ฝันรักในเงาเมฆ
别想打扰我暴富
เย่ว์หลิวกวง 月流光 เขียน
สี่เมษา แปล
Jadeline วาดปก
นิยายเล่มเดียวจบ
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
_________________________
1
เที่ยวบินล่าช้า
เมฆดำก่อตัวหนาอยู่ภายนอกอาคารผู้โดยสารขาออก เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังเข้ามาภายใน เสียงฝนกระทบหน้าต่างกระจกของตัวอาคารฟังดูเหมือนเสียงกลองชัยที่ดังในสนามรบ นกเหล็กที่ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งก้าวล้ำของโลกสามารถทนแดดทนฝน แต่ไม่อาจต้านทานอารมณ์หงุดหงิดที่กำลังขยายตัวเสียอย่างนั้น
“ล่าช้า ล่าช้า ล่าช้าอีกแล้ว สิบครั้งต้องมีแปดครั้งสินะที่บอกว่าเครื่องล่าช้า! นี่เวลาไหนกันแล้ว เดี๋ยวก็เปลี่ยนเวลาขึ้นเครื่องไปมา ตกลงว่าจะได้บินตอนไหนกันแน่ ถ้าบินไม่ได้ก็ยกเลิกไปตั้งแต่แรกสิ อย่าให้พวกเรามานั่งรอโง่ๆ แบบนี้”
“จะมาอ้างเรื่องสภาพอากาศแล้วไม่จ่ายเงินชดเชยอย่างนั้นเหรอ ครั้งก่อนฉันยังได้อยู่เลย รถกับโรงแรมอะไรฉันก็จองไว้หมดแล้ว แล้วค่าเสียหายพวกนี้ใครจะรับผิดชอบ จ่ายค่าชดเชยมา!”
“ใช่ จ่ายค่าชดเชย! จ่ายมา!”
“ขอร้องละ ช่วยหาวิธีหน่อยได้ไหม ตอนนี้พ่อฉันอยู่โรงพยาบาล บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่…”
พนักงานรูปร่างผอมบางถูกผู้โดยสารที่กำลังเร่งรีบและโกรธเกรี้ยวยืนล้อมไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์ประตูผู้โดยสารขาออก พนักงานได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ ไม่ว่าผู้โดยสารจะพูดอย่างไร เธอก็ยังรักษารอยยิ้มของอาชีพบริการไว้ได้เป็นอย่างดี หรือถ้าถูกกดดันจริงๆ ก็จะพูดเพียงว่า “ท่านสามารถขอคืนตั๋วหรือเปลี่ยนเที่ยวบินได้ ท่านสามารถโทร.ร้องเรียน ท่านสามารถฟ้องร้อง…”
ทันใดนั้นเอง ไม่รู้ว่าใครเอาแก้วเครื่องดื่มสาดลงบนศีรษะของพนักงานคนนั้น ของเหลวสีน้ำตาลไหลรินลงมาตามแก้มจนเธอเปียกไปหมดทั้งตัว เห็นชัดๆ ว่าเธอเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว แต่ยังพยายามรักษารอยยิ้มที่พึงมีไว้ “ด้วยเพราะสภาพภูมิอากาศ พวกเราเองก็ไม่มีวิธี…”
เดิมทีก็ไม่มีใครสนใจจะฟังอยู่แล้วว่าเธอพูดอะไร เมื่อคนอื่นๆ เห็นว่ามีคนสาดเครื่องดื่มใส่ ก็พากันขว้างปาสิ่งของที่อยู่ในมือตามไปด้วย คนที่ไม่มีก็หยิบเอาป้ายที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์บริการโยนใส่ พนักงานไม่สามารถตอบโต้ได้ จึงได้แต่ก้าวถอยหลังถี่ๆ เท่านั้น เหล่าผู้โดยสารคิดว่าเธอจะหนี จึงรีบเข้าไปล้อมไว้ที่ด้านหลังทันที
เมื่อรู้สึกว่าการปาสิ่งของยังไม่สาแก่ใจ บางคนจึงกวาดเครื่องคอมพิวเตอร์บนเคาน์เตอร์บริการลงพื้น ก่อนกระโดดขึ้นไปบนนั้นแล้วตะโกนให้หัวหน้าของบริษัทสายการบินออกมาพบเขา ส่วนคนอื่นๆ ก็พากันร้องตะโกนเสียงดังขึ้นสำทับ
พนักงานพูดด้วยความจนใจว่า “หากพวกคุณยังทำอย่างนี้อีก ดิฉันคงต้องแจ้งตำรวจแล้วนะคะ”
ผู้โดยสารคนนั้นกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกข่มขู่ “แจ้งตำรวจเหรอ พวกคุณยังมีหน้าไปแจ้งตำรวจอีกเหรอ เอาเลยสิ ให้ตำรวจมาจับฉันไปเลย!”
พนักงานพยายามห้ามปรามผู้โดยสารที่ยังก่อความวุ่นวายไม่หยุด ส่วนผู้โดยสารก็ต้องการคำอธิบายจากพนักงานให้ได้ แต่ละฝ่ายไม่มีใครยอมลดราวาศอกให้กัน ทำให้เหตุการณ์ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
ท่ามกลางความโกลาหล มีเสียงหนึ่งตะโกนว่า “ดูข้างนอกเร็ว!”
ทุกคนได้แต่จ้องมองออกไปข้างนอกเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้นอีก ทั้งๆ ที่ตอนนี้เป็นเวลากลางวันแท้ๆ แต่ภายนอกหน้าต่างกลับดูดำทะมึนเนื่องจากพายุฝน ฝนจำนวนมากมายตกกระทบลงบนกระจกหน้าต่างแบบมืดฟ้ามัวดิน แต่ทุกคนกลับเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ดูแตกต่างไปจากเดิม จึงส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจขึ้นพร้อมกัน
“พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว!”
