ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา
二哈和他的白猫师尊
肉包不吃肉 โร่วเปาปู้ชือโร่ว เขียน
Bou Ptrn แปล
คำเตือน!! นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้ที่อายุ 21 ปีขึ้นไป โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับ…
: among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา)
: Angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน)
: Cannibalism (การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน)
: child abuse (การทารุณกรรมเด็ก)
: coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ)
: corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย)
: death (การตาย)
: depression (ภาวะซึมเศร้า)
: explicit sex (การร่วมเพศแบบเปิดเผย)
: gang-rape (การข่มขืนเป็นกลุ่ม)
: genocide (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)
: gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง)
: humiliation (การทำให้อีกฝ่ายได้รับความอับอาย)
: massacre (การสังหารหมู่)
: mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ)
: questionable principles (มีีหลักการที่น่าสงสัย)
: rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม)
: suicide (การฆ่าตัวตาย)
: starvation (ความอดอยาก)
: torture (การทรมาน)
: underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์)
: and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)
** หมายเหตุ : ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์และต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับเป็นฉบับ Uncensored
————————————————————-
บทที่ 290 เหมยเหมันต์แฝด
เซวียเหมิงนอนอยู่บนพื้น พอเมามายก็เลอะเลือน ไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่เพิ่งพบเจอปีศาจตัวสำคัญที่สุดในโลกนี้ เขายังคงนอนแผ่หลาบนพื้นหิมะ ปุยหิมะขาวของยอดเขาคุนหลุนโปรยปรายลงมา ประหนึ่งปุยหลิ่วยามวสันต์ ดอกอ้อยามสารท ปกคลุมขุนเขา
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด มีคนกางร่มกระดาษสีแดงสด เดินเข้ามาใกล้ท่ามกลางหิมะตกหนัก เซวียเหมิงปรือตา เห็นใบหน้าเย็นชาของใครคนหนึ่ง
“เหมย…”
เซวียเหมิงพึมพำได้เพียงคำเดียว คำว่า “หานเสวี่ย” ยังไม่ทันหลุดจากปาก ก็รู้สึกอ่อนล้าเหลือเกิน
“อืม ข้าเอง” เหมยหานเสวี่ยไม่มากความ พยุงเขาลุกขึ้นจากพื้น
เซวียเหมิงฟุบกับไหล่เขา ไม่ยอมไป กลับถามว่า “มีสุราหรือไม่”
เหมยหานเสวี่ย “ไม่มี”
เซวียเหมิงทำเป็นไม่ได้ยิน “ดีๆๆ เช่นนั้นเจ้าดื่มเป็นเพื่อนข้าสักจอก?”
“…ไม่ดื่ม”
เซวียเหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะหยัน “ดูเจ้าสิ สุนัขไร้ค่า แต่ก่อนข้าไม่ดื่ม เจ้าก็ลากข้าไปกรอกสุรา มาตอนนี้ข้าดื่มแล้ว เจ้ากลับบอกว่าไม่มี เจ้าแกล้งข้าหรือ”
“ข้าไม่ดื่มสุรา”
เซวียเหมิงพึมพำอีกหลายคำ เหมือนกำลังด่าคน จากนั้นเขาก็ผลักเหมยหานเสวี่ยออก เดินโซเซไปท่ามกลางหิมะเวิ้งว้าง เหมยหานเสวี่ยกางร่ม มองไล่หลังที่ค่อนข้างงองุ้มของเขา มิได้ตามไป เพียงถามว่า “เจ้าจะไปที่ใด”
เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนควรไปที่ใด ได้แต่เจ็บใจที่ยังดื่มสุราไม่มากพอ มิอาจดื่มจนตัวเองเมาตายได้
“กลับมา ข้างหน้าไม่มีทางให้ไปแล้ว”
เซวียเหมิงพลันหยุดฝีเท้า เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างใจลอย ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมา “บัดซบเอ๊ย ข้าแค่อยากดื่มสุรา! เจ้าก็ไม่ให้ข้าดื่ม! ไม่ดื่มก็ไม่ดื่ม! เจ้ายังหลอกข้าว่าเจ้าไม่ดื่มสุรา! เจ้ายังเป็นคนหรือไม่ หา!”
