[ทดลองอ่าน] ม่านหมอก (ไร้สิ้นสุด) บทที่ 5

薄雾[无限]
ม่านหมอก (ไร้สิ้นสุด)

微风几许 เวยเฟิงจี๋สวี่ เขียน
ธมน แปล
라일 (Lyle) วาด
Zinlin Xin ไทโป

– โปรย –

ผู้ที่ป่วยเป็นโรคไฮเปอร์ธีมีเซียจะสามารถจดจำทุกรายละเอียดในชีวิตได้อย่างชัดเจน
ตั้งแต่จุดเปลี่ยนของโลกไปจนถึงทุกความคิดเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในหัว
ความจำอันดีเยี่ยมและความกระหายในความรู้ของพวกเขา
ทำให้พวกเขากลายเป็นอัจฉริยะในแง่หนึ่งได้อย่างง่ายดาย
ว่ากันว่า ‘จี้อวี่สือ’ คืออัจฉริยะอย่างที่กล่าวมา แถมยังหน้าตางดงามมากเสียด้วย
และข่าวที่ว่าเขาจะไปช่วยงานหน่วยเจ็ดแห่งโดมท้องฟ้าก็แพร่สะพัดไปทั่ว

ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่า ‘ซ่งฉิงหลาน’ ผู้เป็นหัวหน้าของหน่วยเจ็ดนั้นเก่งกาจมากความสามารถ และมีบุคลิกดุดัน
เขาใช้ความสามารถอันเหนือชั้นของตัวเองจนกลายเป็นม้ามืดแห่งสนามรบได้ภายในสองปี

และเขายังเกลียดพวกไม้ประดับที่โดนเบื้องบนยัดเข้ามาในทีมเขาเป็นที่สุด

แล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่อทราบข่าวเรื่องการมาของจี้อวี่สือ ซ่งฉิงหลานแสดงความเห็นต่อหน้าทุกคนว่า
“มาแล้วช่วยอะไรได้ พวกเราจะออกไปเสี่ยงตาย
ไม่ได้ต้องการอัจฉริยะที่อ่านหนังสือเร็วแบบควอนตัมได้!”

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

 

มีชายจรจัดที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือดสด ๆ กระโจนเข้าหาใครก็ตามที่พบเห็นในป่าของอุทยานช่วงเวลาเช้ามืด แถมยังสติไม่สมประกอบ เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่ปกติอยู่แล้ว

บวกกับมีแนวโน้มสูงว่าอีกฝ่ายจะป่วยด้วยโรคอะไรบางอย่าง รูปลักษณ์ที่กระตุ้นความรู้สึกเกินไปหน่อยทำให้ทุกคนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

ซ่งฉิงหลานคว้าไฟฉายจากมือจี้อวี่สือมาปิด

รอบด้านตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง จี้อวี่สือได้ยินอีกฝ่ายพูด “ให้ตายสิ ก่อนออกจากบ้านน่าจะดูปฏิทิน[1]สักหน่อย ดันทำลายสถิติผู้พิทักษ์ที่ถูกคนพื้นที่พบเห็นเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ไปซะได้ ตอนกลับไปห้ามรายงานใครทั้งนั้น ถ้าโดนหักคะแนนละก็ ไอ้พวกเวรหน่วยเก้านั่นแซงหน้าพวกเราแน่”

จี้อวี่สือ “…”

ซ่งฉิงหลานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนยามปกติ เพื่อดึงทุกคนออกจากบรรยากาศลึกลับแปลก ๆ

นี่เป็นการเตือนสติอย่างหนึ่งว่า พวกเขาเป็นผู้พิทักษ์ และขณะนี้กำลังอยู่ในมิติเวลาที่พวกเขาไม่ควรอยู่

“ทิ้งเขาไว้แถวนี้ก่อน ต้องมีคนมาเจอเขาแล้วแจ้งตำรวจแน่” ซ่งฉิงหลานว่า “มืดจนมองอะไรไม่เห็น พวกเราต้องออกไปแล้วหาทางติดต่อกับโดมท้องฟ้าในมิติเวลานี้ ตอนออกไปก็คอยสังเกตสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ด้วย ยกระดับการระวังตัว เป็นไปได้ว่าอาจต้องผ่านจุดเกิดเหตุฆาตกรรม”

ทุกคน “รับทราบ!”

