ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา
二哈和他的白猫师尊
肉包不吃肉 โร่วเปาปู้ชือโร่ว เขียน
Bou Ptrn แปล
คำเตือน!! นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้ที่อายุ 21 ปีขึ้นไป โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับ…
: among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา)
: Angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน)
: Cannibalism (การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน)
: child abuse (การทารุณกรรมเด็ก)
: coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ)
: corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย)
: death (การตาย)
: depression (ภาวะซึมเศร้า)
: explicit sex (การร่วมเพศแบบเปิดเผย)
: gang-rape (การข่มขืนเป็นกลุ่ม)
: genocide (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)
: gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง)
: humiliation (การทำให้อีกฝ่ายได้รับความอับอาย)
: massacre (การสังหารหมู่)
: mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ)
: questionable principles (มีีหลักการที่น่าสงสัย)
: rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม)
: suicide (การฆ่าตัวตาย)
: starvation (ความอดอยาก)
: torture (การทรมาน)
: underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์)
: and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)
** หมายเหตุ : ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์และต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับ เป็นฉบับ Uncensored
——————————————————————————
4
ญาติผู้น้องของตัวข้า
“ซือเม่ย” ผู้นี้ มิใช่ซือเม่ยที่แปลว่าศิษย์น้องหญิง
ซือเม่ยเป็นบุรุษจริงแท้แน่นอน อีกทั้งเมื่อตอนเข้าสำนัก เขายังเป็นศิษย์พี่ของโม่หรานด้วย
ที่มาของชื่ออัปมงคลนี้ เป็นเพราะประมุขแห่งยอดเขาสื่อเซิงไม่มีความรู้
เดิมซือเม่ยคือเด็กกำพร้าที่ประมุขเก็บกลับมาจากแดนกันดาร เด็กคนนี้ร่างกายอ่อนแอขี้โรคมาตั้งแต่เล็ก ประมุขจึงคิดว่าต้องตั้งชื่อเด็กให้ต่ำต้อยหน่อย เด็กจะได้เลี้ยงง่าย
เด็กน้อยริมฝีปากแดงฟันขาว เหมือนสาวน้อยน่ารักน่าเอ็นดูนัก ประมุขเค้นความคิด จนได้ชื่อออกมาว่า “เซวียยา”[1]
เซวียยายิ่งโตก็ยิ่งสูงใหญ่ ยิ่งโตยิ่งหล่อเหลา หน้าตาสะสวย เรือนร่างชวนมอง คิ้วตาเย้ายวน ค่อนข้างมีเสน่ห์เหนือผู้คน
ชาวบ้านในชนบทไม่มีปัญหากับชื่อเซวียยา แต่ผู้ใดเคยเห็นคนงามเลิศล้ำมีชื่อว่า “โก่วตั้น”[2] หรือ “เถี่ยจู้”[3] บ้างเล่า
เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักต่างเห็นว่าไม่เหมะสม นานวันเข้าจึงไม่มีใครเรียกเซวียยาแล้ว แต่ชื่อที่ประมุขตั้งให้ย่อมไม่สะดวกที่พวกเขาจะแก้ไขเอง ดังนั้นจึงเรียกกันเล่นๆ ว่า “ศิษย์น้องหญิง”[4]
