แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ
步天纲 (Bu Tian Gang)
梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน
ลลิตา ธ. แปล
นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 64
ผ่านไปพักหนึ่ง เขาถึงประมวลผลคำพูดเมื่อครู่ของหลงเซินได้
“อาจารย์หมายความว่า ต่อไปนี้ผมอัญเชิญวิญญาณมาไม่ได้อีกแล้ว?”
หลงเซินพยักหน้า “ที่นายอัญเชิญวิญญาณในสุสานเหลียงเหวยชีไปก่อนหน้านี้ ทำให้ตอนนี้พลังจิตนายอ่อนแอมาก ลมปราณข้างในตีกันยุ่งเหยิง ถ้าใช้มันอีกครั้ง ต่อให้ฝึกถู่น่าปีหนึ่งก็เอากลับคืนมาไม่ได้ เดิมทีการอัญเชิญวิญญาณก็เป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองพลังจิตมากอยู่แล้ว จงอวี๋อีแตกต่างจากคนธรรมดา เพราะปู่ทวดคนหนึ่งของเขาบังเอิญพบโชคชะตาครั้งใหญ่ สืบทอดสายเลือดของคนทรงเทพเจ้ามารุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่ขนาดเป็นเขา สมรรถภาพร่างกายก็ยังตามสมาชิกคนอื่นไม่ทันอยู่ดี”
เขาเห็นตงจื้ออยู่ในภาวะเศร้าซึม จึงผ่อนน้ำเสียงลง “ครั้งนี้เป็นเหตุสุดวิสัย ฉันรู้ว่านายทำไปเพื่อหยุดยั้งระเบิด มันเป็นความรับผิดชอบของฉัน พอนายรักษาตัวหายดีแล้ว ฉันจะสอนอย่างอื่นให้นาย ส่วนเรื่องอัญเชิญวิญญาณ ไม่ต้องใช้มันอีกแล้ว”
อาจารย์พูดเอาจริงเอาจังขนาดนี้ ตงจื้อไม่พยักหน้าตกลงก็กระไรอยู่
“อาจารย์ แท่นบูชากับร่องนั่นมีไว้ทำอะไรเหรอ ทำไมข้างล่างถึงมีศพผีมากมายขนาดนั้น”
หลงเซินเอ่ย “นายมีกะจิตกะใจจะฟังเหรอตอนนี้”
ตงจื้อรีบบอก “ผมนอนจนราจะขึ้นอยู่แล้ว! ตอนนี้พวกเรายังอยู่แถวสุสานจักรพรรดิซีเซี่ยหรือเปล่า”
หลงเซินพยักหน้า ก่อนบอก “ยังอยู่ในอิ๋นชวน รอพวกนายรักษาตัวจนดีขึ้นแล้วค่อยกลับ ร่างของโจวเย่ว์กับสิงเฉียวเซิง มีคนจากสำนักงานสาขาลงไปค้นหาดูแล้ว มีเฉินสวินอีกคน เขาอาจสูดดมพลังปีศาจส่วนหนึ่งเข้าไป ตอนนี้อาการค่อนข้างวิกฤต กำลังช่วยชีวิตอยู่”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ สภาพจิตใจของตงจื้อก็พลอยหนักอึ้งตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้เขาจะไม่ได้ไปมาหาสู่กับคนเหล่านั้นบ่อยนัก แต่ยังไงตอนอยู่ใต้พื้นดิน ทุกคนก็เคยร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา ถ้าหากไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ในอนาคตพวกเขาก็จะกลายเป็นพนักงานคนหนึ่งของกรมจัดการคดีพิเศษที่ยังต้องทำงานร่วมกันอยู่
ทว่าตอนนี้ เหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นแล้ว ใครบางคนได้จากทีมนี้ไปตลอดกาล
อัตราการเสียชีวิตที่รองอธิบดีซ่งเอ่ยถึงก่อนออกเดินทางยังดังก้องอยู่ในหู และได้กลายเป็นคำพยากรณ์ที่จะคงอยู่ตลอดไปสำหรับคนกลุ่มนี้
หลงเซินกล่าว “อักษรซีเซี่ยที่อยู่บนศิลาในห้องสุสาน ฉันไปขอให้คนแปลมาแล้ว สุสานนั่นเป็นสุสานของเหลียงเหวยชีจริง ๆ แต่เดิมทีเตรียมไว้สำหรับเหลียงไทเฮา”
ตงจื้อร้องเอ๋ “โดยทั่วไปฮ่องเต้กับฮองเฮาต้องถูกฝังด้วยกันไม่ใช่เหรอครับ”
หลงเซิน “ในยุคที่เหลียงไทเฮาคุมอำนาจบริหารบ้านเมือง อำนาจตกอยู่ในมือฝ่ายราชสำนัก นางหวังว่าการบริหารปกครองของตนจะมั่นคงไปตลอดดุจภูเขาลำน้ำ หวังว่าตนจะมีอายุยืนยาว เหลียงเหวยชีก็เลยช่วยนางคิดหาหนทาง”
