แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ
步天纲 (Bu Tian Gang)
梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน
ลลิตา ธ. แปล
นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 65
สองสามวันหลังจากนั้น ตงจื้อหลับ ๆ ตื่น ๆ นาฬิกาชีวิตรวนไปหมด บางครั้งเขารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตอนเย็น ดูโทรทัศน์นิดหน่อยแล้วก็ผล็อยหลับไป ตื่นมาอีกทีก็เป็นตอนกลางวันแล้ว บางครั้งก็หลับไปหลายครั้งในระหว่างวัน
อาจเพราะการนอนไม่เป็นเวลา เขาไม่ได้พบหลงเซินอีกเลย จึงได้แต่สอบถามเอาจากพี่พยาบาลด้วยความผิดหวัง ถึงรู้ว่าจริง ๆ แล้วอาจารย์สุดที่รักของเขาเคยมาที่นี่สองสามหน เพียงแต่ทุกครั้งเขาหลับอยู่ตลอด อีกฝ่ายเลยอยู่แค่เดี๋ยวเดียวแล้วออกไป
ตงจื้อเองก็ทำอะไรไม่ได้กับกิจวัตรการนอนหลับของตนในสภาพนี้ เรียกได้ว่าตอนนี้เขารู้ซึ้งถึงผลข้างเคียงของการอัญเชิญวิญญาณเข้าให้แล้ว รู้สึกงัวเงียอยากนอนทั้งวันยังไม่เท่าไหร่ แต่ร่างกายยังอ่อนล้ามากด้วย ช่วงสองสามวันแรกที่เพิ่งฟื้น ขนาดนอนอยู่บนเตียง ยังรู้สึกว่าเพดานกำลังหมุนคว้าง ตอนนี้ดีขึ้นหน่อย ลุกขึ้นมาเดินเหินได้ครึ่งชั่วโมงโดยไม่เวียนหัว แต่ก็ยังต้องเอนตัวนอนมาก ๆ หลับมาก ๆ อยู่ดี ราวกับสมองได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรงอย่างไรอย่างนั้น
มิน่าล่ะอาจารย์ถึงออกคำสั่งขั้นเด็ดขาดห้ามไม่ให้เขาอัญเชิญวิญญาณอีก ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ตงจื้อรู้ดีว่าร่างกายตนเองต้องพังแน่ ชายหนุ่มอดรู้สึกผวาย้อนหลังไม่ได้ ทุกวันที่เขาลืมตาตื่น ตงจื้อจะฝึกถู่น่า อาศัยความมุมานะฝึกฝน ในที่สุดเวลาที่เขารู้สึกตัวตื่นก็เพิ่มมากขึ้น
กู้เหม่ยเหรินแวะมาเยี่ยมเขา เล่าว่าก่อนหน้านี้หลินเซวียนเคยแวะมาเยี่ยมด้วย ตอนแรกจะมาบอกลา แต่เขาหลับอยู่ อีกฝ่ายนั่งอยู่เดี๋ยวเดียวก็ไป ก่อนไปได้ขอให้กู้เหม่ยเหรินส่งความปรารถนาดีมาให้ เขาบอกว่าขอโทษจริง ๆ แถมยังทิ้งเข็มทิศเรือนหนึ่งไว้เป็นของขวัญแทนคำขอโทษด้วย บอกว่าไว้ในอนาคตตงจื้อไปเป็นแขกของตระกูลหลินเมื่อไหร่ ตนจะให้การต้อนรับเป็นอย่างดีแน่นอน
จากการตรวจสอบยืนยันของหลงเซิน เข็มทิศเรือนนี้เป็นมรดกของปรมาจารย์ฮวงจุ้ยท่านหนึ่งในยุคชิง ไม่เพียงแต่เป็นของโบราณเท่านั้น แต่ยังมีชื่อเสียงกับจิตวิญญาณด้วย ของขวัญชิ้นนี้ไม่ใช่การให้แบบขอไปที หลงเซินบอกให้ตงจื้อเก็บไว้ แต่เขาไม่ชินกับการใช้เข็มทิศจริง ๆ คิดว่าตัวเองใช้เข็มทิศในโทรศัพท์มือถือก็ดีอยู่แล้ว ภายหลังจึงส่งต่อให้เหออวี้ไป
หลังจากไปเดินเล่นที่ใต้พื้นดินมารอบหนึ่ง จะพูดยังไงก็เคยร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา ตงจื้อไม่ได้ถือสาการกระทำในอดีตของหลินเซวียนเท่าไหร่แล้ว ถึงยังไงคนที่อยู่ในสังคม ใครบ้างล่ะที่ไม่เคยมีเรื่องลำบากใจ เอาเข้าจริง ต่างคนต่างก็ต้องพึ่งพาความสามารถของตนกันทั้งนั้น ถ้าวันนั้นไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของตระกูลหลิน บางทีคนญี่ปุ่นพวกนั้นอาจกระทำการอุกอาจมากกว่านี้ก็ได้
ตงจื้อเข้าใจดี ในอนาคตเมื่อเขาออกไปข้างนอก แม้ชื่อเสียงในฐานะลูกศิษย์ของหลงเซิน อาจจะสร้างความหวาดกลัวให้คนชั่วมากมายต้องล่าถอย แต่ในขณะเดียวกันก็ดึงดูดผู้มีเจตนาแอบแฝงและประสงค์ร้ายเข้ามามากขึ้นด้วย ในเมื่อเขาฝากตัวเป็นศิษย์แล้ว ยิ่งไม่อาจสร้างความเสื่อมเสียให้กับชื่อเสียงของอาจารย์ได้ หากโดนจับตัวไปเพื่อบีบหลงเซิน รอให้อีกฝ่ายมาช่วย นอกจากนั่นจะไม่ใช่เรื่องดีแล้ว ตรงกันข้ามจะยิ่งขายหน้าเข้าไปใหญ่ เพราะฉะนั้นไว้เขาได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ ต้องขยันขึ้นอีกเป็นทวีคูณ
นอกจากกู้เหม่ยเหรินกับหลินเซวียน มีคนมาเยี่ยมเขาอีกหลายคน
ทุกคนอยู่โรงพยาบาลเดียวกันหมด ถูกจัดให้อยู่ชั้นเดียวกัน ต่างกันแค่ห้องพักผู้ป่วยเท่านั้น อาการบาดเจ็บของบางคนไม่หนักมาก ว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำก็แวะมาคุยเล่นทุกวัน ก่อนหน้านี้ตงจื้อหลับไม่รู้ตัว คนอื่นมาเขาก็ไม่รู้ ตอนนี้เลยได้คุยกับเพื่อน ๆ เสียที