“เยี่ยมไปเลย!”
“พวกเราจะได้กลับบ้านกันแล้ว!”
พายุฝนยังคงกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง เมฆดำก็ยังไม่เคลื่อนผ่านไป แต่ทุกคนกลับประหลาดใจที่ได้เห็นว่าท่ามกลางเมฆดำที่มืดครึ้มนั้นกลับปรากฏเป็นช่องว่างเล็กๆ พร้อมกับมีลำแสงพระอาทิตย์ลอดผ่านออกมาจากตรงนั้น ตกกระทบลงบนปีกของเครื่องบินลำหนึ่ง และสะท้อนจนเกิดเป็นประกายแสงเจิดจ้า ทุกคนต่างนิ่งอึ้งไปกับภาพตรงหน้าทันที รู้ว่านี่เป็นสัญญาณที่ดีอย่างหนึ่ง…พายุฝนกำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว
กลุ่มคนที่ในตอนแรกกำลังร้อนรนกระวนกระวายกลับมีความหวังขึ้นอีกครั้ง คนที่ยืนอยู่บนเคาน์เตอร์บริการกระโดดลงมาบนพื้น ผู้คนที่รุมล้อมประตูผู้โดยสารขาออกก็ทยอยแยกย้ายจากไป เหลือไว้แต่เพียงขวดน้ำดื่ม เครื่องคอมพิวเตอร์ที่กระจายเกลื่อน และเศษซากของความวุ่นวายเท่านั้น
“ยังดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร” พนักงานคนนั้นเพิ่งจะถอนหายใจ ก็มีใครบางคนมายืนตรงหน้าเธออีกครั้ง คนคนนั้นมีใบหน้ากลมเล็ก เวลายิ้มดวงตาเป็นรูปโค้ง ในดวงตากลมโตสีดำสนิทนั้นแฝงไว้ด้วยประกายอบอุ่น “คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”
“ค่ะ” พนักงานเห็นว่าหญิงคนนั้นยื่นกระดาษทิชชูมาให้ จึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้เช็ดเครื่องดื่มที่เลอะอยู่เต็มหน้าออก เธอรับทิชชูมาแล้วพูดอย่างซาบซึ้งใจว่า “ขอบคุณค่ะ”
ผูชิงชิงยิ้มรับผงกศีรษะเล็กน้อย ก่อนกลับไปนั่งลงที่นั่งด้านข้าง
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้โดยสารของสายการบินที่มีเที่ยวบินล่าช้า ผูชิงชิงไม่เพียงแต่ไม่ร้อนรนกับความล่าช้านั้น เธอกลับหวังว่าอยากให้เที่ยวบินล่าช้านานกว่านี้อีกสักหน่อย เพื่อที่เธอจะสามารถพูดกับเจ้านายได้เต็มปากเต็มคำว่า ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากกลับไป แต่เป็นเพราะเที่ยวบินล่าช้าเอง เหมือนคำพูดที่บอกว่าอะไรนะ คนไม่เป็นใจ แต่ฟ้าเป็นใจ!
ปีนี้ผูชิงชิงอายุยี่สิบสี่ปี แต่รู้สึกเหมือนกับตัวเองอายุห้าสิบปีอย่างไรอย่างนั้น ทำไมถึงห้าสิบน่ะเหรอ เพราะผู้หญิงอายุห้าสิบปีสามารถเกษียณได้น่ะสิ ผูชิงชิงวางแผนชีวิตหลังเกษียณของตัวเองไว้หลายครั้ง เธอจะนอนให้เต็มอิ่มโดยไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุก หลังจากนั้นก็จะสั่งอาหารเช้ามากิน ตอนบ่ายจะไปตามหาหนังสือการ์ตูนออกใหม่ ตกเย็นไปเต้นออกกำลังกายที่ลานกว้าง พอกลับบ้านก็เล่นเกมโต้รุ่งต่อ ชีวิตเป็นอิสระ!
แต่ความเป็นจริงช่างโหดร้าย ตอนนี้เธออายุเพียงยี่สิบสี่ปี กว่าจะถึงตอนเกษียณก็อีก หนึ่ง สอง สาม…อีกตั้งยี่สิบหกปีแน่ะ และถ้าต้องเกษียณช้าออกไปอีก…
ผูชิงชิงเองก็ไม่รู้ว่าเธอผ่านพ้นปีนี้มาได้อย่างไร ทุกๆ วันต้องนอนดึกตื่นเช้า อีกทั้งถ้ามีเรื่องอะไรก็ต้องถูกเรียกตัวได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนที่ขอลาพักร้อนประจำปี เจ้านายก็ยังพูดด้วยสีหน้าแปลกใจว่า “คุณจะขอลาหยุดอีกเหรอ”
