[ทดลองอ่าน] แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ ตอนที่ 4

แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ

步天纲 (Bu Tian Gang)

 

梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน

ลลิตา ธ. แปล

 

นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

ตอนที่ 4

 

เขารวบรวมสมาธิก่อนมองไปทางนั้นอีกครั้ง อีกฝ่ายมองไปทางคนอื่นแล้ว ทุกอย่างดูเหมือนปกติดี

ที่นั่งแถวหน้ามีคนต้องการน้ำหนึ่งขวด กำลังชำระเงิน พนักงานยื่นน้ำให้

มองเฉย ๆ ยังไม่เท่าไหร่ แต่ตงจื้อเกือบแหกปากร้องตะโกนออกไปแล้ว

เงารางเลือนที่โดนแสงไฟกลางคืนสาดส่องสะท้อนอยู่บนเพดานห้องโดยสาร ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มันเริ่มเคลื่อนไหว ขยับเป็นท่วงท่าซึ่งแตกต่างจากคนด้านล่างอย่างสิ้นเชิง และกำลังเอื้อมมือไปบนที่นั่งอย่างเชื่องช้า!

เงาดำที่แต่เดิมแบนราบ ขยับมาถึงบริเวณเหนือศีรษะของคนที่นั่งแถวหน้า แต่มันกลับกลายเป็นหมอกสีดำที่จับต้องได้ แทรกซึมลงไปด้านล่าง

เห็นอยู่ตำตาว่ากำลังจะสัมผัสโดนผู้โดยสารเบาะหน้าอยู่รอมร่อ แต่รอบด้านกลับไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น!

ท่ามกลางความหวาดผวา ตงจื้อไม่เสียเวลาคิด คลำหายันต์แสงจันทราในกระเป๋าเสื้อได้ก็ขว้างใส่หมอกดำทันที!

วินาทีที่ยันต์ทะลุผ่านหมอกดำเข้าไป มันระเบิดกลายเป็นลำแสงกลุ่มหนึ่ง เหมือนมีแสงไฟสว่างวาบขึ้นมาและวูบดับไปทันที ตงจื้อเห็นยันต์แผ่นดังกล่าวกับหมอกดำระเบิดออกจากกัน สลายกลายเป็นผงก่อนจะจางหายไป

พนักงานคนดังกล่าวมองมาทางตงจื้อทันที ใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อครู่หายไปแล้ว สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือใบหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ชวนสะเทือนขวัญ ความอาฆาตแค้นในแววตาแทบจะล้นปรี่ออกมา

เจ้าตัวผลักรถเข็นอาหารไปด้านหน้า ส่วนตัวเองพุ่งมาทางนี้!

ตงจื้อเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายขยับเข้ามาในท่าไหน รู้ตัวอีกทีหัวไหล่ก็โดนคว้าจับอย่างแรงแล้ว

ความเจ็บปวดทะลุผ่านเนื้อผ้าและผิวหนังตรงเข้าสู่กระดูกทันที ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนราวกับโดนหมอกโลหิตปกคลุม ตงจื้อรู้สึกได้ราง ๆ ว่าทั่วทั้งหัวไหล่กำลังจะแตกหัก ความเจ็บปวดถึงขีดสุดทำให้เขาร้องเสียงหลงโดยไม่ตั้งใจ

“โอ๊ย!!!”

ทันใดนั้นแสงสว่างพลันวาบขึ้นตรงหน้าราวกับดอกไม้ไฟที่แตกกระจายกลางท้องฟ้ายามราตรี สว่างจ้าแต่ไม่แยงตา เปลวไฟกระจายออกเป็นริ้ว ๆ งดงามเจิดจรัส ละลานตาไปหมด

เสียงร้องโหยหวนแหลมสูงเสียดแทงหู เป็นเสียงที่มีอำนาจทะลุทะลวงสุดขั้ว ท่ามกลางเสียงกรีดร้องโหยหวนยังแฝงไปด้วยความโกรธแค้นไม่ยินยอม ชวนให้ทั้งร่างสั่นสะท้าน จนอดยกมือขึ้นอุดหูไม่ได้

หัวไหล่ที่โดนกำแน่นคลายลงทันที ตงจื้อทิ้งตัวพิงเบาะอย่างหมดแรง อ้าปากหอบหายใจหนักหน่วง

แต่ความวุ่นวายเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

ภาพเบื้องหน้ามืดสนิททันควัน แม้แต่หลอดไฟกลางคืนในตู้โดยสารที่แต่เดิมเปิดอยู่ก็ดับลงพร้อมกัน ตามมาด้วยเสียงขยับก๊อกแก๊กของรถเข็นอาหาร บรรดาผู้โดยสารส่งเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนก มีหลายคนที่ตะโกนอย่างตาลีตาเหลือกว่า “เป็นอะไรไป” “เกิดอะไรขึ้น”

ตอนนั้นเองที่ตงจื้อรู้สึกหนักอึ้งที่หัวไหล่เหมือนมีคนกดมันไว้

ตัวเขาที่ยังไม่หายจากความตกตะลึงพรึงเพริดกำลังจะแหกปากร้องด้วยความตกใจไปตามสัญชาตญาณ แต่ริมฝีปากถูกปิดไว้ได้ทันเวลา เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหู “ฉันเอง”

ผู้ชายคนนั้นที่เหออวี้เรียกว่าบอส!

แม้จะเพิ่งพบกันเพียงครั้งเดียว แต่อาจเป็นเพราะเหออวี้ หัวใจของตงจื้อที่เกือบกระเด็นหลุดจากปากจึงดูเหมือนจะมีมือข้างหนึ่งรับเอาไว้ได้ ก่อนค่อย ๆ วางมันกลับลงที่เดิม

ราวกับชายหนุ่มจะสัมผัสได้ถึงความโอนอ่อนของเขาจึงปล่อยมือ

“จะรักษาแผลที่ไหล่ให้” อีกฝ่ายกล่าวสั้น ๆ ทว่าชัดเจน

จากนั้นตงจื้อก็รู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็น ๆ กะละมังหนึ่งราดรดใส่หัวไหล่ที่ได้รับบาดเจ็บของตน บรรเทาความปวดแสบปวดร้อนไปได้ในพริบตา ตอนแรกไหล่ครึ่งซีกของเขาสูญเสียความรู้สึกไปแล้ว แต่ตอนนี้พอลองขยับนิ้วดูก็พบว่าดีขึ้นกว่าเมื่อครู่มาก

เขาอ้าปากอยากจะเอ่ยขอบคุณ แต่ลำคอเจ็บแปลบแถมแห้งผาก การเสียเหงื่อเมื่อครู่นี้ดูเหมือนจะเอาปริมาณน้ำออกจากร่างไปจนหมด ร่างกายอ่อนปวกเปียก ยืนไม่อยู่

ไฟดวงใหญ่ในตู้โดยสารสว่างวาบ ไม่รู้เสียงใครที่ตะโกนว่า “มีคนเป็นลม” บรรดาผู้โดยสารที่กำลังสับสนเพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนั้นเองว่า พนักงานรถไฟที่เข็นรถขายอาหารเมื่อครู่นี้ล้มอยู่กับพื้น หมดสติไม่รู้เรื่องรู้ราว

ในหัวตงจื้อเต็มไปด้วยภาพรอยยิ้มพิศวงที่อีกฝ่ายส่งมาให้ตนตลอดเวลา เขาอดมองไปที่พื้นไม่ได้

แล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้ใจเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง ไม่อาจควบคุมได้

ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาที่เกิดจากแสงไฟหรืออย่างไร ดูเหมือนเขาจะเห็นรอยสีแดงจาง ๆ หนึ่งรอยบนหน้าผากของอีกฝ่าย

ตงจื้อไม่กล้าขยับเข้าไปสำรวจให้ถี่ถ้วน เขาหันหน้าไปหมายจะบอกสิ่งที่ตนพบให้ชายหนุ่มทราบ แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