เขาเพิ่งรู้เหมือนกันว่าหนนี้ตัวเองได้แสดงความสามารถครั้งใหญ่
การพังทลายค่อย ๆ ชะลอตัวลง ทางสำนักงานสาขาตะวันตกเฉียงเหนือเริ่มส่งคนไปช่วยเหลือและขุดค้น หลงเซินกับซ่งจื้อฉุนต่างเข้าร่วมด้วยตัวเอง ทุกคนเพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นว่าศิลาที่ปิดผนึกใต้แท่นบูชาในตอนนั้นคือเป้าหมายสำคัญที่สุดในการเดินทางมาครั้งนี้ของพวกเขา ตอนนั้นคนญี่ปุ่นต้องการระเบิดศิลาทิ้ง หลงเซินกับซ่งจื้อฉุนสาละวนอยู่กับการรับมือกับปีศาจมนุษย์ คนอื่น ๆ ต่อสู้กับหุ่นปีศาจพันศพและพวกญี่ปุ่นอย่างดุเดือด ตงจื้อคือผู้ที่หยุดยั้งไม่ให้เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ทันเวลา
เมื่อรับรู้เรื่องทั้งหมดนี้ ขนาดจางซงที่ตอนแรกคิดว่าตงจื้อความสามารถอ่อนด้อยเกินไปยังไม่มีอะไรจะพูด
แต่ทว่าสิ่งที่ชวนอัศจรรย์ใจยิ่งกว่านั้นก็คือเรื่องที่หลงเซินรับลูกศิษย์
ตงจื้อนอนป่วยติดเตียง ไม่มีเรี่ยวแรงไปโพนทะนาให้ทราบโดยทั่วกันอยู่แล้ว เพียงแต่มีครั้งหนึ่งที่ซ่งจื้อฉุนพูดเล่นกลาย ๆ บอกให้หลงเซินรีบรับลูกศิษย์ อย่ารอให้คนอื่นแย่งไปก่อนแล้วค่อยมานึกเสียดายทีหลัง หลงเซินถึงได้บอกไปว่าตนรับลูกศิษย์แล้ว
คำพูดที่กล่าวออกไปแล้วไม่อาจเรียกคืนมาได้ สร้างความตกตะลึงให้ทุกคนไปทั่ว เรื่องนี้เข้าหูคนอื่นอย่างรวดเร็ว
ทุกคนรู้ดีว่ารองอธิบดีหลงมาตรฐานสูงแค่ไหน กระทั่งเวลามีปฏิสัมพันธ์กับอีกฝ่ายก็ยังได้รับผลกระทบจากใบหน้าที่เย็นชานั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้ความรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ตำแหน่งลูกศิษย์หลงเซินจะล่อตาล่อใจยิ่งนัก แต่ผู้ที่กล้าเข้าไปท้าชิงอย่างตงจื้อกับหลิวชิงปัวก็มีอยู่ไม่มาก
หากจับตงจื้อกับหลิวชิงปัวมาไว้ด้วยกัน คนส่วนใหญ่ย่อมคิดว่าหลงเซินเอนเอียงไปทางหลิวชิงปัวมากกว่า ถึงยังไงพื้นเพครอบครัวของฝ่ายหลังก็สมบูรณ์พร้อม ส่วนตงจื้อ ‘ออกบวชกลางคัน [1] ’ คนเป็นอาจารย์ย่อมนิยมชมชอบลูกศิษย์ที่ตัดภาระทางจิตใจไปได้มากกว่า ขนาดปาซางกับกู้เหม่ยเหรินยังคิดว่าตงจื้อคงมีหวังไม่มาก เพียงแต่ไม่อาจแข็งใจบอกเขาไปตามตรงก็เท่านั้น
ใครจะรู้ว่าเรื่องดันผิดไปจากที่คาดเดาเสียได้
ตงจื้อกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงเตียงขณะฟังกู้เหม่ยเหรินเล่าเรื่องพวกนี้ไปด้วย แต่ตัวเขากลับรู้สึกมึนงงเหมือนไม่อยู่กับความจริง
“นายโอเคนะ” มือของกู้เหม่ยเหรินโบกไปมาตรงหน้า ทำให้เขาได้สติกลับคืนมา
“ไม่เป็นไร” ตงจื้อยิ้ม
กู้เหม่ยเหรินค่อนข้างกังวล “เดี๋ยวนี้นายเอาแต่เหม่อตลอดเวลา สภาพจิตใจไม่ค่อยดีเลย รองอธิบดีหลงว่าไงบ้าง”
ตงจื้อขยี้ตา “เขาบอกว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะตอนฉันอัญเชิญวิญญาณใช้พลังจิตกับพลังกายมากเกินไป ตอนนี้เลยได้แต่ชดเชยกลับมาทีละน้อย”
ปาซางตบไหล่เขา ทำเอาตงจื้อเกือบล้มกลับไปนอนบนเตียงใหม่ เขาอดอึ้งไม่ได้ “ทำไมนายอ่อนแอขนาดนี้”
ตงจื้อหาวฟอด “ฉันกลายเป็นหลินไต้อวี้ [2] ชั่วคราว พวกนายต้องทะนุถนอมฉันดี ๆ”
ปาซาง “ไม่เป็นไร ไว้ฉันกลับบ้านจะเอาถั่งเช่ามาให้นายบำรุงร่างกายสักกล่อง ว่าแต่นายฝากตัวเป็นศิษย์รองอธิบดีหลงแล้วจริงดิ”
ตงจื้อ “รู้กันทั่วแล้วเหรอ”
ปาซางกับกู้เหม่ยเหรินพยักหน้าทั้งคู่
ตงจื้อรู้สึกเขินนิด ๆ นอกเหนือจากนั้นคือความยินดีที่ได้ป่าวประกาศความสัมพันธ์ รับรู้ถึงรสชาติแห่งความสำเร็จที่สวรรค์ไม่ทรยศต่อความพยายาม
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้เขาขยับตัวสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ตงจื้ออยากลงจากเตียงไปเต้นระบำให้รู้แล้วรู้รอด
กู้เหม่ยเหรินบอก “หลายวันมานี้หลิวชิงปัวทำหน้าบึ้งตลอด เขาคงโกรธแย่เลย”
ตงจื้อยิ้มร่า “ไม่เป็นไรหรอก เขาก็แค่ทำเล่นใหญ่ไปงั้น!”