ผูชิงชิงจึงจำเป็นต้องใช้ท่าไม้ตาย ร้องห่มร้องไห้เล่าเรื่องของเธอที่เติบโตมาในครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว มีแม่รออยู่ที่บ้านด้วยความยากลำบากให้ฟัง เจ้านายถึงยอมเอ่ยปากอนุญาตได้ แต่อนุญาตไปก็เท่านั้น เขายังมีข้อแม้อีกว่า “ห้าวันนานเกินไป ผมให้ลาสามวันแล้วกัน เตรียมรับสายด้วย เผื่อมีเรื่องอะไรผมจะได้โทร.หาคุณ”
“ฉัน…” ช่างเถอะ อย่างน้อยก็ดีกว่าลาไม่ได้เลย “ขอบคุณคุณมากนะคะ”
เวลาทำงานผูชิงชิงรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว งานที่อยู่ในมือยังทำไม่ทันจะเสร็จก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว เธอจึงต้องทำงานล่วงเวลาเพิ่มขึ้นเพื่อจัดการให้ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ส่วนเวลาพักผ่อน ผูชิงชิงยิ่งรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมากกว่าเดิม แค่หลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้งก็ต้องกลับไปทำงานแล้ว
ในขณะที่ผูชิงชิงกำลังรู้สึกทุกข์ใจเพราะวันหยุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว เหล่าผู้โดยสารที่กำลังรอเครื่องขึ้นทางด้านนั้นกลับจมอยู่ในห้วงแห่งความสุขของบรรยากาศฟ้าหลังฝน ไม่มีใครรู้เลยว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นผลงานชิ้นโบแดงของผูชิงชิงเอง
ตอนอายุหกขวบ พ่อบอกว่าจะให้ของขวัญชิ้นหนึ่งกับเธอ เธอไม่เคยคิดฝันเลยว่าของขวัญชิ้นนี้จะเป็นก้อนเมฆก้อนหนึ่งบนท้องฟ้า พ่อบอกว่า ขอแค่เธอชี้นิ้วไปที่ก้อนเมฆก้อนนั้น เมฆก็จะเปลี่ยนรูปร่างไปตามที่ต้องการ พ่อยังกำชับเป็นพิเศษอีกว่า นี่เป็นความลับระหว่างเราสองคน ห้ามเธอบอกเรื่องนี้กับใคร รวมถึงแม่ของเธอด้วย
ผูชิงชิงชอบมองก้อนเมฆมาตั้งแต่เล็กๆ กลางวันก็มอง กลางคืนก็มอง วันฟ้าใสก็มอง วันฝนตกก็มอง เธอมองพลางคิดว่าเมฆผืนนี้มีรูปร่างคล้ายอะไร เมฆผืนนั้นรูปร่างคล้ายอะไร เมฆกลุ่มนั้นลอยมาจากทางไหน แล้วเมฆกลุ่มนี้จะลอยไปที่ไหน ตอนนี้ในที่สุดเธอก็สามารถสั่งให้เมฆเหล่านั้นเป็นไปตามใจปรารถนา อยากให้กลายเป็นอะไรก็เป็น ให้ลอยไปทางไหนก็ไป
วันนี้เธอเห็นว่าในสถานการณ์ที่ตึงเครียด ผู้โดยสารเหล่านั้นเกือบจะทุบตีพนักงานเพราะพายุฝนแล้ว ผูชิงชิงจึงรีบย้ายเมฆของเธอก้อนนั้นออกไปอย่างไว แก้ไขสถานการณครั้งนี้ได้ในที่สุด
ตั้งแต่ขึ้นเครื่องบิน จนกระทั่งเครื่องออกและลงจอด ตอนที่ผูชิงชิงเดินออกมาจากอาคารผู้โดยสารก็เป็นเวลาใกล้จะตีสามแล้ว เธอหันมองไปรอบๆ อยู่พักหนึ่ง ขณะกำลังคิดว่าจะต้องเรียกรถแท็กซี่หรือไม่นั้น จู่ๆ ก็มีคนเรียกชื่อของเธอเสียงดัง “ผูชิงชิง ทางนี้!”
ผูชิงชิงมองเห็นคนหนึ่งกำลังโบกมือให้เธออย่างสุดแรงจากที่ไกลๆ ผู้ชายคนนั้นใส่กางเกงขายาวสีขาว เสื้อเชิ้ตโปโลสีเทา ใบหน้าดูมีชีวิตชีวามาก นึกไม่ถึงว่าจะเป็นลู่วั่งเทียนที่ไม่ได้เจอกันนาน
“นายมาได้ยังไง” ผูชิงชิงถามด้วยความแปลกใจ
“มารับเธอไง” ลู่วั่งเทียนพูดด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจ “เธอโทร.มาถามว่าฝนจะหยุดตกตอนไหน ฉันก็เลยพอจะเดาเที่ยวบินที่เธอนั่งกลับมาได้ เห็นว่าดึกขนาดนี้แล้ว รถประจำทางก็ไม่มีอีก เธอเรียกแท็กซี่กลับคนเดียวก็ไม่ปลอดภัย เพราะฉะนั้นฉันก็เลยมารับเธอไง”
ผูชิงชิงไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่เป็นความจริง เธอยกนิ้วโป้งให้เขา ก่อนชมด้วยความจริงใจว่า “นายนี่ใจกว้างจริงๆ!”