คำก็ “ศิษย์น้องหญิง” สองคำก็ “ศิษย์น้องหญิง” ต่อมาประมุขเลยได้แต่โบกมือ เอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจว่า “เซวียยา เจ้าก็เปลี่ยนชื่อเสียเลย ชื่อซือเม่ย อักษร ‘เม่ย’ ที่แปลว่าโง่เขลา เป็นอย่างไร”
ยังมีแก่ใจถามอีกว่าเป็นอย่างไร…คนทั่วไปที่ใดจะรับชื่อโง่เง่าเช่นนี้ได้ แต่ซือเม่ยจิตใจดี เขาเหลือบมองประมุข แล้วพบว่าอีกฝ่ายกำลังมองเขาด้วยความตื่นเต้น ราวกับคิดว่าตนเองทำความดีใหญ่หลวง ซือเม่ยไม่อาจทนดูได้ รู้สึกว่าต่อให้ตนเองได้รับความไม่เป็นธรรม ก็ไม่อาจทำให้ประมุขเสียหน้า จึงคุกเข่าขอบคุณด้วยความยินดี นับแต่นั้นก็เปลี่ยนชื่อแซ่ด้วยประการฉะนี้
“แค็กๆ” คนชุดดำสำลักสองที แล้วจึงค่อยผ่อนลมหายใจช้าๆ เหลือบตามองโม่หราน “หืม? อาหราน? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
มองผ่านผ้าโปร่งรางๆ ที่กั้นอยู่ชั้นหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นอ่อนโยนดุจธารวสันต์ เจิดจ้าดั่งดวงดารา พุ่งเข้าสู่ก้นบึ้งหัวใจของโม่หราน
ชั่วแวบนั้น ความรู้สึกหวานละมุนที่ตกตะกอนมาเนิ่นนานของท่าเซียนจวิน ความในใจของหนุ่มน้อย ล้วนคลายผนึกออกมา
เป็นซือเม่ย
ไม่ผิดแน่
โม่หรานเป็นจอมเสเพล ชาติที่แล้วเคยเริงรักกับทั้งบุรุษและสตรีมากหน้าหลายตา ทว่าสุดท้ายกลับไม่ได้ตายเพราะหมดเรี่ยวแรง ตัวเขาเองก็ค่อนข้างผิดคาด
แต่กับคนผู้นี้ที่อยู่ในใจเขาเพียงผู้เดียว เขากลับระมัดระวังอย่างยิ่ง มิเคยกล้าแตะต้องโดยง่าย
หลายปีนั้น เขากับซือเม่ยมีสถานะคลุมเครือ จนกระทั่งซือเม่ยตาย โม่หรานก็แค่เคยจูงมืออีกฝ่าย แม้แต่จุมพิตก็แค่เพียงครั้งเดียวโดยเหตุบังเอิญ
โม่หรานรู้สึกว่าตนเองสกปรก ซือเม่ยอ่อนโยนบริสุทธิ์ผุดผ่องเกินไป ตัวเขาไม่คู่ควร
คนผู้นี้ตอนมีชีวิตก็ทำให้เขาทะนุถนอมได้ถึงขั้นนี้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงหลังจากตายไป คนผู้นี้กลายเป็นดั่งแสงจันทร์นวลผ่องกลางใจของท่าเซียนจวิน แม้จะคะนึงหาด้วยความรวดร้าวทรมาน ทั้งคนผู้นี้ก็กลายเป็นดินเหลืองกำมือหนึ่ง จากไปยังแดนบาดาลเหลือง[5]จนยากเสาะหาร่องรอยแล้วก็ตาม
ทว่าเวลานี้ ซือเม่ยที่มีลมหายใจปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง โม่หรานต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดสะกดกลั้นความรู้สึกตื่นเต้นของตัวเองเอาไว้
โม่หรานพยุงเขาลุกขึ้น ปัดฝุ่นดินบนเสื้อคลุมให้เขาด้วยความปวดใจอย่างสุดแสน
“หากข้าไม่อยู่ที่นี่ ท่านคงถูกผู้อื่นรังแกจนเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ คนอื่นตีท่าน ไยจึงไม่ตอบโต้”
“ข้าอยากใช้เหตุผลก่อน…”
“กับคนเหล่านี้ยังต้องใช้เหตุผลอะไรอีก! บาดเจ็บหรือไม่ เจ็บที่ใด”
“แค็กๆ อาหราน ข้า…ข้าไม่เป็นไร”
โม่หรานหันไปหานักพรตพวกนั้นด้วยสีหน้าดุดัน “คนของยอดเขาสื่อเซิง พวกเจ้ายังกล้าลงมือ? ขวัญกล้านัก”
“อาหราน…ช่างเถอะ…”
“พวกเจ้าจะสู้มิใช่หรือ มาสิ! มาประลองกับข้าสักหน่อย!”
