[ทดลองอ่าน] แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ ตอนที่ 2

แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ

步天纲 (Bu Tian Gang)

 

梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน

ลลิตา ธ. แปล

 

นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

ตอนที่ 2

 

ตงจื้อหันหลังขวับ!

ไม่มีคน

ไม่มีคนอยู่เลยทั้งด้านหน้าด้านหลัง

ชั่วขณะนั้นเขาจำต้องตั้งสติควบคุมทุกส่วนของร่างกายจึงจะสะกดตัวเองไม่ให้แหกปากร้องออกไปได้

ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ๆ และมองไปที่พื้นอีกครั้ง

เงาก็ยังเป็นเงา มากสุดก็แค่สั่นไหวเล็กน้อยไปตามการเคลื่อนที่ของขบวนรถ ราวกับภาพเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเพราะเขาตาฝาดไปเอง

ตงจื้อรวบรวมสติ ก่อนจะพบว่าฝ่ามือของตนชุ่มไปด้วยเหงื่อจนรู้สึกลื่นเมื่อคลำไปตามผนังรถ

เขารีบเร่งฝีเท้า ไม่กล้ามองไปที่พื้นอีก

แสงไฟในตู้เสบียงสว่างไสว ภายในนั้นมีคนจับกลุ่มนั่งกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ตงจื้อเผลอถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เขาสั่งบะหมี่เนื้อตุ๋นน้ำแดงมาหนึ่งชาม และซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับขนมขบเคี้ยวอีกนิดหน่อยให้เหออวี้ ขณะที่กำลังจะเดินไปนั่ง จู่ ๆ เด็กคนหนึ่งก็หล่นจากที่นั่งด้านข้าง หกล้มตรงหน้าตงจื้อ

“หนู ไม่เป็นไรนะ”

เด็กหญิงอายุประมาณหกเจ็ดขวบ ถักผมเปียสองข้าง ใต้ผมหน้าม้าที่จัดแต่งอย่างเป็นระเบียบคือใบหน้ารูปแอ๊ปเปิ้ลน่ารักน่าชัง แต่ท่าทางของเธอค่อนข้างงุ่มง่าม ได้ยินที่ตงจื้อพูดแล้ว ผ่านไปอึดใจจึงค่อยส่ายหัวอย่างเชื่องช้า

ตงจื้อก้มมอง หัวเข่าเธอไม่มีแผล ค่อยยังชั่ว

ผู้หญิงคนหนึ่งเดินลนลานเข้ามา “ถงถง!”

เด็กหญิงหันกลับไป อ้าแขนสองข้างให้หญิงสาวอุ้มขึ้น อากัปกิริยาเช่นนี้เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่

ตงจื้อเกรงว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดจึงรีบอธิบาย “เมื่อกี้น้องเขาหกล้มแล้วผมมาเจอพอดีครับ”

หญิงสาวไม่ได้ถือโทษโกรธเคือง แต่กลับกล่าวขอบคุณไม่หยุด บอกว่าบุตรสาวซนเหลือเกิน เมื่อครู่ตนเดินไปสั่งอาหาร ปรากฏว่าออกไปได้พักเดียวก็เกิดเรื่องขึ้นทันที

ตงจื้อจึงบอกไปว่า “ผมกำลังรออาหารมาส่งที่นี่พอดีครับ ถ้าอย่างนั้นคุณฝากน้องไว้ที่นี่ก็ได้ ผมช่วยดูให้ได้แป๊บหนึ่ง”

หญิงสาวแสดงสีหน้าตื้นตันใจ พร่ำขอบคุณติด ๆ กัน วางตัวบุตรสาวลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามตงจื้อ กำชับให้เธอเชื่อฟังพี่ชาย จากนั้นจึงไปสั่งอาหาร

เด็กหญิงเงียบมาก ไม่ได้ ‘ซุกซน’ อย่างที่มารดาบอกเลย เธอกับตงจื้อต่างฝ่ายต่างสบตากัน อดทนไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว

ตงจื้อรู้สึกแปลก ๆ ขณะนั้นเอง พนักงานรถไฟก็ถือบะหมี่เนื้อเข้ามา หญิงสาวที่ซื้อของเสร็จแล้วก็กลับมาอย่างว่องไวเช่นกัน

“ขอบคุณมากนะคะ ฉันพาถงถงออกมาคนเดียว บางทีก็ดูแลแกได้ไม่ทั่วถึง โชคดีจริง ๆ ที่เจอคนใจดีอย่างพวกคุณตลอดทาง!” หญิงสาวไม่พูดพร่ำทำเพลง ยัดน้ำเปล่าขวดหนึ่งใส่มือตงจื้อทันที

ตงจื้อกล่าวยิ้ม ๆ “ไม่เป็นไรครับ ถงถงเป็นเด็กดีอยู่แล้ว”

“ดีเกินไปสินะคะ” หญิงสาวเผยยิ้มขื่น ๆ “ความจริงถงถงเป็นออทิสติกค่ะ พ่อแกขอหย่ากับฉันเพราะถงถงเป็นโรคนี้ ปกติฉันงานยุ่ง นาน ๆ ทีถึงจะได้หยุด เลยอยากพาถงถงออกมาเที่ยวบ้าง ให้แกได้เห็นทิวทัศน์เยอะ ๆ ไม่แน่ว่าอาการป่วยอาจจะดีขึ้น”

เด็กหญิงน่ารัก รู้ความ รับบะหมี่น้ำจากมารดามาก็ตักกินทีละช้อน การเคลื่อนไหวค่อนข้างช้า แต่ไม่เหมือนเด็กคนอื่นที่โดนตามใจจนเหลิง นู่นก็ไม่ยอมกิน นี่ก็ไม่ยอมกิน

ตงจื้อเกิดความเวทนาในใจ

“พวกคุณจะไปไหนกันครับ” ตงจื้อถาม

“ฉางชุนค่ะ” หญิงสาวตอบ “ชื่อที่นี่เพราะมาก ฉันอยากไปตั้งนานแล้ว แต่หลังจากแต่งงานก็ไม่มีเวลาเลยหลังจากนั้นถงถงก็เกิด…ถ้ามีโอกาส ฉันยังอยากพาถงถงไปอีกหลายที่เลยค่ะ”

“ผมก็ไปฉางชุนเหมือนกันครับ ถ้าพี่สวีมีอะไรให้ช่วย ติดต่อผมได้เลย”

ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หลังกินบะหมี่หนึ่งชามก็มากพอแล้วที่จะให้ตงจื้อแลกเบอร์โทรศัพท์กับอีกฝ่าย

หญิงสาวแซ่สวี ชื่อสวีหวั่น งดงามละมุนละไมสมดั่งชื่อ เสียดายที่โชคชะตาไม่นำพา

สวีหวั่นขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า สีหน้าบอกความตื้นตันใจ ก่อนตงจื้อออกมายังบอกให้บุตรสาวเอ่ยลาพี่ชายด้วย

ดูเหมือนถงถงจะฟังรู้เรื่อง เธอยกมือขึ้นโบกอย่างรู้ความทว่าเชื่องช้า

ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ ตงจื้อก็คิดไปถึงเงาที่โบกมือให้เขา หมอกควันแห่งความฉงนสนเท่ห์ห่อหุ้มจิตใจด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้

บอกลาสองแม่ลูกสวีหวั่นแล้ว เขาก็ถือขนมเดินกลับไป

ทันทีที่เดินผ่านตู้โดยสารไปหนึ่งตู้ เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

รอบด้านมืดสลัวยิ่งกว่าเมื่อครู่ที่เดินผ่านมาเสียอีก เหนือศีรษะปราศจากโคมไฟกลางคืน แม้แต่จำนวนคนก็ลดลงไปมาก

…ลด?

