[ทดลองอ่าน] ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา เล่ม 9 บทที่ 292 : ยอดเขาสื่อเซิง ใจท่านลึกดั่งห้วงสมุทร

ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา
二哈和他的白猫师尊

 

肉包不吃肉 โร่วเปาปู้ชือโร่ว เขียน
Bou Ptrn แปล

 

คำเตือน!! นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้ที่อายุ 21 ปีขึ้นไป โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับ…

: among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา)
: Angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน)
: Cannibalism (การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน)
: child abuse (การทารุณกรรมเด็ก)
: coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ)
: corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย)
: death (การตาย)
: depression (ภาวะซึมเศร้า)
: explicit sex (การร่วมเพศแบบเปิดเผย)
: gang-rape (การข่มขืนเป็นกลุ่ม)
: genocide (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)
: gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง)
: humiliation (การทำให้อีกฝ่ายได้รับความอับอาย)
: massacre (การสังหารหมู่)
: mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ)
: questionable principles (มีีหลักการที่น่าสงสัย)
: rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม)
: suicide (การฆ่าตัวตาย)
: starvation (ความอดอยาก)
: torture (การทรมาน)
: underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์)
: and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)

 

** หมายเหตุ : ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์และต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับเป็นฉบับ Uncensored

 

————————————————————-

 

บทที่ 292

ยอดเขาสื่อเซิง ใจท่านลึกดั่งห้วงสมุทร

 

ท่าเซียนจวินหันไป เห็นซ่งชิวถงในชุดงามหรู กำลังเดินมาอย่างแช่มช้อยเย้ายวน พร้อมกับสาวใช้ติดตามกลุ่มหนึ่ง

มือที่กำลังจะเลิกมู่ลี่ไม้ไผ่หยุดชะงัก เขาปิดมู่ลี่ลงอย่างมิดชิดด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นถาม “มีอะไรหรือ”

“ข้าน้อยไม่มีอะไรทำ จึงมาเดินเล่นย่อยอาหาร” ซ่งชิวถงคารวะ สายตาเหลือบมองไปยังรถม้า พลางเอ่ยเสียงอ่อนหวาน “อาหรานจะออกไปข้างนอกหรือ”

“ไปเดินตลาดกลางคืนที่ตำบลอู๋ฉาง”

นางยิ้มกว้าง สีหน้าเคารพทว่ายังฉายแววสนิทชิดเชื้อ “เส้นทางใกล้แค่นี้ยังนั่งรถม้า มิได้ไปคนเดียวกระมัง”

ตอนนั้นความอดทนที่เขามีต่อนางนับว่ายังไม่ถึงขั้นย่ำแย่ ดังนั้นจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้ไปคนเดียว”

สายตาซ่งชิวถงเลื่อนไปตกอยู่ที่แท่นวางเท้าไม้หวงซวนจือนั้น ใจสตรีละเอียดอ่อน เพียงแวบเดียวนางก็ได้คำตอบแล้ว สีหน้าของนางแข็งค้าง ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีดีอกดีใจ “อ๊ะ หรือจะเป็นน้องหญิงฉู่เฟย?”

“…”

ท่าเซียนจวินนึกภาพออกเลยว่าสีหน้าของฉู่หว่านหนิงในรถม้าจะเป็นเช่นไรหลังจากได้ยินคำเรียกขานนี้ เขากลั้นหัวเราะพลางเอ่ย “อืม เป็นเขา [1]

ใบหน้างามพริ้มของซ่งชิวถงยิ่งเจิดจ้าแทบจะกลืนแสงตะวันที่ขอบฟ้าจนมัวหมอง “ดีจริง อยู่ในตำหนักมาสามปี เคยได้เจอน้องหญิงฉู่เฟยแค่เพียงวันสมรส ทั้งยังคลุมผ้าคลุมศีรษะ วันนี้ปะเหมาะได้พบโดยบังเอิญ”

นางยิ้มพลางเอ่ย “อาหรานคงยอมให้เราพี่สาวน้องสาวได้พบหน้ากัน?”

