[ทดลองอ่าน] บันทึกวิญญาณพู่กัน เล่ม 2 บทที่ 5 ใช้นกครามคาบสารไปบอก (1)

บันทึกวิญญาณพู่กัน
七侯筆錄之筆靈

 

หม่าป๋อยง
马伯庸
หงลวี่เติง แปล

 

‘หลัวจงเซี่ย’ เพิ่งรู้ว่ายังมีความซวยที่เป็นขั้นกว่าของการที่อยู่ๆ ก็ถูกมีดแทงอก
นั่นก็คือการถูกพู่กันแทงอก! แน่นอนว่าเขาไม่ตาย
แต่เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขาหลังจากนี้
ทำให้เขาสะบักสะบอมบอบช้ำทั้งกายใจจนแม้อยากตายก็ไม่ง่ายแล้ว
.
เด็กหนุ่มมหาวิทยาลัยที่ขี้เกียจไปวันๆ อย่างเขา อยู่ๆ ก็ได้ครอบครอง ‘พู่กันบัวคราม’
มรดกตกทอดของหลี่ไป๋ เซียนกวีแห่งประวัติศาสตร์ท่านนั้น
นี่ทำให้เขาเข้าไปพัวพันกับเหล่าผู้คนแห่ง ‘สุสานพู่กัน’
และต้องเผชิญกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิง
พู่กันในตำนานมากมาย พร้อมผู้ครอบครองมาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาอย่างไม่ว่างเว้น
สุนทรีย์แห่งถ้อยคำและตัวอักษรกลับกลายเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา
.
พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมหน้าที่ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่อย่างนั้นหรือ
งั้นหลัวจงเซี่ยคนนี้ก็จะทำทุกวิธีเพื่อปลดพู่กันอัปมงคลนี่ออกไป
พลังที่ยิ่งใหญ่อะไรนั่น เขาไม่ต้องการ!

 

ต้นฉบับนี้ยังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์

 

บทที่ 5

ใช้นกครามคาบสารไปบอก (1)

 

“นี่คือสมุดบันทึกของฝางปินงั้นหรือ”

ที่อยู่ตรงหน้าของหลัวจงเซี่ยคือสมุดบันทึกปกสีเหลืองอ่อนเล่มหนึ่ง มีประมาณสองร้อยหน้า “ถูกต้อง ฉันกับปีเตอร์หาตู้เก็บของนั่นเจอก็สถานีที่สอง และข้างในนั้นก็มีแค่สมุดเล่มนี้วางอยู่ ฉันก็นึกว่ามันจะเป็นของล้ำค่าอะไรเสียอีก!” เหยียนเจิ้งพูดระคนพร่ำบ่น เขาจินตนาการไปก่อนว่ามันจะเหมือนกับในหนังที่ตู้เก็บของในสถานีรถไฟมักจะวางสมบัติลี้ลับไว้

“พวกคุณอ่านแล้วรึยัง”

“จะไปมีเวลาที่ไหนล่ะ! พอพวกเราเอามาได้ก็รีบมาหานายนี่แหละ” เหยียนเจิ้งเอ่ย หลังจากนั้นเขาก็เล่าสรุปเรื่องคร่าว ๆ ออกไปหนึ่งรอบ แน่นอนว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้คือการเติมแต่งคำพูดคุยโวโอ้อวดการเป็นฮีโร่ของตัวเอง

หลังจากหลัวจงเซี่ยฟังจบก็เอ่ยอย่างสงสัย “คุณบอกว่าทูตพู่กันนั่นเป็นคนต่างชาติ?”