เข้ามาเงียบ ๆ แล้วก็จากไปเงียบ ๆ ไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้ หากไม่ใช่เพราะความเจ็บที่หัวไหล่ดีขึ้นมากแล้วละก็ ตงจื้อคงสงสัยเป็นแน่ว่าตัวเองเห็นภาพหลอนอีกแล้ว

หัวหน้าพนักงานพาตัวเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบนรถไฟเข้ามาด้วยความรวดเร็ว แหวกทางฝูงชน ก้มลงสำรวจ ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นนิ่งขรึมทันตา

ความอลหม่านเกิดขึ้นในห้องโดยสาร มีเด็กที่ตกใจร้องไห้ มีผู้โดยสารที่ตะโกนด่าทอ พนักงานที่ล้มคว่ำอยู่กับพื้นถูกพาตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปพักหนึ่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็กลับมา แล้วเริ่มสอบสวนผู้โดยสารทีละคนเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนั้น

เมื่อถามมาถึงตงจื้อ แน่นอนว่าเขาไม่กล้าเล่าความจริงออกไป บอกแต่เพียงว่าไม่รู้ทำไมจู่ ๆ พนักงานรถไฟถึงล้มลงไป ตามมาด้วยไฟที่ดับอย่างรวดเร็ว เขาเลยมองอะไรไม่เห็นอีก คำให้การใกล้เคียงกับผู้โดยสารท่านอื่น

ตอนเหออวี้กลับมาก็โดนเจ้าหน้าที่ซักถามเช่นกัน ยังดีที่เขาพกตั๋วโดยสารติดตัวไว้ ตงจื้อเห็นอีกฝ่ายแล้วก็เหมือนได้เห็นผู้ช่วยชีวิต ตรงกันข้ามกับเหออวี้ที่ตกตะลึงเมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวของเขา

“เกิดเรื่องขึ้นเหรอ”

ตงจื้อพยักหน้า กดเสียงต่ำเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้ฟังคร่าว ๆ

“บอสมาที่นี่?” เหออวี้เหมือนยกภูเขาออกจากอก “โชคดีไป มีบอสอยู่ทั้งคน คงไม่เป็นเรื่องใหญ่หรอก ไหล่นายเป็นยังไงบ้าง ขอฉันดูหน่อย”

ตงจื้ออยากเห็นอาการบาดเจ็บที่ไหล่ตนเองเหมือนกัน แรงจับเมื่อครู่นี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนกระดูกสะบักจะแตกอยู่รอมร่อ

เขาถอดเสื้อตัวนอกออก ก้มลงมองก่อนตกใจจนสะดุ้งโหยง

ที่หัวไหล่ซ้ายมีรอยนิ้วมือห้านิ้วสีเขียวช้ำค่อนไปทางดำหนึ่งรอย ตรงกับตำแหน่งที่ฝ่ายนั้นจับบนไหล่เขาพอดี

เหออวี้ทำหน้าจริงจังขณะยกมือลูบรอยนิ้วพวกนั้น สุดท้ายจึงถอนหายใจ “ไม่เป็นไร แค่ฟกช้ำนิดหน่อยเท่านั้น โชคดีที่นายบังเอิญเจอบอส ไม่อย่างนั้นคงไม่เหลือไว้แค่ร่องรอยแน่”

ตงจื้อตัวสั่นงัก ๆ “จะเป็นยังไง กระดูกแตกเป็นผุยผงเหรอ”

เหออวี้ส่ายหน้า สีหน้าค่อนข้างตึงเครียด “นี่ยังนับว่าดีนะ ถ้าไอปีศาจแทรกซึมลงไปในผิวหนังแล้วกระจายไปทั่วร่างตามกระแสเลือดละก็ จิตวิญญาณทั้งหมดจะโดนไอปีศาจรุกรานจนหมดสิ้น กลายเป็นร่างกายที่เหลือแต่เนื้อหนัง ถึงตอนนั้นจะแก้ไขอะไรก็ไม่ทันการณ์แล้ว”

กลายเป็นผีดิบเหรอ

ตงจื้อตัวสั่นงันงก “พูดให้เข้าใจกว่านี้หน่อยได้ไหม”

เหออวี้ตบไหล่เขา “แค่คำเดียวนั่นแหละ ตาย!”