ตงจื้อหันมองซ้ายขวา สองข้างทางเดินยังมีคนนั่งอยู่ประปราย

เพียงแต่ไม่มีคนกำลังฟุบหลับหรือเล่นโทรศัพท์อีกแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่กำลังหัวเราะพูดคุยกัน ทุกคนต่างนั่งหลังตรงแหน็ว อิริยาบถแข็งทื่ออย่างบอกไม่ถูก

ตงจื้ออาศัยแสงไฟจากโทรศัพท์เพ่งตามองท่าทางของคนเหล่านี้…ซึมกะทือไร้ความรู้สึก ดวงตาเบิกกว้างเหมือนกับ…

หุ่นขี้ผึ้ง หรือไม่ก็ศพที่ยังมีชีวิต

เขาตัวสั่นเทิ้มไปกับจินตนาการของตนเอง กลับหลังหันเพื่อกลับไปที่ตู้เสบียง

แต่จังหวะที่เขาหันกลับไปก็พบว่าตู้เสบียงที่แต่เดิมอยู่เบื้องหลัง บัดนี้ได้อันตรธานไปแล้ว สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือทางเดินแบบเดียวกันซึ่งมีแต่ความมืดมนอนธการ

เจอผีเข้าจริง ๆ แล้วไง!

ตงจื้อใจเต้นรัว รีบเร่งฝีเท้าก้าวไปข้างหน้า แต่ราวกับว่าเดินเท่าไหร่ก็ไปไม่ถึงสุดปลายตู้โดยสารเสียที ผู้โดยสารคนแล้วคนเล่าที่มีสีหน้าไร้อารมณ์ เปี่ยมไปด้วยแรงอาฆาต ยามโดนแสงไฟสะท้อนเข้าใส่ ใบหน้าก็เรืองแสงสีเขียวประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ

อย่าว่าแต่จะเปล่งเสียงถามเลย เขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ๆ ด้วยซ้ำ เกรงว่าคนข้าง ๆ จะยื่นมือออกมาตะครุบ

กลั้นหายใจเดินอยู่นาน ในที่สุดก็พบแสงสว่างวับแวมข้างหน้า ตงจื้อดีใจด้วยความคาดไม่ถึง เขาแทบจะซอยเท้าวิ่งไปตลอดทาง

มีคนยืนอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ดู ๆ ไปแล้วท่าทางคุ้น ๆ แฮะ

ตงจื้อจำอีกฝ่ายได้ เขาดีใจสุด ๆ

“เหออวี้!”

เหออวี้หันหลังให้เขา กำลังนั่งยอง ๆ อยู่กับพื้น มือถือโคมไฟไว้ดวงหนึ่ง กำลังมองตรงไปข้างหน้า เมื่อเห็นตงจื้อวิ่งเข้ามาจึงหันกลับมายกนิ้วทำเสียงชู่ บอกเป็นนัยให้เขาเบาเสียงลง

ตงจื้อค่อย ๆ คลายความหวาดกลัวลงเมื่อได้พบคนรู้จัก

“ทำไมนายมาอยู่ตรงนี้ล่ะ ถูกขังไว้ตรงนี้เหมือนกันเหรอ ที่นี่ชักจะแปลกเกินไปแล้ว พวกเรารีบหาทางออกไปกันเถอะ!” ตงจื้อรีบเข้าไปดึงตัวอีกฝ่าย

“เดี๋ยวก่อน นายดูโคมไฟนี่สิ” เหออวี้บอก

“โคมไฟทำไม” ตงจื้อมองโคมไฟสีเทาอมเหลืองขนาดเล็กที่อยู่ในมืออีกฝ่ายอย่างฉงน เปลวเทียนในนั้นส่ายไหวอ่อนแรง คล้ายจะดับแต่ไม่ดับ