ลู่วั่งเทียนรับกระเป๋าสัมภาระมาจากผูชิงชิงมือหนึ่ง ส่วนอีกมือก็ควงกุญแจรถไปมา สีหน้าไม่สะทกสะท้าน “เป็นเรื่องที่ฉันสมควรจะทำอยู่แล้ว ไปกันเถอะ รถฉันอยู่ที่ลานจอด”
ลานจอดรถของสนามบินค่อนข้างใหญ่เป็นพิเศษ ผูชิงชิงเดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตามลู่วั่งเทียนไป จนกระทั่งหยุดลงที่หน้ารถคันหนึ่ง ในลานนี้มีรถจอดอยู่เกือบเต็มไปหมด แต่ผูชิงชิงกลับมองเห็นรถคันนี้ตั้งแต่แรกไม่ต่างกับลู่วั่งเทียน เพราะสะดุดตามาก ตั้งแต่โลโก้กระทั่งรูปลักษณ์ดูโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ไม่มีทางที่ใครจะมองผ่านไปได้
ขณะที่ผูชิงชิงกำลังจะพูดว่า นายเองก็รู้สึกว่ารถคันนี้ก็ไม่เลวเหมือนกันใช่ไหม ลู่วั่งเทียนกลับเปิดกระโปรงท้ายรถ ก่อนวางสัมภาระของผูชิงชิงลงไป
ผูชิงชิงนิ่งอึ้งไป แล้วถามอย่างตกใจว่า “นี่รถนายเหรอ”
“ใช่ เป็นยังไง เท่ใช่ไหมล่ะ”
“คงแพงมากเลยสินะ…” ไม่ใช่ว่าผูชิงชิงไม่เคยเห็นรถดีๆ มาก่อน รถของเจ้านายเธอเองก็ไม่เลวเลยเหมือนกัน แต่ก็ไม่ดีเท่ากับรถคันนี้
“ก็พอไหว” น้ำเสียงของลู่วั่งเทียนราบเรียบ ราวกับกำลังพูดถึงราคาผักกาดขาวหัวหนึ่งเท่านั้น
ลู่วั่งเทียนเปิดประตูรถด้วยความคล่องแคล่ว ตอนที่ขึ้นไปบนรถก็ยังไม่ลืมเรียกผูชิงชิงด้วย “อึ้งอะไรอยู่ ขึ้นรถสิ”
“อ้อ” ผูชิงชิงตอบรับเล็กน้อย ก่อนขึ้นไปนั่งบนรถด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ การกระทำทุกอย่างดูระมัดระวังเป็นพิเศษ ด้วยกลัวว่าจะเผลอไปโดนตรงไหนจนรถเสียหายเข้า อย่างไรเสียรถระดับนี้ถ้าไปแตะอะไรจนเป็นรอยก็คงต้องใช้เงินซ่อมจำนวนไม่น้อยแน่
สิ่งแรกที่ลู่วั่งเทียนทำหลังจากขึ้นรถแล้วก็คือการเปิดเครื่องเสียงรถยนต์ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ “เธอลองฟังเสียงนี่สิว่าเป็นยังไงบ้าง ฉันเสียเงินแต่งโดยเฉพาะเลยนะ”
ผูชิงชิงไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่กลับถามว่า “ทำไมนายถึงเปลี่ยนรถล่ะ”
“เพราะฉันต้องออกไปพบลูกค้าไง ฉันก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ให้ดูดีอยู่ตลอดสิ เธอว่าไหมล่ะ แต่ก่อนฉันจะเข้าบริษัทนู้นบริษัทนี้แต่ละครั้ง ยามก็เอาแต่จะขวางฉันตลอด ตอนนี้ฉันก็ขับรถเข้าไปได้เลย ไม่ต้องพูดอะไรให้มากมาย ทางสะดวก”
“งั้นเหรอ” ผูชิงชิงพูดยิ้มๆ สำหรับเรื่องนี้สำหรับเธอกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เธอทำงานอยู่ที่สำนักงานทนายความ เจ้านายก็เป็นทนายความระดับอาวุโส การทำงานในสายนี้ ยิ่งเป็นคนรุ่นใหม่ก็ยิ่งจะต้องมีรถดีๆ ขับ ไม่อย่างนั้นจะทำให้ลูกความรู้สึกเชื่อถือได้อย่างไร เธอยังเคยได้ยินมาอีกว่า มีทนายความจำนวนไม่น้อยที่พอเริ่มทำงาน ก็เอาเงินที่เตรียมไว้ดาวน์บ้านมาซื้อรถก่อน ผลที่ตามมาก็คือหลังจากนั้นราคาบ้านยิ่งสูงขึ้นจนซื้อไม่ไหวแล้ว
รถทะยานตัวออกจากลานจอดก่อนพุ่งเข้าสู่ทางด่วนของสนามบิน บนถนนไม่มีรถราแม้แต่คันเดียว แสงไฟข้างทางสีเหลืองนวลสาดออกไปข้างหน้าดูราวกับทางช้างเผือก ท้องถนนเงียบสงบมาก หลังจากออกมาสักพัก ร่างที่เกร็งขึงของผูชิงชิงก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง เธอพิงร่างกับพนักเก้าอี้ เสพสุขกับความรู้สึกนุ่มสบายของเบาะที่นั่ง แอบคิดเงียบๆ ว่าที่นั่งชั้นหนึ่งบนเครื่องบินก็คงจะไม่สบายมากเท่านี้
เธอเหนื่อยมากจริงๆ พายุฝนหอบนั้นทำให้แผนของเธอวุ่นวายไปหมด ตอนแรกที่คิดไว้ว่าจะรีบกลับมาเพื่อที่จะได้มีเวลานอนพักสักตื่น แต่ตอนนี้อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้ว ถึงจะอยากนอนแต่ก็คงไม่หลับอยู่ดี
ผูชิงชิงหาว ก่อนหันไปบ่นกับลู่วั่งเทียนว่า “นายเป็นจอมหลอกลวง ไหนบอกว่าอีกแป็บเดียวฝนก็จะหยุดตกแล้วไง แต่นี่ยังตกอยู่เป็นชั่วโมงๆ ผู้โดยสารเกือบจะทุบตีพนักงานคนนั้นอยู่แล้ว นักอุตุนิยมวิทยาอย่างพวกนายก็ช่วยรายงานอะไรตามตรงหน่อยได้ไหม”