“ใช่แล้ว”

“ปีเตอร์ ในทูตสุสานพู่กันเคยมีชาวต่างชาติมาก่อนไหม” หลัวจงเซี่ยถามหลวงจีนปีเตอร์ วิญญาณพู่กันเป็นสิ่งที่ผู้ครอบครองสุสานพู่กันสร้างขึ้น ที่รับมาคือพรสวรรค์ แม้ว่าพรสวรรค์จะไม่ได้มีเฉพาะในประเทศจีน แต่ว่าวิญญาณพู่กันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการส่งผ่านวัฒนธรรมในประเทศ ดังนั้นพวกทูตพู่กันที่เป็นคนต่างแดนจึงเป็นเรื่องที่ยากจะคาดถึง

“ในประวัติศาสตร์อาจมีชาวเกาหลี ญี่ปุ่น หรือชาวเวียดนามโบราณอยู่ในบันทึกของทูตสุสานพู่กัน แต่สำหรับชาวตะวันตกแล้ว…มีคนเดียวเท่านั้นที่เคยเป็นทูตสุสานพู่กัน”

“ใคร”

“คนเขียน ตี๋เหรินเจี๋ย ตุลาการสะท้านแผ่นดิน คือ กูลิค1 เขาเป็นคนเนเธอร์แลนด์…แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้ รีบมาดูสมุดเล่มนี้เถอะ” หลวงจีนปีเตอร์เอ่ยเร่งเร้า

แต่อยู่ ๆ หลัวจงเซี่ยก็นึกบางอย่างได้ หันไปมองโดยรอบ “แล้วสือจิ่วล่ะ”

เหยียนเจิ้งเอ่ย “หมึกที่อยู่ในสวนซงเทาใช้หมดแล้ว เธอไม่ไว้ใจให้คนอื่นไปซื้อ ก็เลยออกไปซื้อด้วยตัวเอง”

“จะรอเธอกลับมาก่อนค่อยเปิดดูไหม” หลัวจงเซี่ยลังเลเล็กน้อย ฝางปินเป็นคนที่สือจิ่วให้ความเคารพนับถือมาตลอด ตอนนี้ตนเองกับสือจิ่วก็ใกล้ชิดกันมาก บางทีอาจเพราะอิทธิพลของพู่กันแต้มตาของฝางปิน ทำให้ในใจของเขาสับสนวุ่นวายมาถึงตอนนี้ เวลานี้ของตกทอดจากฝางปินอยู่ตรงหน้าเขา ควรจะรอให้สือจิ่วมาดูพร้อมกันหรือไม่เขาก็ยังตัดสินใจไม่ได้

เหยียนเจิ้งไม่พอใจอย่างยิ่ง “สมุดบันทึกมันไม่มีขาวิ่งหรอก รอเธอกลับมาก็ค่อยให้เธอดูอีกที! ฝางปินตายไปแล้ว ไม่มีใครแย่งผู้หญิงกับนายหรอก นี่นายโดนจิตบริสุทธิ์ของไหวซู่ทำให้โง่ลงหรือไงวะ!”

เป็นการตีตรงจุดของนักเลงที่ไม่คุยด้วยเหตุผลจริง ๆ

แต่ว่าการตีตรงจุดนี้กลับให้ผลลัพธ์ที่ดี หลัวจงเซี่ยหน้าแดงขึ้น ทำได้เพียงหยิบสมุดบันทึกไว้ในมือ จริง ๆ แล้วเขาเองก็สงสัยอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่ดื้อด้านต่อไป ค่อย ๆ เปิดหน้าแรกออก พู่กันบัวครามและแต้มตาที่อยู่ในทรวงอกของเขาตอนนี้โลดแล่นขึ้น ราวกับเป็นสุนัขขี้เกียจที่นอนกลางวันอยู่แล้วตื่นมามองแขกด้วยความแปลกใจ แล้วก็กลับไปหลับต่ออีกครั้ง

ในสมุดบันทึกมีแค่ไม่กี่หน้าที่เขียนด้วยปากกาหมึกซึมจนเต็มแผ่น รูปแบบลายมือบรรจงงดงาม บรรทัดเป็นระเบียบเรียบร้อย รู้ได้ว่าผู้เขียนเป็นคนที่พิถีพิถันและเข้มงวดอย่างยิ่ง