นักพรตเหล่านั้นถูกโม่หรานฟาดหนึ่งฝ่ามือก็รู้แล้วว่าระดับการบำเพ็ญของคนผู้นี้เหนือกว่าพวกตน ต่างก็เป็นพวกชอบไม้อ่อนกลัวไม้แข็ง ไหนเลยจะกล้าประมือกับโม่หราน พากันล่าถอย
ซือเม่ยถอนหายใจติดๆ กัน เอ่ยเกลี้ยกล่อม “อาหราน อย่าวิวาทเลย หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกันเถอะ”
โม่หรานหันไปมองเขา ในใจรู้สึกเศร้าสลดอย่างไม่อาจห้าม ขอบตาร้อนผ่าวเล็กน้อย
ซือเม่ยจิตใจดีเช่นนี้เสมอมา ยามที่ตายในชาติที่แล้วก็ไม่ผูกพยาบาทแม้แต่น้อย ไม่คิดแค้นเคือง ซ้ำยังถึงขั้นโน้มน้าวเขา ไม่ให้ผูกใจเจ็บที่อาจารย์ผู้นั้นนิ่งดูดายไม่ช่วยชีวิตเขาทั้งที่ช่วยได้
“แต่ว่าพวกเขา…”
“นี่ข้าก็ไม่ได้เป็นอะไรมิใช่หรือ มากเรื่องมิสู้น้อยเรื่อง[6] เชื่อฟังศิษย์พี่”
“เฮ้อๆ ก็ได้ ฟังท่าน ฟังท่านทุกอย่าง” โม่หรานส่ายหน้า ถลึงตาจ้องนักพรตพวกนั้น “ได้ยินหรือไม่ ศิษย์พี่ข้าขอร้องแทนพวกเจ้า! ยืนทื่ออยู่ทำไม ยังไม่รีบไสหัวไปอีก หรือจะให้ข้าส่งพวกเจ้า”
“ขอรับๆๆ! เราจะไสหัวไปเดี๋ยวนี้! ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”
ซือเม่ยเอ่ยรั้งพวกเขา “ช้าก่อน”
คนเหล่านั้นคิดว่าพวกตนเพิ่งลงไม้ลงมือกับซือเม่ย อีกฝ่ายคงไม่ยอมปล่อยพวกตนไปง่ายๆ แน่ จึงคุกเข่าโขกศีรษะซ้ำๆ กับพื้น “เซียนจวิน เซียนจวิน เราผิดไปแล้ว เรามีตาแต่ไร้แวว ขอเซียนจวินโปรดปล่อยเราไปเถิด!”
“เมื่อครู่ข้าพูดกับพวกเจ้าดีๆ พวกเจ้ากลับไม่ฟัง” ซือเม่ยถอนหายใจ “พวกเจ้าลักพาตัวบุตรของผู้อื่นไป ให้ต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้ ทำให้บิดามารดาของพวกเขาเจ็บปวดเหมือนถูกมีดกรีดหัวใจ จิตสำนึกของพวกเจ้าอยู่ที่ใด”
“ขออภัย! ขออภัย! เซียนจวิน เราผิดไปแล้ว! มิกล้าอีกแล้ว! มิกล้าอีกแล้ว!”