“โคมไฟหนังมนุษย์ดวงนี้ใกล้จะพังแล้ว” เหออวี้เผยสีหน้ามีเลศนัย

“โคมไฟอะไรนะ” เขาคิดว่าตัวเองหูเพี้ยนไป

เหออวี้บอก “หลังจากคนตายไปแล้ว เจาะรูที่กลางกะโหลกศีรษะ กรอกสารปรอทเข้าไป นายเดาซิว่าจะเป็นยังไง”

ตงจื้อรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ไล่มาจากฝ่าเท้า เขาก้าวถอยหลังอย่างเชื่องช้า อดพึมพำถามกลับไม่ได้ว่า “จะเป็นยังไง”

เหออวี้ลุกขึ้นมองเขาก่อนเผยรอยยิ้มพึงใจ “ฝังคนไว้ในดิน รอให้ผ่านไปอีกสี่สิบเก้าวันก็ถลกหนังคนออกมาได้ทั้งตัวแล้ว”

ตงจื้อหัวเราะแห้ง ๆ “เหลวไหลใช่ไหม จะเป็นไปได้ยังไง”

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ฉันเคยทำมาแล้ว!” ดูเหมือนเหออวี้จะไม่พอใจกับคำโต้แย้งของเขา สีหน้านิ่งขรึม ถลึงตามอง แสงทึมทึบของโคมไฟสะท้อนลงบนดวงหน้า ดูน่าพิศวงอย่างบอกไม่ถูก

“แต่หนังมนุษย์ผืนหนึ่งมากสุดก็ทำโคมไฟได้แค่หนึ่งดวงเท่านั้น โคมไฟของฉันดวงนี้จะพังแล้ว พอดีเลย…เอานายมาทำโคมไฟดวงต่อไปของฉันก็แล้วกัน!”

เหออวี้พูดจบก็หัวเราะหึ ๆ

ตงจื้อขนลุกซู่ทั่วร่าง เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ยกมือดื่มน้ำหลายอึกก่อนปาทิ้งไปทางอีกฝ่ายแรง ๆ จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วออกวิ่งทันที!

เหออวี้เหยียดแขนมาทางหัวเขาเพื่อคว้าจับ ดูเหมือนไม่เร็วก็จริง แต่ตงจื้อกลับหนีไม่พ้น โดนอีกฝ่ายตะครุบตัวไว้ได้จัง ๆ

ตงจื้อเบิกตากว้าง อ้าปากค้างเล็กน้อย ความหวาดกลัวในชั่วขณะนั้นเกาะกุมหัวใจแน่น

ทันใดนั้นเขาก็พบว่า เมื่อความหวาดกลัวของคนเราพุ่งขึ้นถึงขีดสุดแล้ว แม้แต่เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือก็ไม่สามารถเปล่งออกมาได้

วินาทีถัดมาเส้นผมของเขาก็ถูกเหออวี้คว้าไว้

หมดกัน ฉันกำลังจะถูกจับไปทำโคมไฟหนังมนุษย์แล้ว!

ตงจื้อคิดได้ดังนั้น จู่ ๆ ก็รู้สึกเย็นวาบที่บริเวณหน้าผาก

รู้สึกเหมือนมีน้ำเย็นตกกระทบที่หว่างคิ้ว ก่อนซึมซาบลงสู่ผิวหนัง ตรงเข้าไปในหัวใจ ทั่วสรรพางค์กายสั่นสะท้าน

แสงสว่างวาบขึ้นตรงหน้า ตามมาด้วยทัศนียภาพรอบด้านที่เปลี่ยนไปทันควัน!