ลู่วั่งเทียนยิ้มน้อยๆ “นี่เธอยังไม่เข้าใจอีกเหรอ เธอคิดว่าคนที่รายงานสภาพอากาศเป็นคนที่สวรรค์ส่งมาเกิดหรือยังไง ถ้าอยากจะคาดเดาสภาพอากาศ อันดับแรกก็ต้องรวบรวมข้อมูลจากดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาและสถานีอุตุนิยมวิทยาเสียก่อน ดาวเทียมก็อยู่ตั้งไกลขนาดนั้น อีกอย่าง ระหว่างสถานีอุตุนิยมฯ ก็มีแบ่งแยกออกไปอีก ข้อมูลพวกนี้ที่มีก็ไม่ครบถ้วน ถึงแม้พวกฉันจะรายงานสภาพอากาศได้ตรง แต่ก็ยังมีตัวแปรต่างๆ อีกมากมายที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก [1] น่ะ รู้จักไหม ที่ผีเสื้อตัวหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้บังเอิญขยับปีกแค่ไม่กี่ครั้ง หลังจากนั้นสองอาทิตย์ก็ทำให้เกิดพายุทอร์นาโด [2] ที่อเมริกาใต้ สำหรับการพยากรณ์อากาศ ผีเสื้อแบบนี้ไม่ได้มีแค่เพียงตัวเดียว แต่มีอยู่จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน สภาพพื้นดินที่สลับซับซ้อนเอย แม่น้ำลำธารเอย ก๊าซที่ปล่อยมาจากโรงงาน พวกนี้ก็ส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศได้ทั้งนั้น หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ พายุฝนครั้งนี้ฉันก็ดูมาอย่างละเอียดแล้ว แต่ปัจจัยต่างๆ ค่อนข้างซับซ้อน ปกติแล้วปัจจัยสำคัญของการเกิดพายุฝนก็คือการที่มีความชื้นที่มากพอ รวมกับกระแสลมที่ก่อตัวแรงเป็นเวลานานเคลื่อนที่เป็นแนวตั้ง และความไม่แน่นอนของโครงสร้างชั้นบรรยากาศ…”
“อือ อือ อือ…” ผูชิงชิงหาวพลางตอบกลับไปอย่างส่งๆ เธอนึกเสียใจที่ถามลู่วั่งเทียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องสภาพอากาศ ลู่วั่งเทียนก็มักจะพูดถึงเรื่องที่เธอไม่เข้าใจเป็นน้ำไหลไฟดับ มองท่าทางที่กระตือรือร้นของเขาแล้ว เธอก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่ต้องขัดจังหวะ
แน่สิว่านี่โทษเขาไม่ได้ ใครใช้ให้เขาทำงานเกี่ยวกับด้านนี้กันล่ะ
ลู่วั่งเทียนเรียนจบคณะวิทยาศาสตร์ สาขาโลกศาสตร์มาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง จริงๆ แล้วเขาควรจะไปทำงานด้านอุตุนิยมวิทยาหรือไม่ก็การบินพลเรือน หรืองานทางด้านทรัพยากรน้ำหรือทะเลเหมือนกับเพื่อนๆ ของเขา แต่ใครจะรู้ว่าเขากลับไม่ชอบหน้าที่การงานที่มั่นคง แต่ดึงดันที่จะตั้งบริษัทกับกลุ่มเพื่อนๆ ที่มีเป้าหมายเดียวกัน
ลู่วั่งเทียนบอกว่า ถ้าอ้างอิงจาก “กฎอุตุนิยมวิทยาเดลฟี” ที่รู้จักกันทั่วไปนั้นกล่าวว่า อัตราที่องค์กรลงทุนไปกับทางอุตุนิยมวิทยาเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้กลับมาแล้วจะอยู่ในสัดส่วน 1:98 หรือกล่าวได้ว่า ทุกๆ หนึ่งหยวนที่องค์กรแห่งหนึ่งใช้ไปกับข้อมูลทางด้านอุตุนิยมวิทยานั้น ก็จะได้ผลตอบรับทางเศรษฐกิจกลับมาถึงเก้าสิบแปดหยวน
ราคาของข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยานั้นไม่เพียงแต่ปรากฏออกมาในรูปแบบของเกษตรกรรม การบิน การเดินเรือ หรืออาชีพที่ต้อง “พึ่งพาฟ้าฝนในการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง” เท่านั้น แต่ยังปรากฏอยู่ในทุกๆ ส่วนของการผลิต อย่างเช่นการค้นพบของแผนกวิเคราะห์ข้อมูลมหัต [3] ของวอลมาร์ต [4] ทำให้รู้ว่าช่วงที่มีพายุเฮอริเคน สิ่งของที่คนอเมริกันนิยมซื้อนั้นไม่ใช่ไฟฉายหรืออุปกรณ์กันฝน แต่กลับเป็นทาร์ตสตรอว์เบอร์รี่ และในพื้นที่การค้าปลีกก็มีสิ่งที่รู้จักกันดีอย่าง “ผลกระทบหนึ่งองศา” หรือที่พูดกันว่า ตอนที่อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงหนึ่งองศา ยอดขายของสินค้าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อย่างเช่นสินค้าจำพวกเบียร์ เครื่องดื่ม ไอศกรีม เสื้อขนเป็ดต่างๆ …ดังนั้นบริษัทผู้ผลิตและผู้ขายจึงสามารถกำหนดจำนวนการผลิตและปริมาณจัดเก็บสินค้าได้จากข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยา เพื่อที่จะสร้างผลกำไรให้ได้ในปริมาณสูงสุด
ลู่วั่งเทียนบอกว่าในสหรัฐอเมริกามีบริษัทที่ให้บริการทางด้านข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยามากกว่าสามร้อยแห่ง มีตลาดสินค้ามากกว่าหกพันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับในจีนนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้บริการหรือผู้ใช้ข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยาอยู่ในขั้นเริ่มต้น ยังถือว่าเป็นมหาสมุทรอย่างแท้จริง เพราะอย่างนั้นลู่วั่งเทียนจึงมีความฝันอย่างหนึ่ง เขาหวังว่าตนเองจะสามารถตั้งบริษัทที่ให้บริการข้อมูลทางด้านสภาพอากาศ ให้คนทั่วไปได้รู้ถึงความสำคัญของสภาพอากาศ และทำให้สภาพอากาศสร้างรายได้มหาศาลอย่างไร้ขีดจำกัด