“…ข้าไม่ได้หลอกเจ้า”
เซวียเหมิงไม่สนใจฟัง ร้องโอดครวญ “ยังเป็นคนหรือไม่ พวกเจ้า”
“…”
“ข้ากำลังทุกข์ใจ เจ้ามองไม่ออกหรือ!”
เหมยหานเสวี่ย “มองออกแล้ว”
เซวียเหมิงชะงัก จากนั้นก็ยิ่งน้อยอกน้อยใจ จนแม้แต่ปลายจมูกยังแดงก่ำ “เยี่ยม…เยี่ยมๆๆ มองออกแล้วก็ยังไม่ยอมดื่มเป็นเพื่อนข้า เจ้ากลัวข้าดื่มของเจ้าเปล่าๆ ไม่จ่ายเงินให้เจ้าใช่หรือไม่ ข้าจะบอกเจ้า ข้าน่ะไม่ได้ยากไร้เช่นนั้น…”
เขาบ่นอุบพลางล้วงลงไปในกระเป๋าจริงๆ ล้วงเศษอัฐทองแดงออกมากองหนึ่ง นับไปนับมาหลายรอบ ยิ่งนับก็ยิ่งเศร้าใจ “อ๊ะ ไยจึงเหลือแค่นี้”
เหมยหานเสวี่ยกุมขมับ ท่าทางปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างเห็นได้ชัด “เซวียเหมิง เจ้าเมาแล้ว เจ้าควรไปพักผ่อน”
เซวียเหมิงยังไม่ทันตอบ ด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าดังมา
น้ำเสียงอ่อนโยนอีกเสียงดังขึ้น “พี่ใหญ่ จะไปเอาเหตุผลอะไรกับคนเมา”
จบคำ มือที่สวมปลอกแพรหุ้มแขนก็ยื่นมา ในมือหิ้วถุงหนังแพะ กระดิ่งที่ข้อมือส่งเสียงกรุ๋งกริ๋ง เหมยหานเสวี่ยหรี่ตา หันไปมอง…
ด้านหลังเขาคือชายหนุ่มที่หน้าตาเหมือนเขาไม่ผิดเพี้ยน แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากดลึกกว่า คิ้วตาอ่อนละมุนยิ่งนัก
“ยามเจอปีศาจสุรา มีวิธีรับมือสองวิธี” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง “มอมเขาให้หมดสติ หรือไม่ก็ตีเขาให้สลบเหมือด”
เหมยหานเสวี่ย “…”
ชายหนุ่มผู้นั้นว่าพลางขยิบตาให้เหมยหานเสวี่ย “รู้ว่าพี่ใหญ่ไม่ดื่มสุรา เจ้ากลับไปเถอะ ข้าดื่มเป็นเพื่อนเขาเอง”
ควันบางเบาสีฟ้าอ่อนม้วนเป็นเกลียวลอยขึ้นมา เริงร่ายชดช้อยน่าเชยชม ทว่ากลับพร่าเลือนชวนให้สับสน
ในห้องนอนของศิษย์พี่ใหญ่แห่งวังท่าเสวี่ยอบอวลด้วยกลิ่นหอมของอำพันทะเล [1] ล้ำค่า ทั้งห้องลาดด้วยพรมขนสัตว์สีขาวบริสุทธิ์ หนานุ่มจนจมมิดข้อเท้ายามเหยียบลงไป ม่านโปร่งเบาปิดกั้นทิวาและราตรี พลิ้วกระพือขึ้นลงตามสายลม