ไม่มีตู้โดยสารอันมืดมนอนธการ ปราศจากผู้โดยสารเหมือนศพมีชีวิตคล้ายหุ่นขี้ผึ้ง และไม่มีเหออวี้ที่ถือโคมไฟหนังมนุษย์

มีเพียงชายแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น

ตงจื้อหอบหายใจ เนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น สีหน้าซีดขาว ปากอ้า ๆ หุบ ๆ แต่กลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว

เขาคิดว่าตอนนี้ตนจะต้องเหมือนกบที่กำลังคายน้ำเป็นแน่

บุรุษผู้นี้มีดวงตารูปดอกท้อคู่งาม แต่แววตากลับราบเรียบไร้รอยสั่นไหว ราวกับว่าต่อให้ฟ้าฝนโหมกระหน่ำเพียงใดก็พัดพาไม่ได้แม้แต่ริ้วคลื่น

เห็นอีกฝ่ายแล้วตงจื้อก็รู้สึกว่าคาแร็กเตอร์ที่ตัวเองเคยวาดก่อนหน้านี้ซึ่งได้รับฉายาว่ามีสัดส่วนทองคำนั้นดูจืดชืดไปถนัดตา

เพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา หัวใจทั้งดวงก็พลันใสกระจ่างดุจหิมะน้ำแข็ง

เขาลืมสถานการณ์สุ่มเสี่ยงของตนไปเสียสนิท ประโยคหนึ่งผุดขึ้นในหัวโดยไม่รู้ตัว

นี่ก็คงไม่ใช่คนที่ยังมีชีวิตอยู่สินะ

ตงจื้อมองอีกฝ่ายด้วยความตกตะลึง แต่กลับไร้ซึ่งความหวาดกลัว

เมื่อฝ่ายนั้นเห็นเขาทำหน้าเซ่อก็ขมวดคิ้วนิดหนึ่ง เอื้อมนิ้วมือเรียวยาวออกมาบีบคางเขา เชยใบหน้าขึ้น

ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดใบหน้า เจือกลิ่นอายของต้นสนเขียวกับหิมะน้ำแข็ง ค่อย ๆ ดึงสติของตงจื้อกลับคืนมา

ใบหน้าเขาร้อนฉ่า จะถอยหลังไปตามจิตใต้สำนึก หากแต่ดิ้นไม่หลุดจากมือชายหนุ่ม อีกฝ่ายบีบคางเขาจนรู้สึกเจ็บขึ้นมาเล็กน้อย

จังหวะนี้ชายหนุ่มกลับเป็นฝ่ายปล่อยมือ ก้มเก็บขวดน้ำที่เขาเพิ่งขว้างทิ้งไปขึ้นมา

ตงจื้อมองซ้ายมองขวา รอบด้านมีผู้โดยสารนั่งกันกระจัดกระจายและกำลังมองมาที่พวกเขาด้วยสายตาแปลก ๆ

ไม่มีสีหน้าแข็งกระด้าง และไม่เหมือนผีดิบ

เขาผ่อนลมหายใจเงียบ ๆ แต่ยังไม่กล้าวางใจทั้งหมด

“น้ำขวดนี้ของนาย?” ชายหนุ่มถาม

น้ำเสียงไม่สูงไม่ต่ำ ไม่เหมือนสุรารสนุ่มที่ใช้บรรยายเสียงไพเราะทั่วไป

ตงจื้อคิดไปถึงน้ำหอมรุ่นหนึ่งที่ตนเคยได้กลิ่น

มีความเย็นสะอาดของมอสส์หลังฝน อีกทั้งยังงดงามดั่งดอกบัวบานเต็มสระ ทำให้ยากจะลืมเลือน

ทุกสิ่งทุกอย่างของผู้ชายคนนี้เหมือนกับน้ำหอมรุ่นนั้น มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ไร้ร่องรอยให้ค้นหา และเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนถึงชีวิต

เขาพยักหน้า “เพิ่งซื้อมาจากตู้เสบียงเมื่อกี้…เอ่อ ไม่สิ ผมช่วยดูลูกให้ผู้โดยสารคนหนึ่ง เธอซื้อน้ำขวดนี้ให้เพื่อตอบแทนผม”

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เกินคำว่ามหัศจรรย์ไปมาก แต่เขารู้สึกได้ราง ๆ ว่า เมื่อกี้นี้หากไม่ใช่เพราะผู้ชายคนนี้ ตัวเองก็คงยังไม่ได้สติ จึงรีบขอบคุณก่อนถาม “เมื่อกี้นี้มันเกิดอะไรขึ้น น้ำขวดนั้นมีปัญหาเหรอครับ”