แรงตบนั้นทำให้ตงจื้อตกใจจนตัวสั่น

บอกตามตรง ก่อนหน้านี้ต่อให้เป็นตอนที่เหออวี้วาดยันต์แผ่นนั้นให้เขา ใจเขาตอนนั้นก็ยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งต่อเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติพวกนี้ แต่ประกายไฟที่ระเบิดออกมาตอนยันต์แผ่นนั้นปะทะกับหมอกดำ รวมถึงรอยมือบนหัวไหล่ ล้วนแต่ทำให้เขาต้องเชื่อคำพูดของเหออวี้อย่างไม่มีทางเลือก

มนุษย์ปกติที่มาจับไหล่เขา ต่อให้ออกแรงมากกว่านี้ก็ไม่มีทางที่จะทิ้งร่องรอยแบบนี้เอาไว้ได้

ประตูสู่โลกใบใหม่กำลังแง้มเปิดต่อหน้าตงจื้ออย่างช้าๆ

ตงจื้ออยากร้องไห้งอแงเหมือนสาว ๆ ในบริษัทพวกนั้นบ้าง เขาลงกลอนประตูบานนี้อีกรอบได้ไหม?!

ชายหนุ่มปรับลมหายใจให้สงบ “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง พนักงานคนนั้นที่ล้มไป บนหน้าผากมีรอยสีแดงด้วย ฉันเคยเห็นในความฝันมาก่อน!”

เขาสาธยายความฝันก่อนหน้าของตนให้เหออวี้ฟังรอบหนึ่ง

ท่าทางของอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นทันตา “ฉันจะพานายไปหาบอส”

ตงจื้อใจสั่นระรัวด้วยความหวาดผวา ท่าเดินราวกับเหยียบอยู่บนปุยฝ้าย แถมยังต้องให้เหออวี้กึ่งค้ำกึ่งพยุงกว่าจะมาถึงตู้โดยสารแบบเบาะนอนพิเศษในที่สุด

ภายในห้องนอนพิเศษปราศจากเงาคน ไม่มีแม้กระทั่งกระเป๋าเดินทาง มีเพียงหนังสือปกสีเล่มหนึ่งวางอยู่ข้างหมอนของเตียงล่างทางซ้ายมือ

“บอสไปไหนอีกแล้วก็ไม่รู้ พวกเราเหมาตู้นอนห้องนี้ไว้แล้ว นายนั่งตามสบายนะ ฉันจะไปซื้อเครื่องดื่มร้อน ๆ มาให้”

เหออวี้พูดจบก็ออกไปทันที ตงจื้ออยากรั้งอีกฝ่ายไว้ แต่รู้สึกว่าแบบนั้นออกจะขี้ขลาดเกินไปหน่อย จึงจำต้องฝืนทำเป็นสงบนิ่ง กวาดตาพิจารณารอบด้าน แล้วสายตาก็หยุดลงที่หนังสือเล่มนั้นโดยไม่รู้ตัว

ตงจื้อขยับเข้าไปดู หนังสือมีชื่อว่า นิทาน 365 เรื่อง

ในหัวของเขาปรากฏภาพชายหนุ่มผู้นั้นถือหนังสือนิทานเล่มนี้อ่านด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง รู้สึกเป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการจริง ๆ

หรือเขาจะซื้อให้ลูก?

ตงจื้อคิดว่าการเปิดหนังสือของผู้อื่นอ่านโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าตัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็ควบคุมความอยากรู้อยากเห็นของตนไม่ได้ สองเสียงในหัวถือมีดห้ำหั่นกันไม่หยุด สุดท้ายฝ่ายอธรรมก็ชนะ เขาเอื้อมมือไปทางหนังสือเล่มดังกล่าว

