ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา
二哈和他的白猫师尊
肉包不吃肉 โร่วเปาปู้ชือโร่ว เขียน
Bou Ptrn แปล
คำเตือน!! นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้ที่อายุ 21 ปีขึ้นไป โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับ…
: among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา)
: Angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน)
: Cannibalism (การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน)
: child abuse (การทารุณกรรมเด็ก)
: coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ)
: corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย)
: death (การตาย)
: depression (ภาวะซึมเศร้า)
: explicit sex (การร่วมเพศแบบเปิดเผย)
: gang-rape (การข่มขืนเป็นกลุ่ม)
: genocide (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)
: gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง)
: humiliation (การทำให้อีกฝ่ายได้รับความอับอาย)
: massacre (การสังหารหมู่)
: mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ)
: questionable principles (มีีหลักการที่น่าสงสัย)
: rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม)
: suicide (การฆ่าตัวตาย)
: starvation (ความอดอยาก)
: torture (การทรมาน)
: underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์)
: and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)
** หมายเหตุ : ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์และต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับ เป็นฉบับ Uncensored
——————————————————————————
7
ตัวข้าชอบกินเกี๊ยวน้ำมันพริก
ตะวันแผดแสงเหนือศีรษะ
ยอดเขาสื่อเซิงกว้างใหญ่ร้อยหลี่ ระเบียงทางเดินทอดยาว
ในฐานะดาวจรัสแสงดวงใหม่ในบรรดาสำนักฝึกเซียน ที่นี่ค่อนข้างแตกต่างจากสำนักและตระกูลเลื่องชื่อของโลกบำเพ็ญเพียร
ดูอย่างสำนักหรูเฟิงแห่งหลินอี๋ที่รุ่งเรืองที่สุดในเวลานี้ ตำหนักหลักของพวกเขาชื่อว่า “ตำหนักลิ่วเต๋อ”[1] เพราะมุ่งหวังให้ศิษย์มีคุณธรรมทั้งหกครบถ้วน กล่าวคือ “ปัญญา สัจจะ บริสุทธิ์ เที่ยงธรรม เมตตา และซื่อสัตย์” เขตที่บรรดาศิษย์พักอาศัยเรียกว่า “ทวารลิ่วหัง”[2] เพื่อเตือนใจศิษย์ในสำนักว่าต้อง “กตัญญู มีไมตรี สามัคคี แต่งงาน รับผิดชอบ และเห็นอกเห็นใจ” สถานที่ถ่ายทอดวิชาเรียกว่า “แท่นลิ่วอี้”[3] หมายถึง ศิษย์สำนักหรูเฟิงต้องเชี่ยวชาญทักษะทั้งหกด้าน ได้แก่ “มารยาท ดนตรี ยิงธนู ขับรถม้า ตำรา และการคำนวณ”