“ใครเล่นใหญ่” หลิวชิงปัวเดินเข้ามาจากข้างนอก สีหน้าหวาดระแวง “เหมือนฉันจะได้ยินคนกำลังนินทา”
ตงจื้อบอกอย่างใสซื่อ “นายฟังผิดแล้วมั้ง กำลังชมว่านายองอาจผึ่งผาย สู้ลมเป็นต้นยูคาลิปตัสต่างหาก!”
“น้อย ๆ หน่อย!” หลิวชิงปัวทำท่าขยะแขยง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เหมือนนายจะค่อยยังชั่วแล้วนี่ ลุกขึ้นมาจ้อได้แล้ว!”
ตงจื้อบอกด้วยท่าทางน่าสงสาร “นี่เรียกว่าค่อยยังชั่วแล้วเหรอ แต่ก่อนฉันชอบกินกั้งมาก ช่วงนี้กินอะไรไม่ลงเลย พอเห็นของกินปุ๊บก็รู้สึกคลื่นไส้ปั๊บ กว่าจะออกจากโรงพยาบาลคงได้ผอมไปหลายกิโลฯ”
หลิวชิงปัว “ก็ยังดีกว่าเฉินสวินแล้วกัน รายนั้นยังนอนอยู่ในห้องไอซียู ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตายอยู่เลย!”
ตงจื้อ “เขาเป็นยังไงบ้าง”
หลิวชิงปัว “ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังไม่รู้สึกตัว”
ทันใดนั้นกู้เหม่ยเหรินก็เอ่ยขึ้น “ฉันได้ยินมาว่าเหมือนครั้งนี้จะมีคนขวัญเสีย อยากถอนตัวด้วย?”
ตงจื้อตะลึง “ใคร”
รอดพ้นภยันตรายมาด้วยความลำบากยากเย็น ผู้ที่เหลือรอดจากวิบากกรรมครั้งใหญ่มาได้มีทั้งคนที่แสดงความดีอกดีใจ คนที่ฮึกเหิมไปด้วยความกล้าหาญและใจที่อยากเอาชนะมากขึ้น และแน่นอนว่าต้องมีคนที่กลัวหัวหด
ตงจื้อนึกถึงฉือปั้นเซี่ยทันที
คล้ายหลิวชิงปัวอ่านความคิดเขาออก จึงบอกไปว่า “ไม่ใช่ฉือปั้นเซี่ย แต่เป็นโอวหยางอิ่น ได้ยินว่ากำลังทำเรื่องแจ้งแล้ว”
พูดถึงตรงนี้เขาก็มุ่ยปาก “ไปได้ก็ดี ขี้ขลาดนักก็อย่าเข้ามาในวงการนี้เลย!”
กู้เหม่ยเหรินปิดปากเงียบ จริง ๆ ตอนที่เผชิญอันตรายอยู่ในนั้น หล่อนก็นึกอยากถอยกรูดหลายครั้งหลายหนเหมือนกัน คิดว่าหลังออกไปจะทำเรื่องลาออกด้วยซ้ำ แต่พอได้ออกมาจริง ๆ ความคิดก็เปลี่ยนไป เทียบกับการไปจากกรมจัดการคดีพิเศษ หล่อนเริ่มคุ้นเคยกับจังหวะย่างก้าวที่ตื่นเต้นเร้าใจนี้มากกว่า พอกลับมาสงบก็รู้สึกไม่ชินซะอย่างนั้น
หลิวชิงปัวเหลือบมองพวกเขาแวบหนึ่ง “พวกนายออกไปก่อน ฉันมีเรื่องจะคุยกับตงจื้อ”
กู้เหม่ยเหรินกับปาซางสบตากัน ต่างคนต่างเป็นห่วงว่าเขาจะบันดาลโทสะ ระดมหมัดต่อยตงจื้อในห้องพักฟื้นเพราะเรื่องที่หลงเซินรับลูกศิษย์
เมื่อเห็นตงจื้อพยักหน้า ทั้งคู่ถึงได้ออกไป กู้เหม่ยเหรินยังไม่วางใจนัก “มีอะไรตะโกนเรียกพวกเราได้เลยนะ”
หลิวชิงปัวกลอกตา
ตงจื้อหาววอดหนึ่ง “นายเอากระบี่เฟยจิ่งออกมาหรือยัง”
ไม่ถามก็แล้วไป พอถามแล้วหลิวชิงปัวก็หน้าบึ้งทันที เขากัดฟัน กล่าวเน้นย้ำทีละพยางค์ “เอา-มา-ได้-หรือ-ไม่-ได้ นาย-ไม่-รู้-อยู่-แก่-ใจ-สัก-นิด-เลย-เหรอ”
ตงจื้องง “ก็ไม่น่ะสิ ตอนหลังฉันไม่ได้อยู่กับนายสักหน่อย!”
หลิวชิงปัวบอกด้วยความเดือดดาล “ก็ต้องไม่อยู่แล้วสิโว้ย! น้ำในแม่น้ำลึกขนาดนั้น ฉันจะเอามาได้ยังไง! นายลองกลับไปเอาให้ฉันดูสิ!”
ตงจื้อหัวเราะ “แบบนี้เขาเรียกว่าเสียสละส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมไม่ใช่เหรอ ต่อไปถ้ามีโอกาสค่อยไปเอากลับมาก็ได้ อีกอย่างฉันจำได้ว่าบ้านนายมีกระบี่ตั้งเยอะ!”
หลิวชิงปัวมีสีหน้านิ่งขรึมลง “รองอธิบดีหลงรับนายเป็นลูกศิษย์แล้วจริง ๆ เหรอ”
ตงจื้อพยักหน้า “ขอโทษด้วยนะ ฉันไม่ได้จงใจปิดบังนาย เรื่องที่รองอธิบดีหลงรับฉันเป็นลูกศิษย์เกิดขึ้นหลังจากที่พลัดหลงกับนายแล้ว ตอนหลังเหตุการณ์วุ่นวาย ฉันก็อยู่โรงพยาบาลตลอด เลยไม่มีโอกาสได้บอกนายเสียที”
หลิวชิงปัวขัดใจ “ฉันมีตรงไหนที่สู้นายไม่ได้ ประจบสอพลอไม่เก่งเท่านาย?”
ตงจื้อหาวอีกวอด จำนวนครั้งที่เขาหาวตอนนี้กำลังจะไล่ทันเวลายี่สิบกว่าปีที่มีชีวิตอยู่แล้ว
“เหล่าหลิว นายพูดแบบนี้ก็สวยสิ นายคิดว่ารองอธิบดีหลงเป็นคนชอบฟังคำพูดหวาน ๆ หรือไง ถ้าเป็นเรื่องจริงคงไม่ต้องถึงคิวฉันหรอก ก่อนหน้าฉันมีคนที่เก่งกว่าอีกเป็นกระบุง ฉันไม่รู้ว่ารองอธิบดีหลงบอกนายยังไงนะ แต่ฉันคิดว่าที่รองอธิบดีหลงไม่รับนาย คงเพราะมีข้อพิจารณาของตัวเองแน่ ไม่อย่างนั้นจะรับเราไว้ทั้งสองคนก็ได้ไม่ใช่เหรอ”
หลิวชิงปัวปิดปากเงียบ
ตงจื้อพูดถูกจริง ๆ นั่นแหละ ตอนที่เขาไปหาหลงเซินเพื่อยืนยัน หลงเซินบอกว่าพื้นฐานของเขาไร้ที่ติอยู่แล้ว สิ่งที่ขาดคือการปรับตัวและทัศนคติ ขอเพียงปรับทั้งสองอย่างนี้ให้ได้ ต่อให้ไม่ฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์ การก้าวข้ามขีดจำกัดก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี สำหรับเขา การกราบอาจารย์เป็นเพียงเรื่องที่เกินความจำเป็น เพราะปัญหาของเขาไม่ได้อยู่ที่มีหรือไม่มีอาจารย์มาตั้งแต่แรก
หลิวชิงปัวยังจำได้ ตอนนั้นตนถามไปว่า ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงยอมรับตงจื้อ เขาอ่อนแอขนาดนั้น ได้รับการฝึกสอนแล้วจะรู้สึกประสบความสำเร็จมากกว่าหรือไง
หลงเซินบอก “ลักษณะเฉพาะตัวของนายดีกว่าตงจื้อ มีทัศนะที่ถูกต้องต่อการใช้กระบี่ของตัวเองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเสริมลายดอกไม้ลงไปบนผ้าดิ้นเงินดิ้นทองอีก แค่ต้องเดินไปตามเส้นทางของตัวเองต่อไป ส่วนเขาเป็นเหมือนกระดาษขาวในแง่การใช้กระบี่ จำเป็นต้องได้รับการชี้แนะ”
ต่อให้หลิวชิงปัวรู้สึกไม่เต็มใจแค่ไหน เขาก็ต้องยอมรับอย่างเสียไม่ได้ว่าคำพูดของหลงเซินมีเหตุผล
เพราะตอนที่หลงเซินสอนพวกเขา ทุกสิ่งที่เขาพูด หลิวชิงปัวมักตั้งข้อสงสัยก่อนเสมอ จากนั้นจึงค่อยขบคิดและตรวจสอบหนึ่งรอบถึงจะเชื่อ นี่คือปฏิกิริยาตอบสนองที่เป็นไปตามธรรมชาติของผู้ที่เข้าสู่วิถีกระบี่แล้ว แต่ตงจื้อกลับเลือกที่จะเชื่อ จากนั้นก็ทำตามที่หลงเซินบอกโดยไม่แย้งอะไร
นี่คือสิ่งที่ทั้งคู่แตกต่างกันที่สุด
ตงจื้อปลอบใจอีกฝ่าย “เอาละ ๆ อาจารย์เป็นผู้นำทาง แต่ศิษย์ต้องก้าวเดินด้วยตัวเอง ถ้าฉันเป็นดินเละ ๆ ที่พยุงกำแพงไม่ได้ ฝากตัวเป็นลูกศิษย์รองอธิบดีหลงไปก็ไม่ช่วยอะไรขึ้นมา อย่างมากก็แค่เลี้ยงหม้อไฟนายทีหลัง ถ้ามื้อหนึ่งไม่พอก็สองมื้อ!”
หลิวชิงปัวกลอกตา “นายเลี้ยงฉันแล้วฉันต้องไปหรือไง”
รออยู่นานแต่ไม่ได้รับคำตอบ เขาจึงลดศักดิ์ศรีลง เคลื่อนลูกนัยน์ตาลงมาจากเพดาน ทันทีที่เห็นก็รู้สึกเลื่อมใสอย่างแท้จริง
อีกฝ่ายหลับคอพับไปแล้ว มือที่ยกหาวยังไม่ทันวาง ยังค้างอยู่บนหน้าท้องอยู่เลย
ตงจื้อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลิวชิงปัวออกไปเมื่อไหร่ เขากิน ๆ นอน ๆ อยู่แบบนั้น ใช้ชีวิตราวกับหมูไปอีกครึ่งเดือน จวบจนอาจารย์กับหมอประกาศว่าเขาไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ถึงได้เดินทางกลับพร้อมทุกคนในที่สุด
ช่วงครึ่งเดือนมานี้มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้น
เฉินสวินพ้นขีดอันตรายและได้สติแล้ว ได้ยินว่าเขาคิดจะถอนตัว บรรดาผู้บังคับบัญชาก็เคารพความต้องการของเขา แต่สุดท้ายโอวหยางอิ่นตัดสินใจอยู่ที่กรมจัดการคดีพิเศษต่อ เพียงแต่เขาจะไปทำงานธุรการอยู่ที่ฝ่ายพลาธิการ ไม่อยู่แนวหน้าแล้ว
ไม่ใช่แค่เฉินสวิน แต่ยังมีอีกสองคนที่ผ่านการผจญภัยครั้งนี้มา ซึ่งถึงแม้จะรอดชีวิตมาได้แต่ก็ถอนตัวออกไปเช่นกัน ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรก็ใช่ว่าทุกคนเต็มใจที่จะเอาชีวิตมาเสี่ยง
ดังนั้น ตัดโจวเย่ว์กับสิงเฉียวเซิงที่เสียชีวิตออกไป คนที่เหลือจนถึงตอนท้ายจึงมีสิบสี่คน
ฝั่งหลงเซินมีฟุจิคาวะ อาโออิ อยู่ในกำมือ ส่วนซ่งจื้อฉุนเป็นคนออกหน้า เริ่มการเจรจาชักเย่อกับทางญี่ปุ่น
ด้วยการยืนกรานของพวกเขา กอปรกับผู้อาวุโสจงร้องขอไกล่เกลี่ยให้ในระหว่างนั้น สุดท้ายเบื้องบนจึงเห็นชอบกับแผนการของพวกเขา ขอให้ทางญี่ปุ่นนำตัวต่งจี้หลานมาแลก แต่ทางญี่ปุ่นส่งตัวมาไม่ได้เสียที สุดท้ายถึงขั้นยอมใช้ตัวสายลับอีกคนซึ่งถูกกักขังอย่างลับ ๆ มาเป็นเวลาหลายปี กับของโบราณระดับสมบัติชาติชิ้นหนึ่ง รวมถึงเงินห้าสิบล้านเหรียญสหรัฐฯ มาแลกตัวฟุจิคาวะ อาโออิ กลับประเทศไปโดยสวัสดิภาพ จนถึงตอนนี้ แม้แต่หลงเซินยังต้องยอมรับความจริงอย่างเสียไม่ได้ว่าต่งจี้หลานได้สละชีพไปแล้ว
ตงจื้อกับคนอื่นเพิ่งมารู้เรื่องพวกนี้ในภายหลัง
ตอนนี้พวกเขาแค่ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองอย่างเดียว เรื่องอื่นยังมีคนคอยดูแลอยู่เบื้องหลังให้เงียบ ๆ
อีกด้านหนึ่ง ด้วยความร่วมมือของสำนักงานสาขาและกองกำลังในการขุดค้น แท่นบูชาซึ่งเป็นที่ตั้งของศิลาได้ถูกค้นพบแล้ว แท่นบูชาถูกขุดขึ้นและได้รับการคุ้มครองแยกต่างหากอยู่ในเขตหวงห้ามทางการทหาร โดยได้ร่วมแรงกับผู้อาวุโสจากหลงหู่ซานและเหมาซานในการปูค่ายยันต์เป็นเขตอาคม เท่ากับเป็นการเพิ่มการคุ้มกันอีกหนึ่งชั้นให้กับศิลา และส่งคนมาเฝ้าคุ้มกันทั้งวันทั้งคืน คราวนี้อย่าว่าแต่ฟุจิคาวะ อาโออิ เลย ต่อให้ปีศาจมนุษย์มาก็แตะต้องศิลาไม่ได้ง่าย ๆ
ก่อนกลับปักกิ่ง ตงจื้อได้ยินว่าพวกเหออวี้กับคั่นเฉาเซิงกลับมากันแล้ว แต่เขายังไม่ทันกลับไปรวมตัวกับเพื่อนเก่า เพราะทันทีที่ลงจากเครื่อง เขาพร้อมด้วยพวกหลี่อิ้งก็ถูกลากไปนอกเมือง
“คงไม่ใช่ว่ามีการประเมินกะทันหันอีกนะ” ตอนนี้ในใจของทุกคนยังหวาดเสียวไม่หาย
“ไม่หรอกมั้ง นายดูเจ้าหมอนี่ ขนาดจะเดิน เท้ายังอ่อนปวกเปียกอยู่เลย จะไปเข้าร่วมการประเมินอะไรได้” คนที่เขาพูดถึงคือตงจื้อ
ตอนอยู่บนเครื่องบิน ตงจื้อไม่ได้กินอะไรมาก ตอนนี้เขานั่งเป็นอัมพาต รู้สึกคลื่นไส้เมารถ
“ใครกินโจ๊กติดกันหนึ่งเดือนก็เท้าอ่อนกันทั้งนั้นแหละ นายเอาหม้อไฟสองซุปมาให้ฉันตอนนี้สิ ฉันจะคืนชีพ สูบฉีดเลือดเต็มหลอดให้นายดู”
หลี่อิ้งพูดยิ้ม ๆ “จะเอาบะหมี่ซอสเผ็ดอีกสักชามไหม”
ไม่รู้เป็นเพราะเมารถหนักหรือยังไง พอหลี่อิ้งพูดถึงบะหมี่ซอสเผ็ด ตงจื้อก็เอามืออุดปาก นึกอยากอาเจียนมากกว่าเดิมทันที
หลิวชิงปัวบอกอย่างไม่แยแส “นายไม่ได้เมารถ แต่แพ้ท้องต่างหากละมั้ง”
ตงจื้อหมดแรงเถียง เขากลัวตัวเองจะอาเจียนออกมาทันทีที่ปล่อยมือ
ตอนลงจากรถ สีหน้าตงจื้อยังซีดเซียวอยู่ หัวหนัก เท้าเบาโหวง
หลงเซินเห็นดังนั้นจึงบอก “เอามือมานี่”
ตงจื้อนึกว่าอาจารย์จะลูบมือปลอบใจตน รีบกุลีกุจอยื่นมือไปให้
แต่กลับเห็นหลงเซินเล็งไปที่ตำแหน่งง่ามนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ของเขา แล้วหยิกทันที
“โอ๊ย!!!”
เสียงร้องโหยหวนทำให้นกในป่าจำนวนมากตื่นตกใจ
หลงเซิน “ดีขึ้นหรือยัง”
ตงจื้อน้ำตาคลอเบ้า โมโหแต่ไม่กล้าแสดงออก เขากล้ำกลืนความเจ็บพลางพยักหน้า เกรงว่าหลงเซินจะซ้ำอีกรอบ
หลงเซินบอก “ต่อไปเวลาเมารถให้กดจุดตรงนี้ จะเห็นผลทันที”
ถึงจะได้ผล แต่มันก็ต้องใช้ความเจ็บมาเบี่ยงเบนความสนใจนะ!
ตงจื้อตระหนักว่าตั้งแต่ที่ตนฝากตัวเป็นศิษย์ การสัมผัสใกล้ชิดเนื้อตัวผู้เป็นอาจารย์ก็มากขึ้นตามไปด้วย อย่างเช่นเวลาที่อาจารย์ให้คำแนะนำตอนฝึกกระบี่ตามลำพังก็จะจับมือเขาสอนด้วยตัวเอง แต่ขณะเดียวกัน เมื่อหลงเซินลงมือเอง อีกฝ่ายก็ไม่ปรานีแม้แต่น้อย ถึงขั้นเข้มงวดกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำ ตอนไหนที่ควรด่าควรดุยิ่งไม่เคยใจอ่อน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับความริษยาของหลิวชิงปัว ตงจื้อก็ยังแสร้งทำเป็นสบาย ๆ ชิว ๆ พร้อมกับกลืนเลือดและน้ำตาลงท้องไปด้วย
นี่มันช่างเป็นชีวิตที่คลุกเคล้าไปด้วยความสุขปนเศร้าจริง ๆ
หลังลงจากรถและทุกคนมองเห็นจุดหมายปลายทาง พวกเขาคิดว่านี่ต้องเป็นการฝึกอีกครั้งอย่างแน่นอน
ป่าทึบ ทางเดินหิน เงียบสงัดไร้ผู้คน
ใครจะรู้ว่าความตื่นเต้นหวาดเสียวแบบที่คิดกลับไม่มีมาจนแล้วจนรอด หลงเซินกับซ่งจื้อฉุนนำทางพวกเขาเดินเข้าไปในส่วนลึกของสุสาน
มีคนหลายคนรอพวกเขาอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว
อธิบดีเจี่ยงกับอู๋ปิ่งเทียนอยู่หน้าสุด
ตงจื้อทอดสายตามองไป มีแต่คนหน้าคุ้น ๆ ทั้งนั้น พวกเหออวี้ก็อยู่ด้วย
ทุกคนสวมสูทสีดำกับชุดจงซาน [3] เมื่อเหออวี้เห็นเขาก็ทำเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้ทักทาย หัวเราะเฮฮาอย่างที่แล้วมา
ป้ายจารึกหน้าหลุมศพซ้ายขวาสองด้าน เป็นชื่อของโจวเย่ว์กับสิงเฉียวเซิง
รอจนพวกตงจื้อยืนนิ่งแล้ว อู๋ปิ่งเทียนจึงกวาดตาไปรอบ ๆ ก่อนเอ่ย “วันนี้ มีข่าวเรื่องหนึ่งที่จะประกาศให้ทุกคนทราบ สาเหตุที่เรามาที่นี่ในวันนี้ก็เพราะโจวเย่ว์กับสิงเฉียวเซิง พวกเขาก็เหมือนกับพวกเธอ คือจะได้กลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งของกรมจัดการคดีพิเศษอย่างเป็นทางการในวันนี้ เพียงแต่พวกเขาหลับใหลอยู่ใต้พื้นดิน แต่พวกเธอยังยืนอยู่ที่นี่และฟังฉันพูดได้
“ฉันรู้ เดิมทีแล้วข่าวดีนี้ควรประกาศอย่างเป็นทางการอยู่ในหอประชุมใหญ่ ที่ซึ่งทุกคนแต่งตัวกันเต็มยศ แต่เพื่อนทั้งสองอย่างสิงเฉียวเซิงกับโจวเย่ว์ พวกเขาไม่มีวันได้สวมใส่เสื้อผ้าที่ดูดีอย่างพวกเธอ ไปตามนัดหมายกับเพื่อน คนที่รัก และร่วมเฉลิมฉลองกับพวกเขาได้อีกแล้ว ดังนั้นเพื่อให้พวกเขาได้เข้าร่วมพิธีรับเข้าทำงาน สุดท้ายพวกเราเลยเลือกมาที่นี่ เพื่อประกาศข่าวดีนี้กับทุกคน”
ใบหน้ายิ้มแย้มสองดวงที่เคยมีชีวิตอยู่ บัดนี้กลายเป็นภาพถ่ายแข็งทื่อบนป้ายหลุมศพไปตลอดกาล
หลายคนก้มหน้าเงียบ ๆ ดวงตาแดงก่ำ
อู๋ปิ่งเทียน “ฉันขอประกาศให้ โจวเย่ว์ สิงเฉียวเซิง หลี่อิ้ง ตงจื้อ หลิวชิงปัว จางซง ปาซาง ฯลฯ รวมทั้งสิ้น16 คน กลายเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของกรมบริหารจัดการคดีพิเศษแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ลำดับต่อไป ขอเชิญพวกเธอกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตามฉัน”
“ข้าพเจ้าเต็มใจอุทิศตนเพื่อประเทศชาติและประชาชน”
“ข้าพเจ้าเต็มใจอุทิศตนเพื่อประเทศชาติและประชาชน!”
“รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนอย่างรอบคอบ จงรักภักดีเพื่อประเทศชาติ”
“รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนอย่างรอบคอบ จงรักภักดีเพื่อประเทศชาติ!”
“ปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม”
“ปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม…”
อู๋ปิ่งเทียนยืนหน้าป้ายหลุมศพ เขาอ่านหนึ่งประโยค ทุกคนอ่านตามหนึ่งประโยค
จากเสียงที่ไม่สอดประสานกันในตอนแรก กลายเป็นดังกังวานและพร้อมเพรียงขึ้นเรื่อย ๆ
ใบไม้ปลิวไปตามแรงลม แสงอาทิตย์รำไร เกิดเสียงดังสวบสาบ มันคือการตอบสนองเงียบ ๆ ของโจวเย่ว์กับสิงเฉียวเซิง
คำกล่าวสาบานเสร็จสมบูรณ์ อู๋ปิ่งเทียนเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ขั้นตอนการรับเข้าทำงานอย่างเป็นทางการ ทางกรมดำเนินการให้พวกเธอแล้ว ปีนี้สมาชิกทุกคนที่เพิ่งเข้าสำนักงานใหญ่จะมีระยะเวลาทดลองงานหนึ่งถึงสองปี ในระหว่างนั้นจะถูกจัดสรรให้ไปฝึกงานที่สำนักงานสาขา เบื้องบนจะเป็นผู้เจาะจงหน่วยงานเฉพาะให้เอง อีกประมาณหนึ่งสัปดาห์น่าจะรู้ผล ช่วงนี้พวกเธอพักผ่อนกันให้เต็มที่ ถือเสียว่าพักร้อน”
ทุกคนตะลึงงัน
พวกเขานึกว่าพอผ่านการสอบภาคปฏิบัติเข้าสู่สำนักงานใหญ่แล้ว ต่อไปก็จะได้ทำงานอยู่ในสำนักงานใหญ่ตลอดไป ไม่คิดว่าจะมีช่วงทดลองงานด้วย
มีคนถามขึ้นว่า “รองอธิบดีอู๋ แล้วช่วงทดลองงานมีการคัดคนออกไหมครับ”
อู๋ปิ่งเทียน “มีสิ ช่วงทดลองงานก็เป็นการทำงานประจำ ถ้าเจอคดียาก พวกเธอก็ต้องไปทำเหมือนกัน”
เขาเห็นทุกคนไม่มีอะไรจะถามแล้วจึงบอก “ขอเชิญอธิบดีเจี่ยงกล่าวอะไรกับทุกคนสักหน่อยครับ”
ท่ามกลางเสียงปรบมือ อธิบดีเจี่ยงกระแอมไอ แล้วค่อย ‘กล่าวอะไรสักหน่อย’ เริ่มจากให้การยอมรับผลงานของทุกคนในการเดินทางสู่อิ๋นชวน รำลึกถึงความเสียสละของโจวเย่ว์และสิงเฉียวเซิง แล้วค่อยหวนคิดถึงอดีตครั้นเผชิญหน้ากับปัจจุบัน สนับสนุนให้ทุกคนเอาอย่างเพื่อนพ้องผู้เสียสละ ต่อสู้อย่างกล้าหาญชาญชัยในแนวหน้าต่อไป
ตงจื้อจ้องป้ายหลุมศพของโจวเย่ว์กับสิงเฉียวเซิงอย่างเหม่อลอย รู้สึกเหมือนเห็นภาพหลอนว่าพวกเขาสองคนจะกระโดดออกมาจากหลุมศพและกลุ้มรุมอธิบดีเจี่ยงในวินาทีถัดไป
ความคิดดังกล่าวทำให้รู้สึกขบขันและเจ็บปวดอยู่ในทีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โชคดีที่ทุกคนคุ้นเคยกับสไตล์ของอธิบดีเจี่ยงอยู่แล้ว ก่อนอีกฝ่ายจะกล่าวจบก็นึกขึ้นได้ในที่สุดว่าข้าง ๆ กันยังมีรองอธิบดีอีกสองคน
อธิบดีเจี่ยงเหลียวมองหลงเซิน “รองอธิบดีหลงก็พูดอะไรสักสองประโยคสิ”
หลงเซินเป็นคนประเภทพูดกระชับแต่ได้ใจความมาแต่ไหนแต่ไร บอกว่าสองประโยคก็สองประโยคจริง ๆ “ฉันไม่ต้องการให้พวกเธอเป็นทหารหนีทัพ และหลังจากนี้ไปก็ไม่ต้องการให้ที่นี่มีป้ายหลุมศพของพวกเธอเพิ่มขึ้นด้วย”
ส่วนซ่งจื้อฉุนอ่อนโยนกว่ามาก เขายิ้มให้ทุกคนเล็กน้อย “ทุกคนเพิ่งก้าวพ้นความเป็นความตายมา ผ่านครั้งนี้ไป พวกเธอจะค่อย ๆ เติบโตไปเป็นนักสู้คนหนึ่งที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ฉันไม่มีเรื่องอื่นจะกำชับ หวังเพียงทุกคนจะตั้งใจทำงานในช่วงทดลองงาน สิ้นปีหน้าจะมีงานชุมนุมแลกเปลี่ยนผู้บำเพ็ญเพียรระดับโลก ถึงตอนนั้นจะมีการแข่งขันระหว่างนานาประเทศ ฉันหวังว่าจะได้เห็นภาพพวกเธอช่วงชิงเกียรติยศเพื่อประเทศ”
เป็นพิธีเข้ารับทำงานที่พิเศษมาก
ตงจื้อเคยได้ยินพวกเหออวี้เล่าว่าในอดีต พิธีเข้ารับตำแหน่งทั้งหมดจะจัดขึ้นที่ชั้นดาดฟ้าหรือไม่ก็หอประชุมใหญ่ของกรมจัดการคดีพิเศษ ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้จะเปลี่ยนมาเป็นที่สุสานแทน
และนี่คงเป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่มีทางลืมเลือนไปชั่วชีวิต รวมถึงตัวเขาเองด้วย
ตงจื้อยังจำได้ หลงเซินเคยบอกว่าตัวเขาอยู่มาตั้งแต่ก่อนกรมจัดการคดีพิเศษจะก่อตั้ง ถ้าอย่างนั้นอีกฝ่ายก็น่าจะเคยเห็นความเป็นความตายของเพื่อนพ้องมานับไม่ถ้วน และเคยส่งลาคนไปเป็นจำนวนมากแล้วสินะ
คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็อดเลื่อนสายตาไปที่ร่างบุรุษชุดดำที่อยู่ข้างป้ายหลุมศพไม่ได้
ฝ่ายหลังกำลังเงยหน้า เคลื่อนสายตาจากป้ายหลุมศพของโจวเย่ว์และสิงเฉียวเซิงไปยังแผ่นหินสีขาวสะอาดแผ่นแล้วแผ่นเล่าภายในสุสาน
ป้ายหลุมศพทุกแผ่น ล้วนบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตของคนคนหนึ่งไว้
ป้ายหลุมศพทุกแผ่น ล้วนเป็นพยานถึงทุกข์สุขเบื้องหลังสันติภาพ
และเพราะมีพวกเขา จึงนำมาซึ่งความสุขและความสงบสุขของคนทั่วไป
ก่อนหน้าที่จะได้รู้จักกับหลงเซิน เหออวี้ และบุคคลเหล่านี้ ตงจื้อไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ที่ตนมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยมาจนถึงตอนนี้ ได้กินดื่ม เที่ยวเล่นสนุกสนาน ทำอะไรตามใจชอบ จะเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง
ในภายภาคหน้า จะมีสักวันไหมที่ใครคนใดคนหนึ่งในพวกเขา อาจเป็นตัวเขาเอง อาจเป็นหลี่อิ้ง ปาซาง หรือแม้กระทั่งซ่งจื้อฉุน หรือหลงเซิน ที่ต้องอุทิศร่างกายเพื่อประเทศชาติ นอนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ กลายเป็นเจ้าของป้ายหลุมศพหนึ่งในนั้น
เมล็ดพืชเล็ก ๆ ตกลงไปในดินโดยไม่ตั้งใจ ฝังลึกลงไปใต้ผืนดิน ได้รับความชุ่มฉ่ำจากหยาดฝนและน้ำค้างด้วยความบังเอิญ ทำลายอุปสรรคทีละขั้น จนในที่สุดก็แตกใบอ่อนและกิ่งก้านใหม่ เติบโตกลายเป็นทิวทัศน์ของดอกไม้นานาพันธุ์ งดงามจับตา คอยพิทักษ์ป้ายสุสานอย่างในวันนี้
แสงจากท้องฟ้าตกลงบนกลีบดอกไม้ และได้ตกกระทบลงมายังจิตใจของทุกคนด้วย
หลังพิธีเข้ารับตำแหน่ง ตงจื้อจงใจหาโอกาสเดินเคียงคู่ไปกับหลงเซิน
“อาจารย์”
หลงเซินเห็นว่าเสียงเขาค่อนข้างแหบต่ำ จึงเชยคางอีกฝ่ายขึ้น เมื่อเห็นก็เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ตาแดงระเรื่อ เพิ่งร้องไห้มาแน่ ๆ เขากลั้นยิ้มไม่อยู่
ลูกศิษย์คนนี้อารมณ์อ่อนไหวเกินไป แต่ก็เป็นเรื่องปกติ ยังไงคนที่เพิ่งตายไปก็เป็นเพื่อนของพวกเขา อย่างเหออวี้กับคั่นเฉาเซิงที่เห็นความเป็นความตายมาจนชิน ไม่ใช่ว่าไม่โศกเศร้าเสียใจ แต่ก็ไม่เหมือนเด็กใหม่ที่ไม่ทันไรก็หลั่งน้ำตาแล้ว
ตงจื้อเอ่ยเสียงขึ้นจมูกหนัก ๆ “อาจารย์ ผมจะตั้งใจ จะพยายามไม่เป็นตัวถ่วงอาจารย์ ต่อไปเวลาออกไปทำภารกิจกับอาจารย์ จะได้เป็นแขนขาของอาจารย์ได้ อาจารย์สอนวิชาให้ผมเพิ่มเถอะนะ”
หลังกราบอาจารย์ เขาไม่ได้ใช้คำพูดเป็นทางการกับอีกฝ่ายอีก แต่หลงเซินก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับรายละเอียดพวกนี้
ชายหนุ่มพยักหน้าเมื่อได้ยิน “ได้”
ตงจื้อถือโอกาสซักไซ้ “เมื่อไหร่ครับ”
หลงเซิน “ร่างกายนายหายดีแล้ว?”
ตงจื้อเกาหัว “แต่อีกหนึ่งสัปดาห์ก็จะจัดสรรคนแล้ว ผมกลัวอยู่ไกลจากปักกิ่งมากเกินไป ขอคำแนะนำไม่ทัน”
หลงเซิน “ฉันรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร”
ตงจื้อยังอยากถามต่อ แต่ทางซ่งจื้อฉุนร้องตะโกนมา “รองอธิบดีหลง” หลงเซินจึงเดินเข้าไป ทำให้ข้างกายตงจื้อว่างเปล่า
ตอนนั้นเองที่ไหล่โดนตบแรง ๆ หนึ่งที
ตงจื้อสะดุ้ง เกือบเข่าอ่อนล้มพับไปกองกับพื้น
“มีอาจารย์แล้วลืมเพื่อนเลยนะ!”
หันมองอีกที ข้างกายมีชายฉกรรจ์สูงใหญ่บึกบึนคนหนึ่งกับเด็กตัวเล็กจ้อยคนหนึ่งเพิ่มเข้ามา
เหออวี้กระดูกหักแต่ก็ยังไม่อยู่เฉย เดินกะโผลกกะเผลกทรงตัวบนไม้เท้า ยักคิ้วหลิ่วตาพลางบอก “ใช้ได้นี่หว่า พวกเราออกไปหนเดียว นายก็ซุ่มทำอะไรเงียบ ๆ สำเร็จไปหลายเรื่องเลย!”
ตงจื้อพูดยิ้ม ๆ “กำลังจะไปหาพวกนายพอดี ได้ยินว่านายได้รับบาดเจ็บตอนอยู่ยูนนาน เป็นยังไงบ้าง โอเคนะ”
“กระดูกหักเฉย ๆ เดี๋ยวถอดเฝือกก็กระโดดโลดเต้นได้แล้ว!” เหออวี้โอบไหล่เขา “หยุดพูดเรื่องไร้สาระเถอะ ได้เข้าทำงานบวกกราบอาจารย์ โชคสองชั้น ควรทำยังไงนายคงรู้สินะ”
ตงจื้อรู้งาน “เลี้ยงข้าว!”
เหออวี้ไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ “เลี้ยงกี่มื้อ”
ตงจื้อทำหน้าเซ็ง “แล้วแต่พวกนายเลย โอเคไหม”
คั่นเฉาเซิงเริ่มนับนิ้ว “มื้อแรกกินไก่ทอด มื้อที่สองอาหารตำรับราชการ มือที่สามเป็ดย่าง มื้อที่สี่หม้อไฟ มื้อที่ห้าปิ้งย่างเสียบไม้ มื้อที่หกอาหารทะเลชุดใหญ่ มื้อที่เจ็ด…”
ตงจื้อตกใจขวัญกระเจิง รีบกระวีกระวาดบอก “นายไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ เหออวี้ได้รับบาดเจ็บมาจากที่นู่น ให้เหออวี้เป็นคนเลือก!”
เหออวี้ลูบคาง ทำท่าครุ่นคิด
คั่นเฉาเซิงหรี่ตา ข่มขู่เขาแบบไม่มีเสียง
ตงจื้ออาศัยจังหวะที่คั่นเฉาเซิงไม่ได้มองมาทางนี้ ทำปากขมุบขมิบใส่เหออวี้ ‘แพ็ก-เกจ-เกม’
เหออวี้หัวเราะ “เอางี้ ตงตงน้อยออกไปคราวนี้ลำบากมาเหมือนกัน เกือบเอาชีวิตไม่รอดแน่ะ พวกเราต้องเมตตาเขาหน่อย อีกอย่าง แกะอ้วนที่ไหนเขาเชือดกินกันในมื้อเดียวล่ะ ยุคนี้เขาให้ความสำคัญเรื่องแนวคิดการพัฒนาวิทยาศาสตร์อย่างยั่งยืน เราต้องค่อยเป็นค่อยไป”
ตงจื้อ “…”
เหออวี้ “เลี้ยงแค่สามมื้อก็แล้วกัน แต่ละมื้อไม่เกินหนึ่งร้อยต่อคน”
ตงจื้อโล่งอก ชูนิ้วโป้งให้เหออวี้
เพื่อป้องกันไม่ให้สมองคั่นเฉาเซิงวนเวียนอยู่ในประเด็นเกี่ยวกับการกินอีก เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ที่ทะเลสาบฝู่เซียนเป็นยังไงบ้าง ทุกอย่างคลี่คลายหมดแล้วเหรอ”
[1] หมายถึง การเปลี่ยนงานที่ทำหรือเปลี่ยนอาชีพในภายหลัง ไม่ได้จบมาทางสายนี้ตั้งแต่ต้น
[2] ตัวละครหลักของนวนิยายเรื่องความฝันในหอแดง สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงตั้งแต่เด็ก
[3] ชุดประจำชาติสำหรับผู้ชาย คล้าย ๆ ชุดราชปะแตนของไทย มีที่มาจากชุดของ ดร. ซุนยัดเซ็น ซึ่งชื่อในภาษาจีนกลางคือ ซุนจงซาน ปัจจุบันเป็นชุดทางการของจีนที่ใส่ออกงานสำหรับข้าราชการทั่วไป