ตงจื้อไม่ได้หยิบมันขึ้นมา แค่ใช้มือพลิกกระดาษไปที่หน้าล่าสุด

ไม่ใช่หนังสือนิทานแฮะ แต่เป็นสมุดบันทึก

เขาร้องเอ๋ เห็นว่าลายมือบนนั้นฉวัดเฉวียนเข้าใจยากยิ่งกว่ายันต์ลายมือไก่เขี่ยของเหออวี้เสียอีก แต่กลับให้ความรู้สึกชวนใจหายใจคว่ำเหมือนหน้ากระดาษกำลังจะถูกกรีดขาด

ไม่เหมือนอักษรจีนตัวย่อ แต่ก็ไม่ใช่อักษรตัวเต็ม และยิ่งไม่เหมือนภาษาต่างประเทศเข้าไปใหญ่ นี่มันตัวอะไรกัน

ตงจื้อรู้ว่าเขาไม่ควรอ่านต่อไปมากกว่านี้ จึงรีบสะกดกลั้นความต้องการที่จะพลิกกระดาษไปหน้าอื่น ปิดสมุดบันทึกลง

วินาทีถัดมาประตูก็ถูกผลักออก

ตงจื้อสะดุ้ง รีบหันกลับไปดู เหออวี้ปรากฏตัวขึ้นที่ประตู

“ขอโทษที เมื่อกี้ฉันคิดว่าเป็นหนังสือนิทาน เลยอยากลองหยิบมาอ่านดู!” ไม่รอให้อีกฝ่ายถาม เขาก็เป็นฝ่ายเปิดปากสารภาพเอง

แต่เหออวี้กลับหัวเราะลั่น “ไม่เป็นไร ฉันก็เคยแอบอ่านเหมือนกัน! เวลาบอสว่างไม่มีอะไรทำก็ชอบขีด ๆ เขียน ๆ บนนั้น แต่คนปกติอ่านไม่เข้าใจหรอก อ่านไปก็ไม่มีประโยชน์”

เขาวางน้ำร้อนในมือลงก่อนบอกกับตงจื้อ “เบี้ยติดขัดน่ะ ไม่พอซื้อช็อกโกแลตร้อน ดื่มน้ำร้อนแก้ขัดไปก่อนนะ”

ตงจื้อ “…”

เงินมีจำกัด แต่เหมาตู้นอนพิเศษห้องนี้เนี่ยนะ

อาจเพราะเขาแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนเกินไป เหออวี้จึงกล่าวด้วยความรันทดใจว่า “ก็เพราะว่าเหมาห้องนี้ไว้เนี่ยแหละ เลยเหลือเงินไม่มาก!”

ตงจื้อแปลกใจ “ที่นี่ยังมีเตียงเหลืออีกตั้งสามเตียง ทำไมนายต้องไปนั่งชั้นประหยัดด้วย”

คนฟังทอดถอนใจ “มันจำเป็นสำหรับงานน่ะ มาออกันอยู่ในตู้เดียวไม่ได้ ที่นั่งชั้นประหยัดฝั่งโน้นก็มีคนจับตามองอยู่เหมือนกัน”

ตงจื้อนึกถึงเรื่องสองแม่ลูกสวีหวั่นขึ้นมาได้ จึงถามเหออวี้ว่าตามทันหรือเปล่า

เหออวี้ส่ายหน้า “ฉันวิ่งไปตั้งหลายตู้ ทั้งด้านหน้าด้านหลัง แต่ไม่เห็นเจอสองแม่ลูกที่นายว่าเลย เป็นไปได้ไหมว่านายมองผิด”

ขณะที่กำลังพูด ชายหนุ่มก็กลับมา

“พามาทำไม” เขาไม่ได้ทักทายตงจื้อ แต่ถามเหออวี้ตรง ๆ

เหออวี้เล่าเรื่องความฝันของตงจื้อให้ฟัง เป็นอย่างที่คิด ชายหนุ่มขมวดคิ้วหันมองตงจื้อ ชั่วอึดใจต่อมาก็ส่ายศีรษะ

ตงจื้อเริ่มเครียด ไม่รู้ว่าอาการส่ายศีรษะหมายถึงอะไร

เหออวี้รีบถาม “เป็นยังไงบ้างครับ”