ท่าเซียนจวินส่ายหน้า “เขานิสัยเก็บตัว เจอคนไม่คุ้นเคยแล้วจะรู้สึกอึดอัด ทั้งยังเป็นคนเงียบไม่พูดไม่จา เจ้าอย่าเจอเลย”

แม้ซ่งชิวถงจะเชื่อฟังโม่หรานเสมอ ทว่ายามนี้ในใจรู้สึกคันคะเยอจนยากทานทน อีกทั้งหากจะว่าไป นางก็สั่งสมความคับแค้นที่มีต่อฉู่เฟยผู้นี้มานานแล้ว…

ตั้งแต่วันที่ถูกสามีทิ้งในคืนเข้าหอ นางก็ยิ่งรู้สึกอัปยศเป็นทบทวี ภายหลังยังได้ยินข้ารับใช้ซุบซิบกันหนาหูว่า ตี้จวินไปขลุกอยู่ที่ห้องฉู่เฟยจนพลบค่ำของอีกวันจึงออกมา

“ทั้งคืนไม่ได้หยุดเลย เสียงความเคลื่อนไหวในนั้นน่ะ ถึงชีวิตได้เลยนะ”

“ได้ยินคนเฝ้าเวรกลางคืนบอกว่า พวกเขาลองนับนิ้วดู อย่างน้อยๆ ก็เจ็ดแปดรอบ ฝ่าบาทช่างเก่งกาจจริงๆ”

สาวใช้อีกคนบอกว่า “ผู้ที่เก่งกาจควรจะเป็นฉู่เฟยเหนียงเหนียงมิใช่หรือ คืนเดียวเจ็ดแปดหน อีกไม่นานคงมีโอรสน้อยแน่”

แต่สิ่งที่ทำให้ซ่งชิวถงทนไม่ได้ที่สุดคงเป็นเสียงซุบซิบที่บอกว่า “หวงโฮ่วออกจะงามถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าคืนเข้าหอกลับไม่เป็นที่โปรดปราน”

“นี่ไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมเอาเสียเลย ฝ่าบาทก็ช่างไม่ไว้หน้าเหนียงเหนียงบ้าง”

นางรู้สึกราวกับถูกฉู่กุ้ยเฟยที่ไม่เคยแม้กระทั่งเห็นหน้าค่าตาคนนี้ตบหน้าอย่างแรง สามปีมานี้ความเจ็บปวดแสบร้อนมีแต่เพิ่มขึ้น ไม่เคยน้อยลง

ต่อมา แม้กระทั่งสาวใช้คนสนิทของนางก็ยังขัดเขือง เอ่ยอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ไม่รู้เป็นนางภูตจิ้งจอกตนใดมาล่อลวงจนฝ่าบาทลุ่มหลงหัวปักหัวปำ”

ทั้งยังโน้มน้าวนางอีก “เหนียงเหนียงไม่ต้องเสียใจนะเจ้าคะ ท่านดูสิ ฝ่าบาทอยู่กับนางแทบทุกคืน กลับไม่เห็นว่านางจะตั้งครรภ์ คิดแล้วร่างกายคงไม่ค่อยดี ชาตินี้ทั้งชาติคงมีทายาทไม่ได้ ฝ่าบาทก็แค่เล่นสนุก ช้าเร็วคงเบื่อหน่าย”

ซ่งชิวถงฝืนยิ้ม เรื่องบางอย่าง นางจะมีหน้าพูดออกไปได้อย่างไร

เรื่องร่วมรักเพียงไม่กี่ครั้งระหว่างนางกับเขา เขารอบคอบยิ่งนัก ไม่เคยยอมให้นางตั้งครรภ์ ครั้งเดียวที่เขาปลดปล่อยภายในดินแดนอันอ่อนนุ่มของนาง ก็คือเมื่อไม่นานก่อนหน้า หลังจากเขาดื่มจนเมามายและทะเลาะกับฉู่เฟย จึงมาหานางกลางดึก

