แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ
步天纲 (Bu Tian Gang)
梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน
ลลิตา ธ. แปล
นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 86
เช้าตรู่วันถัดมา ตงจื้อกับหลิวชิงปัวพบกับฮุ่ยอี๋กวงในสถานที่ถ่ายทำ
ผู้หญิงคนนี้หายจากความคับแค้นใจในอดีต หน้าตาสดใส ท่าทางมีความสุขกับชีวิตดี
ฮุ่ยอี๋กวงทักทายพวกเขาด้วยความกระตือรือร้นและสุภาพ ก่อนแจ้งข่าวไม่คาดคิดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“เมื่อวานฉันบอกผู้กำกับไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ไม่นึกว่าฝั่งนายทุนจะหาคนมาด้วยอีกสามคนค่ะ”
หลิวชิงปัวขมวดคิ้ว “ใครเหรอ มาจากกรมจัดการคดีพิเศษเหมือนกัน?”
“เปล่าค่ะ ๆ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ย!” ฮุ่ยอี๋กวงขอโทษขอโพย “ฉันรู้ว่าคนในวงการเดียวกันมักไม่ลงรอยกัน ทำแบบนี้เท่ากับไม่เคารพพวกคุณเลย แต่ก่อนหน้านั้นฉันไม่รู้เรื่องจริง ๆ ไม่อย่างนั้นวันนี้ฉันไม่มีทางให้พวกคุณสองคนมาเสียเวลาเปล่าแน่”
ตงจื้อยิ้ม “เราไม่ได้อยู่วงการเดียวกัน ไม่มีมาเขม่นกันหรอก ผมเป็นห่วงพวกเขามากกว่าว่าเจอพวกเราแล้วจะกลัว”
ฮุ่ยอี๋กวงไม่เข้าใจ
แต่หลิวชิงปัวเข้าใจความนัยของอีกฝ่าย เขาแค่นยิ้มเล็กน้อย
พวกเขาเป็นคนของกรมจัดการคดีพิเศษ และสมัยนี้พวกที่ได้ชื่อว่าเป็นปรมาจารย์โหราศาสตร์กับผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยก็มีผู้ที่ฉกฉวยผลประโยชน์ในช่วงชุลมุนไม่ว่างเว้น เหมือนนักต้มตุ๋นมาเจอตำรวจก็ต้องกลัวไม่ใช่เหรอ
ในบรรดาสามคนที่ฝั่งนายทุนเชิญมา มีอยู่สองคนที่มาเร็วกว่าพวกตงจื้อ อีกคนยังมาไม่ถึง
คนที่มาถึงแล้วสองคน คนหนึ่งเป็นชายสูงวัย มือประคองเข็มทิศอันหนึ่ง ท่าทางอัธยาศัยดี อีกคนเป็นชายวัยกลางคนที่ไว้หนวดสั้นใต้คาง สวมชุดลำลอง หน้าประดับรอยยิ้ม มีใบหน้าลึกซึ้งคาดเดาได้ยาก
ทั้งสองต่างพาผู้ช่วยของตนมาด้วย มองปราดเดียวดูภูมิฐานกว่าพวกตงจื้อเป็นไหน ๆ
ตงจื้อเห็นดังนั้นเลยบอกหลิวชิงปัวเสียงเบา “ให้นายปลอมเป็นผู้ช่วยฉันตอนนี้ยังทันไหม”
หลิวชิงปัวร้องเหอะ ทำทีว่าไม่มีทาง
พวกเขากำลังพิจารณาฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายตรงข้ามก็กำลังพิจารณาพวกเขา
ตงจื้อกับหลิวชิงปัวเด็กเกินไปจริง ๆ เด็กจนไม่เหมือนคนที่คลุกคลีอยู่ในวงการนี้ เหมือนนักแสดงวัยรุ่นที่มาเข้าฉากเสียมากกว่า