เหมยหานเสวี่ยเปลือยเท้า เอามือหนุนศีรษะ เอนกายอยู่บนพรมขนสัตว์ขาว นิ้วเท้าขาวผ่องดุจหยกถูกันไปมา นัยน์ตาสีเขียวดุจหยกปี้อวี้มองเซวียเหมิงที่นั่งขัดสมาธิดื่มสุราอั้กๆ ตรงหน้าตน
หลังจากดื่มไปสามรอบ เหมยหานเสวี่ยก็ยิ้มพลางถาม “นี่ จื่อหมิง เจ้าไม่แปลกใจหรือ”
“แปลกใจอะไร”
“พวกเรามีสองคน”
เซวียเหมิง “…อ้อ”
เหมยหานเสวี่ยส่ายหน้า “ข้าลืมไปเสียได้ว่าเจ้าคออ่อนยิ่งนัก พอเมาแล้ว หัวคิดคงไม่เหมือนคนปกติ ไม่แปลกใจก็ไม่แปลกใจ”
เซวียเหมิง “เฮอะ”
“ไม่รู้เจ้าสังเกตหรือไม่ คนที่สกัดกระบี่ให้เจ้าที่ยอดเขาสื่อเซิงวันนั้น ก็คือพี่ใหญ่ข้า”
“นึกไม่ออก”
เหมยหานเสวี่ย “เจ้าเคยเห็นอาวุธของเขา ซั่วเฟิง กระบี่ที่หลอมจากเหล็กนิลเงิน”
เซวียเหมิงนิ่วหน้าคิด “…แต่คนที่สกัดกระบี่แทนข้าในตำหนักใหญ่วันนั้นขี้ริ้วยิ่งนัก อาวุธก็ไม่ใช่สีเงิน เป็น…เป็น…”
“เป็นสีน้ำเงิน” เหมยหานเสวี่ยพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เพราะวันนั้นเขากำลังโกรธและร้อนใจมาก จึงผนึกรวมกระแสวิญญาณ ปกติเขาไม่ทำเช่นนั้น ความจริงพี่ชายข้าไม่ค่อยชอบลงมือโหดเหี้ยม”
“…”
“ความจริงกระบี่เล่มนั้นเราสองคนจะสลับกันใช้ ข้ามีแก่นวิญญาณธาตุไม้และน้ำ เขามีแก่นวิญญาณธาตุน้ำและไฟ หากมีโอกาสเจ้าคงได้เห็นกระแสวิญญาณสีเขียว แดง น้ำเงิน แต่ว่า…”
เขามิได้กล่าวต่อ เพราะเซวียเหมิงดูไม่ค่อยสนใจนัก ฟังเพียงครึ่งๆ กลางๆ ก็เริ่มดื่มสุราต่อ สีหน้าเรียบเฉย
เหมยหานเสวี่ยหรี่ตาลง
พลันรู้สึกว่าท่าทีของเซวียเหมิงมิได้ดูยโสโอหังเหมือนยามปกติ แต่กลับมีความเย็นชา เป็นความเย็นชาที่ทำให้เซวียเหมิงดูไม่เป็นตัวเอง แต่กลับเหมือนใครอีกคนหนึ่ง
เหมือนใครนะ
ชั่วขณะนั้นเหมยหานเสวี่ยนึกไม่ออก ทั้งคร้านที่จะนึก เขาทำอะไรมักเอ้อระเหยลอยชาย เหมือนควันบางเบาที่ลอยอ้อยอิ่งออกมาจากเตากำยานรูปสัตว์สีทองนี้ อยากลอยไปที่ใดก็ลอยไปนั่น ไหลเรื่อยราวกับไร้กระดูก
