แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ
步天纲 (Bu Tian Gang)
梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน
ลลิตา ธ. แปล
นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
ตอนที่ 11
ชายชรากับหญิงสาวไม่ได้สนใจพวกตงจื้อที่กำลังสนทนากันเสียงเบา ต่างเร่งทำเวลาหลับตาตั้งจิตราวกับต้องการฟื้นฟูกำลังวังชาที่สูญเสียไปให้กลับคืนมาโดยเร็ว
อาโซ โยชิโตะ ประธานสถาบันการเงินอาโซ ชายอ้วนที่ยืนข้างพวกเขากำลังมองไปรอบ ๆ สีหน้ายังไม่คลายความกังวล คล้ายเป็นห่วงว่าหมอกดำพวกนั้นจะหวนกลับมาเล่นงานอีก
ในขณะที่บุรุษสวมเสื้อแจ็กเก็ตเมียงมองมาทางเหล่าเจิ้งเป็นระยะ ตั้งท่าเตรียมพร้อมระวังภัยทุกเมื่อ
สายตาตงจื้อตกอยู่ที่ตัวชายวัยกลางคนที่อยู่นอกวง ซึ่งกำลังกอดดาบไม้ท้อไม่ยอมปล่อย
“คนที่ถือดาบเหมือนจะเป็นคนจีน?”
เหล่าเจิ้งแสดงทีท่าเหยียดหยามกว่าเดิม “คนนั้นคืออินหวย เป็นพวกนายหน้าซื้อของโบราณแล้วเอาไปขายต่อเพื่อเก็งกำไร ไม่รู้เอาปัญญาจากไหนไปเรียนพวกอวิชชานอกรีต รับซื้อวัตถุโบราณจากมือพวกโจรปล้นสุสานแล้วเอาไปขายต่อให้พวกต่างชาติโดยเฉพาะ ก่อนหน้านี้เพิ่งถูกปล่อยตัวออกมา แถมยังมีรายชื่ออยู่ในบัญชีดำของเราด้วย ครั้งนี้ที่ขึ้นเขามาพร้อมกับคนญี่ปุ่นพวกนั้นจะมีเรื่องดีอะไรได้!”
ตงจื้อตกตะลึงแกมคาดไม่ถึง “บนเขาฉางไป๋มีของโบราณด้วยเหรอครับ”
เหล่าเจิ้งส่ายหัว สีหน้าเคร่งขรึม” ระยะนี้แถว ๆ นี้มักมีอะไรผิดปกติ ตอนแรกพวกเราอยากจะปิดเขา แต่เบื้องบนคิดว่าสถานการณ์ยังไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ถ้าผลีผลามปิดเขาไปจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น หมอกดำที่พวกนายเจอเมื่อกี้คืออสูรดักซุ่ม ไม่ใช่ผี แต่เป็นปีศาจที่กลืนกินจิตวิญญาณคน”
อิทธิพลที่ได้รับจากการ์ตูนทำให้อสูรในความทรงจำของตงจื้อเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีรูปโฉมงดงาม แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่กับอสูรดักซุ่มพวกนี้ พวกมันน่ากลัวยิ่งกว่าผีเสียด้วยซ้ำ เขานึกถึงเรื่องที่ประสบบนรถไฟ จึงเล่าเรื่องการตายของพนักงานคนนั้นให้เหล่าเจิ้งฟัง
อีกฝ่ายขมวดคิ้วบอก “อสูรดักซุ่มดำรงอยู่ได้ในพื้นที่ที่มีแรงอาฆาตและไอปีศาจหนาแน่นเท่านั้น เขาฉางไป๋ไม่เคยมีมาก่อนเลย การที่จู่ ๆ พวกมันโผล่มา แค่นี้ก็ผิดปกติมากพอแล้ว ฟังจากที่นายพูด จะต้องมีเหตุผลอื่นอยู่เบื้องหลังแน่ ๆ บางทีอาจจะมีคนจงใจปล่อยปีศาจพวกนี้ออกมาและคอยควบคุมบงการพวกมันอยู่ตลอดทางก็ได้”