“ต่อไปพวกเจ้าต้องเป็นคนสุจริต ห้ามทำเรื่องชั่วช้าอีก รู้แล้วหรือไม่”
“ขอรับ! เซียนจวินสั่งสอนถูกต้อง! เรา…เราสำนึกแล้ว สำนึกแล้ว!”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็จงไปขออภัยฟูเหรินผู้นี้ และรักษาลูกของนางให้ดีด้วย”
เรื่องนี้จึงนับว่ายุติลง โม่หรานพยุงซือเม่ยขึ้นม้า ส่วนตนเองเช่าม้าอีกตัวจากโรงพักม้า[7] คนทั้งสองกระตุ้นม้าเดินเคียงกันไปช้าๆ มุ่งหน้ากลับสำนัก
จันทร์เสี้ยวประดับฟ้า แสงจันทร์ส่องผ่านแมกไม้ สาดกระจายลำแสงบนทางสายน้อยในเงาป่า
ขณะที่มุ่งหน้าไป โม่หรานก็ค่อยๆ คิดอย่างสุขใจ…เดิมคิดว่าอย่างน้อยก็ต้องกลับถึงยอดเขาสื่อเซิงก่อน จึงจะได้พบซือเม่ย คาดไม่ถึงว่าซือเม่ยจะลงเขามาทำธุระ ทำให้เขามาพบเข้าพอดี โม่หรานยิ่งเชื่อมากกว่าเดิมว่า เขากับซือเม่ยมีวาสนาต่อกันจริงๆ
แม้จะบอกว่าเวลานี้ เขากับซือเม่ยยังมิได้อยู่ร่วมกัน แต่ชาติก่อนก็เคยคลุกคลีกันมา มาชาตินี้ทุกอย่างจึงไหลลื่นคุ้นเคย เงื่อนไขก็เอื้ออำนวยอย่างเห็นได้ชัด
สิ่งเดียวที่โม่หรานกังวลคือ ต้องปกป้องซือเม่ยให้ดี อย่าให้เขาตายอย่างน่าเวทนาในอ้อมอกตนเหมือนเช่นตอนนั้นอีก…
ซือเม่ยไม่รู้ว่าโม่หรานคือคนที่กลับมาเกิดใหม่ จึงพูดคุยกับเขาตามปกติ ทั้งสองคุยกันจนมาถึงเชิงเขาสื่อเซิง
ไม่คาดคิดว่าดึกดื่นเช่นนี้ กลับมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูเขา กำลังจ้องมาทางทั้งสอง
“โม่หราน! เจ้ายังรู้จักกลับมาด้วยรึ”
“เอ๋?”
โม่หรานกลอกตา โอ้โฮ บุตรรักของสวรรค์กำลังเดือดดาล
คนผู้นี้มิใช่ใคร เป็นเซวียเหมิงในวัยเยาว์
เทียบกับเซวียเหมิงคนที่โม่หรานพบก่อนตาย เขาในวัยสิบห้าสิบหกปี หล่อเหลาและมุทะลุกว่าอย่างเห็นได้ชัด เขาสวมชุดเกราะเบาสีน้ำเงินขอบเงิน เกล้าผมหางม้าสูง รัดด้วยรัดเกล้าเงิน เอวสอบทรงพลังคาดเข็มขัดหัวสิงห์ สวมปลอกแขนและสนับแข้งครบครัน ที่หลังสะพายดาบโค้งเปล่งประกายเย็นเยียบ กระบอกธนูคาดแขนเสื้อด้านซ้ายสาดประกายสีเงิน
โม่หรานลอบถอนหายใจ คิดอย่างตรงไปตรงมาว่า
อืม ขี้อวด
เซวียเหมิง ไม่ว่าในวัยเยาว์หรือเติบใหญ่ ก็ขี้อวดจริงๆ
ดูเขาสิ เด็กหนุ่มผู้หนึ่ง กลางค่ำกลางคืนไม่หลับไม่นอน สวมชุดเกราะเต็มยศของยอดเขาสื่อเซิง จะทำอะไรกัน แสดงไก่ฟ้าหาคู่ นกยูงรำแพนหางรึ
เพียงแต่ โม่หรานไม่ชอบเซวียเหมิง เซวียเหมิงเองก็ใช่ว่าจะชอบเขา