ชายหนุ่มส่งเสียงอืม แต่ไม่ตอบคำถามแม้แต่ข้อเดียว

ตงจื้อโกรธไม่ลง เขาเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองน้ำในมือขวดนั้น สมาธิจดจ่อเคร่งขรึม ราวกับกำลังจ้องระเบิดเวลา

ตงจื้ออดถามต่อไม่ได้ว่า “ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครครับ เมื่อกี้บนหน้าผากผม…”

ถามยังไม่ทันจบ เหออวี้ก็วิ่งเข้ามา

“บอส!” เหออวี้พกใบหน้าแย้มยิ้มมาด้วย ซ้ำยังผ่อนเสียงให้ออกแนวประจบ

ชายหนุ่มมองผู้มาใหม่แวบหนึ่ง “ฉันให้นายรออยู่ที่ตู้เบอร์หก นายหายไปไหนมา”

เหออวี้ส่ายหน้า “แค่ไปเข้าห้องน้ำครับ ได้ยินเสียงทางนี้ก็เลยรีบมาดู”

ชายหนุ่มแค่นยิ้ม “กว่านายจะมา งาก็ไหม้แล้ว! กลับไปแล้วต้องทำอะไรคงรู้ตัวนะ”

เหออวี้หน้าม่อยคอตก “ทราบแล้วครับ เขียนประเมินตัวเอง”

เขาหันไปทางตงจื้อ “ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ล่ะ ไม่เป็นไรนะ”

ตงจื้อคิดไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ความหวาดระแวงผุดขึ้นในใจ จึงฝืนยิ้มเฉย ๆ โดยไม่กล่าวอะไร

ชายหนุ่มบอกเหออวี้ “นายอยู่จัดการเรื่องนี้”

จัดการยังไง คงไม่ใช่ฆ่าปิดปากหรอกนะ ตงจื้อสะดุ้ง เมื่อเห็นชายหนุ่มจากไปแล้วก็เตรียมจะหมุนตัวเดินออกไปด้วย แต่กลับโดนเหออวี้คว้าคอเสื้อไว้แทน

เหออวี้ก้าวเข้ามาโอบไหล่ ทำหน้าทะเล้น “ลูกพี่ เรามาคุยกันหน่อย!”

“ไม่มีอะไรให้คุยมั้ง” ตงจื้อพยายามผ่อนคลาย

เหออวี้สงสัย “เมื่อกี้นายเห็นอะไร ทำไมอยู่ ๆ ถึงกลัวฉัน”

เหออวี้ในตอนนี้ร่าเริงแจ่มใส สีหน้าไม่ผิดแผก แตกต่างจากท่าทางแปลกแยกอึมครึมในภาพหลอนอย่างสิ้นเชิงตงจื้อถามอย่างระแวดระวัง “นายใช้หนังมนุษย์มาทำโคมไฟเหรอ”

“โคมไฟหนังมนุษย์อะไร” เหออวี้งุนงง ไม่เหมือนแสร้งทำ

ตงจื้อลอบถอนหายใจ ก่อนเล่าเหตุการณ์ที่ประสบมาหลังออกจากตู้เสบียงคร่าว ๆ

เหออวี้ลูบคาง “พูดแบบนี้ น่าจะเป็นน้ำขวดนั้นที่มีปัญหา”

ตงจื้อสะดุ้ง “ปัญหาอะไร”

เหออวี้พยักหน้า “นายอยากฟังเรื่องจริงหรือเรื่องหลอกล่ะ”

ตงจื้อถาม “เรื่องหลอกคืออะไรล่ะ”

เหออวี้ตอบ “เรื่องหลอกก็คือ ในน้ำนั่นมียาหลอนประสาท นายโดนวางยาก็เลยเกิดภาพหลอน”

ตงจื้อ “แล้วเรื่องจริงล่ะ”

เหออวี้ “เรื่องจริงก็คือ มีไอปีศาจละลายอยู่ในน้ำขวดนั้น นายดื่มไอปีศาจเข้าไปก็เลยถูกทำให้สับสน เกิดเป็นภาพหลอน”

ตงจื้อ “…ดูเหมือนเรื่องหลอกจะน่าเชื่อกว่านะ”

เหออวี้ยักไหล่ “คนเราชอบหลอกตัวเอง นายอยากเชื่อแบบไหนก็เชื่อไปเถอะ!”

เขาชี้ตัวเองก่อนบอกอย่างน้อยใจ “นายมองฉันให้ชัด ๆ ฉันเหมือนคนไม่ดีตรงไหน”

เหมือนจะตาย ตงจื้อบอกในใจ

น้ำขวดนั้นเขาเห็นพี่สวีไปซื้อมาเองกับตา มีช่วงเวลาไปกลับเพียงไม่กี่นาทีก่อนมาถึงมือเขา แถมยังเป็นของใหม่ที่ไม่เคยเปิดมาก่อน อีกอย่าง จะวางยาหลอนประสาทเขาไปเพื่ออะไร ชิงทรัพย์? ข่มขืน? ดูยังไงเขาก็ไม่ใช่เป้าหมายที่ดีแน่

ตงจื้อมึนงง นึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่ที่เหยียบย่างขึ้นมาบนรถไฟขบวนนี้ก็เจอแต่เรื่องแปลกประหลาดไม่หยุดหย่อน

ผู้โดยสารที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในห้องน้ำ ความฝันกลางดึก แล้วยังจะภาพหลอนเมื่อกี้อีก

เขามั่นใจว่าตัวเองมีสติดี และไม่ได้มีโรคทางกรรมพันธุ์จำพวกจิตเวช ถ้าอย่างนั้นก็มีเพียงคำอธิบายเดียว

สิ่งที่เหออวี้พูดเป็นความจริง

ตงจื้อกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนถามเสียงเนิบนาบ “ฉันดื่มน้ำที่มีไอปีศาจพวกนั้นไป จะเป็นอะไรไหม”

เหออวี้ “แหงละ เมื่อกี้นายดื่มไอปีศาจเข้าไปแล้ว มันจะหยั่งรากฝังโคนอยู่ในท้องนาย จากนั้นก็จะทะลวงไส้นายออกมา ถึงตอนนั้นนายตายแน่”

ตงจื้อนึกถึงฉากในหนังเรื่องเอเลี่ยนขึ้นมา ชั่วขณะที่รู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วร่าง

เขาถามตัวสั่นงันงก “จริงเหรอ”

เหออวี้หัวร่องอหาย “เรื่องแต่งอยู่แล้ว คำพูดหลอกเด็กแบบนี้นายก็เชื่อด้วย?!”

ตงจื้อ “…”

“เอาเถอะน่า ๆ !” เหออวี้ยื่นมือเข้ามายีผมเขา ทำเหมือนเขาเป็นเด็กโง่ “จริง ๆ ฉันก็ไม่ได้หลอกนายนะ ต่อให้นายดื่มน้ำทั้งขวดลงไปจริง ๆ ก็ไม่เป็นไรหรอก ไอปีศาจในนั้นไม่ได้เยอะ เมื่อกี้บอสช่วยนายขจัดไปแล้ว ไม่มีผลข้างเคียงอะไรหรอกน่า!”

เดิมทีตงจื้อเลิกคิดที่จะทำความเข้าใจเหออวี้แล้ว แต่พอโดนอีกฝ่ายยีหัวไปเรื่อย ๆ ก็เสียจุดยืน อดถามไม่ได้อยู่ดีว่า “บนรถไฟขบวนนี้มันมีอะไรกันแน่ แล้วพวกนายเป็นใครกัน”

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า