一级律师
คุณทนายความขั้นหนึ่ง
木苏里 มู่ซูหลี่ เขียน
isamare แปล
溫捌 เวินปา วาด
— โปรย —
เมื่อหลายเดือนก่อน เยียนสุยจือ ยังดำรงตำแหน่งทนายความขั้นหนึ่ง
ทั้งยังรับผิดชอบตำแหน่งคณบดีคณะนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเมซระหว่างดวงดาวอย่างสง่าผ่าเผยอยู่เลย
ไม่ทันไร ก็กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวและ ‘คนตาย’ ไปเสียแล้ว
เขาที่ถูกพาดหัวข่าวว่าเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุวางระเบิด
ได้บุคคลปริศนายื่นมือเข้ามาช่วยผ่าตัดปรับแต่งยีน ปรับเปลี่ยนใบหน้า สรีระและลดอายุ
จนอยู่ในรูปลักษณ์ของนักศึกษาจบใหม่ พร้อมบัตรประชาชนปลอมที่ใช้ชื่อว่า ‘หร่วนเหยี่ย’
ตัดสินใจสืบเรื่องคดีวางระเบิดของตัวเอง โดยแฝงตัวไปเป็นเด็กฝึกงาน
ในสำนักงานเซาธ์ครอสส์ซึ่งเป็นสำนักกฎหมายที่รับผิดชอบคดีนี้
ณ ที่นั้น เขาดันได้เจอกับ กู้เยี่ยน ลูกศิษย์จอมหน้าตายของตัวเองที่ความสัมพันธ์ไม่ลงรอย
อีกทั้งยังต้องเข้าไปเป็นเด็กฝึกงานในความดูแลของอีกฝ่ายที่ไม่เต็มใจจะอยู่ร่วมกันสักนิด
ไม่คิดจะรับเด็กฝึกงานงั้นเหรอ บังเอิญจัง ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
ความจริงแล้วนายจะส่งฉันไปให้ทนายคนอื่นก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องอยู่ที่นี่ ที่ไหนฉันก็โอเคทั้งนั้น
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 2.2
เด็กฝึกงาน
ขอโทษบ้าบออะไรของนาย!
เยียนสุยจือรู้สึกว่าบนใบหน้าเย็นชาดวงนั้นมีข้อความนี้แปะอยู่ชัดเจน แต่กู้เยี่ยนเพียงเม้มริมฝีปากบาง ๆ พลางขมวดคิ้วมองเขา หลังจากนั้นก็เบือนสายตาออกโดยไม่พูดสักคำ ราวกับว่าหากมองนานกว่านี้จะยิ่งหงุดหงิด
คอมพิวเตอร์โฟตอนบนโต๊ะทำงานทนายส่งเสียงแจ้งเตือนดังติดต่อกัน ตามมาด้วยหน้าฮอโลแกรมที่เริ่มเด้งรัวขึ้นมา ซ้อนกันเป็นกองตรงหน้ากู้เยี่ยนอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง ดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องด่วนมากจริง ๆ
ฟิซซ์ตรงดิ่งขึ้นมาชั้นบนท่ามกลางเสียงแจ้งเตือนข้อความอันบ้าคลั่งนี้
เสียงรองเท้าส้นสูงทั้งรีบร้อนและหนักแน่นราวกับจะเข้าร่วมสงคราม จนกระทั่งเหยียบบนพรมขนสัตว์สีเทาในห้องทำงานของกู้เยี่ยนถึงค่อยเบาลงและเงียบไปในที่สุด
“กู้? เมื่อกี้ฉันงงนิดหน่อย เดินเรื่องไปครึ่งหนึ่งแล้วถึงได้สติขึ้นมา” ฟิซซ์ปิดประตูข้างหลังลง เหลือบมองเยียนสุยจืออย่างรวดเร็ว “เด็กฝึกงานคนนี้มีปัญหาอะไรเหรอ นี่เพิ่งชั่วโมงเดียวก็จะให้เขากลับบ้านแล้ว?”
กู้เยี่ยนโยนเอกสารในมือไปด้านข้างแผ่วเบา หน้าฮอโลแกรมกลับไปอยู่ตำแหน่งเดิมโดยอัตโนมัติ
“ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่เหมาะจะรับเด็กฝึกงาน”
หืม?
เยียนสุยจืออึ้งไป
คิดว่ากู้เยี่ยนจะอ้างการกระทำเมื่อครู่ของเขามาเป็นเหตุผล แต่เมื่อทบทวนถี่ถ้วนแล้ว กู้เยี่ยนในวันวานก็คล้ายจะเป็นแบบนี้เช่นกัน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะไม่อธิบายมากความ และน้อยครั้งที่จะซุบซิบนินทากับบุคคลที่สามว่าใครทำอะไร ก่อให้เกิดผลอย่างไร ดังนั้นเขาถึงต้องทำอะไร…ต่อให้เหตุผลเหล่านั้นจะฟังขึ้นก็ตาม
นิสัยนี้แทบจะตรงกันข้ามกับสิ่งที่ศาลให้ความสำคัญโดยสิ้นเชิง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาชีพที่ทำหรือเปล่า บางคนเมื่อมาทำงานเป็นทนาย ชีวิตส่วนตัวก็คมคายขึ้นทุกที เอาแต่พูดข้อเท็จจริงตามหลักฐานไม่หยุดไม่หย่อน กู้เยี่ยนกลับไม่เป็นอย่างนั้น เขาตรงข้ามโดยสิ้นเชิง
ฟิซซ์กล่าว “แต่หนึ่งชั่วโมงก่อนอดัมส์เกลี้ยกล่อมนายสำเร็จแล้วไม่ใช่เหรอ นายเห็นไฟล์ประวัติของเด็กฝึกงานก็ตกปากรับคำเขา เขาบอกว่าแม้นายจะไม่ค่อยเต็มใจ แถมยังเหน็บเขา แต่สุดท้ายก็ตอบตกลงอยู่ดี นี่ฉันพูดตามคำบอกเล่าเป๊ะ ๆ เลยนะ ไม่ได้ผิดไปแม้แต่คำเดียว”
เยียนสุยจือแปลกใจยิ่งกว่าเดิม
ก็ไฟล์ประวัติอันว่างเปล่าของเขา ไม่ว่าใครดูแล้วต่างก็ต้องคิดว่าเจ้าของใช้ชีวิตอย่างไร้ปณิธาน ไม่อย่างนั้นทำไมทนายคนอื่น ๆ จึงเลือกเด็กฝึกงานไปคนแล้วคนเล่า แต่เหลือเขาไว้ให้มอร์ที่ไม่อยู่ในออฟฟิศ เพราะทุกคนต่างกลัวว่าจะเพิ่มภาระให้ตัวเอง
แต่ด้วยนิสัยของกู้เยี่ยน คาดไม่ถึงว่าเห็นไฟล์นั้นแล้วยังพยักหน้าตกลง กำลังล้อเล่นอะไรอยู่
หากความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ระหว่างเขากับกู้เยี่ยนในปีนั้นปรองดองกันดี เยียนสุยจือต้องสงสัยแน่นอนว่ากู้เยี่ยนจำตนได้ใช่หรือเปล่าถึงได้แหกกฎเพื่อตน
ทว่าน่าเสียดายมากที่ความจริงคือ หากกู้เยี่ยนจำเขาได้จริง ๆ เยียนสุยจือต้องถูกไล่ออกจากห้องทำงานเร็วขึ้น และคงไม่มีทางได้เงินค่าตอบแทนสามเดือนอย่างแน่นอน
ศาสตราจารย์เยียนมั่นใจในเรื่องนี้มาก
“ตอนนั้นฉันรับปากก็จริง” กู้เยี่ยนกล่าว “แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว”
“แต่ไหนแต่ไรนายไม่เคยเปลี่ยนใจกับเรื่องที่นายรับปากไปแล้ว” ฟิซซ์แย้ง “นายไม่เคยกลับคำพูดเลยสักครั้ง”
“งั้นตอนนี้เคยแล้ว”
“…”
ดูเหมือนว่าส้นรองเท้าของฟิซซ์ใกล้จะหักแล้ว
“ค่าตอบแทนสามเดือนถือว่าเป็นเงินชดเชยที่ฉันกลับคำพูด อีกครึ่งเดือนให้เขาไปหามอร์เถอะ” กู้เยี่ยนบอก
“ฮะ? อะไรนะ” ฟิซซ์หันมากะพริบตาปริบ ๆ ใส่เยียนสุยจือทันที “ไปหามอร์?”
กู้เยี่ยนพ่นลมผ่านจมูกก่อนตอบเสียงเย็น “อืม”
“ไปหามอร์?”
“…”
“ไม่ใช่เชิญออกเหรอ”
“…”
ถึงแม้กู้เยี่ยนจะหันกลับไปตอบข้อความบนคอมพิวเตอร์โฟตอนแล้ว และดูไม่มีทีท่าว่าจะตอบคำถามนี้ แต่ความเงียบอันเย็นชาก็เป็นการตอบรับในรูปแบบหนึ่ง
ตอนนี้เยียนสุยจือไม่เข้าใจเลยสักนิด ทั้งที่โกรธจนไม่อยากมองหน้าฉันสักแวบเดียว แต่ก็ไม่เชิญออก? ไม่เชิญออกไม่ว่า คิดไม่ถึงว่ายังจะให้เงินด้วย?
“กู้ บอกตามตรงนะ ฉันว่าวันนี้นายดูแปลก ๆ” ฟิซซ์พูดแทนในสิ่งที่เยียนสุยจือคิด
แน่นอนว่าก็แค่ประโยคนี้ประโยคเดียว เพราะวินาทีถัดมาฟิซซ์ก็ยิ้มแป้นกล่าว “แต่ก็น่าปลื้มใจมาก! ถ้าเชิญออกจริง ๆ ละก็จะยุ่งยากมาก ถึงยังไงเราก็มีข้อตกลงกับมหาวิทยาลัยเมซ จู่ ๆ จะเชิญนักศึกษาคนหนึ่งออกต้องแนบเอกสารกองโต ช่วงนี้ฉันค่อนข้างเวียนหัวตาลายกับตัวหนังสือบนจอด้วยสิ แค่เห็นเอกสารก็ปวดร้าวไปทั้งตัวแล้ว”
ทนายว่าความกู้ที่ครึ่งวันจะพูดสักประโยคหนึ่งก็ตอบกลับในที่สุด “ส่วนฉันปวดหัวกับเด็กฝึกงาน”
ฟิซซ์ “…
“เอาละ ไม่ว่ายังไงนายในวันนี้ก็รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น” เวลาฟิซซ์ชมใครขึ้นมานั้นไม่มีเหตุผลแม้แต่น้อย “หร่วนเองก็ต้องรู้สึกแบบนี้เหมือนกันแน่นอน”
เธอพูดพลางหันมามองเยียนสุยจือ
หร่วน? ใครน่ะ
ศาสตราจารย์เยียนยิ้มบางพลางสบตาเธอห้าวินาที
ในช่วงเวลาห้าวินาทีนี้ ทั้งห้องทำงานตกอยู่ในความเงียบสงัดที่ชวนหายใจไม่ออก รองเท้าส้นสูงของฟิซซ์กำลังจะหักอีกครั้งหนึ่งแล้ว
ห้าวินาทีถัดมา ในที่สุดเยียนสุยจือก็นึกขึ้นได้ว่าชื่อปลอมของตัวเองที่ใครไม่รู้ตั้งให้ก็คือ…หร่วนเหยี่ย
หร่วน-เหยี่ย ไม่ว่าเรียกด้วยคำไหนก็ล้วนแต่…
เยียนสุยจือลบคำว่า ‘หร่วน’ ทิ้งโดยอัตโนมัติแล้วตอบ “เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนพูดจาไม่เหมาะสมไปมาก ผมรู้สึกผิดไม่น้อย เลยอายที่จะอ้าปากพูด”
“ไม่เป็นไร เด็กใหม่ก็มักทำผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ กันทั้งนั้น ไม่ทำผิดสิแปลก…”
ฟิซซ์พูดเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับปัญหาความผิดพลาดจากความสะเพร่าและการให้อภัยในหลาย ๆ เคส ราวกับกำลังอ้อมไปอ้อมมาวงใหญ่ สุดท้ายแม้แต่กู้เยี่ยนที่อ่านเอกสารอยู่คนเดียวก็ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว เหลือบตาขึ้นเอ่ย “แล้วเธอจะย้ายเด็กฝึกงานคนนี้ไปให้มอร์เมื่อไร”
ฟิซซ์กระแอมทีหนึ่ง “ที่ฉันพูดอ้อมไปอ้อมมาอยู่นานก็เพราะอยากพูดถึงเรื่องนี้ละ”
“หืม?”
“ย้ายไม่ได้”
“…เหตุผลล่ะ”
“มือฉันค่อนข้างไว หนังสือรายงานตัวของเขาเสร็จสิ้นทุกขั้นตอนและอยู่ภายใต้ชื่อนายแล้ว ตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วย ย้ายไม่ได้แล้ว” ฟิซซ์ชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง
กู้เยี่ยน “เพราะแบบนี้งานที่ฉันสั่งไปเธอเลยทำไม่เสร็จสักอย่างสินะ”
“เปล่า อันที่จริงฉันทำเสร็จแล้วหนึ่งอย่าง” ฟิซซ์ตอบ “ฉันยื่นคำร้องเบิกค่าตอบแทนล่วงหน้าเสร็จแล้ว”
ไม่ทันขาดคำ บัตรสินทรัพย์ของเยียนสุยจือก็ส่งเสียงแจ้งเตือนข้อความดัง ‘ติ๊ง’
อยู่ดีไม่ว่าดี อุปกรณ์อัจฉริยะเครื่องนี้เพิ่งมาอยู่ในมือเขาได้ไม่กี่วัน เลยไม่มีการปรับตั้งค่าใด ๆ ทั้งนั้น แถมยังเป็นรูปแบบค่าเริ่มต้น ด้วยเหตุนี้จึงได้ยินเสียงสังเคราะห์ใสกังวานพูดขึ้นอย่างชัดเจน…
รายการเงินเข้า : 4,680 ซี
ประเภท : ค่าตอบแทนล่วงหน้า
บัญชีต้นทาง : บัตรสินทรัพย์สำนักงานของกู้เยี่ยน
ผู้ทำรายการ : ไอรีน ฟิซซ์
ยอดเงินคงเหลือ : 5,022 ซี
เยียนสุยจือ “…”
ทำได้แค่พูดว่าประสิทธิภาพการทำงานของสำนักงานกฎหมายเซาธ์ครอสส์สูงจนน่ากลัวเลยทีเดียว
พวกเธอไม่มาสอบถามสถานการณ์ก่อนก็เบิกเงินแล้ว? แถมเงินที่เบิกยังเป็นเงินของกู้เยี่ยนอีก
ห้องทำงานตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง…
ฟิซซ์หันมามองเยียนสุยจือด้วยสายตาเหลือเชื่อ “ถ้าไม่มีเงินค่าตอบแทนล่วงหน้า ยอดเงินคงเหลือในบัตรสินทรัพย์ของนายก็มีแค่ 300 กว่าซีเองเหรอ แล้วจะใช้ชีวิตอยู่ยังไง”
แม้แต่กู้เยี่ยนที่ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ยอมมองเขาก็ยังเลื่อนสายตามองมา
เยียนสุยจือยักไหล่ ยิ้มตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “โชคดีว่าตอนนี้ไม่เป็นแบบนั้นแล้ว”
อาจเป็นเพราะยอดเงินคงเหลือของเขาน่าอนาถเกินไปจนทำเอากู้เยี่ยนตกตะลึงไปแล้ว สุดท้ายเหตุการณ์ ‘เชิญออก’ แสนอลหม่านในช่วงเช้าก็จบลงเพียงเท่านี้ เยียนสุยจือเข้าสังกัดห้องทำงานของทนายกู้อย่างเป็นทางการ ทั้งยังได้รับการยอมรับและอนุญาตเป็นนัยจากเจ้าของห้องทำงานแล้วด้วย
กู้เยี่ยนไม่ได้สนใจเขาอีก วุ่นอยู่แต่กับงานของตัวเองจนเท้าไม่ได้แตะพื้น ระหว่างนั้นยังเจียดเวลาติดต่อผู้ช่วยสำนักงานข้างล่างเพื่อมอบหมายเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องหนึ่ง หลังจากนั้นก็รับสายแล้วออกจากห้องทำงานไปรวบรวมเอกสารสำนวนคดีทั้งหมดในช่วงห้าปีนี้มาโยนให้เยียนสุยจือโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
นี่คงเป็นภาระงานในช่วงแรกที่เด็กฝึกงานทุกคนต่างได้รับ…งานจัดเอกสาร
สมัยก่อนเยียนสุยจือก็เคยมอบหมายงานนี้ให้เด็กฝึกงานเช่นกัน แน่นอนว่าไม่ได้แปลกใหม่อะไร แต่พูดตามตรงว่างานแบบนี้ทั้งน่าเบื่อแถมยังเยอะมาก ทรมานเด็กฝึกงานเหลือเกิน
แต่เยียนสุยจือกลับเต็มใจอย่างยิ่ง ที่เขาต้องเข้ามาที่สำนักงานกฎหมายเซาธ์ครอสส์ในฐานะเด็กฝึกงานเพราะอะไร นั่นก็เพื่องานที่ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้นงานนี้ แบบนี้เขาถึงจะตรวจสอบข้อมูลรายละเอียดทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ ‘คดีระเบิด’ ได้อย่างเปิดเผย
คอมพิวเตอร์โฟตอนของเยียนสุยจือฉายหน้าฮอโลแกรมมาหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว และฉายอย่างต่อเนื่องไปจนถึงเวลาพักเที่ยง ก่อนที่เอกสารฮอโลแกรมเหล่านั้นจะถูกพับเก็บลง มันสูงจนแทบจะฝังเขาไปกับโต๊ะทำงานทั้งตัว
สุดท้าย ล็อค หนึ่งในเด็กฝึกงาน ซึ่งก็คือเด็กหนุ่มผมทองคนนั้น มาถามเขาว่าจะไปกินข้าวหรือเปล่า คอมพิวเตอร์โฟตอนเครื่องนั้นถึงได้หยุดทำงานลง
“พระเจ้า เยอะขนาดนี้เลย?” ล็อคถอนใจ “ทั้งหมดนี้เป็นคดีที่ทนายกู้เคยทำเหรอ”
“ไม่รู้สิ ยังไม่ได้อ่านละเอียดน่ะ” เยียนสุยจือพับเอกสารลง เอกสารกองแล้วกองเล่าถูกบีบเก็บกลายเป็นแถบราบบาง ๆ ในชั่วพริบตา ไม่ดูน่าหนักใจขนาดนั้นอีกแล้ว
“เอาจริงเอาจังเกินไปก็ไม่ดีเหมือนกัน” ล็อคกล่าว “ได้บอกไหมว่านายต้องจัดให้เสร็จเมื่อไร แล้วทำไมนายถึงดูมีความสุขมากขนาดนี้”
เพราะในที่สุดก็จะได้อ่าน ‘สาเหตุการตาย’ ของตัวเองอย่างละเอียดแล้วยังไงล่ะ
ทว่าหากพูดแบบนี้ออกไปล็อคคงจะหวาดกลัว ดังนั้นเยียนสุยจือจึงอ้างเหตุผลที่น่าเห็นใจแทน “เพราะในที่สุดก็จะได้ไปหาอะไรกินสักที”
เขากับล็อคออกมาเจอเด็กฝึกงานคนอื่น ทั้งหมดไปยังร้านอาหารที่อยู่ใกล้กับสำนักงานกฎหมาย
“จงเห็นคุณค่าในวันที่น้อยครั้งจะได้กินอาหารดี ๆ เถอะ” หญิงสาวที่ชื่อฟิลลิดากล่าวยิ้ม ๆ “วันหน้างานยุ่งขึ้นมา ฉันคงไม่จำเป็นต้องไดเอตแล้ว”
พอพูดประโยคนี้จบ แอนนา เด็กฝึกงานอีกคนก็มองมาทางเยียนสุยจือ “หร่วน? ทำไมนายถึงกินน้อยกว่าพวกเราสองคนอีกล่ะ”
เยียนสุยจือมีปัญหาสุขภาพที่คนเป็นทนายมักเป็นกัน นั่นคือ กระเพาะไม่ค่อยดี ปัญหานี้ค่อนข้างน่ารำคาญ จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ หากอดทนจนกระเพาะพังก็สามารถรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนกระเพาะใหม่ได้โดยตรง ไม่มีความเสี่ยงเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก เพราะกระเพาะไม่ได้เปลี่ยนได้บ่อย ๆ แต่ข้าวจำเป็นต้องกินทุกวัน
ช่วงนี้เยียนสุยจือยิ่งต้องระวังมากเป็นพิเศษเพราะไม่ได้กินอาหารแบบปกติมาครึ่งปีแล้ว ระหว่างนี้เลยกินมากเกินไปไม่ได้
แต่เขาไม่ชอบคุยปัญหาเรื่องสุขภาพเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ดังนั้นจึงทำเพียงกลืนอาหารอย่างเชื่องช้า ดื่มน้ำอุ่นตามอึกหนึ่ง ก่อนส่งยิ้มให้พวกเขา “กลับไปต้องเผชิญหน้ากับเอกสารกองโตขนาดนั้น ไม่ควรกินเยอะ เดี๋ยวจะอ้วกเอา”
ล็อคที่กำลังกินจานที่สองสำลักเส้นพาสต้าในคอ หันหน้าไอโขลกเหมือนคนโง่
ขณะที่กินมื้อกลางวันไปได้ครึ่งทาง จู่ ๆ เยียนสุยจือก็ได้รับข้อความหนึ่ง
มันส่งมาจากอพาร์ตเมนต์ที่เขาพักอาศัย ในตอนนั้นคนที่ช่วยชีวิตเขาใช้บัตรประชาชนปลอมและเบอร์ติดต่ออุปกรณ์อัจฉริยะของเขาในการเช่าอพาร์ตเมนต์ โดยไม่ทิ้งร่องรอยของตัวเองไว้เลยแม้แต่น้อย
เนื้อหาข้อความสั้นมาก มีเพียงสองประโยคเท่านั้น เยียนสุยจืออ่านจบแล้วรู้สึกกลืนอาหารแทบไม่ลง ข้อความที่อพาร์ตเมนต์ส่งมาแจ้งว่า ระยะเวลาเช่าจะสิ้นสุดในวันพรุ่งนี้ หากต้องการเช่าต่อต้องจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า
จ่ายล่วงหน้าครึ่งปี
“…”
ศาสตราจารย์เยียนกลุ้มใจเรื่องเงินเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี รู้สึกว่าถึงไม่ได้อ่านเอกสาร ตัวเองก็อยากอาเจียนแล้ว
ข้อความยังบอกด้วยว่า อีกสักครู่จะติดต่อเข้ามาเพื่อดำเนินการยืนยันด้วยเสียงกับเขา
ห้านาทีหลังจากนั้นเยียนสุยจือพลันได้รับสายเรียกเข้าจากหมายเลขที่ไม่รู้จัก คิดว่าจะต้องเป็นสายจากอพาร์ตเมนต์อย่างแน่นอน
เขากดรับสาย ยิ้มบางตอบไปตามตรง “ขอโทษครับ ไม่เช่าอพาร์ตเมนต์ต่อแล้ว”
ไม่มีเงิน จะให้เช่าบ้าเช่าบออะไรได้
ปลายสายเงียบไปหลายวินาที และคาดไม่ถึงว่าจะวางสายไปทันที
เยียนสุยจืองุนงง โดยปกติแล้วการบริการติดต่อจากอพาร์ตเมนต์ไม่น่าจะเป็นแบบนี้???