ตอนนั้นนางหลับสนิทแล้ว จู่ๆ ม่านก็ถูกเลิกขึ้น เผชิญกับดวงตาแดงก่ำไร้สติของเขา นางถึงขั้นไม่ทันตอบสนอง ก็ถูกเขาจับพลิกตัวฉีกกระชากเสื้อตัวในออก ย่ำยีอย่างป่าเถื่อน ท่ามกลางการทารุณอันบ้าคลั่งหยาบเถื่อน มวยผมของนางถูกจิกขยุ้มอย่างแรง นางได้ยินเสียงเขาหอบหายอยู่ข้างหู “เจ้าลอบเขียนจดหมายให้ใครลับหลังข้า เจ้าใส่ใจเขาถึงเพียงนี้เชียว?”

ขณะที่เมฆฝนรุนแรงเข้มข้น นางถูกกระตุ้นจนทั้งร่างอ่อนระทวย กลับได้ยินเขาฟุบอยู่ด้านหลังตนพลางพึมพำ “เจ้าไม่ต้องพบเจอใครทั้งสิ้น…ที่ใดก็ไม่ต้องไปทั้งนั้น…ได้แต่เป็นฉู่เฟยของตัวข้า…ต่อให้ไม่เต็มใจเพียงใดก็ตาม”

ซ่งชิวถงตื่นจากห้วงความทรงจำอันน่าอดสูนี้ นางปรับสีหน้า ดวงตาคู่งามหยีโค้ง พลางเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “แม้จะบอกว่าฝ่าบาทไม่สนใจธรรมเนียม แต่ถึงอย่างไรก็เป็นพี่สาวน้องสาว ข้าอยากพบนางสักหน่อย เพื่อมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้นาง”

มือที่วางอยู่บนมู่ลี่ไม้ไผ่ของท่าเซียนจวินกลับไม่มีทีท่าจะลดลงมา “เขามีทุกอย่างแล้ว ไม่ขาดเหลืออะไร”

ในเมื่อพูดถึงขั้นนี้ ซ่งชิวถงก็อับจนปัญญา ได้แต่พูดกับตี้จวินเสียงอ่อนหวานอีกไม่กี่คำ แล้วมองเขาขึ้นรถม้าจากไปกับภูตจิ้งจอกตนนั้นตาละห้อย

หลังมู่ลี่ไม้ไผ่ บนที่นั่งนุ่ม ท่าเซียนจวินกลั้นหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง แต่ยังเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ตัวข้าเป็นตี้จวิน ต่อหน้าผู้คน แสดงความโปรดปรานเจ้ามากเกินไป คงไม่เหมาะ”

“…”

ฉู่หว่านหนิงสีหน้าขุ่นมัว หันไปทางหน้าต่างโดยไม่พูดอะไร

ตะวันทอแสงสีทองอร่ามผ่านมู่ลี่ไม้ไผ่บางเข้ามา ทอดแสงเงาซ้อนทับบนใบหน้าที่บางจนแทบโปร่งใสของเขา ท่าเซียนจวินจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เขยิบเข้าไปหนุนตักเขาเสียเลย

ฉู่หว่านหนิงเหยียดหลังตัวเกร็ง ถามเขาโดยไม่หันไปมอง “ไม่ร้อนหรือไร”

“เสียงของอ้ายเฟย [2] เย็นถึงเพียงนี้ ดับร้อนได้โข”

“…” ในที่สุดฉู่หว่านหนิงก็ก้มลงมองเขา สายตาเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำเสียง

เขาโกรธจัดแล้วจริงๆ ไม่มีบุรุษคนใดยินยอมเป็นสนมของบุรุษอีกคน คำว่า “น้องหญิงฉู่เฟย” ที่ซ่งชิวถงเรียกทำให้เขาถึงกับจุกอก แม้แต่หางตาก็แดงเรื่อเพราะความอับอาย