ประโยคแรกของบรรทัดแรกในหน้าแรกทำให้หลัวจงเซี่ยชะงักค้างทันที

‘ถึงผู้รับช่วงต่อพู่กันแต้มตา’

เขียนถึงเราหรือ…แม้ว่าหลัวจงเซี่ยจะมีจิตใจที่ผุดผ่องแล้ว แต่ในตอนนี้ก็ไม่อาจอดกลั้นความตกตะลึงได้ จึงรีบอ่านต่อโดยไม่รั้งรอ

‘ตอนที่คุณอ่านถ้อยคำพวกนี้ ผมคิดว่าผมคงจะตายไปแล้ว คนที่จากไปแล้วอย่างผมใช้คำพูดจากอนาคตมาเขียนลง จะว่าไปก็น่าพิลึกยิ่งนัก แต่มีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้ผมส่งข้อความถึงคุณได้อย่างราบรื่น ขออภัยสำหรับการคิดเองเออเองของผมด้วย แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งจำเป็น’

ข้อความที่ทำให้คนรู้สึกประหลาดใจนี้เรียบง่ายไม่หวั่นเกรง สงบนิ่งและไหลลื่น แต่กลับกระจายด้วยความอาลัยเศร้าหมองจาง ๆ

เหยียนเจิ้งเห็นทีท่าของหลัวจงเซี่ยที่ลุกลี้ลุกลนก็เอ่ยถามอย่างฉงน “ข้างในนั้นเขียนว่าอะไร”

หลัวจงเซี่ยค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงมึนงงอย่างยิ่ง “จดหมายนี่เขียนให้ผม เหมือนเป็นคำสั่งเสียก่อนตายของฝางปิน” เหยียนเจิ้งยังคิดจะเอ่ยสิ่งใดต่อ หลัวจงเซี่ยเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ช่วยรอให้ผมอ่านจบก่อนเถอะ นี่ก็เพื่อให้ความเคารพผู้ตายด้วย” หลวงจีนปีเตอร์และเหยียนเจิ้งรับรู้ถึงพลังแห่งความสุขุม จึงปิดปากลง

หลัวจงเซี่ยรวบรวมสมาธิไปไว้ที่สมุดบันทึกอีกครั้ง

‘ผมชื่อว่าฝางปิน เดิมเป็นแค่นักศึกษาปริญญาโทสาขาวิชาภาษาจีนธรรมดาคนหนึ่ง ในตอนที่ผมกำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อจะทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโทของตัวเองอยู่นั้นก็บังเอิญได้ค้นพบการคงอยู่ของ สุสานพู่กัน และเกิดความใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งกับเรื่องนี้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงเริ่มค้นหาข้อมูลในเอกสารทางประวัติศาสตร์และบันทึกจำนวนมากมายราวกับหมอกในท้องทะเลอันจะนำไปสู่ร่องรอยเบาะแสเกี่ยวกับมัน ตั้งแต่ที่ผมจบปริญญาโทมาจนถึงตอนนี้คงสิบห้าปีเห็นจะได้ ผมทำงานหนักเพื่อวิจัยเรื่องสุสานพู่กันมาโดยตลอด แรกเริ่มเดิมทีผมคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าขานและตำนานของบรรดาปราชญ์บัณฑิต แต่หลังจากที่วิจัยลึกขึ้นผมกลับพบว่าสุสานพู่กันแอบซ่อนอยู่ในเงาขนาดใหญ่เบื้องหลังประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของประเทศจีนอีกด้วย สำหรับผู้ที่จบปริญญามหาบัณฑิตทางด้านวัฒนธรรมจีนแล้วนั้น นี่เป็นเรื่องที่ล่อตาล่อใจอย่างมาก และมิตรสหายที่ชื่อว่าเหวยซื่อหรันก็เป็นคนสำคัญในการช่วยเหลือผม