ต่อมาพวกเขาจึงสร้างแอปพลิเคชันรายงานสภาพภูมิอากาศที่ชื่อว่า “มองเมฆ” ขึ้น เขาบอกว่าจะก่อตั้งบริษัทที่ยิ่งใหญ่ ทุกคนจะต้องติดตั้งแอปพลิเคชันที่เขาสร้างขึ้นลงในมือถือ และทำให้แอปพลิเคชันนั้นเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตของคนทั่วไป
ตอนแรกที่ผูชิงชิงได้ยินคำนั้น เธอก็คิดว่าสมองของลู่วั่งเทียนคงได้รับการกระทบกระเทือน เพราะเขาเพิ่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ บางทีอาจจะหลงเหลือผลข้างเคียงอะไรบางอย่าง จนกระทั่งยอดติดตั้งของแอปพลิเคชัน “มองเมฆ” ทะลุหลักล้าน หลักสิบล้าน และระดับเงินทุน [5] ของ “เทคโนโลยีมองเมฆ” ทะลุไปจนถึงซีรีส์ A ซีรีส์ B ซีรีส์ C นั่นละ ผูชิงชิงถึงได้รู้ว่าตัวเองนั้นตื้นเขินขนาดไหน
แล้วจะไม่ให้บอกว่าโอกาสนั้นมีไว้ให้คนกลุ่มน้อยได้อย่างไร เพราะถึงเธอจะรู้ว่า “เทคโนโลยีมองเมฆ” สามารถประสบความสำเร็จได้ แต่เธอก็คงไม่กล้าตั้งบริษัทขึ้นด้วยมือเปล่าแน่
ช่วงที่ลู่วั่งเทียนเพิ่งก่อตั้งบริษัทนั้นยากลำบากมาก ตอนนั้นพวกเขามีกันไม่กี่คน และมีแค่เงินที่เก็บรวบรวมจากการขายที่นอนสมัยมหาวิทยาลัยแค่ไม่กี่หมื่นไคว่ [6] เท่านั้น เมื่อจ่ายค่าห้องแล้วก็เหลืออยู่ไม่เท่าไหร่ พวกเขาไม่มีกระทั่งตึกสำนักงานด้วยซ้ำ ได้แต่เช่าห้องอยู่ในอาคารที่พักอาศัย ไม่ว่าจะกิน นอน หรือค้นคว้าก็ทำที่นี่ ยกเว้นแต่ตอนที่ไปพบนักลงทุน ปกติแล้วก็จะนัดกันที่ร้านกาแฟข้างๆ ตึกที่พัก สั่งแต่กาแฟราคาถูกที่สุดเท่านั้น บางครั้งที่เขาอยากใช้ชีวิตหรูหราก็จะไปกินช่วนช่วนเซียง [7] ที่ตรอกหลังโรงเรียนเก่าที่อยู่ไกลออกไป สั่งเบียร์มาสองสามขวด พอเริ่มกรึ่มก็จะเรียกขานกันและกันว่าซีอีโอ [8] ซีเอฟโอ [9] ซีโอโอ [10] ซีทีโอ [11] ตามแบบผู้ใหญ่ หลังจากนั้นก็คุยกันว่าเมื่อไหร่จะได้เงินทุนระดับไหน จะจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อไหร่ ถ้าคนที่ไม่รู้จักมาเห็นเข้า ก็คงคิดว่าพวกเขาบ้าไปแล้วแน่ๆ
จนถึงตอนนี้ลู่วั่งเทียนก็ยังคงคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น ทุกๆ วันพวกเขาราวกับถูกฉีดด้วยเลือดไก่ [12] ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน ถ้าคิดอะไรดีๆ ได้ก็จะรีบปลุกเพื่อนๆ ให้ตื่นมาฟัง ยิ่งจับกลุ่มพูดคุยกันก็ยิ่งตื่นเต้น เอะอะโวยวายกันได้ทุกวัน จนข้างห้องคิดว่าพวกเขาจับกลุ่มกันมั่วสุม แจ้งตำรวจมาจับก็หลายครั้ง
และในที่สุดความมานะพยายามของลู่วั่งเทียนก็เป็นผล หลังจากเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้ไม่นาน เขาก็ได้รุ่นพี่คนหนึ่งมาเป็นนักลงทุนแองเจิล [13] ให้ “ตอนนี้มาคิดดูแล้ว เงินหนึ่งล้านนั่นจะมาพอทำอะไรได้ กระทั่งรถคันหนึ่งยังซื้อไม่ได้เลย”
เพราะมีนักลงทุนแองเจิล เทคโนโลยีมองเมฆจึงค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้น จนสามารถเช่าอาคารสำนักงาน รับสมัครพนักงาน เปลี่ยนแปลงเซิร์ฟเวอร์…จนเมื่อไม่นานมานี้เทคโนโลยีมองเมฆก็ได้เงินลงทุนระดับซีรีส์ C ทำลายสถิติการจัดหาเงินทุนขนาดใหญ่ที่สุดในวงการอุตสาหกรรมไปได้อย่างสบายๆ
รถแล่นลงจากทางด่วนแล้ว บรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนจากความเงียบสงบเป็นแสงไฟหลากหลายสี สัญญาณไฟแดงสว่างขึ้น ลู่วั่งเทียนจึงหยุดรถ เขาคลายมือสองข้างจากพวงมาลัยแล้วเคาะเล็กน้อย ก่อนยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าเขายังจมอยู่ในห้วงแห่งความสุขที่ธุรกิจปรับขึ้นเป็นซีรีส์ C ได้สำเร็จ ยังพูดกับผูชิงชิงด้วยความกระตือรือร้นว่า “เธอรู้ไหมว่าเงินทุนระดับซีรีส์ C นั้นได้มายังไง ไม่กี่วันก่อนหน้านี้มีนักลงทุนมาสำรวจที่บริษัท ให้ฉันอธิบายเกี่ยวกับรูปแบบธุรกิจของเทคโนโลยีมองเมฆ เดิมทีฉันก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลย ได้แต่พูดๆ ไปอย่างนั้น จะว่าไปแล้วฉันเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง แต่ฝ่ายนั้นกลับบอกว่าฉันพูดดีมาก แล้วเสนอให้เงินลงทุนฉันเดี๋ยวนั้นเลยนะ ฉันนี่แบบ…” ลู่วั่งเทียนพูดมาถึงตรงนี้แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ “ตอนที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งบริษัท นี่เป็นสิ่งที่ฉันไม่กล้าที่จะคิดเลยจริงๆ”