เซวียเหมิงดื่มต่อจนสุราหมดถุงหนัง จากนั้นถาม “สุรานี่ยังมีอีกหรือไม่”
“มี แต่เจ้าดื่มมากเกินไปแล้ว ดื่มอีกไม่ได้แล้ว”
เซวียเหมิง “ข้าพันจอกไม่เมา”
เหมยหานเสวี่ยยิ้ม “เจ้าบ้าไปแล้ว” แต่ยังคงยื่นสุราให้เขา ทั้งยังเอ่ยเสียงอ่อนโยน “นี่เป็นป้านสุดท้าย หากให้เจ้าอีก พี่ชายข้ารู้เข้าคงจับข้าเชือดทิ้งแน่”
เซวียเหมิงค่อยๆ ดื่มสุราต่อ สีหน้าเย็นชายิ่งนัก
เขาไม่เหมือนเซวียเหมิง
ดื่มไปดื่มมา จู่ๆ เซวียเหมิงก็พึมพำขึ้นมาเบาๆ “เจ้ามีพี่ชาย”
“อ๊ะ” เหมยหานเสวี่ยยิ้ม “ก็ใช่สิ พูดมาตั้งครึ่งค่อนวัน เมื่อครู่เจ้าก็เจอเขาแล้ว”
สีหน้าของเซวียเหมิงดูเลื่อนลอย แพขนตายาวคล้ายผีเสื้อเกาะอยู่ เขาพึมพำต่อ “ข้าก็มีพี่ชาย”
“อืม ข้ารู้”
เซวียเหมิงพิงเสานั่งขัดสมาธิอยู่นานจนเริ่มเป็นเหน็บ เขาเหยียดขาออกข้างหนึ่ง จ้องเหมยหานเสวี่ยครู่หนึ่ง
พลันสีหน้าเยือกเย็นก็เลือนหายไป คิ้วตาเปลี่ยนเป็นสว่างเจิดจ้า แต่ก็ยังดูไม่เหมือนเซวียเหมิงอยู่ดี
เขายิ้มพลางถาม “นี่ พี่ชายเจ้าปฏิบัติต่อเจ้าเช่นไร”
เหมยหานเสวี่ยประหลาดใจในท่าทีที่เปลี่ยนไปปุบปับของเซวียเหมิง หรือคนผู้นี้เวลาเมาจะแสดงออกเช่นนี้?
แต่ยังคงตอบ “…ดียิ่ง”
“ฮ่าๆๆ เจ้านี่ประหยัดถ้อยคำดุจทองจริงๆ ดียิ่งคือดีอย่างไร เขาหลอมอาวุธให้เจ้า หรือว่าต้มบะหมี่ให้เจ้ากินยามเจ้าป่วยไข้?”
เหมยหานเสวี่ยยิ้มน้อยๆ “ล้วนไม่ใช่ แต่เขาคอยกันสตรีให้ข้า”
เซวียเหมิง “…”
“ข้าไม่ค่อยชอบเห็นคนรักเก่ามาร้องไห้โวยวาย” เหมยหานเสวี่ยกล่าว “พวกที่รับมือไม่ไหว ล้วนได้เขาคอยกันให้ เขาทำอะไรตรงไปตรงมากว่าข้า ไร้ความรู้สึก ไม่ยึกยักเยิ่นเย้อ แต่เพราะเขาเป็นเช่นนี้จึงน่าเบื่อ ดังนั้นโตจนป่านนี้ก็ยังไม่เคยแม้แต่จับมือแม่นาง”
เซวียเหมิงย่นจมูก “พี่ชายเจ้าชื่ออะไร”
“เหมยหาณเสวี่ย”
“เหมือนกับเจ้า?”