เมื่อได้ยินความหนักแน่นในน้ำเสียงอีกฝ่าย สภาพจิตใจของตงจื้อก็อดรู้สึกเคร่งเครียดตามไม่ได้ “ตอนนี้พวกเหออวี้คงอยู่บนเขาแล้วใช่ไหมครับ เดี๋ยวเราจะไปหาพวกเขาหรือเปล่า”
เหล่าเจิ้งถอนหายใจก่อนเอ่ยเสียงเบา “เหออวี้กับบอสหลง พวกเขาเป็นคนของสำนักงานใหญ่ ถ้ารู้ว่าพวกเขาจะมาตั้งแต่แรก พวกเราคงอยู่รออีกสักสองวัน ก่อนขึ้นเขามาพวกเรายังไม่ทันรู้ข่าวว่าพวกเขาจะมาที่นี่ กลายเป็นว่าตอนนี้ฉันก็พลัดหลงกับเพื่อนร่วมงานอีกคนเหมือนกัน”
ตงจื้อถามด้วยความตื่นตระหนก “หรือว่าพวกคุณเดินอยู่บนเขาลูกนี้มาหลายวันแล้ว”
เหล่าเจิ้งรู้สึกกลัดกลุ้มไม่แพ้กัน “อย่างน้อยก็สี่ห้าวันมาแล้ว ฉันตามหาต้นตอของอสูรดักซุ่มมาตลอด น่าเสียดายที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเบาะแส”
เดิมทีเขาไม่ควรคุยกับตงจื้อเยอะขนาดนี้ เหล่าเจิ้งแสดงท่าทีเรียบเฉยต่อหน้าคนญี่ปุ่นก็จริง แต่เห็นอย่างนี้ จริง ๆ ในใจเขาต้องอดกลั้นแทบตาย ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะมีโอกาสได้ระบายออกเสียที
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ตอนนี้เหล่าเจิ้งหัวเดียวกระเทียมลีบ ตรงกันข้ามกับฝั่งคนญี่ปุ่นที่นอกจากจะคนเยอะ มีกำลังมากแล้ว ยังมีเจตนาไม่ดีแอบแฝงอยู่ด้วย ที่พวกนั้นเป็นฝ่ายแสดงความเกรงอกเกรงใจก่อน หลัก ๆ คงเป็นเพราะต้องสงวนท่าทีต่อกรมจัดการคดีพิเศษที่อยู่เบื้องหลังเหล่าเจิ้งเสียมากกว่า หากรู้ว่าเขาเหลือตัวคนเดียว ไม่แน่ว่าคงลงมือขั้นเด็ดขาด ฆ่าปิดปากเขาไปแล้ว ตงจื้อกับจางสิงก็จะพลอยโชคร้ายไปด้วย
ยังไง ๆ ที่นี่ก็เป็นสันเขารกร้าง ใครจะไปรู้ล่ะ
ตงจื้อพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดน้ำเสียงของเหล่าเจิ้งจึงฟังดูหนักใจยิ่งนัก สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าตอนนี้ไม่ใช่แค่อสูรดักซุ่มกับชาวญี่ปุ่นผู้มีจุดประสงค์ไม่แน่ชัด แต่มันอาจรวมไปถึงอิทธิพลมืดที่แผ่ขยายจนคาดเดาไม่ถูกด้วย
แม่จ๋า แค่ลาออกจากงานมาเที่ยว ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย!
เป็นคนอ้วนเหมือนกัน แต่เทียบกับประธานสถาบันการเงินที่มีเจตนายากแท้หยั่งถึงตรงหน้าแล้ว ผู้จัดการโปรเจ็กต์คนเก่าจอมจู้จี้จุกจิกของเขายังน่ารักกว่ามาก หากคราวนี้ตงจื้อลงจากเขาไปได้โดยสวัสดิภาพ เขาจะกลับไปกอดจูบเจ้าอ้วนนั่นแน่นอน
ทันใดนั้นอินหวยก็ตะโกนขึ้นด้วยความตกใจ “พวกนายดูนั่น ทางเปิดแล้ว!”