มีการแจกจ่ายอาวุธตามระเบียบปฏิบัติก่อนจะออกจากจุดหยุดพักชั่วคราว

โจวหมิงเซวียนเปิดคลังยุทโธปกรณ์ ในนั้นมีทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นปืนยาว ปืนสั้น มีดพก หรือมีดทหาร พวกผู้พิทักษ์จะได้ครอบครองอุปกรณ์ที่ทันสมัยที่สุด แต่ละคนต่างมีอาวุธที่ตัวเองถนัด ยามคับขันควรเลือกใช้มาตรการจำเป็น พวกเขาจำต้องเตรียมการทุกอย่างให้พร้อมทุกเมื่อเผื่อคราวจำเป็นในมิติเวลาของอนาคต

นี่เป็นครั้งแรกที่จี้อวี่สือพกอาวุธระหว่างทำภารกิจ เมื่อถึงคิวของเขา เขาเลือกปืนพกกระบอกหนึ่งที่ตัวเองใช้บ่อย ๆ ตอนอยู่ที่ห้องฝึกซ้อมส่วนตัวในช่วงหลายวันมานี้

ตัวกระบอกปืนเป็นสีขาวเงิน ขนาดเล็กกะทัดรัด สะดวกต่อการพกพาและเก็บซ่อนมากทีเดียว

“ไดมอนด์เบิร์ด” ซ่งฉิงหลานที่ยืนอยู่ข้างเขาพูดชื่อของปืนออกมา “ออกแบบตามสไตล์ PPK[2] ในศตวรรษก่อน เคยใช้มาแล้วทั้งบอนด์ ทั้งฮิตเลอร์ ที่ปรึกษาจี้ คุณโบราณมาก”

“อะไรนะ” จี้อวี่สือไม่เข้าใจ แค่ปืนกระบอกเดียวก็มองว่าเขาหัวโบราณแล้วหรือ

แต่ซ่งฉิงหลานกลับไม่ได้อธิบายว่าทำไมเขาถึงพูดเช่นนั้น  เพียงแต่เอ่ยว่า “สถานการณ์แบบนี้ ถ้าเป็นผม ผมจะพยายามเลือกอาวุธที่สามารถป้องกันตัวเองได้ดีกว่านี้ แต่ก็นะ เหมาะกับคุณดี”

จี้อวี่สือ “…” เขารู้ว่ามีคนในทีมเรียกไดมอนด์เบิร์ดว่าปืนสาวน้อย

ซ่งฉิงหลานเชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิด กล้ามเนื้อที่ตึงแน่นได้สัดส่วนไปทั้งตัวบ่งบอกถึงเรื่องนั้นได้เป็นอย่างดี

เห็นเพียงอีกฝ่ายเลือกไปตามลำดับ เริ่มจากมีดพกทหารสองเล่มที่เอาสอดไว้ในแถบรัดซึ่งผูกกับหน้าแข้งยาว ตามด้วยถุงมือหนึ่งคู่  กรงเล็บเหล็กหนึ่งคู่ และจบด้วยการเลือกปืนลูกซอง

เสินเหมียน

นั่นคือโค้ดเนมของปืนกระบอกนี้ น้ำหนักของมันไม่เบาเลย ทั้งยังมีพลังทำลายล้างรุนแรง ให้ความรู้สึกเหมือนกับซ่งฉิงหลานผู้นี้ที่พยศ เอาแต่ใจ ยากจะมองข้าม