‘ช่วงเวลาที่เปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของผมอย่างแท้จริงก็คือเมื่อเจ็ดปีก่อนหน้านี้ ตอนนั้นผมอยู่ที่วัดอันเล่อในนานกิงเพื่อเสาะหาไปตามเศษซากปรักหักพัง บังเอิญได้เห็นขั้นตอนที่ทูตสุสานพู่กันกำลังเก็บพู่กัน นี่ทำให้ผมตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด ตลอดมาสุสานพู่กันและทูตพู่กันล้วนแต่เป็นเรื่องเล่าขาน แต่ว่าตอนนี้กลับเคลื่อนเข้ามาในโลกแห่งความเป็นจริง ใจของผมในตอนนั้นก็เหมือนกับนักชีววิทยาดึกดำบรรพ์ที่ได้เห็นไดโนเสาร์มีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น เดิมทีผมไม่ได้ใฝ่ฝันที่จะเข้ามาในโลกของสุสานพู่กัน อยากจะเป็นแค่นักศึกษาวิจัยที่เฝ้ามองจากภายนอกเท่านั้น คงเป็นเพราะโชคชะตาฟ้ากำหนดล่ะมั้ง ตอนที่ทูตสุสานพู่กันคนนั้นกำลังเก็บพู่กันอยู่ก็เกิดเหตุร้ายขึ้น ผมช่วยชีวิตเขาไว้ ตัวผมเองจึงถูกวิญญาณพู่กันเข้ามาสิงในร่างเพราะเหตุนี้ก็อย่างที่คุณน่าจะคาดเดาได้แล้ว พู่กันเล่มนี้คือพู่กันแต้มตาของจางเซิงโหยวซึ่งเป็นคนวาดมังกรในวัดอันเล่อ

‘ทูตสุสานพู่กันคนนั้นที่ผมช่วยชีวิตรู้สึกสำนึกในบุญคุณของผมมาก ก็เลยเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้ผมได้รับรู้ ความจริงเขาก็คือคนของตระกูลจูเก่อซึ่งเป็นหนึ่งในสองตระกูลแห่งสุสานพู่กัน ชื่อว่าคุณเฟ่ย ไม่แน่ว่ามิตรสหายที่ชื่อเหวยซื่อหรันคนนั้นก็เป็นคนของสุสานพู่กันเช่นเดียวกัน แต่ว่าเขาไม่เคยปริปากออกมา และผมก็ไม่เคยถาม จากการแนะนำของคุณเฟ่ย ผมก็ได้เข้าสู่โลกอันลี้ลับของสุสานพู่กันอย่างเป็นทางการ ตระกูลจูเก่อตามตัวผมเพื่อจะขอความร่วมมือมาโดยตลอด ทว่าคนที่เป็นนักศึกษาวิจัยอย่างผมก็หวังจะรักษาจุดยืนที่สันโดษไว้ พยายามไม่เข้าไปใกล้ชิดกับพวกเขาในโลกความเป็นจริง ติดต่อกันก็แต่เพียงในโลกอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ผู้นำตระกูลแห่งตระกูลจูเก่อเป็นบุคคลที่มีความคิดเปิดกว้างคนหนึ่ง และไม่ได้ขัดข้องต่อการกระทำเช่นนี้ พวกเราจึงร่วมมือกันได้ดีมาโดยตลอด ผมขอความรู้เรื่องวิญญาณพู่กันจากพวกเขา และพวกเขาก็มอบหมายให้ผมอบรมสั่งสอนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนแก่บุคคลรุ่นหลังของตระกูลจูเก่อ ผ่านการสั่งสมประสบการณ์อย่างโชกโชนมาหลายปีนี้ทำให้ความรู้ที่มีต่อสุสานพู่กันของผมถึงขนาดที่เหนือกว่าสมาชิกส่วนใหญ่ในตระกูลจูเก่อด้วยซ้ำ’