เดิมท่าเซียนจวินแต่งตั้งเขาเป็นสนม เพื่อให้เขารับรู้รสชาติว่าตนเทียบไม่ได้แม้แต่กับสตรี ซ่งชิวถงเป็นภรรยา ส่วนเขาซึ่งเป็นถึงเป๋ยโต่วเซียนจุน กลับตกต่ำเป็นอนุของชายหนุ่มรุ่นเยาว์คนหนึ่ง

“โกรธหรือ”

“…”

“ตัวข้าก็ไม่ได้ให้นางเจอเจ้าสักหน่อย เจ้ายังจะน้อยใจอะไรอีก”

เดิมท่าเซียนจวินยังคิดแหย่เขาอีกสักหน่อย แต่แสงสายัณห์ที่ส่องลอดมู่ลี่เข้ามา ส่องจับใบหน้าฉู่หว่านหนิง ท่าเซียนจวินเห็นแววตาเยือกเย็นและห่างเหินของอีกฝ่าย สุดท้ายขยับริมฝีปากแต่มิได้เอ่ยอะไรออกมา

เขาพลันรู้สึกหมดอารมณ์

สองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีก

เมื่อมาถึงตำบลอู๋ฉาง ซื้อของจุกจิกสารพัด ทั้งน้ำตาลปั้น ขนมบุปผา ปิงถังหูหลุ โคมไฟ อะไรซื้อได้ก็ซื้อมาหมด จากนั้นก็เอามาไว้บนรถม้า แต่ฉู่หว่านหนิงเอาแต่มองความคึกคักนอกมู่ลี่ไม้ไผ่ มิได้สนใจข้าวของละลานตาบนรถม้าแม้แต่น้อย

ทำอย่างไรก็เอาใจเขาไม่ได้สักที ท่าเซียนจวินเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว

“ช่างเถอะ คืนนี้ไม่กลับแล้ว” จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นมา “ค้างในตำบล”

เขาสั่งสารถีหาเรือนแรม แล้วจึงเดินเข้าไปพร้อมกับฉู่หว่านหนิงที่คลุมเสื้อโต่วเผิงปิดหมวกคลุมศีรษะมิดชิด

เสี่ยวเอ้อร์กำลังอ้าปากหาว พอเห็นแขกก็กุลีกุจอ รีบยิ้มตาหยีถามทั้งที่ยังหาวครึ่งๆ กลางๆ “นายท่านต้องการเข้าพักหรือ”

“เอาห้องชั้นดีห้องหนึ่ง”

แม้ใบหน้าของฉู่หว่านหนิงจะซ่อนอยู่ใต้หมวกคลุมศีรษะจนมองเห็นไม่ชัดเจน แต่บุคลิกท่วงท่าเห็นชัดว่าเป็นบุรุษ เสี่ยวเอ้อร์อดลอบมองด้วยความสงสัยใคร่รู้ไม่ได้

ฉู่หว่านหนิง “…สองห้อง”

ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ โทสะที่ระงับมาตลอดของท่าเซียนจวินก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที “เจ้ากับข้าเป็นอะไรกัน ยังจะเปิดสองห้องปิดหูปิดตาคนทำไม”

หากบอกว่าเมื่อครู่สายตาของเสี่ยวเอ้อร์แค่สงสัย ยามนี้กลายเป็นเข้าใจกระจ่างหมดแล้ว

เห็นสายตาเช่นนี้ของเสี่ยวเอ้อร์ ท่าเซียนจวินก็ค่อนข้างถึงพอใจ ถึงขั้นสาสมใจ หลังจากเปิดห้องแล้ว เขาคว้าแขนฉู่หว่านหนิงดึงขึ้นไปชั้นบน เพิ่งเข้าห้อง ประตูยังไม่ทันปิดสนิท ก็ประทับจุมพิตแนบแน่น ริมฝีปากและลิ้นพัวพันกันอย่างเร่าร้อนดุเดือด

นอกหน้าต่างลายเถาองุ่น แสงไฟตามบ้านเรือนส่องสว่างแล้ว แต่แสงเหล่านี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา เขากดฉู่หว่านหนิงลงบนเตียงใหญ่ ท่ามกลางเสียงเอี๊ยดอ๊าดคลุมเครือ เขาได้ยินฉู่หว่านหนิงถอนหายใจเบาๆ