นี่ก็ปกติ ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว คนที่ไม่มีเงินทองอยากได้เงินทอง คนที่มีเงินทองแล้วก็ปรารถนาในอำนาจ มีอำนาจแล้วยังไม่พอ จึงเริ่มโหยหาความเป็นอมตะ ให้อำนาจการปกครองคงอยู่ตลอดไป ถึงเหลียงไทเฮาจะเป็นสตรีก็ไม่มีข้อยกเว้น
เดิมทีนางไม่ได้อภิเษกสมรสเป็นฮองเฮาของจักรพรรดิเซี่ยอี้จงหลี่เลี่ยงจั้ว หากแต่เป็นพี่สะใภ้ของเขา เนื่องจากคบชู้กับเขาและคอยลอบส่งข่าวให้ หลังตระกูลสามีของตนถูกทำลาย นางถึงได้เลื่อนขึ้นมาเป็นฮองเฮา ผู้หญิงประเภทนี้ย่อมไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน [1] เป็นแน่
หลังจากหลี่เลี่ยงจั้วสวรรคตไป เหลียงไทเฮาก็เริ่มคุมอำนาจในฐานะของสตรีชาวฮั่น แต่ทว่าซีเซี่ยอยู่ใต้การปกครองของชาวตั่งเซี่ยง ไม่มีทางก้มหัวให้สตรีชาวฮั่นเด็ดขาด เพื่อเสถียรภาพในอำนาจ นางจึงล้มเลิกพิธีฮั่นภายใน รับเอารูปแบบที่คล้ายคลึงกับสมเด็จพระจักรพรรดินีแคทเธอรินที่สองแห่งรัสเซียมา ใช้วิธีเปลี่ยนแปลงจุดยืนและฐานะของตนเพื่อเอาใจขุนนางซีเซี่ย ใช้มาตรการสงครามภายนอกเพื่อเบี่ยงเบนความขัดแย้งภายในประเทศ
เหลียงเหวยชีถูกใจอุดมการณ์ของนางที่ไม่ยอมวางมือจากอำนาจ จึงถวายคำแนะนำให้ แสดงออกว่าตนช่วยให้เหลียงไทเฮาลุแก่ความปรารถนาได้ คนผู้นี้มีฝีมือด้านวิชาชัยภูมิอย่างแท้จริง เพียงแต่มีเจตนามิชอบ ทำให้อยู่ในพื้นที่ภาคกลางไม่ได้ สุดท้ายเลยได้แต่บากหน้าไปขอพึ่งพาเหลียงไทเฮา
เหลียงไทเฮาได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขามานาน เมื่อพบตัวจริงก็ยินดีเป็นล้นผล ไม่คำนึงถึงกระแสนิยมของการบูชาพุทธศาสนาที่แพร่หลายภายในอาณาจักร มอบบรรดาศักดิ์แก่เหลียงเหวยชีสำหรับปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญทันที มีรับสั่งให้เขาเร่งมือดำเนินการโดยด่วน
เหลียงเหวยชีพาคนออกสำรวจไปทั่ว ในที่สุดก็พบพื้นที่บริเวณดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่แถวสุสานจักรพรรดิซีเซี่ย เลื่องชื่อลือนามว่าฮวงจุ้ยดี ชัยภูมิล้ำเลิศ จึงยุยงให้เหลียงไทเฮาก่อสร้างสุสานสำหรับฝังข้าวของเครื่องแต่งกายไว้ที่นี่
สุสานฝังเครื่องแต่งกายคือการนำเสื้อผ้าที่เคยใช้สมัยที่มีชีวิตอยู่มาตั้งไว้กลางสุสาน เพื่อใช้เป็นตัวแทนในสถานการณ์ที่หาศพของผู้ตายไม่พบ แต่สุสานฝังเครื่องแต่งกายในนิยามของเหลียงเหวยชีหาใช่ความหมายนี้ จากคำกล่าวของเขา สุสานเครื่องแต่งกายแห่งนี้มีความผูกพันแน่นแฟ้นกับดวงชะตาของเหลียงไทเฮา ขอเพียงตกแต่งจัดวางสุสานเครื่องแต่งกายนี้อย่างดี ระหว่างที่เหลียงไทเฮายังมีชีวิตอยู่ ชะตาชีวิตก็จะเจริญรุ่งเรืองตามไปด้วย
สกุลเหลียงเป็นไทเฮาแห่งแผ่นดินหนึ่งแล้ว ยังต้องการความเจริญรุ่งเรืองอะไรอีก คำตอบย่อมเป็นสงครามที่ไม่มีวันพ่ายแพ้ ถึงขั้นตีฝ่าเข้าไปในจีนตอนกลาง ควบรวมดินแดนใต้หล้า กลายเป็นจักรพรรดินีที่รวบรวมแผ่นดินใหญ่ให้เป็นหนึ่งเดียวได้
จะทำให้สุสานเครื่องแต่งกายสำแดงพลังอำนาจอย่างไร เหลียงเหวยชีคิดได้อีกวิธีหนึ่ง นั่นคือ โลหิตบูชายัญ
ซีเซี่ยกับต้าซ่งทำสงครามกันในเมืองหย่งเล่อ ราชวงศ์ซ่งพ่ายแพ้ มีบุรุษเสียชีวิตไปกว่าสองแสนราย ฝ่ายซีเซี่ยก็ได้รับบาดเจ็บและล้มตายไปเป็นจำนวนมาก เนื่องจากได้รับคำชี้แนะจากเหลียงไทเฮา ศพจำนวนมากจึงถูกลำเลียงมาที่นี่ และส่งเข้าไปในถ้ำด้านหลังห้องเก็บโลงศพ
ส่วนเรื่องที่ว่าถ้ำแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นได้ยังไง เหลียงเหวยชีค้นพบมันได้ยังไง และเขารับรู้ถึงการมีอยู่ของงูเหลือมยักษ์สามหัวหรือไม่นั้น บนศิลาไม่มีการบันทึกไว้
แต่เหลียงเหวยชีไม่เพียงใช้คนตายมาสังเวยและจัดวางค่ายกลเท่านั้น เขายังใช้เลือดของคนเป็นมาบูชายัญด้วย จากการคาดการณ์ เป็นไปได้ว่าหลังจากที่ช่างฝีมือสร้างห้องเก็บโลงศพในซีเซี่ยแล้ว เขาได้สังหารช่างฝีมือเหล่านั้นที่ด้านหลังของห้องเก็บโลงศพ จริง ๆ ไม่จำเป็นที่เขาต้องลงมือเองด้วยซ้ำ ความซับซ้อนของภูมิประเทศในถ้ำใต้ดิน ดอกฟอร์เก็ตมีน็อตที่ทำให้คนหลงทางและสัมผัสทั้งหกเกิดความสับสนแล้ว ยังมีสัตว์ดุร้ายอย่างงูเหลือมสามหัวอีก ตราบใดที่ประตูหินปิดสนิท ช่างฝีมือเหล่านั้นคงทำได้แค่รอความตายในนั้นอยู่ดี
หลงเซินบอก “เลือดเนื้อของทุกคนจะถูกดินโคลนสะสมไปรวมอยู่ในแม่น้ำใต้ดินสายนั้น ห้องเก็บโลงศพจะดูดน้ำในแม่น้ำเข้าไปที่ด้านใต้ของหีบศพ พอนานวันเข้า ไอพยาบาทของผีตายโหงจะสะสมต่อไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด ถ่ายทอดความโกรธแค้นให้เจ้าของโลงศพ เจตนาเดิมของเหลียงเหวยชี น่าจะเป็นการใส่ดวงแปดอักษรของวันประสูติเหลียงไทเฮา กับหุ่นเชิดที่สวมเครื่องแต่งกายแทนตัวพระนางลงไปในหีบศพ ใช้สิ่งนี้เสริมดวงชะตาของพระนาง แต่นึกไม่ถึงว่าจะกลายเป็นความผิดพลาด หลังจากสร้างสุสานสำเร็จ เหลียงไทเฮากลับเปลี่ยนความคิด ท้ายที่สุดก็กลายเป็นตัวเขาเองที่นอนอยู่ในนั้น”
ตงจื้อไม่เข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นทำไมตัวเหลียงเหวยชีถึงไม่กลายร่างจากศพล่ะครับ”
หลงเซินเอ่ย “พวกเราคาดคะเนว่าอาจเป็นเพราะใต้หีบศพกับจุดที่เชื่อมต่อน้ำในแม่น้ำไม่ได้ทะลุถึงกัน บางทีการก่อสร้างระยะหลังอาจยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี หรือบางทีอาจมีคนหยุดยั้งเขา เรื่องพวกนี้ล้วนไม่มีบันทึกไว้ในจารึกสุสาน ต้องรอดูกันไปถึงจะรู้ความจริง”
ตงจื้อยังรู้สึกเหลือเชื่ออยู่ดี ฆ่าคนไปตั้งมากมายขนาดนั้น ไอพยาบาทของคนพวกนี้จะต้องรุนแรงทะลักออกมาละสิไม่ว่า จะส่งเสริมดวงชะตาของเหลียงไทเฮาได้ยังไง และเหลียงไทเฮาเองก็ไม่ใช่คนโง่ ทำไมถึงเชื่อคำโกหกของเหลียงเหวยชี
เขาถามข้อสงสัยดังกล่าวออกไป
หลงเซินบอก “เขาไม่ได้หลอกเหลียงไทเฮา ทุก ๆ เรื่องเมื่อสั่งสมไปจนถึงที่สุดแล้วก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ครั้งก่อนฉันก็เคยพูดแล้ว พื้นที่ฮวงจุ้ยดี ชัยภูมิล้ำเลิศ ใช่ว่าจะเปลี่ยนเป็นอัปมงคลไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน เขานำความอาฆาตแค้นมาพลิกแพลงใช้จนถึงขีดสุด ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนให้มันเป็นพลังชีวิตขึ้นมาใหม่จริง ๆ เขาเคยฝากตัวเป็นศิษย์ในสำนักอาจารย์มีชื่อมาก่อน ถ้าหากไม่มีความสามารถสักกระผีกเดียว เหลียงไทเฮาคงไม่ใช้งานเขา”
ตงจื้อเอ่ย “หมายความว่าแท่นบูชาไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในยุคของเหลียงไทเฮา แล้วมันจะเป็นของสมัยไหนครับ”
หลงเซินกล่าว “ประวัติของแท่นบูชายาวนานกว่าอาณาจักรซีเซี่ยมาก กระจกสัมฤทธิ์เป็นกุญแจเปิดแท่นบูชา เหลียงเหวยชีอาจเคยมาที่แท่นบูชา แล้วหยิบกระจกสัมฤทธิ์ออกมาเก็บไว้ในสุสาน”
ตงจื้อนึกขึ้นได้ฉับพลัน “ใต้ร่องนั่นเป็นศิลา? คนญี่ปุ่นอยากระเบิดศิลาทิ้ง?!”
หลงเซินพยักหน้า
ตงจื้อขมวดคิ้ว “บนศิลามีความลับอะไรกันแน่ ทำไมคนญี่ปุ่นถึงอยากทำลายมันนัก”
หลงเซิน “เอาจริง ๆ ปีศาจมนุษย์ต่างหากที่อยากทำลายมัน เป็นไปได้ว่าปีศาจมนุษย์กับโอโตวะ ยาซูฮิโกะ อาจมีผลประโยชน์บางอย่างร่วมกัน พวกเรายังตรวจสอบรายละเอียดอยู่”
ตอนนั้นเวลากระชั้นชิด หลงเซินปรายตามองเร็ว ๆ พบว่าศิลาที่อยู่ใต้แท่นบูชากับชิ้นที่อยู่บนเขาฉางไป๋น่าจะมาจากค่ายยันต์เดียวกัน ดังนั้นก่อนไป เขาถึงได้วกกลับไปปูค่ายยันต์ขนาดเล็กไว้ด้านล่างเป็นการป้องกัน เพื่อไม่ให้ศิลาโดนบดแหลกเมื่อชั้นดินถล่มลงมา ไว้ค่อยส่งคนกลับไปทำความสะอาดและคุ้มกันศิลาขึ้นมาอีกครั้ง
ตงจื้อเอ่ย “ถ้างั้นภาพวาดบนผนังที่พบในเขตตะวันตกเฉียงเหนือของมองโกเลียในครั้งก่อน…”
หลงเซิน “ถ้าเดาไม่ผิด พวกมันน่าจะเป็นข้อมูลชี้ไปที่ตัวศิลากับแท่นบูชา เพียงแต่ตอนนั้นเราถอดความนัยที่ซ่อนอยู่ในนั้นไม่ทัน ถ้าค้นหาสถานที่นี้เจอและคุ้มกันได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ คงไม่ปล่อยให้ปีศาจมนุษย์เกือบทำสำเร็จ”
ตงจื้อนิ่งคิด ก่อนบอก “เขาฉางไป๋แห่งหนึ่งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วก็ที่นี่อีกแห่งหนึ่งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ค่ายยันต์นี้แบ่งปูตามทิศเหรอครับ”
หลงเซินพยักหน้าพลางบอก “ค่ายยันต์แบ่งเป็นสี่ทิศ หกทิศ แปดทิศ ถ้าเดาไม่ผิด นี่น่าจะเป็นค่ายยันต์แปดทิศ”
ตงจื้อกลุ้มใจตามไปด้วย “แต่ถึงอย่างนั้น ขอบเขตก็กว้างเกินไปอยู่ดี ค้นหาตำแหน่งที่แน่นอนยากสินะครับ! อีกอย่าง วิธีเฉพาะที่ใช้ฝังศิลาก็ไม่เหมือนกันด้วย อย่างบนเขาฉางไป๋ใช้มังกรกระดูกเฝ้า แต่ที่นี่ดันฝังอยู่ใต้แท่นบูชา ใช้งูเหลือมยักษ์สามหัว ไม่งั้นก็ต้องไปค้นหาสถานที่ทั้งหมดที่สัตว์ร้ายอาจโผล่ออกมา?”
พูดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย “ทะเลสาบฝู่เซียน?”
แต่หลงเซินกลับส่ายหน้า “ใต้ทะเลสาบฝู่เซียนมีไอปีศาจอยู่จริง ๆ แต่จากรายงานของพวกเหออวี้ ตอนนี้ตัดความเกี่ยวข้องกับศิลาไปได้เลย”
นอกจากนี้ยังเป็นไปได้สูงว่าไม่เกี่ยวข้องกับปีศาจมนุษย์ด้วย
สิ่งนี้บ่งบอกว่าบนแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลยังมีสัตว์ดุร้ายและปีศาจอื่น ๆ ดำรงอยู่ บางทีอาจร้ายกาจยิ่งกว่าปีศาจมนุษย์ด้วยซ้ำ
การกำจัดปีศาจมนุษย์ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นเพียงการเริ่มต้น
แต่ประโยคนี้ เขาไม่ได้เอ่ยออกไป
เด็กใหม่เหล่านี้เพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจเสี่ยงตายมา สิ่งที่ต้องการคือการพักผ่อน ไม่ใช่ข่าวที่เลวร้ายมากไปกว่านี้
ตงจื้อไม่ได้สังเกตถึงความนัยของหลงเซิน ตอนนี้แค่เขาใช้ความคิดก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาแล้ว “งั้นต้องไปหาที่ไหนล่ะครับ”
เขาเป็นคนที่เก็บซ่อนความในใจไม่ได้ ความยินดีกับความโมโหเขียนบนใบหน้าหมด ขนาดตอนกังวลก็ยังกระฉับกระเฉงกระตือรือร้นกว่าคนอื่น ๆ คิ้วขมวดเป็นปม ในดวงตามีคำว่า “กลุ้ม” ตัวโต ๆ เขียนไว้
ว่ากันตามเหตุผล หลงเซินก็กำลังเป็นห่วงเรื่องนี้เช่นกัน แต่เห็นสภาพอีกฝ่ายแล้วเขาก็อดยิ้มไม่ได้
“จีนใหญ่เกินไป ตอนนี้ยังไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้ ที่คราวนี้รักษาศิลาไว้ได้ชิ้นหนึ่ง พวกนายก็ได้เครดิตแล้ว ตั้งใจพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องคิดมาก”
หลงเซินชะงัก คล้ายนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ก่อนหน้านี้ที่นายอัญเชิญวิญญาณมาสู้กับผู้ชายคนนั้น รู้หรือยังว่าตัวเองอัญเชิญใครมา”
ตงจื้อบอกด้วยความมึนงง “ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นเสียงผู้หญิง…ใช่แล้ว เธอบอกว่าตัวเองเป็นแค่จิตสำนึกเสี้ยวหนึ่งที่กำลังจะสูญสลายไป อีกอย่างร่างกายของผมรองรับพลังมากไปกว่านี้ไม่ได้ เธอก็เลยออกไปเร็วมาก”
หลงเซินคล้ายกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง
ตงจื้อ “คงไม่ใช่ เหลียงไทเฮา หรือฮองเฮาพระองค์ไหนของซีเซี่ยหรอกนะครับ”
หลงเซินโคลงศีรษะ “ที่นายอัญเชิญมาน่าจะเป็นเทพผู้ทรงธรรม มีแค่เทพผู้ทรงธรรมเท่านั้นที่มีพลังยิ่งใหญ่ขนาดนี้”
ตงจื้ออ้าปากเล็กน้อย สีหน้าตกตะลึง ไม่อาจจินตนาการว่าตัวเองโชคดีถึงเพียงนี้
ใต้พื้นดินไม่ได้ทะลุถึงกันทั้งสี่ด้าน อีกทั้งบนพื้นยังมีทะเลทรายโกบี ไม่มีอะไรเลย หากจะพูดถึงวิญญาณขาว อย่างมากก็เป็นแค่เหล่าทหารและช่างฝีมือที่ตายโหงอยู่ในถ้ำสมัยอดีตกาล รวมถึงเหลียงเหวยชี เจ้าของสุสานหน้าถ้ำอีกคน จริง ๆ ตอนนั้นแม้แต่ตัวตงจื้อเองก็ไม่ได้ตั้งความหวังอะไร
“ผมอัญเชิญเทพผู้ทรงธรรมท่านไหนมาเหรอครับ”
หลงเซินบอกอย่างครุ่นคิด “ตามบันทึกบนจารึกของสุสาน เหลียงเหวยชีค้นพบแท่นบูชากับรูปปั้นหินใต้ดิน ถึงตัดสินชี้ขาดว่าพื้นที่ตรงนั้นเคยเป็นสถานที่บูชายัญมนุษย์ในยุคฉินมาก่อน และเป้าหมายในการบูชายันต์ของพวกเขาก็คือรูปปั้นหิน ซึ่งก็คือโฮ่วถู่”
ตงจื้อตะลึงงัน
มันช่าง…เป็นความโชคดีที่น่าตกใจจริง ๆ
โฮ่วถู่ ชาวบ้านเรียกว่าพระแม่ธรณี ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการคือพระภูมิมารดาธรณีผู้ทรงสนองเมตตาธรรมแห่งสวรรค์ เมื่อมีสวรรค์ก็ต้องมีโฮ่วถู่ วิญญาณขาวท่านนี้ไม่เหมือนท่านกวนอูกับงักฮุย สองฝ่ายหลังคือบุคคลผู้มีตัวตนอยู่จริง หลังตายไปแล้วถึงถูกสถาปนาเป็นเทพ แต่พระแม่ธรณีเป็นส่วนหนึ่งของตำนานโดยสิ้นเชิง ตำนานที่เกี่ยวข้องกับนางได้รับการเล่าขานสืบต่อกันมานับตั้งแต่ที่ชนชาตินี้ถือกำเนิดขึ้น
ตามตำนาน นางมักปรากฏตัวในรูปของสตรี ดูแลเรื่องธรณีทั้งหมดของโลก ซึ่งประกอบด้วยดินแดนฝ่ายหยินและหยาง แต่ตำนานก็เป็นแค่ตำนาน เช่นเดียวกับเรื่องเล่าปรัมปราที่หลาย ๆ คนได้ฟังมาตั้งแต่เด็กจนโต โฮ่วถู่เป็นเพียงสัญลักษณ์หนึ่ง เทวรูปที่อยู่ในวัดแห่งหนึ่ง และสัญลักษณ์ของชนชาติหนึ่งเท่านั้น
ตงจื้อยังไม่อยากเชื่อ “ผมได้เจอพระแม่ธรณี?”
หลงเซินบอก “ไม่ใช่องค์จริง เป็นแค่จิตสำนึกเสี้ยวหนึ่งของนางเท่านั้น แต่พอเทวรูปทุกองค์ได้รับการเซ่นไหว้บูชาไปนาน ๆ ย่อมมีพลังแห่งศรัทธาเสมอ แรงศรัทธานี้ก็คือจิตนึกคิด รูปปั้นหินนั้นอาจเคยได้รับการเคารพบูชาจากบรรพบุรุษมาก่อน จนถึงวันนี้เลยยังมีจิตสำนึกอันน้อยนิดฝังอยู่ในนั้น นายไปที่นั่น อัญเชิญเทพเจ้า แล้วบังเอิญได้พบนาง ต่อให้นายไม่อัญเชิญวิญญาณ แต่ผ่านไปอีกไม่นาน นางก็ต้องสลายไปเองอยู่ดี”
แต่ถึงจะเป็นจิตสำนึกเสี้ยวหนึ่งก็เป็นเรื่องที่สุดยอดมาก ๆ อยู่ดี
ทุก ๆ เรื่องมีได้ย่อมมีเสีย การอัญเชิญเทพผู้ยิ่งใหญ่มาคราวนี้จึงต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยสิ่งนี้ เขาอัญเชิญวิญญาณไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายเช่นกัน
ตงจื้อปะติดปะต่อความทรงจำ “ตอนนั้น ผมจำได้ว่าเธอบอกผมว่า กว่าคนคนนั้นจะบำเพ็ญตบะมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย สวรรค์มีเมตตา จึงไม่ได้สังหารให้สิ้น แต่กลับไว้ชีวิตเขา”
หลงเซินพยักหน้า รู้อยู่แก่ใจ “ฝ่ายนั้นน่าจะเป็นวัตถุที่ฝึกบำเพ็ญจนกลายเป็นภูต ไม่แปลกที่จะเก่งขนาดนั้น”
ตงจื้อขยี้ตา “อาจารย์ แล้วอาการบาดเจ็บของอาจารย์ล่ะ ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม”
หลงเซินบอก “แผลฉันเป็นอาการบาดเจ็บภายใน เป็นมาก่อนหน้านั้นนานแล้ว อยู่ที่หนักหรือเบาเท่านั้น ค่อย ๆ รักษาไปเดี๋ยวก็หาย ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร”
ตงจื้อเพียงขานตอบรับว่าอืม ตอนนี้พลังจิตของเขาอ่อนกำลังมาก บทสนทนานี้ทำให้เขาหมดสิ้นเรี่ยวแรง ใบหน้าแสดงความอ่อนเพลีย
“นอนเถอะ” หลงเซินบอก
แสงในห้องผู้ป่วยสว่างจ้า ต่อให้รูดผ้าม่านปิด ก็ยังมีแสงแดดบางเบาเล็ดลอดเข้ามาอยู่ดี
ตงจื้อหรี่ตา ดึงมืออีกฝ่ายที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมา
“อาจารย์อยู่เป็นเพื่อนผมหน่อยนะครับ”
เขาอาศัยอาการบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่พูดไปตามอำเภอใจ
หากสลับมาเป็นเหออวี้ที่ทำตัวออดอ้อนเช่นนี้ หลงเซินคงทำให้เขารู้ไปแล้วว่าทำไมดอกไม้ถึงกลายเป็นสีแดง [2]
แต่ยังไงตงจื้อก็ไม่เหมือนเหออวี้ ฝ่ายแรกเพิ่งเข้าสู่โลกบำเพ็ญเพียรไม่นาน หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกโหวงเหวงใจ สำหรับลูกศิษย์ตัวเล็กบอบบางผู้นี้ หลงเซินให้ความอดทนและปฏิบัติกับเขาเป็นพิเศษโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว
“นอนเถอะ” เขาดึงมือออกจากอีกฝ่าย นำมันไปทาบบนเปลือกตาตงจื้อ
บดบังแสงสว่างเกินจำเป็นให้เขาแทนผ้าปิดตา
ราวกับว่าความอบอุ่นบนเปลือกตาทำให้จิตใจสงบ ไม่กี่อึดใจ ตงจื้อก็หลับใหลไปอย่างรวดเร็ว
หลงเซินเห็นอีกฝ่ายหลับสนิทแล้วจึงเลื่อนมือออก ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วย
เพิ่งปิดประตูไม่ทันไรก็มีสายโทรศัพท์เข้ามา
เขาก้มหน้ามอง เป็นเบอร์ที่รู้จักดี
“รองอธิบดีอู๋?”
“รองอธิบดีหลง เป็นยังไงบ้าง ร่างกายยังโอเคอยู่ใช่ไหม”
“พอไหว มีข่าวจากทางญี่ปุ่นแล้วเหรอ” หลงเซินถาม
อู๋ปิ่งเทียนไม่ได้ทักทายอะไรมาก เข้าเรื่องสำคัญทันที “ใช่ ทางนี้ปล่อยข่าวเรื่องที่ฟุจิคาวะอยู่ในกำมือเราออกไปแล้ว ทางฝั่งญี่ปุ่นติดต่อกลับมาเร็วมาก แต่เป็นทางการของญี่ปุ่น ไม่ใช่สถาบันการเงินโอโตวะ พวกสถาบันการเงินโอโตวะปัดความรับผิดชอบเรื่องการเคลื่อนไหวครั้งนี้ไปเลย บอกว่าท่านประธานไม่มีส่วนรู้เห็น และไม่เคยให้คนจากตระกูลโอโตวะมาทำเรื่องผิดกฎหมายที่จีนมาก่อน โอโตวะ ซาบุโร่ เป็นคนตัดสินใจดำเนินการเองทั้งหมด แล้วยังออกความเห็นด้วยว่า ในเมื่อพวกนั้นมาทำผิดกฎหมายในจีนก็สมควรได้รับการลงโทษตามกฎหมายของจีน สถาบันการเงินโอโตวะเคารพในการตัดสินตามกฎหมายของจีนและกฎหมายระหว่างประเทศ”
โอโตวะ ซาบุโร่ เสียชีวิตไปแล้ว เหลือพวกลูกกระจ๊อกแค่ไม่กี่คน ถามไปก็ไม่ได้ความอะไร แต่ถึงโอโตวะ ซาบุโร่ ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีประโยชน์ สถาบันการเงินโอโตวะบอกมาแล้วว่าความเสียหายคราวนี้เป็นความคิดของโอโตวะ ซาบุโร่ ทั้งหมดที่ทำลงไปเพราะเห็นแก่เงิน จึงเที่ยวมาก่อความวุ่นวายในจีน พวกคุณจะฆ่าจะแกงอะไรก็เป็นเรื่องของพวกคุณ ท่านประธานของเราไม่ถือหางเข้าข้างเพราะเป็นญาติพี่น้อง จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยเด็ดขาด ปัดความผิดให้พ้นตัวไปอย่างสะอาดหมดจด
จะเข้าไปพัวพันกับเรื่องพวกนี้ก็ไม่มีประโยชน์ หลงเซินข้ามเรื่องสถาบันการเงินโอตะวะไปทันที “ทางการญี่ปุ่นว่ายังไงบ้าง”
อู๋ปิ่งเทียนบอก “พวกเขาเสนอว่าจะใช้เงินไถ่ตัวฟุจิคาวะกลับ”
ปลายสายยังไม่ทันเอ่ยว่าเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ หลงเซินก็สวนขึ้นก่อน “ไม่ได้ ต้องเอาตัวคนมาแลก เอาต่งจี้หลาน”
อู๋ปิ่งเทียน “รองอธิบดีหลง…”
หลงเซินเอ่ยเสียงหนักแน่น “รองอธิบดีอู๋ ไม่มีทางที่คุณจะไม่รู้เจตนาของผม”
อู๋ปิ่งเทียนคลายน้ำเสียงลง “ผมรู้ รองอธิบดีหลง ต่งจี้หลานเป็นฮีโร่ของพวกเรา เมื่อหลายสิบปีก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาที่แทรกซึมเข้าไปในญี่ปุ่นเพื่อทำลายความตั้งใจของนักบวชกลุ่มนั้นและยับยั้งหายนะครั้งใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นได้ทันเวลา ตอนนี้พวกเราอาจต้องรับมือกับความยุ่งยากมากแค่ไหนก็ไม่รู้”
หลงเซินบอก “หลายสิบปีก่อน กรมจัดการคดีพิเศษยังไม่ได้ก่อตั้ง ตอนนั้นหลายสิ่งหลายอย่างกำลังรอดำเนินการ ทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้น ทางนี้ระดมกำลังคนไม่ได้ ผู้อาวุโสจงเลยไม่มีทางเลือก นอกจากใช้ต่งจี้หลานเป็นหมาก ตอนหลังเธอกล่าวโทษตัวเองไม่หยุด ผมเองก็เคยไปสืบหาที่ญี่ปุ่น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เจอเบาะแสของเขา”
อู๋ปิ่งเทียน “หลายปีมานี้ไม่ว่าพวกเราจะใช้วิธีไหน ทางนั้นก็ไม่ยอมรับเรื่องการมีตัวตนอยู่ของเขาเลย คุณเคยคิดไหมว่าเขาอาจจะโชคไม่ดีต้องสละชีพไปแล้ว”
หลงเซินเอ่ย “ครั้งที่แล้วพวกนั้นไปเขาฉางไป๋ผ่านช่องทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในฐานะที่พวกเราเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายก็ต้องเคารพกฎกติกาเลยปล่อยคนพวกนั้นไป ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ครั้งนี้ฟุจิคาวะเอาตัวเองมาส่งถึงหน้าประตู จะปล่อยเบี้ยตัวนี้ไปง่าย ๆ ไม่ได้เด็ดขาด เราใช้เขามาแลกตัวต่งจี้หลานได้ ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ คนญี่ปุ่นต้องยอมตกลง”
อู๋ปิ่งเทียนที่อยู่ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนบอก “ความตั้งใจของเบื้องบนคือให้พวกเรายอมรับเงื่อนไขเรื่องเอาเงินมาประกันตัว”
หลงเซิน “เบื้องบน? อธิบดีเจี่ยงใช่ไหม”
อู๋ปิ่งเทียนกล่าวอ้อม ๆ “รองอธิบดีหลง ถึงยังไงเขาก็เป็นอธิบดีใหญ่ที่เบื้องบนส่งมา ทั้งวางแผนควบคุมงานทุกอย่างและตรวจตราพวกเราด้วย พวกเราสามคนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรกันหมด ไม่มีทางปฏิบัติหน้าที่ด้วยใจเป็นกลางและไม่เห็นแก่ตัวไปเสียทุกเรื่องได้อยู่แล้ว อธิบดีเจี่ยงเลยเป็นคนที่เบื้องบนให้ความไว้วางใจสูงสุด คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม”
ไม่อาจบอกได้ว่าหลงเซินยินดีหรือยินร้าย “รองอธิบดีอู๋หมายความว่าคุณสนับสนุนการตัดสินใจของอธิบดีเจี่ยงไปแล้ว”
อู๋ปิ่งเทียนพยายามเปลี่ยนเรื่อง ไม่ได้ตอบตรง ๆ ” ผมก็ให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวมเหมือนกันนะ! รองอธิบดีหลง พวกเรามาเปิดอกคุยกันดีกว่า การเสียสละของต่งจี้หลานในตอนนั้น ผมเองก็เจ็บปวดใจมาก แต่ทุกเรื่องต้องมองไปข้างหน้า ไม่ใช่ว่าผมไม่สนับสนุนให้เอาฟุจิคาวะมาเป็นเบี้ยนะ แต่เบื้องบนก็มีข้อพิจารณาของเบื้องบน เราก็ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย”
หลงเซินบอกเสียงเรียบ “ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ไม่ทำให้รองอธิบดีอู๋ลำบากหรอก ผมแจ้งให้ผู้อาวุโสจงทราบแล้ว เธอจะคิดหาวิธีโน้มน้าวเบื้องบนเอง ถึงแลกตัวต่งจี้หลานกลับมาไม่ได้ แต่ฟุจิคาวะ อาโออิ เป็นถึงองเมียวจิที่คนในราชวงศ์ญี่ปุ่นใช้ให้ปฏิบัติหน้าที่สำคัญ ไม่ควรมีค่าแค่เศษเงินพวกนั้น ยังไงก็ควรแลกอย่างอื่นกลับมามากกว่านี้”
อู๋ปิ่งเทียนชักโมโห “หลงเซิน! ผมมาปรึกษาคุณดี ๆ แต่คุณกลับข้ามหัวอธิบดีเจี่ยงขึ้นไปหาผู้อาวุโสจงเนี่ยนะ คุณหมายความว่าไง! ถึงตอนนั้นถ้าเบื้องบนถามความเห็นผมเรื่องนี้ ผมจะไม่มีทางเห็นด้วยเลย!”
หลงเซิน “พวกเราเป็นคนจับตัวฟุจิคาวะ รองอธิบดีซ่งก็ตอบตกลงแล้ว ถึงตอนที่เบื้องบนมาสอบถามความเห็น รองอธิบดีอู๋อาจเป็นคนเดียวที่เห็นต่าง”
“ได้ ครั้งนี้ถึงทีคุณ!” อู๋ปิ่งเทียนแค่นหัวเราะ ตัดสายไปทันที
เขาวางสาย เห็นเซี่ยชิงหนิงออกมาจากห้องพักผู้ป่วยพอดี
อาการบาดเจ็บของเซี่ยชิงหนิงไม่นับว่าหนักหนา หล่อนได้แผลภายนอกเพียงเล็กน้อย และไม่ต้องอยู่โรงพยาบาล ตอนนี้พักค้างคืนอยู่ที่โรงแรมข้างสถานที่ทำการชั่วคราว จึงแวะมาเยี่ยมเพื่อน ๆ ทุกวัน
เมื่อเห็นหลงเซินเดินเข้ามา หล่อนจึงรีบหยุดทัก
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ รองอธิบดีหลง!”
หลงเซินพยักหน้าน้อย ๆ
“รองอธิบดีหลง!” หล่อนเรียกอีกฝ่าย ลังเลชั่วครู่ ในที่สุดก็ถามไปว่า “ฟุจิคาวะ อาโออิ ยังอยู่ในกำมือพวกเราหรือเปล่าคะ”
หลงเซิน “ใช่”
เซี่ยชิงหนิงเอ่ย “ฉันได้ยินว่าฟุจิคาวะมีชื่อเสียงมากในญี่ปุ่น ทางญี่ปุ่นต้องมาขอตัวเขากลับไปแน่ ๆ พวกเราคงไม่ถูกกดดันจนต้องคืนตัวเขาไปให้พวกนั้นใช่ไหมคะ”
หลงเซินบอก “เบื้องบนมีข้อพิจารณาของเบื้องบน ไม่ว่าจะในสถานการณ์ไหน พวกเราก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง แต่ว่าต่อให้ต้องคืนตัวไปจริง ๆ ก็ต้องให้พวกเขาจ่ายค่าตอบแทนจำนวนหนึ่ง ไม่มีทางปล่อยตัวกลับไปฟรี ๆ”
คำพูดช่วงแรกทำให้เซี่ยชิงหนิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เมื่อได้ยินประโยคหลัง หล่อนถึงแสดงท่าทีโล่งใจ
“งั้นก็ดีค่ะ ขอแค่ไม่ได้ส่งตัวกลับไปเฉย ๆ ฉันคิดว่าวิญญาณในปรโลกของโจวเย่ว์กับสิงเฉียวเซิงจะได้รับรู้ว่าการเสียสละของพวกเขาคุ้มค่า”
รอยยิ้มของเซี่ยชิงหนิงปกปิดความเจ็บปวดได้อย่างยากเย็น ตั้งแต่ฝึกอบรมมา เธอสนิทสนมกลมเกลียวกับโจวเย่ว์และโอวหยางอิ่นที่สุด ขนาดตงจื้อยังเสียใจต่อการจากไปของเพื่อนร่วมทาง นับประสาอะไรกับเซี่ยชิงหนิง
“ประเทศชาติกับประชาชนไม่เคยลืมเลือนทุกคนที่ทำเพื่อประเทศ”
กล่าวประโยคนี้จบ หลงเซินก็เดินจากไป
เซี่ยชิงหนิงมองร่างอีกฝ่ายที่ค่อย ๆ ห่างออกไป ก่อนก้มหน้าต่ำ กะพริบไล่ความเปียกชื้นในดวงตาออกไป
[1] สำนวนหมายถึงคนฉลาดหลักแหลม มีความสามารถ มีไหวพริบสติปัญญาโดดเด่น หรือมีพื้นภูมิดี มีคนคอยให้การสนับสนุน
[2] ดอกไม้เป็นสีแดงเพราะถูกเลือดอาบย้อม หมายถึง ให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับรู้ว่ารสชาติของการถูกทำร้ายจนเลือดตกยางออกเป็นยังไง