ชายหนุ่มตอบ “ไม่เจออะไรผิดปกติ”

เหออวี้ถอนหายใจโล่งอก “เมื่อกี้เขาโดนจับไหล่ ผมช่วยปัดเป่าไปแล้ว กลัวว่าในตัวจะมีสิ่งตกค้างเหลืออยู่เลยลองพามาให้บอสดู”

ก่อนจะหันไปปลอบตงจื้อ “ไม่เป็นไรนะ ถ้าบอสบอกว่าไม่มีอะไร ก็ไม่มีอะไรจริง ๆ”

ชายหนุ่มเอ่ย “ไม่ได้ ถึงสถานีแล้วต้องให้เขาลงจากรถ”

สถานีต่อไปคือเทียนจิน ยังห่างไกลจากสถานีปลายทางอีกมาก

ตงจื้อบอก “แต่ผมอยากไปฉางชุน”

เหออวี้เห็นสีหน้าของชายหนุ่มผิดปกติจึงถามไปว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ”

ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ “พนักงานคนนั้นตายแล้ว”

ตงจื้อสะดุ้ง

เหออวี้ถามต่อ “สาเหตุการตายล่ะ”

ชายหนุ่มตอบ “ไม่มีบาดแผลภายนอก ต้องทำการตรวจสอบขั้นต่อไป ฉันบอกเบื้องบนแล้ว รถไฟจอดที่สถานีหน้าเมื่อไหร่ให้ส่งตัวคนไปให้พวกเราจัดการ”

เหออวี้ถาม “งั้นพวกเราก็ต้องลงจากรถตามไปด้วย?”

อีกฝ่ายส่ายหน้า “มีคนมารับช่วงต่อ ผลพิสูจน์จากทางแล็บจะบอกพวกเราเอง”

เขาพูดจาคลุมเครือ เป็นไปได้ว่าเพราะมีตงจื้ออยู่ด้วย

เหออวี้ปรายตามองตงจื้อแวบหนึ่ง ก่อนร้องขอความเมตตาเพื่อเขา “บอสครับ ยังไงซะพวกเราก็จะลงรถที่สถานีปลายทางอยู่แล้ว สู้พาตัวเขาไปส่งไม่ดีกว่าเหรอ ตอนนี้ก็ไม่รู้ด้วยว่ามี…เท่าไหร่กันแน่ ถ้าเกิดว่าตงจื้อลงไปแล้วมันยังตามเขาไปด้วย พวกเราจะพลาดอีกนะครับ ถึงตอนต้องเก็บกวาดขึ้นมามันจะยุ่งยาก คุณคิดว่าไง”

ชายหนุ่มไม่ตอบ

ตงจื้ออยู่ไม่สุข สภาพจิตใจเหมือนกับตอนที่เขาไปสัมภาษณ์งานหลังเรียนจบแล้วต้องตอบคำถามของเจ้าหน้าที่ผู้สัมภาษณ์งาน

เขาบอกไม่ถูกว่าตัวเองอยากอยู่ต่อหรือไม่

เหออวี้ส่งสัญญาณให้ตงจื้อ

ตงจื้อรู้ใจ รีบบอกไปว่า “ผมจะไม่ถามอะไรทั้งนั้น พอถึงสถานีสุดท้ายแล้วจะแยกทางใครทางมันกับพวกคุณทันที!”

ชายหนุ่มพยักหน้าในที่สุด

ตงจื้อตื่นเต้น ขณะเดียวกันก็รู้สึกดีใจด้วย ไม่รู้เป็นเพราะจะได้อยู่ข้าง ๆ บุคคลลึกลับที่ไม่รู้ที่มาที่ไปกลุ่มนี้ จะได้เห็นเรื่องราวแฟนตาซีที่พิลึกพิลั่นยิ่งกว่านี้ หรือเป็นเพราะผู้ชายที่อยู่ตรงหน้ากันแน่

แม้อีกฝ่ายจะไม่พูดอะไร แต่เขาก็เหมือนหนังสือเล่มหนึ่งในคืนอันมืดมิดที่ชักนำให้คนเข้าไปเปิดดู

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า