“อักษรไม่เหมือน” เขายิ้ม “เขาใช้ ‘หาณ’ ที่แปลว่าเหมันต์ ชื่อสมตัวเขาล่ะ”
เซวียเหมิงพล่ามต่อ “ทำไมพวกเจ้าต้องเล่นลูกไม้เช่นนี้…”
“เพื่อความสะดวกยามทำการ บางเรื่องทำสองคนไม่แปลก แต่หากคนอื่นคิดว่าทำโดยคนผู้เดียว ก็จะรู้สึกคาดเดาไม่ได้ ประมุขวังจึงตั้งใจให้เราทำเช่นนี้ตั้งแต่ที่รับข้ากับพี่ชายมาตอนเด็กๆ”
เหมยหานเสวี่ยว่าพลางเปิดฝาเตากำยาน หยิบช้อนเงินเขี่ยเถ้าที่ยังคุอยู่ในนั้น จากนั้นเติมกำยานสงบจิตขจัดความเย็นลงไปเล็กน้อย
“ข้ากับเขาพกหน้ากากหนังมนุษย์ติดตัวไว้เสมอ ยามที่เขาสวมหน้ากาก ข้าจะเผยใบหน้าจริงของตนต่อผู้คน ยามที่ข้าสวมหน้ากาก เขาก็จะเผยตัวตนจริงทำเรื่องต่างๆ พริบตาก็เป็นเช่นนี้มายี่สิบกว่าปีแล้ว”
“พวกเจ้าไม่เหนื่อยหรือไร”
“ไม่เหนื่อยนะ สนุกยิ่งนัก” เหมยหานเสวี่ยยิ้มแป้น “เพียงแต่พี่ใหญ่น่าจะเหนื่อยกระมัง เขามักบอกว่าข้าติดหนี้ความเจ้าชู้เสเพลข้างนอกมากเกินไป แค่จะออกไปข้างนอกแต่ละที เขาก็ต้องคอยหลบเลี่ยงผู้ฝึกบำเพ็ญหญิงเหล่านั้น”
เซวียเหมิงไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของการถูกผู้ฝึกบำเพ็ญหญิงรุมล้อม ในความจริงแล้ว เขารู้สึกว่าตนกับพี่ชายของเหมยหานเสวี่ยก็ไม่ต่างกันนัก โตจนป่านนี้ยังไม่เคยสัมผัสแม้กระทั่งมือของสตรี
แต่เรื่องเช่นนี้มีอะไรให้โอ้อวดกัน เขาดื่มสุราต่ออย่างแกนๆ นิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรอีก
เหมยหานเสวี่ยคิดว่าเขาเมา สตินึกคิดจึงไม่ค่อยปกติ แต่ไม่คาดว่าจู่ๆ เซวียเหมิงก็ถามขึ้นมา “เหตุใดจึงช่วยข้า”
น้ำเสียงเปลี่ยนอีกแล้ว คราวนี้กลายเป็นอ่อนโยนเสียเหลือเกิน
ความอ่อนโยนเช่นนี้เมื่ออยู่บนตัวเซวียเหมิงช่างขัดแย้งจริงๆ เสียดตายิ่งกว่าความเย็นชาและความเจิดจ้าก่อนหน้าเสียอีก
ในที่สุดเหมยหานเสวี่ยก็ทนไม่ไหว เขาลุกขึ้นนั่ง มือข้างที่ผูกกระดิ่งยื่นไปตรึงคางเซวียเหมิงไว้ พลางจับหันดูซ้ายขวา ดูไปก็เอ่ยว่า “ประหลาดนัก ก็ยังเป็นคนเดิมไม่ผิด เกิดอะไรขึ้นนะ”
เซวียเหมิงก็ไม่ขัดขืน ปล่อยให้เขาจับคางตนหันไปมา นัยน์ตาดำขลับมองเหมยหานเสวี่ย ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ถามอีก “เหตุใดจึงช่วยยอดเขาสื่อเซิง ข้ากับเจ้าสนิทกันนักหรือ”
“ไม่สนิทมาก” เหมยหานเสวี่ยเอ่ย “ตอนเด็กๆ เคยเล่นกับเจ้า แต่คนที่เล่นกับเจ้า วันหนึ่งคือข้า วันหนึ่งคือพี่ชายข้า ความจริงตัวข้าเองเคยอยู่กับเจ้าแค่สิบกว่าวัน”
“เช่นนั้นเหตุใดจึงยอมรับข้าไว้”
เหมยหานเสวี่ยถอนหายใจ เขายื่นนิ้วมือเรียวไปจิ้มที่หว่างคิ้วเซวียเหมิง “ท่านแม่กับท่านพ่อเจ้า เคยช่วยชีวิตมารดาข้า…นางคือคนเมืองซุ่ยเยี่ย [2] ซุ่ยเยี่ยเจ้ารู้จัก มีผีร้ายมากมายนัก หลังจากนางให้กำเนิดเราสองพี่น้อง ก็ส่งเรามาที่วังท่าเสวี่ยแห่งคุนหลุน ต่อมาวิญญาณร้ายอาละวาดในเมือง ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย นางหนีออกมาอย่างทุลักทุเล แต่กลับขาหักข้างหนึ่ง”
กำยานที่เพิ่งเติมลงไปใหม่กำจายกลิ่นหอมเย็นสดชื่นของสนหิมะ [3]
เหมยหานเสวี่ยยิ้ม “ระหกระเหินมาตลอดทาง เงินติดตัวก็ไม่มี ตอนที่มาถึงเชิงเขาคุนหลุนก็แทบหมดลมแล้ว”
สีหน้าเขายังคงอ่อนโยนยิ่งนัก ตุ้มหน้าผากรูปหยดน้ำสีแดงเปล่งประกายแวววาว
“ตอนนั้นท่านลุงเซวียกับท่านป้าหวังมาเยือนวังท่าเสวี่ยแห่งคุนหลุนเป็นครั้งแรก พวกเขาพบมารดาที่อาการร่อแร่ปางตายของข้า ไม่ถามที่มาที่ไปของนาง ไม่เก็บเงินนาง ใช้ยาดีที่สุดรักษานางทันที พอรู้ว่านางมาหาบุตร ยังแบกนางขึ้นเขาคุนหลุน”
เซวียเหมิงฟังเงียบๆ อย่างอึ้งงัน
ผ่านไปสักพัก เขาจึงถาม “เช่นนั้น ต่อมามารดาเจ้าเล่า”
“นางป่วยหนักมาก” เหมยหานเสวี่ยส่ายหน้า “หมดทางเยียวยา จึงจากไป…แต่ต้องขอบคุณท่านลุงท่านป้า ทำให้เราแม่ลูกได้พบหน้ากันครั้งสุดท้าย”
ลมหอบหนึ่งพัดเข้ามาจากด้านนอก ควันบางเบาภายในห้องกระจายตัว กระดิ่งลมที่มุมชายคาดังกังวานใส
“หลายปีนี้ ท่านลุงท่านป้าพูดเสมอว่าไม่ต้องขอบคุณ นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย สุดท้ายพวกเขายังลืมเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ข้ากับพี่ใหญ่จำได้ไม่ลืม” เหมยหานเสวี่ยเหลือบนัยน์ตาสีเขียวขึ้นมองเซวียเหมิงเงียบๆ
ผ่านไปนานนักแล้ว เมื่อเอ่ยถึงอีกครั้ง ความเจ็บปวดหายไป เหลือไว้เพียงความอ่อนโยน
“ตอนนั้น ท่านลุงเซวียแบกท่านแม่ข้า ส่วนท่านป้าหวังคอยกางร่มให้อยู่ข้างๆ พวกเขากลัวว่าแม่ข้าจะจับไข้ลมเย็น ทันทีที่ท่านลุงท่านป้าเข้ามาในตำหนัก เรื่องแรกที่พูด มิใช่เรื่องธุระของยอดเขาสื่อเซิง ทั้งมิได้คิดจะผูกสัมพันธ์เป็นพันธมิตรหรือคบหากับวังท่าเสวี่ย พวกเขาถามถึงฝาแฝดคู่หนึ่งที่มาจากเมืองซุ่ยเยี่ย”