สรุปคือ สูงสง่าเลิศล้ำไร้ขอบเขต
กลับมาที่ยอดเขาสื่อเซิง ช่างสมกับที่มีภูมิหลังยากแค้น ตั้งชื่อได้ซับซ้อนยากเอื้อนเอ่ย “ตำหนักตานซิน” “แท่นซ่านเอ้อ” เหล่านั้นล้วนนับว่าประเสริฐ คงเป็นชื่อที่คิดออกมาได้จากอักษรไม่กี่ตัวหลังจากบิดากับท่านลุงของโม่หรานร่ำเรียนตำราได้ไม่กี่วัน ก่อนจะเริ่มเละเทะ สำแดงพรสวรรค์ในการตั้งชื่ออย่าง “เซวียยา”
ด้วยเหตุนี้ บนยอดเขาสื่อเซิงจึงมีหลายชื่อที่ตั้งขึ้นโดยลอกเลียนมาจากยมโลก ยกตัวอย่างเช่น ห้องมืดสำหรับให้ศิษย์ทบทวนและสำนึกตน เรียกว่า “ตำหนักเหยียนหลัว”
สะพานหยกที่เชื่อมต่อเขตพักผ่อนกับเขตศึกษาวิชาเรียกว่า “สะพานไน่เหอ”[4] โรงอาหารเรียกว่า “โรงเมิ่งผัว”[5] ลานฝึกยุทธ์เรียกว่า “เตาซานหัวไห่”[6] พื้นที่ต้องห้ามของเขาด้านหลังเรียกว่า “สือกุ่ยเจียน”[7] เป็นต้น
เหล่านี้ก็ยังนับว่าประเสริฐอยู่ ส่วนสถานที่อื่นๆ นอกจากนี้เรียกเพียงง่ายๆ ว่า “นี่คือภูเขา” “นี่คือน้ำ” “นี่คือหลุม” รวมไปถึงหน้าผาสูงชันอันโด่งดัง อย่าง “อ๊ากกก” และ “ว้ากกก”
เรือนพักของเหล่าผู้อาวุโสย่อมยากที่จะหนีพ้น แต่ละเรือนล้วนมีฉายาของตัวเอง
ฉู่หว่านหนิงก็ไม่มีข้อยกเว้น เขาผู้นี้รักความสงบเงียบ ไม่ยอมอาศัยร่วมกับผู้อื่น เรือนพำนักของเขาสร้างอยู่บนยอดเขาทางทิศใต้ของยอดเขาสื่อเซิง เร้นอยู่ในป่าไผ่หนาทึบดั่งทะเลมรกต หน้าเรือนมีสระน้ำ ในสระปกคลุมด้วยบัวแดง เนื่องจากมีพลังวิญญาณเต็มเปี่ยม ดอกบัวในสระจึงบานตลอดปี เจิดจ้าดั่งแสงสายัณห์
ศิษย์ในสำนักแอบเรียกสถานที่ซึ่งมีทิวทัศน์งดงามนี้ว่า…
นรกบัวแดง
โม่หรานนึกถึงตรงนี้ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ก็ใครใช้ให้ฉู่หว่านหนิงทำหน้าเหมือนสตรีแก่เกินวัย[8]ทั้งวี่ทั้งวันกันเล่า ศิษย์ในสำนักเห็นเขาเหมือนเห็นอสุรกายผีร้าย สถานที่ที่ผีร้ายอยู่ไม่เรียกว่านรกจะให้เรียกว่าอะไร
เซวียเหมิงขัดจังหวะจินตนาการของเขา “เจ้ายังหัวเราะได้อีกนะ! รีบกินข้าวเช้าซะ กินเสร็จแล้วตามข้าไปที่แท่นซ่านเอ้อ วันนี้อาจารย์จะลงโทษเจ้าต่อหน้าทุกคน!”
โม่หรานถอนหายใจ ลูบรอยแส้บนหน้า “ซี้ด…เจ็บ”
“สมควร!”
“เฮ้อ ไม่รู้เทียนเวิ่นซ่อมเสร็จหรือยัง หากยังซ่อมไม่เสร็จก็อย่าเอาออกมาไต่สวนข้าอีกเลย ใครจะไปรู้ว่าข้าจะพูดจาเหลวไหลอะไรออกมาอีก”
เห็นโม่หรานทำท่ากลุ้มอกกลุ้มใจอย่างจริงจังเช่นนี้ เซวียเหมิงก็หน้าแดงก่ำ เอ่ยอย่างฉุนเฉียวว่า “หากเจ้ายังกล้าเอ่ยวาจาเสียมารยาทกับอาจารย์ต่อหน้าทุกคน ข้าจะดึงลิ้นเจ้าซะ!”