โม่หรานเป็นบุตรนอกสมรส ในวัยเด็ก เขาไม่รู้เลยว่าบิดามารดาของตนเป็นใคร อาศัยรับจ้างจิปาถะหาเลี้ยงชีพในโรงดนตรี[8]แห่งหนึ่งที่เซียงถาน จนกระทั่งอายุสิบสี่ปี จึงมีคนมารับตัวไปยังยอดเขาสื่อเซิง
เซวียเหมิงคือประมุขน้อยของยอดเขาสื่อเซิง นับดูแล้ว ความจริงเขาก็คือญาติผู้น้องของโม่หราน เซวียเหมิงประสบความสำเร็จตั้งแต่วัยเยาว์ เป็นอัจฉริยะผู้หนึ่ง ใครต่อใครต่างขนานนามว่า “บุตรรักของสวรรค์” “บุตรพญาหงส์” คนธรรมดาต้องบำเพ็ญสร้างฐานรากสามปี ฝึกสำเร็จแก่นวิญญาณอย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาสิบปี เซวียเหมิงปราดเปรื่องมีพรสวรรค์ ตั้งแต่เข้าสำนักจนกระทั่งฝึกแก่นวิญญาณสำเร็จ ใช้เวลาทั้งสิ้นไม่เกินห้าปี เป็นที่ปลาบปลื้มของบุพการี ทุกหนแห่งล้วนแซ่ซ้องสรรเสริญ
แต่ในสายตาโม่หราน ไม่ว่าเขาจะเป็นพญาหงส์หรือไก่ เป็นนกยูงหรือว่าเป็ด อย่างไรก็เป็นนกวันยังค่ำ ต่างกันที่ขนยาวขนสั้นเท่านั้น
โม่หรานเห็นเซวียเหมิงเป็นนกไร้สาระ
เซวียเหมิงเห็นโม่หรานเป็นสุนัขไร้ค่า
บางทีอาจเป็นสิ่งที่สืบทอดในวงศ์วานว่านเครือ พรสวรรค์ของโม่หรานเองก็น่าทึ่งอย่างยิ่ง ถึงขั้นกล่าวได้ว่าน่าทึ่งกว่าเซวียเหมิง
ทันทีที่โม่หรานมาถึง เซวียเหมิงก็รู้สึกว่าตนเองสูงส่งเลิศเลอเป็นพิเศษ การฝึกบำเพ็ญดี มีความรู้ วิชายุทธ์แข็งแกร่ง หน้าตาหล่อเหลา มิใช่คนประเภทเดียวกับญาติผู้พี่ของเขาที่เป็นสวะเสเพล สำมะเลเทเมาไปวันๆ โง่เง่าไม่รู้หนังสือเลยสักตัว
บุตรพญาหงส์ผู้หลงตนทำเป็นฮึดฮัดสั่งการผู้ติดตาม “พวกเจ้าจงฟัง โม่หรานผู้นี้ ทำตัวเอ้อระเหยลอยชายไร้วิชาความรู้ เป็นพวกเกกมะเหรกข้างถนน ห้ามพวกเจ้าข้องแวะกับเขา เห็นคนผู้นี้เป็นสุนัขก็พอ”
บรรดาผู้ติดตามพากันประจบประแจง “ประมุขน้อยกล่าวถูกต้องยิ่ง โม่หรานผู้นี้อายุสิบหกแล้ว เพิ่งเริ่มฝึกบำเพ็ญตอนนี้ ข้าว่าอย่างน้อยที่สุดเขาก็ต้องใช้เวลาสิบปีถึงจะสร้างรากฐานได้ ยี่สิบปีถึงจะเชื่อมแก่นวิญญาณได้ ถึงตอนนั้นประมุขน้อยของเราคงผ่านด่านเคราะห์เหินหาวไปแล้ว ส่วนเขาได้แต่มองดูอยู่ที่พื้นตาละห้อย”
เซวียเหมิงแค่นหัวเราะอย่างเย็นชาด้วยความย่ามใจ “ยี่สิบปี? เฮอะ ข้าว่าเศษสวะเช่นเขา ชาตินี้ก็ไม่มีวันฝึกแก่นวิญญาณได้”
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า เศษสวะผู้นี้ติดตามอาจารย์ เรียนรู้อย่างไม่เป็นโล้เป็นพายอยู่หนึ่งปี ก็สำเร็จแก่นวิญญาณแล้ว