ขนตาสีทองอ่อนหลุบลง บดบังบึงน้ำสีเขียวใสเอาไว้
“ว่าตามจริง นั่นคือเจ้าสำนักกับฟูเหรินเจ้าสำนักที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมาในชีวิตนี้”
เซวียเหมิงสะอื้น “พ่อแม่ข้า…”
“อืม” เหมยหานเสวี่ยรับคำ “พ่อแม่เจ้า”
เซวียเหมิงเอาหน้าซุกฝ่ามือ ไหล่สั่นกระเพื่อมเล็กน้อย เขาร้องไห้อีกแล้ว น้ำตาทั้งหมดในชีวิตนี้ราวกับท้นทะลักออกมาในช่วงหลายเดือนที่บ้านแตกสาแหรกขาด
เขาร้องไห้ ในที่สุดก็กลับมาเป็นเซวียเหมิงเสียที
ยามนี้ เหมยหานเสวี่ยจึงพลันนึกออก…
เมื่อครู่เขาพูดเสียงเย็นชาว่า “ข้าพันจอกไม่เมา” นั่นคือฉู่หว่านหนิง
ตอนเขาเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “เจ้าก็มีพี่ชาย” นั่นคือโม่เวยอวี่
ตอนเขาเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เหตุใดจึงช่วยข้า” นั่นคือซือหมิงจิ้ง
เซวียเหมิงกำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะหวนนึกถึงลักษณะท่าทางของพวกเขาเหล่านั้น นึกถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทุกแววตา ทุกรอยยิ้ม ไม่ว่าจะลุกหรือนั่ง จะโกรธหรือเศร้าของพวกเขา
เมื่อก่อนเขาคุ้นเคยกับการที่ข้างกายมีฉู่หว่านหนิงที่แข็งกร้าวเย็นชา มีโม่เวยอวี่ที่สดใสร้อนแรง และมีซือหมิงจิ้งที่นุ่มนวลอ่อนโยน ในอดีตเขาเคยมีอาจารย์ มีญาติผู้พี่ และมีสหายสนิท เขารู้สึกว่านี่คือสิ่งที่สมควรเป็น จึงมิได้ทะนุถนอม
แต่แล้วจู่ๆ ก็เหมือนฝนกระหน่ำจอกแหนกระจาย แผ่นดินแยก ลมพัดปุยหลิ่วปลิวว่อน
ฝนหยุดแล้ว เหลือเขาเพียงคนเดียวที่ยังอยู่ที่เดิม
พวกเขาเหล่านั้นล้วนหายวับไปหมดแล้ว
เซวียเหมิงคนเดียว ถือสุราขุ่นป้านหนึ่งร่ำดื่มคนเดียว คนเดียวกลายเป็นสามคน
เขาร้องไห้ แย้มยิ้ม แค่นหัวเราะเย็นชา เจิดจ้า อ่อนโยน เซวียเหมิงชอบพวกเขา จึงแสดงความชอบผ่านท่าทีเคารพ ท่าทีแข็งกร้าวเด็ดเดี่ยว และท่าทีกระดากอาย
เขาคิดว่าตนเองอาจแสดงออกได้ไม่ดี ความรักที่เขามีต่ออาจารย์มักดูโง่เขลาเสมอ ความรักที่มีต่อพี่ชายมักเผ็ดร้อนทิ่มแทง ความรักที่มีต่อซือเม่ยมักเฉยชา
สุราหมดแล้ว เซวียเหมิงค่อยๆ ขดตัว หดตัวจนลีบเล็ก ขอบตาแดงก่ำ
เขากล่าว “ข้าไม่ดี…ข้าทำไม่ถูก…”
พวกเจ้ากลับมาเถอะ