ข้างชายป่าที่ตอนแรกเป็นสีดำทึบมีทางเล็ก ๆ ทางหนึ่งโผล่ออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ดู ๆ ไปแล้วคล้ายรอยโดนเหยียบ…ไม่มีใครขยับตัว เหล่าเจิ้งเป็นฝ่ายเข้าไปสำรวจก่อน จากนั้นจึงให้ตงจื้อปลุกจางสิงเดินไปพร้อมกับเขา
บุรุษที่สวมเสื้อแจ็กเก็ตขอความเห็นจากฟุจิคาวะ อาโออิ “ถ้าอย่างนั้นผมไปสำรวจทางก่อนนะครับ”
อีกฝ่ายส่ายหน้า “ตามพวกเขาไป”
คนสองกลุ่มเดินตามกันไปในความมืด
ระหว่างนั้นตงจื้อถามเหล่าเจิ้งเบา ๆ ว่า “พวกเราจะไปไหนกัน”
อีกฝ่ายบอก “เดินเลียบทางสายนี้ขึ้นไปจนถึงยอดเขา ฉันนัดกับเพื่อนที่ทำงานไว้แล้วว่าให้ไปเจอกันบนนั้น ขึ้นไปก่อนค่อยว่ากัน”
จางสิงขาแพลงตั้งแต่ตอนหนีเอาชีวิตรอดก่อนหน้านี้แล้ว เด็กสาวเดินกะโผลกกะเผลก ตงจื้อเห็นหล่อนขมวดคิ้วใช้แรงมาก จึงบอกไปว่า “ฉันแบกเธอดีกว่า”
จางสิงลังเลเล็กน้อย แต่ชายหนุ่มย่อตัวลงอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งยองตรงหน้าแล้ว จึงจำต้องปีนขึ้นไป สองมือวางทาบไหล่ชายหนุ่มแน่น
ทันใดนั้นตงจื้อก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เธอมีของที่ปราบผีได้อยู่กับตัวหรือเปล่า”
จางสิงตะลึงงัน “ทำไมเหรอ”
ตงจื้อ “ผีร้ายพวกนั้นสิงร่างคน แต่ทำไมตอนที่เธออยู่ตามลำพังกับเหยาปินเมื่อกี้นี้ เขาถึงไม่ได้ลงมือกับเธอ”
ได้ยินดังนั้น จางสิงจึงคิดว่าที่ตัวเองหนีเอาชีวิตรอดมาได้ต้องไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่ คิดไปคิดมาหล่อนจึงควักสร้อยคอเส้นหนึ่งออกมาจากบริเวณลำคอ
“นี่เป็นไข่มุกสวรรค์ที่แม่ฉันเอามาฝากจากทิเบต นับไหม” ไม่ทันขาดคำ หล่อนก็ร้องเสียงหลง “ทำไมไข่มุกเหมือนจะดำลงเยอะเลย!”
ตงจื้อถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาพอจะเข้าใจแล้ว “เมื่อกี้มันอาจเพิ่งช่วยชีวิตเธอไว้ก็ได้ เก็บไว้ดี ๆ นะ”
ท้องฟ้าปราศจากดวงจันทร์ แต่ประกายแปลบปลาบในบริเวณที่ห่างออกไปยังทำให้ท้องฟ้าสว่างวาบเป็นระยะ คบเพลิงลุกโชนระหว่างก้าวเดินไปตามทาง ทิ้งเงาดำตะคุ่มไว้เบื้องหลัง สายลมราตรีกรีดใบไม้ไหวเกิดเป็นเสียงหวีดหวิว
เดิมทีนี่ควรจะเป็นค่ำคืนที่ชวนอกสั่นขวัญแขวน ทว่าเมื่อเห็นลำคอเรียวที่อยู่ใกล้เพียงคืบ บวกกับอุณหภูมิร่างเบาบางของชายหนุ่มที่ส่งผ่านมาจากเนื้อผ้าใต้ฝ่ามือแล้ว จางสิงก็รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาครามครัน
“ขอบคุณนะคะ” หล่อนกระซิบบอก
ตงจื้อไม่ได้กล่าวอะไร เขากลัวว่าทันทีที่อ้าปาก ลมหายใจที่ตนอดกลั้นไว้จะถูกระบายออกมาจนหมดแล้วทำอีกฝ่ายร่วงลงไป
…เพราะจางสิงตัวหนักมากจริง ๆ
เนื้อแนบเนื้อกับสาวงามรูปร่างดี เดิมทีเขาควรเกิดความคิดเพ้อพกนับไม่ถ้วน และสมองตงจื้อในเวลานี้ก็เต็มไปด้วยความคิดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเร่งฝีเท้าเดินจริง ๆ นั่นแหละ
ข้าวหน้าเนื้อเปื่อยเห็ดเข็มทอง สปาเกตตีทะเลซอสมะเขือเทศ คอหมูย่าง ก๋วยเตี๋ยวหลอดสอดไส้หมูกรอบหมูแดง…
อา…หิวจัง
ช็อกโกแลตชิ้นเดียวที่มีอยู่ ร่างกายย่อยไปนานแล้ว เขาจึงต้องปลอบใจตัวเองด้วยอาหารเลิศรส ไล่ตั้งแต่ตีนไก่นึ่งไปจนถึงฮะเก๋ากุ้ง ตามด้วยท่องรายชื่อวัตถุดิบที่ใส่ในหม้อไฟสองซุปต่อในใจ
ตอนนั้นเองที่จู่ ๆ เขาก็รู้สึกหน้ามืดตาลายขึ้นมาวูบหนึ่ง
เขานึกว่าตัวเองคงหิวเกินไปจนหมดแรง ใครจะรู้ว่าความรู้สึกดังกล่าวกลับทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขั้นเข่าอ่อน ทำจางสิงตกพื้น
เพราะแผ่นดินกำลังไหว!