โม่หรานปิดหน้า โบกมือพลางเอ่ยเสียงเบา “ไม่ต้องให้เจ้าดึง ไม่ต้องให้เจ้าดึง หากอาจารย์เอาแส้หลิ่วรัดข้าอีก ข้าจะฆ่าตัวตายพิสูจน์ความบริสุทธิ์”
พอถึงเวลา โม่หรานก็ถูกพาตัวไปยังแท่นซ่านเอ้อตามกฎ เขาทอดสายตามองไปด้านล่างที่เป็นทะเลมนุษย์สีน้ำเงินเข้ม ศิษย์ของยอดเขาสื่อเซิงต่างสวมชุดคลุมประจำสำนัก เกราะเบากระชับร่างสีน้ำเงินจนแทบเป็นสีดำ เข็มขัดหัวสิงห์ ที่ปลอกแขนกับชายเสื้อเดินขอบเงินเปล่งประกายวิบวับ
ตะวันขึ้นทางตะวันออก ใต้แท่นซ่านเอ้อสว่างไสวด้วยประกายชุดเกราะ
โม่หรานคุกเข่าอยู่บนแท่นสูง ฟังผู้อาวุโสเจี้ยลวี่ผู้คุมกฎอ่านคำชี้โทษยาวเหยียดเบื้องหน้าเขา
“ศิษย์ใต้อาณัติผู้อาวุโสอวี้เหิง โม่เวยอวี่ ไม่เห็นกฎเกณฑ์ในสายตา ละเลยคำสั่งสอน ไม่ปฏิบัติตามกฎสำนัก คุณธรรมสูญหาย ฝ่าฝืนบัญญัติข้อสี่ ข้อเก้า และข้อสิบห้าของสำนัก โบยแปดสิบไม้ตามกฎ คัดกฎสำนักร้อยจบ กักบริเวณหนึ่งเดือน โม่เวยอวี่ เจ้ามีข้อโต้แย้งหรือไม่”
โม่หรานเหลือบมองร่างสีขาวที่อยู่ไกลๆ
นั่นคือผู้อาวุโสเพียงหนึ่งเดียวของยอดเขาสื่อเซิงที่ไม่ต้องสวมชุดคลุมพื้นน้ำเงินขอบเงิน
ฉู่หว่านหนิงสวมเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าต่วนสีขาวหิมะ ใช้ผ้าไหมบางสีเงินทำเป็นเสื้อชั้นนอก ดูราวกับสวมเกล็ดหิมะเก้าชั้นฟ้า ทว่าคนกลับเย็นชายิ่งกว่าเกล็ดน้ำแข็งเสียอีก เขานั่งนิ่งเงียบ เนื่องจากอยู่ค่อนข้างไกล โม่หรานจึงเห็นสีหน้าเขาไม่ค่อยชัด แต่คิดดูก็รู้ว่าคนผู้นี้ต้องไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อยแน่นอน
โม่หรานสูดลมหายใจลึก “ไม่มีข้อโต้แย้ง”
ผู้อาวุโสเจี้ยลวี่ถามบรรดาศิษย์ด้านล่างตามกฎเกณฑ์ “หากมีผู้ไม่ยอมรับคำตัดสิน หรือมีคำชี้แจง สามารถเอ่ยในยามนี้ได้”
เหล่าศิษย์ด้านล่างเริ่มลังเล หันมองหน้ากันไปมา
ไม่ว่าผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่า ผู้อาวุโสอวี้เหิงฉู่หว่านหนิงจะส่งศิษย์ตนมารับโทษที่แท่นซ่านเอ้อต่อหน้าทุกคนจริงๆ
เรื่องนี้หากพูดให้น่าฟัง ก็เรียกว่าซื่อตรง ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง หากพูดให้ไม่น่าฟัง ก็เรียกว่าปีศาจเลือดเย็น
ปีศาจเลือดเย็นฉู่หว่านหนิงนั่งประจำที่ มือเท้าคางด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทันใดนั้นก็มีคนใช้อาคมขยายเสียงเอ่ยขึ้นว่า “ผู้อาวุโสอวี้เหิง ศิษย์อยากขอความเมตตาให้ศิษย์น้องโม่”
“…ขอความเมตตา?”
ศิษย์ผู้นั้นเห็นว่าโม่หรานเป็นหลานแท้ๆ ของประมุข แม้ตอนนี้กระทำความผิด แต่หนทางข้างหน้ายังสว่างไสว จึงตัดสินใจฉวยโอกาสประจบโม่หราน เขาเริ่มพูดจาเหลวไหล “แม้ศิษย์น้องโม่กระทำผิด แต่ยามปกติเขารักสหายร่วมสำนัก ช่วยเหลือผู้อ่อนแอ ผู้อาวุโสโปรดเห็นแก่เนื้อแท้ที่มิใช่คนชั่วร้ายของเขา ลงมืออย่างผ่อนปรน!”
เห็นชัดว่าผู้ที่วางแผนประจบศิษย์น้องโม่มิได้มีคนเดียว
ทีละน้อยๆ คนที่ช่วยพูดให้โม่หรานก็เพิ่มมากขึ้น เหตุผลแปลกประหลาดอะไรก็มีทั้งสิ้น แม้แต่โม่หรานเองฟังแล้วยังกระดาก…ข้าเคย “จิตใจบริสุทธิ์ คำนึงถึงใต้หล้า” ตั้งแต่เมื่อใดกัน
“ผู้อาวุโสอวี้เหิง ศิษย์น้องโม่เคยกำจัดปีศาจพิทักษ์คุณธรรม สังหารสัตว์ร้ายที่จัดการได้ยากให้ข้า ข้าขอร้องแทนศิษย์น้องโม่ ใช้ความชอบลบล้างความผิด หวังว่าผู้อาวุโสจะผ่อนหนักเป็นเบา!”