ตัวอักษรหลังจากนี้ค่อย ๆ เปลี่ยนไปใหญ่ขึ้นอีกระดับหนึ่ง ราวกับว่าผู้เขียนอยากจะเน้นสารัตถะสำคัญ

‘วันนี้ผมใช้พู่กันแต้มตาเพื่อทำนายโชคชะตาในอนาคตของผม ผลที่มันแสดงทำให้ผวาอย่างมาก แต่เดิมผมก็แค่บุคคลที่รับช่วงต่อ เป็นแค่สถานีหนึ่งในการรับส่ง โชคชะตาของผมคือนำแต้มตาส่งต่อให้ผู้ครอบครองที่เหมาะสมคนต่อไป แต่เขาก็ต้องเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับเจ็ดปราชญ์แห่งก่วนเฉิงอย่างใกล้ชิด และในตอนท้ายจะเป็นคนตัดสินชะตาแห่งสุสานพู่กันทั้งหมดทั้งมวล คำทำนายนี้จำเป็นต้องใช้ชีวิตของผมเป็นราคาแลกเปลี่ยน ผมเคยกลัวมาก่อน เคยหวาดวิตกมาก่อน จนวันนี้ผมจึงจะสามารถเขียนตัวอักษรพวกนี้ลงไปด้วยใจที่สงบได้

‘ไม่รู้ว่าคุณเข้าใจพู่กันแต้มตาอย่างถ่องแท้หรือเปล่า บางทีคุณคงจะคิดว่ามันสามารถชี้ชะตาของพวกเราได้ที่จริงแล้วความเข้าใจนี้ผิดมหันต์ พู่กันแต้มตาไม่สามารถทำนายทายทักอะไรได้ มันแค่ผลักให้เราเดินหน้าต่อ พู่กันแต้มตาก็เหมือนกับเครื่องยนต์ มันไม่สามารถชี้แนะทิศทาง แต่สามารถเพิ่มความเร็วในการขับเคลื่อนคุณให้ไปในทิศทางที่แน่ชัดได้ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือสิ่งที่สามารถควบคุมโชคชะตาแท้จริงแล้วยังคงเป็นตัวของพวกเราเอง ส่วนพู่กันแต้มตาแค่เสริมความแข็งแกร่งให้กับทางเลือกเท่านั้นก็เหมือนกับที่ชื่อของมันบอก วาดมังกรแต้มตา มีเพียงตัวเราเองที่ร่างโครงร่างของมังกรแห่งโชคชะตาได้ แต้มตาถึงจะมีคุณค่าและความหมาย หากไม่มีโครงร่างก็ปราศจากตาให้แต้ม

ไม่นานหลัวจงเซี่ยก็อ่านมาถึงตอนจบ

‘ต่อจากนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ในขณะที่แต้มตาทำนายโชคชะตาของคุณออกมาก็จะแสดงนัยอีกอย่างไว้ นั่นก็คือการดำรงอยู่ของพวกเขา พวกเขาเป็นใคร มาจากไหนกันแน่ ผมก็ไม่อาจทราบได้ แต้มตาไม่สามารถให้คำทำนายที่ละเอียดไปกว่านี้เช่นกัน สิ่งเดียวที่ประจักษ์ชัดก็คือพวกเขาน่ากลัวอย่างยิ่งยวด เป็นอำนาจคุกคามอันใหญ่หลวงทั้งต่อสุสานพู่กัน ตระกูลจูเก่อ ตระกูลเหวย รวมไปถึงคนที่เกี่ยวข้องกับสุสานพู่กันทั้งหมด สิ่งที่พวกเขาพยายามจะโค่นล้มอย่างไรก็ไม่มีทางจะหยุดแค่นี้ นี่จะเป็นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนของสุสานพู่กัน