ลู่วั่งเทียนไม่เข้าใจ แต่ผูชิงชิงนั้นพอจะนึกออกว่าทำไมนักลงทุนคนนั้นถึงยอมให้เงินทุนกับเขา ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่มีวันลืม วันนั้น ตามศีรษะตามตัวลู่วั่งเทียนถูกพันด้วยผ้าพันแผล เขานอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ทำไม้ทำมืออธิบายเรื่องข้อมูลมหัต อินเทอร์เน็ตออฟติง [14] ปัญญาประดิษฐ์ [15] การจดจำรูปแบบ [16] ที่นำมาประยุกต์ใช้กับข้อมูลทางด้านอุตุนิยมวิทยา การพยากรณ์อากาศแบบละเอียด การให้บริการทางด้านอุตุนิยมวิทยา “ดัชนีเบียร์ [17] ” หรือ “ดัชนีโรคราน้ำค้าง [18] ในอาหาร” อะไรพวกนี้…
ผูชิงชิงไม่เข้าใจสิ่งที่เขาอธิบาย แต่เธอสามารถสัมผัสได้ถึงคำที่อยู่เบื้องหลังของสิ่งพวกนี้ได้ นั่นก็คือ “ความฝัน”
ผูชิงชิงรู้สึกอิจฉาลู่วั่งเทียนมาก ไม่ใช่แค่เพราะเขาได้กลายเป็นซีอีโอรุ่นใหม่ของบริษัทสตาร์ตอัพ [19] ในวัยเพียงยี่สิบต้นๆ หรือมีนักลงทุนมากมายที่ต่อแถวเอาเงินมาให้เขา แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็เพราะเขามีความฝัน มีความสามารถ กล้าคิดกล้าทำ รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และสามารถก้าวเดินต่อไปได้อย่างภาคภูมิ
ส่วนเธอน่ะเหรอ เรียนในสาขาที่ตัวเองไม่ชอบ ทำงานที่พอจะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ไปวันๆ แต่ละวันไปทำงานแล้วก็กลับบ้าน คำนวณเงินเดือนแต่ละเดือน ทำงานเพื่อรอวันหยุด ต้องคอยรับมือกับเจ้านาย บางทีนี่อาจจะเป็นความแตกต่างระหว่าง “งาน” กับ “อาชีพ” ก็ได้
“จอดตรงนี้แหละ” เมื่อเห็นว่าลู่วั่งเทียนกำลังจะเลี้ยวเข้าไปข้างใน ผูชิงชิงก็รีบร้องบอกขึ้น ห้องพักของเธออยู่ในตึกที่พักเก่าๆ ในตึกเล็กๆ นี้ ไม่มีการจัดสรรดูแลอะไร ด้านในระเกะระกะกลับรถไม่สะดวก ถ้าเฉี่ยวชนอะไรขึ้นมาก็คงไม่ดีนัก
ผูชิงชิงลงจากรถพร้อมหยิบกระเป๋าสัมภาระลงมาด้วย ก่อนโบกมือบอกลาลู่วั่งเทียน
“เดี๋ยวก่อน” ลู่วั่งเทียนพูด “เธอไปทำงานที่บริษัทพวกฉันไหม ฉันให้เธอเป็นรองประธานเลย”
ไม่ใช่ว่าผูชิงชิงไม่ดีใจ แต่พอคิดถึงความสามารถของตัวเองแล้วก็รีบส่ายหน้า “ฉันทำไม่ได้หรอก”
“ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอทำอะไรเลย เธอแค่ไปเป็นเครื่องรางนำโชคก็พอ อย่างไรเธอก็ช่วยชีวิตฉันเอาไว้นะ”
ลู่วั่งเทียนมักจะพูดถึงเรื่องที่เธอเคยช่วยเขาเอาไว้อยู่เสมอ แต่ผูชิงชิงกลับไม่ได้คิดอะไรเลย ในสถานการณ์แบบนั้น ไม่ว่าเป็นใครก็คงต้องเข้าไปช่วย
ผูชิงชิงพูดว่า “นายเองก็รู้จักสำนักทนายความของฉันดีนี่ ทั้งสำนักงานมีแค่ฉันที่เป็นพนักงานคนเดียว เจ้านายก็เป็นแบบนั้น ช่วงนี้จะหาใครมารับช่วงต่อไม่ได้หรอก ฉันเข้าใจความหวังดีของนายดี ถ้าหลังจากนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ฉันจะไปขอความช่วยเหลือนายแน่ พอถึงตอนนั้นนายอย่ารังเกียจฉันก็แล้วกัน”
ลู่วั่งเทียนยิ้มน้อยๆ ตอบรับว่า “ตกลง”
ผูชิงชิงจะนึกเสียใจไหมนะ อย่างไรเขาก็เป็นทั้งผู้บริหารระดับสูง เป็นทั้งคนที่พร้อมที่จะช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่สามารถมีอนาคตที่สดใสได้ขนาดนั้น แต่ทำไมเธอต้องเลือกโหมดยากให้ชีวิตตัวเองด้วย
ผูชิงชิงบอกกับตัวเองว่า “เพราะเธอต้องทำ…
“เพราะเธอจำเป็นต้องทำ…”
เอาเถอะ ผูชิงชิงนึกเสียใจแล้ว หลังจากที่ลู่วั่งเทียนก้าวขาขึ้นรถไป
ผูชิงชิงกำลังคิดจะเรียกลู่วั่งเทียนไว้ แต่เขาก็เหยียบคันเร่งจากไปแล้ว ไม่ต้องบอกเลยว่ารถคันนี้สมรรถนะดีขนาดไหน แค่ออกตัวก็ยังเร็วขนาดนั้น เพียงพริบตาเดียวก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
เธอต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ ถึงได้ปฏิเสธลู่วั่งเทียน แต่หากเธอพูดเรื่องนี้กับเขาอีกครั้ง เขาจะตอบรับเธอไหมนะ คาดว่าลู่วั่งเทียนเองก็คงหุนหันไปชั่วขณะเหมือนกัน รอเขาได้สติคงจะต้องนึกกลัวแน่ๆ
“เฮ้อ…”
[1] Butterfly Effect เป็นวลีที่ใช้อ้างถึงทฤษฎีโกลาหล Chaos Theory กล่าวถึงการเกิดตัวแปรเล็กๆ ตัวแปรหนึ่งที่เป็นเงื่อนไขแรกของระบบ และเชื่อมโยงต่อกันเป็นทอดๆ จนอาจส่งผลต่อตัวแปรขนาดใหญ่ในระยะยาวได้