หลังจากเลือกอาวุธเรียบร้อยแล้ว ซ่งฉิงหลานก็เอ่ยถาม “ใช้อาวุธเมื่อควรใช้ ทางที่ดีอย่าเอาไว้ห่างตัว แต่คุณรู้หรือเปล่าว่าต้องทำยังไง ถ้าเกิดถูกคนพื้นที่เห็นว่าคุณพกอาวุธ”

นัยน์ตาสีดำของเขาจับจ้องจี้อวี่สือที่อยู่ตรงหน้า เอ่ยสอนอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแฝงแววล้อเลียน “ก็บอกว่าคุณเป็นตำรวจ”

 

เมื่อเดินออกจากป่า ทุกคนถึงได้รู้ว่าสถานที่ที่พวกเขาเดินทางมาถึงนั้นเป็นสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง

ซ่งฉิงหลานพูดถูก ทันทีที่มาถึงถนนสายหลักของสวนสาธารณะ พวกเขาก็พบศพร่างหนึ่งใต้โคมไฟริมทาง ถึงจะพูดว่าร่างหนึ่ง แต่อันที่จริงแล้วศพนั่นเหลือเพียงครึ่งท่อน บาดแผลบนผิวเหมือนถูกสัตว์อะไรบางอย่างกัด  ชวนให้นึกถึงชายจรจัดเสียสติชวนสะพรึงคนนั้นขึ้นมาทันที

เมื่อรวมกับชิ้นเนื้อบนตัวของชายจรจัดคนเมื่อครู่แล้ว  ทุกคนก็รู้สึกอยากจะสำรอก

ถูกกินอย่างนั้นเหรอ

นี่ไม่เพียงแต่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาถูกคนพื้นที่เจอตัวเร็วที่สุด แต่ยังเป็นครั้งที่หนักหน่วงที่สุดด้วย

ที่นี่เป็นสวนป่าขนาดย่อมตั้งอยู่ใจกลางเมืองที่ล้อมรอบไปด้วยอาคารสูง ขณะนี้เป็นเวลาตีห้า น่าจะมีคนที่ออกกำลังกายตอนเช้า หรือผู้สูงอายุมาเดินเล่นและออกกำลังกายที่สวนสาธารณะบ้างแล้ว  ทว่าตลอดทางกลับไม่เจอมนุษย์เลยสักคน

ขยะถูกลมพัดปลิวไปทั่วจนสามารถมองเห็นได้ทุกที่  ไม่ว่าจะบนสนามหญ้าหรือบนม้านั่งยาว คล้ายกับไม่มีเจ้าหน้าที่สุขาภิบาลมาทำความสะอาดเป็นเวลานานแล้วท่ามกลางสภาพถูกทิ้งร้าง และยังสามารถเห็นคราบเลือดสีแดงคล้ำที่แห้งกรังอยู่บางจุดบนพื้นถนน  ดูเหมือนว่าที่แห่งนี้จะไม่ได้เกิดคดีฆาตกรรมขึ้นแค่คดีเดียว

เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป นอกจากไฟริมทางไม่กี่ดวงในสวนสาธารณะที่ยังคงส่องสว่างอยู่แล้วก็แทบจะไม่พบร่องรอยของแสงไฟเลย

ไม่เพียงเท่านั้น หน้าต่างของอาคารสูงทุกแห่งที่อยู่ห่างออกไปล้วนแต่มืดสนิท พวกมันยืนแกร่วอย่างไร้ชีวิตชีวาอยู่ภายใต้ท้องฟ้าสีเทาเข้ม

เมืองแห่งนี้เงียบจนน่ากลัว เพราะปราศจากเสียงจอแจอันคุ้นเคยยามเช้า คล้ายกับตกอยู่ในความเงียบงันไร้ซึ่งวี่แววแห่งชีวิต

และที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือ ยิ่งห่างจากสวนป่ามากเท่าไร กลิ่นเหม็นเน่าจาง ๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศก็ยิ่งชัดเจนขึ้นมากเท่านั้น ราวกับว่า ณ สถานที่ที่พวกเขามองไม่เห็นยังมีสิ่งที่ไม่รู้ชัดมากกว่านี้รออยู่

เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่กันแน่

แสงสีขาวปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้า ดวงอาทิตย์ใกล้จะขึ้นแล้ว

แต่สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ร้างไร้ผู้คนยังคงปกคลุมด้วยเงามืดแสนอึมครึม

ด้วยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอันตราย ซ่งฉิงหลานจึงส่งสัญญาณมือโดยไร้เสียง

ทุกคนพากันเตรียมพร้อมคอยระวัง ตั้งแถวแล้วพากันมองไปรอบ ๆ

จี้อวี่สือเดินไปอยู่ทางซ้ายมือของซ่งฉิงหลาน  เรียวนิ้วสวยงามของเขาจับกระบอกปืนไว้และบรรจุกระสุนใส่ไดมอนด์เบิร์ดด้วยความคล่องแคล่ว  การกระทำนี้ดูเข้าขากับคนในทีมมากทีเดียว แต่เมื่อดูจากปฏิกิริยาของจี้อวี่สือตอนเผชิญกับอันตรายในป่าแล้ว ซ่งฉิงหลานก็เอียงหน้าพยักพเยิดไปทางอีกฝ่าย

นัยน์ตาสีดำของซ่งฉิงหลานสื่อความหมายชัดเจน : ไปอยู่กลางวง

ทว่าจี้อวี่สือกลับไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นไม้ประดับของทีมเลยสักนิด เขายังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจใคร คล้ายกับไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย

ไม่กี่วินาทีถัดมา  เขากดเสียงต่ำ เอ่ยบอกด้วยความรวดเร็ว “หัวหน้าซ่ง สิบเอ็ดนาฬิกา ที่ทำการอุทยาน”

ซ่งฉิงหลานหรี่ตามองไปตามทิศที่อีกฝ่ายบอก ความมืดปกคลุมไปทั้งแถบ เขามองไม่เห็นอะไรเลย

จี้อวี่สือพูดขึ้นอีกครั้ง “เหมือนมีแสงไฟจากข้างใน”

คุณสมบัติขั้นต่ำที่ผู้สังเกตการณ์ต้องมีก็คือความหูไวตาไว ก่อนหน้านี้ตอนที่เหล่าอวี๋ยังอยู่ ซ่งฉิงหลานยกให้เขาเป็นหูเป็นตาของหน่วย และไม่เคยคลางแคลงต่อการประเมินของผู้สังเกตการณ์

ด้วยเหตุนี้ซ่งฉิงหลานจึงเอ่ยเสียงเข้ม “ลองไปดู”

ความเป็นจริงได้พิสูจน์ว่าจี้อวี่สือมีความสามารถในการมองเห็นเป็นเลิศ

จากการบอกกล่าวของเขา ทุกคนต้องเดินต่อไปอีกระยะหนึ่งถึงจะสามารถแยกแยะสิ่งปลูกสร้างที่ซ่อนตัวอยู่ข้างพุ่มไม้ออก บนบานประตูของอาคารเตี้ย ๆ มีป้ายแขวนอยู่ : “ที่ทำการอุทยานกลาง PU-31”

“ไอ้ PU-31 มันคืออะไร” เสียงใครสักคนพูดขึ้นเบา ๆ “ไม่มีสถานที่ชื่อนี้นี่นา”

ทุกคนต่างสงสัย พิกัดเวลาในปัจจุบันคือ ศักราชซิงหยวน ปี 1470 ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมาจากเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่คงไม่ถึงกับต้องใช้ชื่อสถานที่แบบนี้หรอกมั้ง

อยู่ห่างตั้้งขนาดนี้ ตัวอักษรก็เล็กแค่นั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าจี้อวี่สือมองเห็นได้ยังไง

เมื่อเข้าไปด้านในซ่งฉิงหลานถึงได้รู้ว่าแสงไฟที่อีกฝ่ายบอกมาจากโคมไฟตั้งโต๊ะที่อยู่บนโต๊ะทำงานไม้เนื้อแข็งตรงมุมห้องเพียงเท่านั้น

สายตาของคนคนนี้สามารถซูมจุดโฟกัสได้หลายเท่าหรือไง

ภายในที่ทำการอุทยานว่างเปล่า เงียบเชียบ ไร้วี่แววแห่งชีวิตเหมือนกับโลกด้านนอก

ลูกทีมสองสามคนเข้าไปตรวจดูห้องอื่น ๆ ซ่งฉิงหลานหยิบเครื่องมือสื่อสารบนโต๊ะของเจ้าหน้าที่ขึ้นมาก็พบว่าเครื่องได้ดับไปแล้ว เนื่องจากแบตเตอรี่หมด บนโต๊ะเองก็ระเกะระกะไปหมด มีทุกอย่างทั้งกุญแจ หนังสือพิมพ์ ใบลงทะเบียนและกล่องอาหารเดลิเวอรี่

เพียงไม่นาน ทังเล่อก็ออกมา “หัวหน้า พบศพอยู่ในห้องน้ำ!”

ร่างที่อยู่ในห้องน้ำสวมชุดเครื่องแบบ ดูเหมือนจะเป็นเจ้าหน้าที่ของที่นี่

ศพนอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น บนลำคอมีโพรงบาดแผลขนาดใหญ่ที่ทะลุไปถึงสมอง มองเห็นเนื้อเน่าเปื่อยและหลอดเลือดได้อย่างชัดเจน  ซ่งฉิงหลานหยิบผ้าขนหนูผืนหนึ่งมาพันมือไว้ลวก ๆ แล้วพลิกร่างนั้นให้หงายขึ้น เป็นไปตามคาด คนคนนี้เหมือนกับชายจรจัดที่เจอเมื่อครู่  ผิวบนใบหน้าซีดขาว เส้นเลือดสีเขียวกระจายไปทั่วคล้ายร่างแห ที่ต่างกันคือใบหน้าของศพนี้แข็งทื่อ ดวงตาสองข้างปิดสนิท ทว่ายังคงหลงเหลือสภาพร้องโหยหวนก่อนตายเอาไว้ ภายในปากที่อ้ากว้างมีหนอนชอนไช ทำเอาคนที่มุงดูอยู่ขนหัวลุก

ภายในพื้นที่คับแคบอากาศไม่ถ่ายเททำให้กลิ่นเหม็นรุนแรง มีเสียงคลื่นไส้ดังขึ้นเบา ๆ

ซ่งฉิงหลานไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง “หลี่ฉุน นายลองอ้วกให้ฉันเห็นอีกรอบสิ”

ทุกคนที่อัดกันอยู่ในห้องน้ำหันกลับไปมองด้วยสายตาอาฆาต หลี่ฉุนยกมือขึ้นอย่างไม่รู้เรื่อง “รอบนี้ไม่ใช่ผมจริง ๆ!”

จี้อวี่สือที่ยืนอยู่ตรงปากประตูเอามือปิดปากแล้วรีบวิ่งออกไป

ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้วสินะ ซ่งฉิงหลานคิด

ทว่าไม่ว่าเป็นใคร ตอนนี้เขาก็ไม่มีเวลามาดูแลสภาพจิตใจของสมาชิกในทีมคนไหนทั้งนั้น

เขาพิจารณาศพอยู่สองสามวินาที คราวนี้เขาไม่ได้ใช้มือโดยตรงเหมือนครั้งแรก แต่ชักมีดพับออกมาจากสายรัดตรงหน้าแข้ง แล้วเปิดเปลือกตาของผู้ตายด้วยด้ามมีด