ตงจื้อได้สติในที่สุด คนอื่น ๆ ตกตะลึงหน้าซีดเผือด พากันใช้มือค้ำต้นไม้ข้างทางเพื่อพยุงตัว
เหล่าเจิ้งแหงนหน้ามองก่อนโพล่งขึ้น “แย่แล้ว!”
สายอสนีทอประกายวูบวาบถี่กระชั้นขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบไม่เหลือพื้นที่ว่างให้กับความมืดอีกต่อไป บริเวณยอดเขาราวสว่างวาบเป็นผืนเดียว สิ่งที่ตามมาคือแผ่นดินไหวและภูเขาสั่นคลอนที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายมีเสียงก้องกัมปนาทส่งผ่านมาจากบริเวณส่วนลึกใต้พื้นดิน เปี่ยมไปด้วยพลังพิศวงที่ไม่อาจบรรยายได้ คล้ายมีอะไรบางอย่างกำลังทะลุผ่านพื้นดินทะยานขึ้นมาเหนือผิวโลก
ทันใดนั้นเสียงคำรามกึกก้องก็ดังสนั่นหวั่นไหว ก้องฟ้าก้องปฐพี หูของทุกคนถูกเสียงดังกล่าวสั่นสะเทือนจนอื้ออึงไปชั่วขณะ ไม่ได้ยินเสียงใดอีก
ยิ่งไปกว่านั้น จางสิงรู้สึกปวดแปลบที่เยื่อแก้วหูจนอดร้องเสียงหลงไม่ได้ หล่อนยกมือปิดหู แต่กลับสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่มือทั้งสองข้าง หูของหล่อนถึงขั้นเลือดออกเพราะแรงกระทบกระเทือนนั้น
เหล่าเจิ้งวิ่งขึ้นเขาราวกับเป็นบ้าไปแล้ว ลูกศิษย์และอาจารย์องเมียวจิชาวญี่ปุ่นตอบสนองเร็วไว รีบตามหลังไปติด ๆ เช่นกัน ครู่เดียวก็แทบจะวิ่งตีคู่ไปพร้อม ๆ กับเหล่าเจิ้ง ดูเผิน ๆ ฟุจิคาวะ อาโออิ อายุราว ๆ เจ็ดสิบปีแล้ว แต่กลับวิ่งเร็วกว่าลูกศิษย์ตัวเองเสียอีก
คนอื่น ๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้แต่วิ่งตามหลังไป
ขณะนั้นพวกเขาอยู่ห่างจากยอดเขาไม่ไกล แต่ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไหร่ แรงสั่นคลอนบนตัวพวกเขาก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น ถึงขั้นที่พื้นดินมีรอยปริแยก หินกลิ้งตกลงมา แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ถ้ากระแทกโดนตัวคนก็หัวแตกเลือดออกได้ทุกเมื่อ
โชคดีที่เหล่าเจิ้งวิ่งไปพร้อมกับสะบัดแส้ใส่หินระหว่างทางจนกลายเป็นผุยผงจำนวนมาก ฟุจิคาวะ อาโออิ เองก็ปลดปล่อยชิกิงามิของตนออกมาเปิดทางข้างหน้า ปัดเป่าความยุ่งยากให้กับทุกคนไปได้มากเช่นกัน
เมื่อใกล้ถึงยอดเขา แผ่นดินก็สั่นไหวจนทุกคนแทบเดินต่อไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างต้องประคองตัวกับต้นไม้ใหญ่เพื่อไม่ให้ตัวเองกลิ้งตกลงไปพร้อมกับหิน
เสียงคำรามอีกแล้ว!
การเคลื่อนไหวครั้งนี้รุนแรงกว่าเดิม ต่อให้ยกมืออุดหูทันเวลา เสียงก็ยังเล็ดลอดผ่านฝ่ามือเสียดแทงเข้าไปในเยื่อแก้วหูกับเส้นประสาท สร้างความรบกวนจนสมองมึนงง ปวดหัวไม่หยุดได้อยู่ดี
“มังกร! มังกรตัวเป็น ๆ ปรากฏขึ้นแล้ว!” ทันใดนั้นอินหวยตะโกนก้องพลางหัวเราะลั่นคล้ายคนวิกลจริต “มีมังกรจริง ๆ ด้วย ที่นี่เป็นหนึ่งในชีพจรมังกร [1] จริง ๆ ฉันพูดไม่ผิด!”
ตงจื้อฝืนความเจ็บดุจกะโหลกศีรษะถูกกรีดแยกเงยหน้ามองขึ้นไป เห็นเพียงเงาร่างขนาดมหึมาสูงยาวลอยสู่ฟากฟ้า ร่างมังกรโจนทะยานท่ามกลางแสงอสนีบาตและเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าสนั่นหวั่นไหว งดงามจับตาทว่าเปี่ยมไปด้วยสุนทรียะแห่งพลัง ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าที่มันจะสลายกลายเป็นหมอกควันท่ามกลางเมฆหมอก ค่อย ๆ เลือนหายไปจนไม่หลงเหลือรูป ราวกับประกาศสงครามต่อสวรรค์จนสิ้นชีวา
ทว่าเสียงขับขานของมังกรกลับไม่ได้หยุดลงแต่เพียงเท่านั้น ยังคงดังอื้ออึงเคียงคู่ไปกับเสียงฟ้าร้องเป็นระยะ เพียงแต่ไม่ได้บาดหูเหมือนช่วงก่อนหน้านี้แล้ว
ทุกคนไม่เคยพบเห็นภาพที่มหัศจรรย์พันลึกเช่นนี้มาก่อน ต่างตกตะลึงตาค้างไปชั่วขณะ
“หมดกัน ๆ ซากมังกรโผล่มาบนโลกแล้ว!” มีเพียงเหล่าเจิ้งที่ตกอยู่ในอาการนิ่งอึ้ง จ้องเขม็งไปด้านหน้าขณะกล่าวงึมงำ
หลังแรงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นผ่านพ้นไป ตงจื้อก็ตกตะลึงอ้าปากค้างเมื่อเห็นสภาพยุ่งเหยิงตรงหน้า
ต้นไม้กับหินผาก่อนหน้าหายไปอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือหลุมลึกกว้างขนาดใหญ่ ดูเผิน ๆ เกือบเทียบเท่าสระน้ำ
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น ทุกคนต่างอยู่ในสภาพตกตะลึงที่จู่ ๆ ก็มีหลุมลึกโผล่ออกมา มีเพียงอินหวยเท่านั้นที่ตื่นเต้นดีใจ วิ่งโซซัดโซเซไปข้าง ๆ หลุม ตาสองข้างฉายประกายกล้า หัวเราะเสียงดังลั่น “ฉันเดาไม่ผิดจริง ๆ ว่าบริเวณชีพจรมังกรต้องมีมังกรตัวจริงอยู่!”
แรงสั่นสะเทือนของพื้นดินยังดำเนินต่อไป เพียงแต่ไม่ได้รุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ประกายสายฟ้าพาดผ่านขอบฟ้า ตงจื้อพบว่าที่บริเวณข้างหลุมมีใครคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกล เห็นเป็นเงารางเลือนไม่ชัดเจน ระหว่างที่ทุกคนกำลังง่วนอยู่กับการทรงตัวให้หยุดนิ่งกับพื้น คนผู้นั้นกลับยืนนิ่งมั่นคงราวกับไม่สะทกสะท้าน ต่อให้ฟ้าจะถล่มหรือดินจะทลายก็ตาม
“ใครอยู่ตรงนั้น!” ฝ่ายตรงข้ามหันกลับมา หันหน้าเข้าหาพวกเขา
หลงเซิน!
ตงจื้อจำเสียงอีกฝ่ายได้ทันที ความตื่นเต้นอันยากจะบรรยายทำให้เขาแทบตะโกนออกไป
เหล่าเจิ้งดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง ตอบกลับไปไวยิ่งกว่าเขา “รองอธิบดีหลง นั่นคุณเหรอ ผมเหล่าเจิ้งจากสำนักงานตะวันออกเฉียงเหนือ!”
[1] ในทางฮวงจุ้ย ลักษณะทอดตัวยาวคดเคี้ยวของเทือกเขาทำให้ถูกเปรียบเปรยว่าเป็นมังกร เส้นสันเขาคือมังกร ดินคือเนื้อหนังของมังกร หินคือกระดูกมังกร ต้นไม้ต้นหญ้าคือเส้นขนและหนวดของมังกร การวินิจฉัยพื้นที่นั้น ๆ ว่าดีหรือเลวจึงเรียกว่าการสำรวจชีพจรมังกร