[2] พายุที่มีความรุนแรงมาก สามารถเกิดขึ้นได้หลายลักษณะ ที่พบได้บ่อยที่สุดคือลักษณะรูปทรงกรวย ส่วนใหญ่มักจะพบในทวีปอเมริกาและมหาสมุทรแอตแลนติก เนื่องจากมีความแตกต่างของสภาพอากาศสูง แต่ปกติแล้วพายุทอร์นาโดสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกทวีปและในหลายประเทศ
[3] Big data คือเซตข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนมาก ประกอบด้วยลักษณะอย่างน้อย 3 ประการ คือ 1. มีปริมาตร (Volume) มาก 2. มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง (Velocity) 3. มีความหลากหลายในโครงสร้างข้อมูล (Variety)
[4] Wal-Mart Stores บริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกาและหลายประเทศทั่วโลก ก่อตั้งในรัฐอาร์คันซอ สหรัฐอเมริกา โดยนายแซม วอลตัน เมื่อ ค.ศ.1962
[5] ปกติจะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 5 ระดับ คือ 1) Pre-Seed เป็นการระดมทุนที่ทางผู้ประกอบการยังมีเพียงไอเดีย เพิ่งเริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระบวนการหรือธุรกิจของตัวเอง 2) Seed Fund (Pre-Series A) เป็นการระดมทุนที่ผู้ประกอบการมีผลิตภัณฑ์ กระบวนการ หรือธุรกิจที่จับต้องได้ระดับหนึ่ง และต้องการพัฒนาต่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 3) Series A เป็นการลงทุนระดับที่สินค้าและบริการผ่านการพัฒนาในเรื่องของกลุ่มเป้าหมายมาเรียบร้อย และพร้อมจะพัฒนาในเรื่องของตลาด 4) Sereis B เป็นการลงทุนที่ผู้ประกอบการมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน และมีแผนการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์หรือบริการของตนเองที่จับต้องได้ และมีเม็ดเงินหมุนเวียนและผลกำไรที่ชัดเจนมากพอที่ทำให้ผู้ลงทุนเชื่อถือ 5) Series C เป็นการลงทุนระดับที่สินค้าและผลิตภัณฑ์มีชื่อเสียงระดับโลก หรือเป็นผู้ครอบครองผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับคนส่วนใหญ่ไปแล้ว และต้องการขยายกิจการไปในต่างประเทศ
[6] ภาษาพูดของสกุลเงินหยวน (สกุลเงินของจีน) โดย 1 ไคว่หรือ 1 หยวน ประมาณ 5 บาท
[7] อาหารข้างทางที่มีชื่อเสียงของจีน ต้นกำเนิดมาจากเมืองซื่อชวน (เสฉวน) มีลักษณะคล้ายกับหม้อไฟ แตกต่างกันที่ช่วนช่วนเซียงจะเป็นการนำอาหารเสียบไม้ลงไปลวกในน้ำซุป
[8] ย่อมาจาก Chief Executive Officer ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร
[9] ย่อมาจาก Chief Financial Officer ประธานกรรมการฝ่ายการเงิน
[10] ย่อมาจาก Chief Operating Officer ประธานกรรมการฝ่ายปฏิบัติการ
[11] ย่อมาจาก Chief Technology Officer ประธานกรรมการสายเทคโนโลยี
[12] คำสแลง หมายถึง คนที่มีอาการคึกหรือตื่นเต้น
[13] Angel Investor เป็นชื่อเรียกนักลงทุนอิสระที่มาช่วยลงทุนแบบเน้นคุณค่าให้กับธุรกิจในระยะเริ่มต้น
[14] Internet of Things (IoT) คือเทคโนโลยีที่ทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ สามารถเชื่อมโยงและรับส่งข้อมูลระหว่างกันได้อย่างง่ายดาย และสามารถสั่งการเพื่อควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ได้ผ่านทางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
[15] Machine Learning หมายถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถเรียนรู้ได้จากการจดจำตัวอย่างด้วยตนเอง โดยไม่มีการป้อนคำสั่งจากโปรแกรมเมอร์
[16] Pattern Recognition เป็นศาสตร์ที่มีจุดประสงค์เพื่อการจำแนกวัตถุออกเป็นประเภทตามรูปแบบของวัตถุ
[17] หมายถึง อุณหภูมิและความชื้นที่มีผลกระทบต่อผู้ที่ดื่มเบียร์ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้บริโภคดื่มเบียร์ได้อย่างถูกต้อง และเป็นแนวทางการกำหนดปริมาณการขายของผู้ที่ขายเบียร์
[18] หมายถึง พารามิเตอร์ที่ทางอุตุนิยมนิยมวิทยากำหนดขึ้นจากสภาพอากาศที่มีแนวโน้มจะเกิดราน้ำค้าง
[19] หมายถึงองค์กรที่มีโมเดลธุรกิจที่ทำซ้ำได้และเติบโตแบบก้าวกระโดด รวมถึงมีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการทำธุรกิจ