จากข้อมูลผลวิจัย Thai Mom Top of Mind ปี พ.ศ. 2560 ที่สำรวจโดย Amarin Baby & Kids พบว่า “การอ่านหนังสือกับลูก” ติดอันดับ 1 ใน 3 กิจกรรมที่พ่อแม่ทำกับลูกในวันธรรมดาและอยากทำเพิ่มในอนาคต เพื่อให้ลูกมีนิสัย รักการอ่าน
จากผลสำรวจการอ่านของประชากร ปี พ.ศ. 2558 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าสถิติการอ่านของเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบเพิ่มสูงถึง 60.2% ซึ่งมากขึ้นกว่าปีก่อนๆ แสดงว่าพ่อแม่เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการปลูกฝังให้ลูก รักการอ่าน และความสำคัญของหนังสือสำหรับเด็กมากขึ้น
แต่ก็ยังมีเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบอีกเกือบ 40% หรือประมาณ 1.8 ล้านคน ที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงหนังสือเลย สาเหตุหลักๆมีอยู่ 2 ข้อ คือ หนึ่ง ผู้ใหญ่ไม่อ่านให้ฟังเพราะคิดว่าเด็กยังเล็กเกินไป ยังไม่เข้าใจความหมายของเรื่องราวที่อยู่ในหนังสือ ซึ่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์สูงถึงเกือบ 62% ข้อสองคือ ผู้ใหญ่ไม่มีเวลาอ่านหนังสือให้เด็กฟัง คิดเป็น 25%
เด็กช่วงวัย 0-6 ขวบเป็นช่วงที่สมองเจริญเติบโตสูงสุดถึง 80% เป็นช่วงแห่งการเตรียมพร้อมทั้งร่างกาย ความคิด และจิตใจ การอ่านหนังสือกับลูกเป็นกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นให้สมองของเด็กพัฒนาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุด เพราะเด็กได้ทั้งฝึกคิด ฝึกจินตนาการ ฝึกเชื่อมโยงความหมายของสิ่งต่างๆ ฝึกการฟังซึ่งจะส่งผลต่อการพูด ฝึกการสังเกตสิ่งต่างๆที่อยู่ในหนังสือ ได้ใช้กล้ามเนื้อตา และกล้ามเนื้อนิ้วมือในการจับหนังสือ รวมทั้งฝึกสมาธิด้วย อีกทั้งเวลาในการอ่านหนังสือร่วมกันยังสร้างสายใยความผูกพันระหว่างพ่อแม่กับเด็ก เขาจะรู้สึกถึงความรักความอบอุ่น และทำให้เติบโตไปเป็นเด็กที่มีจิตใจมั่นคง ซึ่งทั้งหมดนี้คือความมหัศจรรย์ของการอ่าน
เพียงแค่อ่านหนังสือวันละ 15 นาที
สร้างความแตกต่างระหว่างเด็กที่พ่อแม่อ่านหนังสือให้ฟังกับเด็กที่พ่อแม่ไม่อ่านหนังสือให้ฟังได้
หลายคนอาจสงสัยว่าอ่านเพียงวันละ 15 นาทีมันจะได้ผลจริงหรือ
เรื่องนี้ได้รับการพิสูจน์แล้ว
ผู้อำนวยการโรงเรียนคนหนึ่งในสหรัฐอเมริกาใช้วิธีอ่านหนังสือให้เด็กมัธยมฟังวันละ 10 นาที แต่สามารถเปลี่ยนโรงเรียนที่เกือบถูกปิดเพราะผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาต่ำมาก ให้กลายเป็นโรงเรียนที่ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาสูงภายในเวลาไม่ถึง 3 ปี จนมีเด็กรอคิวเพื่อเข้าเรียนที่นี่ถึง 15 หน้ากระดาษ
นิตยสาร Time ได้ตีพิมพ์เรื่องของผู้อำนวยการคนนี้ และเรื่องนี้ก็กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อำนวยการโรงเรียนคนหนึ่งในญี่ปุ่นนำการอ่านวันละ 10 นาทีมาใช้ในโรงเรียนของเขา แล้วได้รับผลบวกเป็นอย่างมากในชั่วเวลาเพียง 1 ปี เขาจึงตัดสินใจเขียนจดหมายชักชวนโรงเรียนต่างๆ ให้ใช้การอ่านหนังสือให้นักเรียนฟังเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จนถึงตอนนี้มีโรงเรียนกว่า 3,500 โรงในญี่ปุ่นที่ใช้วิธีให้เด็กอ่านวันละ 10 นาทีทุกวันก่อนเข้าเรียน
นี่ขนาดเป็นเด็กประถมเด็กมัธยมซึ่งถือว่าโตแล้ว ยังได้รับผลสัมฤทธิ์ขนาดนี้ แล้วถ้าเราเริ่มตั้งแต่ยังเล็กซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สมองกำลังพัฒนาเต็มที่ ผลที่ได้จะมหัศจรรย์ขนาดไหน เพราะฉะนั้นแล้วเพื่ออนาคตที่ดีของลูก สละเวลาวันละ 15 นาทีถือว่าไม่มากเลย แน่นอนว่าจะต้องเกิดนิสัย รักการอ่าน
คำแนะนำจากนายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็ก
“ทดลองอ่านวันละ 15 นาทีให้ลูกหลานฟัง ผมสามารถให้คำรับรองได้ว่าพฤติกรรมลูกจะเปลี่ยนไปใน 7 วัน ไม่มากก็น้อย และจะนิ่ง ฟัง ใส่ใจ มีสมาธิภายในเวลาไม่เกิน 1 เดือน แล้วเมื่อผ่านไป 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี จะพบว่าเด็กเปลี่ยนไปอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม ความว่านอนสอนง่าย ความเฉลียวฉลาด สติปัญญา พัฒนาการด้านการใช้ภาษา และความสามารถในการสื่อสาร แล้วเมื่อผ่านไป 10 ปี เขาจะมีฐานของการคิดวิเคราะห์ตามพัฒนาการที่เรียกว่าวิธีคิดเชิงรูปธรรม (concrete operation) อย่างแน่นหนา เป็นฐานที่แข็งแรงสำหรับการต่อยอดพัฒนาการด้านการคิดวิเคราะห์ไปสู่ขั้นวิธีคิดเชิงนามธรรม (abstract operation) อันจะช่วยให้เขามองภาพรวมของสรรพสิ่งได้ดีมาก”
Pingback: ชวนดู 4 นวัตกรรมสุดเจ๋งสำหรับ หนอนหนังสือ ยุค 4.0 (อยากได้จัง ~)