บุตรพญาหงส์รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า เหมือนตนเองถูกตบหน้า ทำอย่างไรก็กล้ำกลืนโทสะนี้ไม่ลง
เขาจึงลอบทำของ แช่งชักให้ผู้อื่นขี่กระบี่ลื่นล้ม ท่องคาถาลิ้นพันกัน
ทุกครั้งที่เจอหน้าโม่หราน พญาหงส์น้อยเซวียเหมิงเป็นต้องถลึงตาใส่อย่างไม่ลดราวาศอก แค่นเสียงออกจมูกที่ได้ยินไปไกลถึงสามหลี่[9]
โม่หรานนึกถึงเรื่องราวในวัยเยาว์เหล่านั้น ดวงตาก็หยีโค้งด้วยนึกสนุกอย่างอดไม่ได้ เขาไม่ได้สนุกกับเรื่องทางโลกเช่นนี้มานานแล้ว เดียวดายมาสิบปี แม้แต่ความแค้นในอดีต มาบัดนี้พอได้เคี้ยวก็รู้สึกกรุบกรอบ หอมหวนยิ่งนัก
ซือเม่ยเห็นเซวียเหมิงก็รีบลงจากม้า ถอดหมวกโต่วลี่ติดผ้าโปร่งดำออก เผยให้เห็นใบหน้างามล้ำ
มิน่าเล่าเขาจึงต้องแต่งกายเช่นนี้ยามออกไปข้างนอกตามลำพัง โม่หรานลอบมองอยู่ข้างๆ หัวจิตหัวใจไหวหวั่น คิดเพ้อเจ้อไปเรื่อย คนผู้นี้รูปโฉมงามหยาดเยิ้ม สะกดวิญญาณโดยแท้
ซือเม่ยทักทายเขา “ประมุขน้อย”
เซวียเหมิงพยักหน้า “กลับมาแล้วหรือ เรื่องหมีมนุษย์จัดการเรียบร้อยแล้ว?”
ซือเม่ยยิ้มน้อยๆ “เรียบร้อยแล้ว เคราะห์ดีที่เจออาหราน จึงช่วยข้าได้มาก”
สายตาโอหังของเซวียเหมิงราวกับใบมีดคมกริบที่ซัดเข้ามาปานพายุ กวาดไปทั่วร่างโม่หรานอย่างรวดเร็ว ก่อนจะละสายตาไปทันที คิ้วขมวดมุ่น สีหน้าเหยียดหยาม ราวกับว่าถ้ามองโม่หรานนานอีกหน่อยจะแปดเปื้อนสองตาของตนกระนั้น
“ซือเม่ย เจ้าไปพักผ่อนเถิด ภายหน้าคลุกคลีกับเขาให้น้อยหน่อย คนลับๆ ล่อๆ เยี่ยงโจรพรรค์นี้ อยู่ใกล้ก็มีแต่จะเลียนเอาสิ่งไม่ดี”
โม่หรานมีหรือจะยอมอ่อนข้อ ยิ้มเยาะเอ่ยว่า “ซือเม่ยไม่เลียนแบบข้า จะให้เลียนแบบเจ้า ดึกดื่นยังแต่งตัวเต็มยศ ชูหางหลงตนเหมือนนกผยอง ไหนจะยังมีบุตรรักของสวรรค์อะไรนั่นอีก…ฮ่าๆๆ ข้าว่าเป็นบุตรีคนโปรดซะมากกว่าเสียล่ะมากกว่า”
เซวียเหมิงเดือดพล่าน “โม่หราน ชำระปากคอเจ้าให้สะอาดเสียด้วย! ที่นี่บ้านข้า! เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร”
โม่หรานนับนิ้วคำนวณ “ข้าคือญาติผู้พี่ของเจ้า จะว่าไป ก็สมควรจัดลำดับอยู่ก่อนเจ้า”
เซวียเหมิงราวกับถูกมูลสุนัขสาดใส่หน้า หน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความเดียดฉันท์ทันที เอ่ยเสียงขึ้งโกรธ “ใครมีญาติผู้พี่เช่นเจ้า! อย่าแปะทองบนหน้าตนเอง[10]นักเลย ในสายตาข้า เจ้ามันก็แค่สุนัขที่กลิ้งอยู่ในปลักตม!”
เซวียเหมิงผู้นี้ชอบด่าทอผู้อื่นเป็นสุนัข ไอ้ลูกสุนัขเอย ไอ้สุนัขไร้ค่าเอย แม่สุนัขเลี้ยงพ่อสุนัขให้กำเนิดเอย พอปากขยับก็ด่าเสียคล่อง โม่หรานคุ้นเคยกับเรื่องเช่นนี้มานานแล้ว จึงทำเป็นแคะหูไม่นำพา กลับเป็นซือเม่ยที่ฟังจนกระอักกระอ่วนอยู่ข้างๆ คอยกระซิบเตือนเขาหลายคำ สุดท้ายเซวียเหมิงแค่นเสียงเย็นชาออกจมูก หุบปากนกอันสูงส่งของตนเองได้เสียที
ซือเม่ยยิ้ม ถามไถ่อย่างสุภาพ “ดึกป่านนี้แล้ว ประมุขน้อยรอคนอยู่หรือ”
“ไม่เช่นนั้นจะให้มาทำอะไร ชมจันทร์รึ”
โม่หรานกุมท้องหัวเราะพลางว่า “ข้าก็ว่าเหตุใดเจ้าจึงแต่งองค์ทรงเครื่องเสียชวนมองขนาดนี้ ที่แท้ก็นัดหมายคนไว้ เอ๋ ว่าแต่ผู้ใดกันนะที่โชคร้ายถูกเจ้าคิดถึง ข้าล่ะเห็นใจนางนัก ฮ่าๆๆๆ”
ใบหน้าของเซวียเหมิงดำคล้ำยิ่งกว่าเดิม กรงเล็บนั่นถ้าตะกุยขึ้นมาถ่านคงร่วงกราวได้สามชั่ง เขาเอ่ยเสียงกระด้าง “เจ้า!”
“…ข้า?”
“คุณชายเช่นข้ากำลังรอเจ้า เจ้าจะว่าอย่างไร”
โม่หราน “…”
[1] แปลว่า เด็กหญิงแซ่เซวีย
[2] แปลว่า ไข่หมา
[3] แปลว่า เสาเหล็ก
[4] ในภาษาจีน อ่านว่า “ซือเม่ย” เหมือนกัน แต่อักษร “เม่ย” เป็นคนละตัวกับ “เม่ย” ที่แปลว่า โง่เขลา
[5] หมายถึง ยมโลก
[6] หมายถึง มีเรื่องน้อย ก็ทุกข์น้อย เรื่องยิ่งน้อยยิ่งดี
[7] “อี้ก่วน” เรียกจุดพักม้าที่เป็นเรือนแรมในตัว สำหรับให้คนเดินทางพักหรือเปลี่ยนม้าของตน พร้อมกับพักแรมได้ด้วย จึงมีขนาดใหญ่กว่าจุดพักม้า (อี้จ้าน) ที่เป็นเพียงที่สำหรับพักม้าและเปลี่ยนม้าระหว่างเดินทางเป็นระยะๆ เพียงอย่างเดียว
[8] โรงดนตรีคือสถานบันเทิงในสมัยโบราณ เน้นการเล่นดนตรีและร้องเพลงเป็นหลัก อาจมีการค้าบริการตามความสมัครใจของสตรี ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย
[9] 1 หลี่/ลี้ เท่ากับ 500 เมตร ในที่นี้เป็นการเปรียบเปรยว่าได้ยินไปไกลมาก
[10] หมายถึง อวยตัวเอง