นผลทันตาเมื่อเป็นเรื่องอัปมงคลเท่านั้น บ้างก็เรียกว่าหนึ่งคำพูดเป็นลาง หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่าปากอีกา[4]
ฟิซซ์กล่าวต่อ “ฉันจะแจงการบรรจุนะ คุณฟิลลิดา ทนายดีนมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะร่วมงานกับเธอตลอดระยะเวลาฝึกงาน เฮนรี่ ยินดีด้วย ทนายเอลวิสจะเป็นอาจารย์ของเธอ…”
เธอประกาศชื่อของแต่ละคนจนครบแล้ว สุดท้ายก็หันมาส่งยิ้มกว้างให้เยียนสุยจือ “แม้เมื่อกี้เพิ่งบอกไป แต่ฉันก็ยังรู้สึกเสียใจมาก ขอโทษแทนทนายมอร์อีกครั้งด้วยนะ แต่ก็ยินดีกับนายด้วยเช่นกัน ทนายกู้จะเป็นอาจารย์ของนายที่นี่ ขอให้นายโชคดี”
เยียนสุยจือ “…”
อวยพรว่า ‘ขอให้นายโชคดี’ แต่ทำไมน้ำเสียงนั้นถึงดูเหมือนกับบอกว่า ‘ระวังตัวให้ดี’ ล่ะ
ศาสตราจารย์เยียนราวกับถูกไนโตรเจนเหลวราดรดศีรษะ รอยยิ้มบางบนใบหน้าแข็งค้างจนแทบปริร้าว
หลายวินาทีต่อมาเขาถึงค่อย ๆ กะเทาะน้ำแข็งและตอบกลับ “ขอบคุณครับ”
ฉันจะพยายามไม่ยั่วโมโหจนทนายผู้ยอดเยี่ยมของพวกเธอหนีไปก็แล้วกัน…แต่ไม่รับประกันหรอกนะ
เพราะเมื่อปีนั้นเขาก็โมโหจนหนีไปบ่อยซะด้วยสิ
แล้วก็นะ…
เยียนสุยจือกล่าวยิ้ม ๆ ในใจ เธอควรไปบอกกู้เยี่ยนมากกว่า คนหนุ่มโปรดรักษาตัวให้ดี ระวังตัวไว้ด้วยล่ะ
ด้วยเหตุนี้ครึ่งชั่วโมงต่อมาเยียนสุยจือจึงนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานของเด็กฝึกงานที่ฟิซซ์ให้คนมาจัดเอาไว้ เผชิญหน้ากับกู้เยี่ยนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานทนายตัวใหญ่
เยียนสุยจือดื่มกาแฟอึกหนึ่งอย่างเงียบ ๆ “…”
กู้เยี่ยนก็ดื่มกาแฟอึกหนึ่งเช่นกัน “…”
บรรยากาศหม่นหมองเป็นที่สุด ยากตัดสินในชั่วขณะว่าใครกำลังไหว้หลุมศพใครกันแน่ แล้วแก้วกาแฟในมือใครเหมือนขี้ชะมดที่ยังไม่ผ่านกรรมวิธีใด ๆ มากกว่ากัน
[1]นักกฎหมายประเภทหนึ่ง มีหน้าที่ว่าความในชั้นศาล และให้ความเห็นด้านกฎหมายต่อศาล
[2] หรือที่รู้จักกันในชื่อ Decidophobia เป็นอาการทางจิตชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยจะไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างปกติและหวาดกลัวผลลัพธ์ เมื่อต้องตัดสินใจเลือกบางอย่างจะมีอาการหวาดกลัว หวั่นวิตก อาจมีอาการทางกายร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ ใจสั่น หายใจถี่
[3] คือคำที่ใช้เหน็บแนมคนที่วางท่าใหญ่โตเพราะกลัวถูกคนอื่นมองข้าม
[4] หมายถึง คนปากเสีย พูดเรื่องร้ายอะไรก็เป็นจริงไปหมด