‘เนื่องจากพู่กันแต้มตาอยู่ในเจ็ดปราชญ์แห่งก่วนเฉิง ผมจึงได้รับเบาะแสองค์ความรู้เกี่ยวกับเจ็ดปราชญ์แห่งก่วนเฉิงมาบ้าง ผมตัดสินใจเริ่มออกเดินทางเพื่อทำการศึกษา และนี่จะเป็นการเดินทางที่สุดแสนลำบากยากเย็นครั้งหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ความตายของผมมาเยือนก่อนเวลาอันควร ก่อนหน้าที่ผมจะออกเดินทาง ผมจึงทิ้งสมุดบันทึกไว้ หากเป็นผู้ครอบครองคนใหม่ของแต้มตาที่แท้จริงก็จะมีโอกาสได้พบกับสิ่งนี้ ได้เจอคำสั่งเสียของผม’

อักษรบรรทัดสุดท้ายเขียนไว้ใหญ่เป็นพิเศษ แทบจะกินพื้นที่หน้ากระดาษทั้งหน้าด้วยซ้ำ ลายมือทรงพลัง ปรากฏไปถึงหลังกระดาษ

‘โชคชะตาไม่ใช่สิ่งแน่นอน คุณสามารถลองเปลี่ยนแปลงมันได้ นี่ก็คือคุณค่าในการดำรงอยู่ของพู่กันแต้มตา มันเปิดทางเลือกแห่งหนทางอนาคตให้กับเรา โปรดรักษาตัวด้วย’

ตำแหน่งผู้ลงนามตอนท้ายเป็นลายเซ็นของฝางปินที่แข็งแรงทรงพลังดั่งหงส์ฟ้อนมังกรเหิน

หลัวจงเซี่ยค่อย ๆ วางสมุดบันทึกลง เขาสูญเสียความสามารถทางภาษาที่จะอธิบายออกมา แล้วก็ไม่รู้ว่าจะแสดงออกอย่างไร ถ้อยคำและอารมณ์ในสมุดบันทึกนี้เรียบง่ายไม่หวั่นเกรง ราวกับอาจารย์ท่านหนึ่งกำลังตั้งใจสั่งสอนอย่างเอาจริงเอาจัง อีกทั้งยังเหมือนกับทหารที่ไม่ช้าก็ต้องวิ่งเข้าไปในสนามรบ กำลังส่งมอบภารกิจในภายหลัง

ที่แท้ฉากเหตุการณ์ที่วัดฝ่าหยวนเดิมทีได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ฝางปินถูกกำหนดไว้ว่าตอนที่ตัวเองออกไปค้นหาจะต้องถูกพวกเขาจับตัว พวกเขาถูกกำหนดไว้ว่าจะนำตัวของฝางปินไปเก็บพู่กันที่วัดฝ่าหยวน ส่วนตัวหลังจงเซี่ยก็ถูกกำหนดให้พู่กันแต้มตาเข้าสู่ร่าง เด็กหนุ่มหลับตาลงช้า ๆ ภายในใจไม่รู้ว่าเป็นรสชาติชนิดใด แม้ว่าเขาและฝางปินจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เพียงได้เห็นใบหน้าเสี้ยวหนึ่งในเวลาสั้น ๆ แต่หลังจากที่อ่านคำสั่งเสียของเขาจนจบกลับรู้สึกเหมือนได้สูญเสียเพื่อนรักที่คอยให้คำแนะนำไปหนึ่งคน นับตั้งแต่ที่ได้เห็นว่าฝางปินเจ็บปวดเพียงไรก่อนที่จะสิ้นลมในวัดฝ่าหยวน ตลอดเวลาที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ล้วนเป็นดั่งสายใยที่ผูกโยงผ่านหนังสือสั่งเสีย ตราตรึงในจิตสำนึกของหลัวจงเซี่ย

“เปิดทางเลือกแห่งหนทางอนาคตให้กับพวกเราอย่างนั้นหรือ” หลัวจงเซี่ยพึมพำอย่างชัดถ้อยชัดคำถึงข้อความของฝางปิน แล้วจมดิ่งลงไปในห้วงแห่งความคิด

 

1 โรแบร์ท ฟาน กูลิค (Robert Van Gulik)

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า