“โม่หราน เจ้าทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร”

“…”

“เราทำเช่นนี้ยังจะเพื่ออะไรได้อีก”

คำพูดนี้คมกริบยิ่งนัก แม้ผ่านมานานแล้ว แต่เมื่อหวนนึกถึงขึ้นมา ในใจก็ยังปวดแปลบนิดๆ

ท่าเซียนจวินลืมตาขึ้น เขายังคงยืนอยู่ในศาลาหงเหลียน เรื่องราวในอดีตเหล่านั้นล้วนผ่านไปแล้ว

แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เบื้องหน้าเขาคล้ายมีภาพมายาวูบผ่าน ข้างหูคล้ายได้ยินเสียงฝนตกกระหน่ำ รู้สึกราวกับตนเป็นวิญญาณท่ามกลางราตรีอันมืดมิด ลอบมองผ่านลายเถาองุ่นบนหน้าต่างของเรือนแรมเข้าไป

เขาเห็นห้องที่เหมือนกัน คนสองคนที่เหมือนกัน สิ่งที่ต่างกันคือฝนตกหนักนอกหน้าต่าง กับบรรยากาศบนเตียงที่คล้ายจะมีความรักอยู่ด้วย

เขาเห็นตนเองกับฉู่หว่านหนิงพัวพันอย่างเอาเป็นเอาตายบนเตียงหลังนั้น ในห้องมืดยิ่งนัก แต่เขาแน่ใจว่าตนมองเห็นใบหน้าของฉู่หว่านหนิงชัดเจน…เป็นสีหน้าที่ถูกครอบงำอยู่ในห้วงปรารถนา นัยน์ตาหรี่ปรือเล็กน้อย ขณะกอดก่ายพันพัวกับตน ดูอับอายและเร่าร้อน

ในภาพมายานี้ ตนจ้องมองบุรุษใต้ร่างด้วยความรู้สึกรักใคร่ เอ่ยเสียงอ้อนวอนและแน่วแน่อย่างยิ่ง “คืนนี้ เพียงอยากทำให้ท่านสุขสม”

เขาก้มลงจุมพิตจุดไวสัมผัสของฉู่หว่านหนิง ได้ยินเสียงหอบครางอย่างสุขสมใจ นิ้วมือของฉู่หว่านหนิงจมหายเข้าไปในเรือนผมสีดำของเขา “อา…”

ท่าเซียนจวินพลันกุมหน้าผากตนเอง รู้สึกเหมือนกะโหลกศีรษะจะปริแตก

ความทรงจำสองช่วงเกี่ยวกระหวัดพัวพัน ฉีกทึ้งทำลายกัน พยายามชิงความได้เปรียบ ช่วงไหนคือความจริง ช่วงไหนคือฝันร้าย เขาไม่รู้และไม่กล้าคิดต่ออย่างละเอียด

พอสงบอารมณ์ลงได้อย่างยากลำบาก เขาก็วิ่งออกจากศาลาหงเหลียน

เขามาถึงลานรำกระบี่ ยืนมองทิวเขาดำทะมึนไกลออกไปอยู่ที่หน้าราวหยกขาวแกะสลัก แผ่นอกสะท้อนขึ้นลง ความทรงจำเร้าอารมณ์เมื่อครู่นั่นคืออะไร

หรือว่าเป็นชีวิตที่โม่หรานในอีกโลกหนึ่งเคยผ่านมา? …

เขาหวนนึกถึงดวงตาฉ่ำชื้นและอ่อนโยนของฉู่หว่านหนิง กับท่าทางที่อีกฝ่ายแหงนคอครางเสียงทุ้มต่ำอยู่บนเตียงขึ้นมาอีกอย่างไม่อาจควบคุม

ท่าเซียนจวินพลันบีบราวหยกแน่น

ฉู่หว่านหนิงเต็มใจขึ้นเตียงกับปรมาจารย์โม่ที่เป็นผีไปแล้วผู้นั้น?!

ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งที่ทั้งสองคือคนเดียวกันแท้ๆ แต่ท่าเซียนจวินกลับรู้สึกเดือดพล่าน ดวงตาแดงก่ำราวกับโลหิต

หากว่านี่คือความทรงจำของข้าอีกคนหนึ่งจริง เช่นนั้น…เขาพลันรู้สึกโกรธแค้นและไม่ยินยอม

เพราะเหตุใด มีสิทธิ์อะไร

หลังจากฟื้นคืนชีพขึ้นมาด้วยฝีมือฮว่าปี้หนาน ศพเดินได้หวนกลับมายังโลกมนุษย์แห่งนี้ สิ่งที่เหลือทิ้งไว้ให้เขาคือตำหนักอูซานในสภาพพินาศย่อยยับ กับความยุ่งเหยิงที่ชวนให้อยากอาเจียน

ตอนที่รีบร้อนวิ่งไปยังศาลาหงเหลียน สิ่งที่เขาเห็นผ่านสายตามีแต่ดอกบัวเหี่ยวเฉาหลังจากสูญเสียการหล่อเลี้ยงจากพลังวิญญาณ ไห่ถังโรยราเกลื่อนพื้น ห้องว่างเปล่าร้างไร้ผู้คน

และสระบัวที่ไม่มีสหายเก่าอยู่อีก

เขาถูกฮว่าปี้หนานคืนชีพจากนรก แต่ร่างของฉู่หว่านหนิงกลายเป็นผุยผงไปแล้ว ไม่เหลืออะไรทั้งสิ้น หาอย่างไรก็หาไม่พบอีก

เขาจำได้ว่าตอนนั้นตนค่อยๆ เดินมาที่ริมสระบัว ก้มหน้ามองไปอย่างเลื่อนลอย จากนั้นก็โน้มตัวลงเอานิ้วมือจุ่มลงไปในนั้น วักน้ำขึ้นมากอบหนึ่ง สระลึกเย็นเยียบเสียดกระดูก

เขาสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม น้ำไหลออกไปตามซอกนิ้ว เขาทรุดลงนั่งอย่างหดหู่สิ้นเรี่ยวแรง

ตัวเขาที่กลับมายังโลกมนุษย์แล้ว ยังเหลืออะไรอีกเล่า

วันแล้ววันเล่า เขายิ่งเกลียดการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ แต่เขาถูกควบคุม ไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง ได้แต่ต้องทำตามคำสั่งของฮว่าปี้หนาน

ต่อมาฮว่าปี้หนานพบรอยแยกของประตูเป็นตายมิติเวลา กลับไม่ยอมบอกเขาว่าเป็นผู้ใดทิ้งไว้ ข้ามไปยังอีกโลกหนึ่งด้วยความตื่นเต้นยินดี ทิ้งเขาให้ทุ่มเทอย่างยากลำบากอยู่ที่นี่ สิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงประโลมหัวใจก็คือ ฮว่าปี้หนานจะคอยส่งข่าวมาให้เขาเป็นประจำ เพื่อให้เขาทำตามแผนการที่วางไว้ได้อย่างมั่นใจ

ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รู้ว่าดวงจิตของตนส่วนหนึ่งไปเกิดใหม่ในโลกนั้น เขาได้รู้ข่าวคราวของซือเม่ย เซวียเหมิง และคนที่ตายไปนานแล้วอย่างเยี่ยวั่งซีและหนานกงซื่อ

ทั้งยังได้รู้ข่าวคราวของฉู่หว่านหนิง

จดหมายจากฮว่าปี้หนานมักจะสั้นยิ่งนัก ประหยัดถ้อยคำราวกับทอง ทั้งเขายังชิงชังลายมือของฮว่าปี้หนานอย่างยิ่ง ลายพู่กันนั้นแหลมคม ราวกับก้ามแมงป่อง