“ผู้อาวุโสอวี้เหิง ศิษย์น้องโม่เคยช่วยกำจัดจิตมารตอนข้าธาตุไฟเข้าแทรก ข้าเชื่อว่าศิษย์น้องโม่ทำผิดครั้งนี้ เพียงแค่เลอะเลือนชั่วขณะ ขอผู้อาวุโสลดโทษให้ศิษย์น้องด้วย!”
“ผู้อาวุโสอวี้เหิง ศิษย์น้องโม่เคยมอบยาวิเศษให้ข้าไปช่วยมารดา เดิมเขาเป็นคนจิตใจเมตตา ขอผู้อาวุโสโปรดลงโทษสถานเบา!”
คำพูดของคนสุดท้ายถูกชิงกล่าวไปแล้ว จึงไม่รู้จะแต่งเรื่องอะไรขึ้นมาพูดไปชั่วขณะ พอเห็นว่าสายตาเยือกเย็นของฉู่หว่านหนิงกวาดมองมา อารามลนลานก็บังเกิดปัญญา เอ่ยอย่างไม่ปะติดปะต่อว่า “ผู้อาวุโสอวี้เหิง ศิษย์น้องโม่เคยช่วยข้าฝึกบำเพ็ญคู่[9]…”
“พรืด” มีคนกลั้นหัวเราะไม่อยู่
ศิษย์คนนั้นหน้าแดงหูแดงทันที ถอยออกไปด้วยความขัดเขิน
“อวี้เหิง ระงับโทสะ ระงับโทสะ…” ผู้อาวุโสเจี้ยลวี่เห็นท่าไม่ดี รีบเตือนเขาอยู่ข้างๆ
ฉู่หว่านหนิงเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าไม่เคยเห็นคนหน้าหนาไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน เขาชื่ออะไร ศิษย์ของผู้ใด”
ผู้อาวุโสเจี้ยลวี่ลังเลเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยเสียงเบาอย่างจำใจ “ศิษย์ข้า เย่าเหลี่ยน[10]”
ฉู่หว่านหนิงเลิกคิ้ว “ศิษย์เจ้า? รู้จักอาย?”
ผู้อาวุโสเจี้ยลวี่กระอักกระอ่วนนัก หน้าแดงพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เขาขับลำนำได้ไม่เลว รับมาไว้ช่วยยามมีพิธีบวงสรวง”
ฉู่หว่านหนิงแค่นเสียง “หึ” แล้วเบือนหน้าไป คร้านจะพูดพล่ามกับผู้อาวุโสที่หน้าไม่อายผู้นี้
คนทั้งยอดเขาสื่อเซิงหลายพันคน มีคนประจบสอพลอสิบกว่าคน นับว่าเป็นเรื่องปกติยิ่งนัก
โม่หรานมองท่าทีจริงจังน่าเชื่อถือของศิษย์พี่เหล่านั้น แม้แต่ตนเองก็เชื่อไปแล้วว่าเป็นจริง ร้ายกาจๆ ที่แท้คนที่โกหกตาไม่กะพริบได้อย่างเชี่ยวชาญมิได้มีแต่ข้า สำนักเราช่างเต็มไปด้วยผู้มากความสามารถ
ในที่สุด ฉู่หว่านหนิงที่ถูกเรียกว่า “ผู้อาวุโสอวี้เหิง โปรดเมตตา” นับครั้งไม่ถ้วน ก็เอ่ยวาจาต่อเหล่าศิษย์
“ขอความเมตตาให้โม่เวยอวี่?” เขาหยุดเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “ได้ พวกเจ้าขึ้นมาให้หมด”
คนเหล่านั้นไม่เข้าใจเจตนาของเขา เดินขึ้นไปอย่างตัวสั่นงันงก
ประกายสีทองแวบขึ้นมาจากฝ่ามือฉู่หว่านหนิง เทียนเวิ่นปรากฏขึ้นตามคำสั่ง เสียงดังเฟี้ยว มัดสิบกว่าคนนั้นไว้ด้วยกันอย่างแน่นหนา
เอาอีกแล้ว!