เป็นอย่างที่คิดไว้ ดวงตาของผู้ตายเป็นสีขาวขุ่นเช่นเดียวกับชายจรจัด ยิ่งไปกว่านั้นยังยากจะแยกว่าส่วนไหนคือม่านตาท่ามกลางลูกตาที่ขุ่นทึบไปทั้งดวง

หลี่ฉุนเอ่ย “เชี่ย อาการเดียวกับไอ้บ้าเมื่อกี้เลย นี่มันอะไร โรคติดต่อเหรอ”

เมื่อหวนคิดไปถึงตัวเองที่เกือบจะถูกกัด หรือก็คือเกือบจะติดเชื้อ ทำเอาหลี่ฉุนนึกกลัวขึ้นมาทันที

ซ่งฉิงหลานพูด “อาจจะใช่ แต่พวกเรายังฟันธงไม่ได้”

รวมกับศพในสวนสาธารณะ บวกกับคราบเลือดอื่น ๆ…ชายจรจัดเสียสติคนหนึ่งจะสามารถก่อคดีฆาตกรรมได้มากขนาดนี้จริง ๆ น่ะหรือ เขาแสดงความสงสัย

จี้อวี่สือกลับไม่ได้อาเจียนออกมาจริง ๆ

ตอนที่ซ่งฉิงหลานกลับไปยังห้องทำงานของเจ้าหน้าที่ จี้อวี่สือกำลังสำรวจอุปกรณ์สื่อสารที่ไม่มีสัญญาณเครื่องนั้น นอกจากสีหน้าที่ดูซีดเซียวเล็กน้อยแล้ว เขาก็จัดการสภาพตัวเองจนเรียบร้อย

เมื่อเห็นพวกเขาออกมา จี้อวี่สือก็เอ่ยบอก “ผมเจอคลิปวิดีโอคลิปหนึ่ง

“ผมเจอพอร์ตชาร์จไฟของอุปกรณ์สื่อสารในลิ้นชัก” ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับการแสดงความเห็นต่อหน้าผู้คนนัก จี้อวี่สือเอ่ยต่ออย่างไร้ความรู้สึก “หลังจากเปิดเครื่องก็เจอคลิปนี้ที่ดาวน์โหลดไว้เมื่อหนึ่งเดือนก่อน”

อุปกรณ์สื่อสารฉายวิดีโอนั่นขึ้นมา

ในภาพปรากฏชายคนหนึ่งที่บนใบหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีเขียวโยงใยเป็นร่างแห ลูกตาสีขาวขุ่นปูดโปน กำลังพุ่งตัวใส่เลนส์กล้องอย่างบ้าคลั่ง คนถ่ายพลันส่งเสียงกรีดร้อง ในภาพที่สั่นไหวไปมา ชายคนนั้นถูกโซ่เหล็กดึงลำคอไว้ ลำคอถูกกระชากอย่างรุนแรงจนเป็นรอยจ้ำเลือด แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ยังคงอ้าปากกว้างแล้วกระโจนใส่อย่างเสียสติ ส่งเสียงคำรามดัง “ฮื่อๆ” ออกมาจากลำคอ

คนที่ถ่ายเป็นผู้หญิง เสียงร้องไห้ของเธอดังออกมาจากในคลิป “ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย…สามีของฉันกลายร่างแล้ว! ข้างนอก ข้างนอกนั่นยังมีอีกเยอะเลย! ช่วยฉันด้วย ฉันไม่อยากตาย! ฉันไม่ได้โดนกัด! ใครก็ได้มาช่วยฉันที!”

คลิปจบที่ใบหน้าน่ากลัวของผู้ชายคนนั้น

ทุกคนสั่นสะท้าน

“มันคือซอมบี้!!”

“ถ้าเป็นซอมบี้จริง ๆ งั้นด้านนอกต้องมีแบบนี้อยู่อีกเพียบแน่!”

“เวรเอ๊ย มิน่าล่ะ ที่นี่ถึงได้แปลกขนาดนี้!”

“นี่เป็นคลิปตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว!”

                ทันทีที่ดูหนังสยองขวัญจากเรื่องจริงนี้จบ สีหน้าของจี้อวี่สือก็แปลกไปเช่นกัน “อุปกรณ์สื่อสารไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต แต่เมื่อกี้ผมเพิ่งได้รับข้อความ น่าจะส่งถึงพวกเรา”

โจวหมิงเซวียนเอ่ยด้วยความแปลกใจ “ข้อความอยู่ในอุปกรณ์สื่อสารของผู้ตาย แต่กลับส่งถึงพวกเราเนี่ยนะ”

เขาเน้นย้ำคำว่า “พวกเรา”

นี่จะแปลกเกินไปแล้ว

ทว่าจี้อวี่สือกลับยืนยันคำเดิม “ผมคิดว่าใช่”

ซ่งฉิงหลานเอ่ยเสียงเรียบ “เปิดดู”

แสงสีฟ้ากะพริบเล็กน้อย ภาพโฮโลแกรมค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมา

สมาชิกในทีมล้อมวงเข้ามาอ่านข้อความบนจอฉายแล้วก็ต้องมองหน้ากัน

[ยินดีต้อนรับเหล่าผู้พิทักษ์จากศักราชซิงหยวน ปี 1456 สู่ PU-31 ]

ถ้อยคำต้อนรับอันคุ้นเคยของระบบโดมท้องฟ้าที่แต่เดิมควรทำให้รู้สึกโล่งใจ กลับทำให้รู้สึกเย็นสันหลังวาบในขณะที่ความสงสัยก็ยังคงไม่หายไป

ไม่เพียงเพราะข้อความนี้ถูกส่งถึงพวกเขาจริง ๆ แต่ยังเป็นเพราะข้อความบรรทัดที่สองและสามที่ปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

[การเดินทางนี้ครั้งนี้ถูกล็อกไว้แล้วและจะปลดล็อกหลังจากภารกิจสำเร็จ] [โหมดภารกิจ : อูโรโบรอส ] [กฎของภารกิจ:ตายคัดออก]

“ทุกคนดูนั่น!!” จู่ ๆ ทังเล่อที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างก็ชี้ไปด้านนอกพร้อมตะโกนเสียงดัง

ทุกคนเดินไปทางนั้นทันที

แล้วก็ต้องอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง

กำแพงสีดำสูงจากพื้นดินจรดท้องฟ้าปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลัน แล้วขยายยาวไปตลอดทางที่พวกเขาเพิ่งมา

ไม่สิ จะบอกว่าเป็นกำแพงสีดำก็ไม่ถูก

ถ้าให้อธิบายจริง ๆ มันเหมือนกับภาพจอดำตอนกำลังดาวน์โหลดเกมจำลองนั่นแหละ มันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว กลืนกินทั่วทุกบริเวณตั้งแต่ท้องฟ้าจรดพื้นดิน กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ตาสามารถมองเห็นได้ กระทั่งถึงบริเวณด้านหน้าที่ทำการอุทยานถึงค่อย ๆ หยุดลง

“ตื๊ด—” เสียงแจ้งเตือนดังออกมาจากเครื่องมือสื่อสาร

ปรากฏข้อความบรรทัดสุดท้ายบนจอฉาย

[วัตถุประสงค์ของภารกิจ :ผู้ไล่ล่าความมืด]

 

 

[1] คนสมัยก่อนมักจะดูปฏิทินโหราศาสตร์ก่อนออกจากบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์โชคร้าย

[2] ย่อมาจาก Polizeipistole Kriminalmodell เป็นปืนพกพาขนาดเล็กกะทัดรัด ขนาด 7.65 x 17 มิลลิเมตร

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า