แต่จดหมายเหล่านั้นก็กลายเป็นความหวังที่ใหญ่ที่สุดของผีดิบอย่างเขา เป็นสิ่งที่ต่อลมหายใจให้คนที่กำลังจะจมลงในทะเลลึก เขาเก็บจดหมายทุกฉบับ ระหว่างที่รอจดหมายใหม่ เขาก็จะอ่านตัวอักษรที่ชวนขยะแขยงแทบเป็นแทบตายเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นร้อยรอบ

เขารู้สึกว่าตนคงเสียสติไปแล้ว

ย่ำค่ำวันหนึ่ง เหล่าข้ารับใช้กำลังกินอาหารเย็น เขาชอบความคึกคักเช่นนี้ ดังนั้นตั้งแต่เกิดใหม่จึงสั่งให้ทุกคนรวมตัวกันหน้าตำหนัก เขาเอนกายอย่างเกียจคร้านบนตั่งนุ่ม มองพวกเขากินข้าว บางครั้งบางคราวก็จะถามว่ารสชาติเป็นเช่นไร

เมื่อก่อนท่าเซียนจวินไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่หลายปีมานี้ ข้างกายเขาไม่เหลือผู้ใด ราตรียาวนานไม่มีสิ่งใดให้ทำฆ่าเวลา ได้แต่ต้องพลิกตำราอ่านคัมภีร์ม้วนไม้ไผ่ อ่านไปอ่านมา ก็นึกสนุกเล่นตีความตัวอักษร

อย่างเช่นเขาอยากให้คนกินข้าวตังทอด เขาก็จะบอกว่า “มา ชิมอสนีก้องพสุธาให้ตัวข้าหน่อย” หรืออยากให้คนกินผักปัวไช่ [3] ก็จะบอกว่า “เจ้าลองชิมนกแก้วเขียวปากแดง [4] ในชามนี่ดู”

ให้คนไม่รู้หนังสือคนหนึ่งอ่านหนังสือนับว่ายากมากแล้ว หากคนไม่รู้หนังสือคนนั้นยังรู้สึกสนุกเพลิดเพลินได้เช่นนี้ ก็คงได้แต่กล่าวว่า ชีวิตของคนผู้นี้ไม่มีเรื่องสนุกสนานอื่นให้พูดถึงได้จริงๆ

ขณะกำลังครื้นเครง มีคนเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท ผู้อาวุโสหัตถ์ทิพย์กลับมาแล้ว”

“เขามาคนเดียว?”

“พาเจ้าหอมู่แห่งหอเทียนอินมาด้วย พวกเขาบอกว่าต้องจัดการเรื่องสังเวยก่อน เสร็จเรียบร้อยแล้วจะมาพบฝ่าบาท”

ท่าเซียนจวินเด็ดองุ่นม่วงในจานเงิน สีหน้าเรียบเฉย “เช่นนั้นให้พวกเขาค่อยๆ ทำไป ตัวข้ากำลังมีความสุข”

ผู้มารายงานเอ่ยต่อ “นอกจากนี้ ผู้อาวุโสหัตถ์ทิพย์ยังฝากคำมาเตือนฝ่าบาทด้วย”

“อะไร”

“ช่วงนี้ต้องระมัดระวัง ใต้หล้าวุ่นวายแล้ว ‘เขา’ ต้องมาแน่นอน”

“…” ท่าเซียนจวินแววตาคลุมเครือ ผ่านไปสักพักก็ยิ้ม “รู้แล้ว ตัวข้ามีแผนในใจ”

ท่าเซียนจวินย่อมรู้ว่า “เขา” จะมา

สองโลกเชื่อมโยง ผู้ลี้ภัยร้อยหมื่นพลัดถิ่น ปรมาจารย์โม่เสียชีวิต ยอดเขาสื่อเซิงล่มสลาย…หว่านหนิงเองก็ไม่ต่างจากตัวเขา ไม่เหลืออะไรแล้วเช่นกัน คงจะต้องมาหาตนพร้อมเจตนาที่จะตาย