โม่หรานแทบจะสิ้นหวัง แค่เห็นเทียนเวิ่นเขาก็เข่าอ่อน ไม่รู้จริงๆ ว่า ฉู่หว่านหนิงได้อาวุธวิปริตเช่นนี้มาจากที่ใด เคราะห์ดีชาติก่อนฉู่หว่านหนิงมิได้แต่งงาน แม่นางบ้านใดทอดกายให้เขา หากไม่ถูกฟาดตาย ก็ต้องถูกถามจนตาย
ดวงตาฉู่หว่านหนิงฉายแววเยาะหยัน เขาถามคนหนึ่งในนั้น “โม่หรานเคยช่วยเจ้ากำจัดปีศาจ พิทักษ์คุณธรรม?”
ศิษย์ผู้นั้นไหนเลยจะต้านการทรมานของเทียนเวิ่นได้ รีบตะโกนทันที “ไม่เคย! ไม่เคย!”
ถามอีกคนต่อ “โม่หรานช่วยเจ้าจากธาตุไฟเข้าแทรก?”
“โอ๊ยๆ! ไม่เคย! ไม่เคย!”
“โม่หรานมอบยาวิเศษให้เจ้า?”
“โอ๊ย…! ช่วยด้วย! ไม่ๆๆ! ข้าแต่งเรื่อง! ข้าแต่งเรื่อง!”
ฉู่หว่านหนิงคลายมัด จากนั้นก็เงื้อแขนขึ้นเหวี่ยงอย่างดุดัน สะเก็ดไฟแลบแปลบปลาบ เทียนเวิ่นสะบัดออกฉับพลัน ฟาดลงบนหลังศิษย์ที่โกหกหลายคนนั้นอย่างแรง
เสียงแผดร้องดังติดๆ กันทันที โลหิตสาดกระเซ็น
คิ้วกระบี่ของฉู่หว่านหนิงขมวดมุ่น เอ่ยด้วยความเดือดดาล “ร้องทำไม คุกเข่าลง! ผู้คุมกฎ!”
“ขอรับ”
“ลงทัณฑ์!”
“ขอรับ!”
ผลสุดท้ายหลายคนนั้นไม่เพียงไม่ได้ผลประโยชน์ แต่ยังถูกโบยสิบไม้ทุกคนฐานโป้ปด ซ้ำผู้อาวุโสอวี้เหิงยังประทานแส้หลิ่วให้อย่างไร้ปรานีอีกต่างหาก
ตกค่ำ โม่หรานนอนคว่ำอยู่บนเตียง แม้จะทายาแล้ว แต่แผ่นหลังมีแต่รอยแผลพาดสลับกันเต็มไปหมด กระทั่งพลิกตัวก็ทำไม่ได้ เจ็บจนน้ำตาคลอ สูดจมูกเป็นระยะ
เขาเกิดมาน่ารักน่าเอ็นดู ท่าทางนอนคุดคู้ร้องครวญครางเช่นนี้ช่างเหมือนลูกแมวขนฟูที่ถูกตี เสียดายสิ่งที่เขาคิดไม่เหมือนสิ่งที่ลูกแมวพึงมีสักนิด
เขาขยุ้มผ้าห่ม กัดผ้าปูเตียง จินตนาการว่านี่คือคนสารเลวฉู่หว่านหนิง เขากัด! ถีบ! เตะ! ฉีกทึ้ง!
สิ่งปลอบประโลมเพียงหนึ่งเดียวคือซือเม่ยยกเกี๊ยวที่ทำเองมาเยี่ยมเขา เมื่อถูกสายตาอ่อนโยนคู่นั้นจ้องมองมาด้วยความสงสาร โม่หรานก็ยิ่งน้ำตาทะลักหนักกว่าเดิม
เขาไม่สนเรื่องลูกผู้ชายไม่หลั่งน้ำตาง่ายๆ อะไรทั้งสิ้น เขาชมชอบผู้ใด ก็ชอบออดอ้อนผู้นั้น
“เจ็บมากหรือ เจ้าลุกขึ้นไหวหรือไม่” ซือเม่ยนั่งลงข้างเตียง ถอนหายใจพลางเอ่ย “อาจารย์เขา…เขาลงมือรุนแรงเกินไปแล้ว ดูสิตีเจ้าจน…บาดแผลเต็มไปหมด ตอนนี้เลือดยังไหลไม่หยุดเลย”
โม่หรานได้ยินเขาเอ่ยด้วยความห่วงใย กระแสอบอุ่นค่อยๆ ผุดขึ้นในอก ดวงตาสุกใสฉ่ำวาวเหลือบขึ้นมองจากใต้ผ้าห่ม กะพริบตาปริบๆ
“ซือเม่ย ท่านเป็นห่วงข้าถึงเพียงนี้ ข้า…ข้าก็ไม่เจ็บแล้ว”
“เฮ้อ ดูสภาพเจ้าสิ จะไม่เจ็บได้อย่างไร เจ้าก็รู้นิสัยอาจารย์ ต่อไปยังจะกล้าทำผิดใหญ่หลวงเช่นนี้อีกหรือไม่”
ท่ามกลางแสงเทียน ซือเม่ยมองเขา ทั้งจนปัญญาทั้งปวดใจ นัยน์ตาเย้ายวนชวนหลงใหลนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ ราวกับธารน้ำอบอุ่นในฤดูวสันต์
โม่หรานหวั่นไหวเล็กน้อย เอ่ยอย่างหัวไว “ข้าไม่ทำอีกแล้ว ข้าสาบาน”
“คำสาบานของเจ้ามีครั้งใดจริงจังบ้าง” แต่พูดก็ส่วนพูด ในที่สุดซือเม่ยก็ยิ้มออกมา “เกี๊ยวเย็นหมดแล้ว เจ้าลุกไหวหรือไม่ ถ้าลุกไม่ไหวก็นอนคว่ำไป ข้าจะป้อนเจ้าเอง”
เดิมโม่หรานลุกขึ้นมาครึ่งหนึ่งแล้ว พอได้ยินเช่นนี้ก็นอนนิ่งลุกไม่ขึ้นทันที
ซือเม่ย “…”
ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ อาหารที่โม่หรานโปรดปรานที่สุดก็คือเกี๊ยวฝีมือซือเม่ย เปลือกบางดุจหมอกควัน ไส้นุ่มราวกับมันเปลว ทุกลูกเนื้อแน่นชุ่มฉ่ำ เนียนนุ่มหอมหวน พอเข้าปากก็ละลายทันที รสชาติหวานหอมยังอวลอยู่ในปาก
โดยเฉพาะน้ำแกงเกี๊ยว เคี่ยวจนเป็นสีขาวน้ำนมเข้มข้น โรยหน้าด้วยต้นหอมซอยเขียวสด โปะไข่ฝอยสีเหลืองนุ่ม ค่อยๆ ราดน้ำมันพริกสีแดงร้อนฉ่าที่ผัดกับกระเทียมบดหนึ่งช้อน ยามที่กลืนลงท้อง ก็เหมือนจะทำให้รู้สึกอุ่นวาบไปชั่วชีวิต
ซือเม่ยค่อยๆ ป้อนเขาทีละช้อน ป้อนพลางพูดกับเขาไปพลาง “วันนี้ไม่ได้ใส่น้ำมันพริกนะ เจ้าบาดเจ็บหนัก กินเผ็ดจะหายช้า ดื่มน้ำแกงตุ๋นกระดูกดีกว่า”
โม่หรานจ้องมองเขาอย่างไม่ละสายตา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เผ็ดไม่เผ็ด ขอเพียงท่านทำ ล้วนอร่อยทุกอย่าง”
“เข้าใจพูดจริง” ซือเม่ยยิ้ม คีบไข่ดาวที่ซุกอยู่ในน้ำแกงขึ้นมา “ให้ไข่ยางมะตูมเป็นรางวัลเจ้า รู้ว่าเจ้าชอบ”
โม่หรานหัวเราะแหะๆ ผมยุ่งปอยหนึ่งตรงหน้าผากชี้โด่เด่เหมือนดอกไม้ชูช่อ “ซือเม่ย”
“อะไรหรือ”
“ไม่มีอะไร แค่เรียกท่านเฉยๆ”
“…”
เส้นผมชี้โด่ชี้เด่
“ซือเม่ย”
ซือเม่ยกลั้นหัวเราะ “แค่เรียกข้าเฉยๆ?”
“อืมๆ แค่เรียกท่านเฉยๆ เรียกแล้วสบายใจนัก”
ซือเม่ยอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะลูบหน้าผากเขาอย่างอ่อนโยน “เด็กโง่นี่ คงไม่ได้จับไข้กระมัง”
โม่หรานหลุดหัวเราะ กลิ้งตัวครึ่งตลบ ชำเลืองมองเขาด้วยแววตาสุกใสราวกับดวงดาวดารดาษ
“หากได้กินเกี๊ยวที่ซือเม่ยทำทุกวัน เช่นนั้นช่างดียิ่งนัก”
นี่มิใช่คำลวง
หลังจากซือเม่ยตายไป โม่หรานอยากกินเกี๊ยวฝีมือเขาอีกสักครั้งมาตลอด แต่รสชาติเช่นนั้น กลับหาไม่ได้อีกแล้ว
ตอนนั้นฉู่หว่านหนิงยังไม่ได้แตกหักกับเขา ไม่รู้ว่าเกิดรู้สึกผิดหรืออย่างไร หลังจากมองโม่หรานคุกเข่าใจลอยอยู่หน้าโลงศพซือเม่ยมาตลอด ฉู่หว่านหนิงจึงไปที่ครัวเงียบๆ นวดแป้ง สับไส้ ห่อเกี๊ยวอย่างบรรจง เพียงแต่ยังไม่ทันห่อเสร็จ ก็ถูกโม่หรานเจอเข้าเสียก่อน โม่หรานที่เจ็บปวดจากการสูญเสียคนที่รักไม่อาจรับได้ รู้สึกว่าการกระทำของฉู่หว่านหนิงเป็นการเยาะเย้ยเขา กำลังพยายามเลียนแบบอย่างไม่ได้เรื่อง จงใจทำให้เขาเจ็บปวด
ซือเม่ยตายแล้ว ทั้งที่ฉู่หว่านหนิงช่วยได้ชัดๆ แต่กลับไม่ยอมช่วย ภายหลังยังคิดจะห่อเกี๊ยวแทนซือเม่ยให้เขากินอีก หรือคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะทำให้เขามีความสุข
เขาพุ่งเข้าไปในครัว ปัดภาชนะทั้งหมดลงพื้น เกี๊ยวชิ้นอวบสีขาวโพลนกลิ้งเกลื่อนเต็มพื้น
เขาตะโกนใส่หน้าฉู่หว่านหนิง “เจ้านับเป็นตัวอะไร เจ้าคู่ควรกับสิ่งของที่เขาเคยใช้หรือ คู่ควรทำอาหารที่เขาเคยทำหรือ ซือเม่ยตายแล้ว พอใจหรือไม่ เจ้าต้องบีบให้ศิษย์ทั้งหมดของเจ้าตกตายและเป็นบ้าให้ได้ เจ้าถึงจะพอใจใช่หรือไม่ ฉู่หว่านหนิง! บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดทำเกี๊ยวชามนั้นได้อีกแล้ว ต่อให้เจ้าเลียนแบบ ก็ไม่เหมือนเขาทำ!”
ยามนี้ เขากินเกี๊ยวชามนี้อย่างมีความสุข ทั้งทอดถอนใจ ค่อยๆ กินช้าๆ จนคำสุดท้าย แม้ยังยิ้มอยู่ แต่ขอบตากลับรื้นขึ้นมา โชคดีที่แสงเทียนสลัวราง ซือเม่ยจึงมองไม่ค่อยเห็นสีหน้าอันละเอียดอ่อนของเขา
“ซือเม่ย”
“หืม?”
“ขอบคุณท่านแล้ว”
ซือเม่ยอึ้งงัน จากนั้นยิ้มพลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน “แค่เกี๊ยวชามเดียว ต้องเกรงใจกันถึงเพียงนี้เชียวรึ หากเจ้าชอบ ต่อไปข้าจะทำให้เจ้ากินบ่อยๆ”
โม่หรานอยากบอกว่า…
มิใช่แค่ขอบคุณเกี๊ยวชามเดียวของท่าน
ข้ายังอยากขอบคุณท่าน ชาติที่แล้วก็ดี ชาตินี้ก็ช่าง มีเพียงท่านที่เห็นความสำคัญของข้าจริงๆ ไม่เคยถือสาชาติกำเนิดของข้า ไม่ถือสาชีวิตสิบสี่ปีของข้าที่ต้องดิ้นรนไม่เลือกวิธีอยู่ข้างนอก
ยังอยากขอบคุณท่าน หลังจากเกิดใหม่ หากมิใช่เพราะจู่ๆ นึกถึงท่านขึ้นมา ข้าคงไม่อาจยั้งมือสังหารหรงจิ่ว ทำผิดมหันต์อีกครั้ง เดินซ้ำรอยเดิมอีกหน
เคราะห์ดีที่ชาตินี้ได้มาเกิดก่อนท่านตาย ข้าจะต้องปกป้องท่านให้ดีๆ แน่นอน หากท่านเจ็บป่วย หากปีศาจเลือดเย็นฉู่หว่านหนิงไม่ยอมช่วยท่าน ก็ยังมีข้า
แต่คำพูดเหล่านี้ไหนเลยจะกล่าวออกมาได้
สุดท้ายโม่หรานเพียงแค่ซดน้ำแกงจนหมด ไม่มีเหลือแม้แต่ต้นหอม จากนั้นเลียริมฝีปากเหมือนยังไม่หายอยาก ลักยิ้มกดลึก ดูน่ารักน่าชังเหมือนแมวน้อยขนนุ่ม
“พรุ่งนี้ยังมีอีกหรือไม่”
ซือเม่ยไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี “ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นบ้างเล่า ไม่เบื่อแย่หรือ”
“กินทุกวันก็ไม่เบื่อ กลัวแต่ท่านจะรำคาญข้า”
ซือเม่ยส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่รู้ว่าแป้งพอหรือไม่ หากไม่พอ น่ากลัวว่าจะทำไม่ได้ หากทำไม่ได้ เจ้าว่าทำไข่หวานดีหรือไม่ ของโปรดเจ้าเช่นกัน”
“ดีๆ ขอเพียงท่านทำ อะไรก็ได้ทั้งนั้น”
ในใจโม่หรานราวกับมีต้นหญ้างอกงาม นกขมิ้นโบยบิน[11] เบิกบานใจจนแทบกอดผ้าห่มกลิ้งกลุกๆ สองตลบ
ดูเอาเถิดว่าซือเม่ยแสนดีเพียงใด ฉู่หว่านหนิง เจ้าเฆี่ยนข้าไปเถอะ! ถึงอย่างไรนอนอยู่บนเตียง ข้าก็ยังมีคนงามปรนนิบัติด้วยความเป็นห่วงเป็นใย หึๆๆ!
พอคิดถึงอาจารย์ผู้นั้นของตน ความหวานละมุนเมื่อครู่พลันระคนด้วยเพลิงโทสะอย่างช่วยไม่ได้
โม่หรานแค้นจนเริ่มจิกเล็บตะกุยร่องเตียงอีกครั้ง ในใจคิด อวี้เหิงราตรีอะไร เป๋ยโต่วเซียนจุนอะไร เลื่อนเปื้อนตูดหมามารดามันเถอะ!’
ฉู่หว่านหนิง ชาตินี้เราจะได้เห็นดีกัน!
[1] ตำหนักหกคุณธรรม
[2] ทวารหกประพฤติ
[3] หกศาสตร์
[4] สะพานที่เชื่อมไปยังโลกหลังความตาย โดยมียายเมิ่งเป็นผู้ตักน้ำแกงให้ดวงวิญญาณดื่มเพื่อลบความทรงจำในอดีตชาติ
[5] ยายเมิ่ง ผู้นำหน้าที่ตักน้ำแกงลืมเลือนให้ดวงวิญญาณข้างสะพานไน่เหอ
[6] ภูเขาดาบทะเลเพลิง
[7] โลกวิญญาณ
[8] “หว่านเหนียงเหลี่ยน” เรียกผู้หญิงที่ดูหน้าตาแก่กว่าวัย หมายถึงใบหน้าในวัยสี่สิบ ที่มักดูไม่มีความสุข หมองเศร้า โกรธขึ้ง หงุดหงิด เหนื่อยล้า ดูแล้วไม่เจริญตาเจริญใจ
[9] การฝึกบำเพ็ญคู่หมายถึง ผู้ฝึกบำเพ็ญสองคนฝึกปรือร่วมกันและเสริมพลังให้แก่กันเพื่อยกระดับทักษะวิชาโดยผ่านการเสพสังวาส
[10] แปลว่า งำประกาย แต่ออกเสียงพ้องกับคำที่แปลว่า “รู้จักอาย”
[11] เป็นท่อนบรรยายภาพความงามยามสายัณห์ของฤดูใบไม้ผลิในเจียงหนาน ต่อมานำมาใช้บรรยายความงดงามของฤดูใบไม้ผลิ