ข้าจะไม่เย่อหยิ่งอีก จะไม่อวดดีอีก จะไม่ลังเลอีก จะไม่เพิกเฉยอีก
เซวียเหมิงสะอื้น หน้าผากแนบหัวเข่า ร่างสั่นเทิ้มเล็กน้อย เขาคร่ำครวญทั้งน้ำตา “กลับมาเถอะ…อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว”
หากสหายเก่ากลับมาได้ หากทุกสิ่งเริ่มต้นใหม่ได้ ข้าก็ไม่ต้องการชื่อเสียงบุตรรักของสวรรค์อะไรนี่แล้ว ไม่ต้องการความน่าเกรงขามของประมุขน้อยแห่งยอดเขาสื่อเซิงอะไรอีกแล้ว
ข้าแค่อยากบอกพวกเจ้า อย่างตรงไปตรงมาว่า…
ข้ารักพวกเจ้ามากจริงๆ ไม่อาจขาดพวกเจ้า ชีวิตนี้ทั้งชีวิตล้วนผูกพันกับพวกเจ้า
ข้ายอมแลกแก่นวิญญาณ ยอมแลกพันตำลึงทอง
ยอมแลกด้วยทุกสิ่งที่มี เพื่อให้สหายเก่ากลับมาอยู่พร้อมหน้า ร่วมสุขสันต์สักชั่วครู่
เหมยหานเสวี่ยเห็นเขาซึมเศร้า ก็ถอนหายใจเบาๆ พลางยื่นมือไปลูบจอมผมเขา กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง พลันได้ยินเสียงครื้นครั่นที่นอกวัง คล้ายอสนีบาตทะลวงฟ้า แผ่นดินสั่นสะเทือน
แรงสั่นสะเทือนนี้ดำเนินอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ราวกับลึกลงไปใต้พื้นหิมะมีสัตว์อสูรยักษ์กำลังตื่นจากการหลับใหล พ่นลมหายใจดุจแรงอุทกล้นปรี่ ดับกลืนตะวันจันทราได้ทุกเมื่อ
เหมยหานเสวี่ยร้องในใจว่าแย่แล้ว รีบจัดที่ทางให้เซวียเหมิง กำลังจะก้าวออกจากประตู ก็เห็นพี่ชายถือกระบี่ประจำกาย เลิกม่าน สาวเท้าก้าวเข้ามา
สีหน้าเขาอึมครึม น้ำเสียงเคร่งเครียดอย่างยิ่ง “รีบไปที่ตำหนักใหญ่”
เหมยหานเสวี่ยตกตะลึง “เกิดอะไรขึ้น เสียงเมื่อครู่นั่นคืออะไร”
พี่ชายที่เย็นชามาตลอดของเขาเม้มริมฝีปาก “ทางตะวันออกเฉียงเหนือปรากฏค่ายกลลึกลับขนาดใหญ่ ก่อนหน้านี้ปรมาจารย์โม่กล่าวไว้มิผิด ประตูเป็นตายมิติเวลาจะเปิดแล้ว”
[1] อำพันทะเล ได้จากมูลหรืออ้วกของวาฬ เกิดจากอาหารจำพวกหมึกที่วาฬกินเข้าไป แล้วไขมันของหมึกสะสมในลำไส้ นานเข้าจึงต้องขับออกมาพร้อมกับมูล หรือสำรอกออกมา ส่วนที่ขับออกมาจะลอยอยู่ในทะเล ผ่านระยะเวลานานเข้า ทำปฏิกิริยากับแสงแดด และน้ำทะเลจนกลายเป็นสีขาว น้ำตาล เทา หรือดำ ตามระยะเวลาทำปฏิกิริยา จนในที่สุดก็มีกลิ่นหอมแบบน้ำมันหอมระเหย นับเป็นวัตถุดิบในการทำเครื่องหอมที่ทรงคุณค่าและมีราคาสูงมาก
[2] เมืองซูยับ (ปัจจุบันคือเมืองต็อคมัค) อยู่ในคีร์กีซสถาน
[3] สนซีดาร์