ท่าเซียนจวินมิได้กลัวแม้แต่น้อย ถึงขั้นลอบคาดหวังอยู่ในใจ

ดึกมากแล้ว ในตำหนักจุดเทียนแล้ว เพียงแต่ตำหนักอูซานมีเชิงเทียนเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดวง แสงส่องสว่างขับไล่ความมืดมิดจนดูราวกับดวงตะวันยามเที่ยงคืน

ท่าเซียนจวินเรียกหลิวกง “เจ้าให้คนไปดับเทียนครึ่งหนึ่ง”

แสงสว่างจ้าเกินไป เขากลัวฉู่หว่านหนิงจะลอบเข้ามาลำบาก จึงเป็นฝ่ายลดการระแวดระวังลงเอง

หลิวกงไปทำตามคำสั่ง เขายืนรออยู่ที่เดิม กระทั่งหลิวกงกลับมารายงาน “ฝ่าบาท ดับไฟลงครึ่งหนึ่งแล้ว”

เขามองแสงสีเหลืองนวลทั้งตำหนัก ยังคงไม่พอใจ คิดแล้วจึงเอ่ย “ดับให้หมด”

หลิวกง “…”

แสงเทียนในตำหนักอูซานดับลงทีละดวง ทว่าในหัวใจของท่าเซียนจวินกลับสว่างขึ้นทีละนิด เขารู้สึกได้รางๆ ว่าฉู่หว่านหนิงใกล้จะมาถึงแล้ว คนผู้นั้นคงสวมชุดขาว สีหน้าเคียดแค้น เอาแต่พูดเรื่องคุณธรรมของความเป็นมนุษย์ที่ชวนให้เบื่อหน่าย คงคิดมาแก้แค้นให้ปรมาจารย์โม่

คิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ปลายลิ้นเลียผ่านฟันขาวที่เรียงเต็มปาก เขาเหลือเชิงเทียนตั้งพื้นลายเครือเถาดวงเดียวในส่วนลึกหลังม่านโปร่ง นี่คือดวงไฟที่เขาเหลือไว้ให้แมลงเม่าที่สิ้นหวังอย่างฉู่หว่านหนิง เป็นการบอกอีกฝ่ายว่าเขาอยู่ที่นี่ รอให้อีกฝ่ายบินมาหาที่ตาย

ดึกสงัดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ฝนเริ่มลงเม็ดนอกหน้าต่าง

ท่าเซียนจวินปลี่ยนมาสวมชุดคลุมพิธีการสีดำปักดิ้นทองที่สง่างามเคร่งขรึมที่สุด จัดที่หลับปัดที่นอนด้วยตนเอง เดินวนรอบห้องรอบหนึ่ง ยังคงรู้สึกขาดอะไรบางอย่าง สุดท้ายจึงสั่งให้คนนำสุราขาวดอกสาลี่เก่าเก็บมาไหหนึ่ง หล่อน้ำร้อนเอาไว้ให้อุ่นอยู่ตลอด

หลังจากอุ่นสุราแล้ว ก็แต่งกายเต็มยศ ยืนเฝ้าม่านแพร มองสายฝนที่ตกหนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ข้างหน้าต่าง ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้เรียกปู้กุยออกมาให้เห็นแม้แต่เงา

เขายังถึงขั้นหลอกตัวเอง เฝ้าสุราดีและเตียงอุ่น พลางคิดอย่างชั่วร้าย หึ รอให้ฉู่หว่านหนิงมาแล้ว จะต้องทำให้เขารู้ว่าอะไรเรียกว่าดาบกระบี่ไร้ปรานี!

 

 

[1] ในภาษาจีน สรรพนามบุรุษที่ 3 สำหรับผู้หญิงและผู้ชาย อ่านออกเสียงเดียวกันคือ “ทา” ดังนั้นซ่งชิวถงจึงยังคงเข้าใจว่าฉู่เฟยคือสตรี

[2] คำที่สามีใช้เรียกสนมที่เป็นภรรยาของตน แปลว่า สนมรัก

[3] ผักปวยเล้ง

[4] ใบและลำต้นของปวยเล้งมีสีเขียว แต่ส่วนรากจะแซมด้วยสีแดงอ่อนๆ

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า