ผู้ที่เชิญกลุ่มชายสูงอายุมาเป็นเถ้าแก่ของบริษัทนายทุนเจ้าหนึ่ง เขาแนะนำกับผู้กำกับและคนอื่น ๆ ว่า “นี่อาจารย์หลัวหนานฟาง ปรมาจารย์ฮวงจุ้ยที่มีชื่อเสียงโด่งดังทางใต้ และเป็นศาสตราจารย์รับเชิญในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ท่านเปิดบรรยายประจำ งานยุ่งตลอด ปกติยากมากกว่าจะนัดหมายได้”
ชายสูงวัยที่ถือเข็มทิศส่งยิ้มและพยักหน้าให้ทุกคน “ได้ยินว่าจะได้แลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญในแวดวงเดียวกัน ผมเลยมา ขอทุกท่านโปรดชี้แนะด้วย”
นายทุนแนะนำชายวัยกลางคน “ท่านนี้คืออาจารย์จาง จางหาน เป็นทายาทสายตรงของหลงหู่ซาน ฝีมือยอดเยี่ยม คนธรรมดาอยากเชิญยังเชิญไม่ได้ ครั้งนี้ท่านก็สละเวลามา”
จางหานดูให้ความเป็นกันเองกับพวกเขาและให้เกียรติค่อนข้างมาก ได้ยินแบบนั้นจึงพูดอย่างสุภาพ “ที่ไหนกัน ๆ มิตรภาพอย่างเรา ๆ คุณมีเรื่องจำเป็น ผมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว!”
ในบริเวณนั้นมีคนเคยได้ยินชื่อจางหานกับหลัวหนานฟางมาก่อน จึงทยอยเข้ามาทักทาย
นักแสดงต้องตะลอนถ่ายละครไปทั่วทุกที่ ยากจะไม่ให้พบเจอเรื่องราวแปลก ๆ ซึ่งอธิบายไม่ได้ด้วยเหตุผล ลองสุ่มเลือกดารานักแสดงที่อยู่ในวงการมาแล้วหลายปีขึ้นมาสักคน เขาอาจเล่าประสบการณ์ลี้ลับสักเรื่องให้คุณฟังก็ได้ เพราะฉะนั้นจริง ๆ แล้วคนในวงการมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติพวกนี้มากกว่าคนธรรมดาอยู่มาก ความโหยหาและความกระหายในชื่อเสียงเงินทองของพวกเขาทำให้ใครหลายคนมักคาดหวังว่าจะบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้นผ่านทางลัด ซินแสฮวงจุ้ยกับปรมาจารย์ด้านโหราศาสตร์จึงกลายเป็นผู้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
เทียบกันแล้ว หลิวชิงปัวกับตงจื้อผู้ปราศจากชื่อเสียงเรียงนามเลยยิ่งถูกขับให้เป็นพวกสิบแปดมงกุฎเข้าไปใหญ่
แต่ถือว่านายทุนยังให้เกียรติฮุ่ยอี๋กวงอยู่บ้าง ได้ยินว่าหล่อนเป็นคนเชิญพวกตงจื้อมาจึงพูดขึ้น “คุณฮุ่ย คุณก็แนะนำอาจารย์สองท่านนี้ด้วยสิ”
ฮุ่ยอี๋กวงรู้งาน หล่อนไม่ทราบว่าพวกตงจื้อยินดีเปิดเผยสถานะของกรมจัดการคดีพิเศษหรือไม่ จึงบอกไปง่าย ๆ “นี่คุณตง นี่คุณหลิวค่ะ”
แค่นี้?
ไม่มีแม้กระทั่งที่มาที่ไปของอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาให้?
หลัวหนานฟางย่นคิ้ว สบตาจางหาน
หลาย ๆ อุตสาหกรรมต้องการคนวัยหนุ่มสาว ยิ่งอายุน้อย ยิ่งมีพลังฮึกเหิมเท่าไหร่ยิ่งดี แต่ในบางอุตสาหกรรมก็ตรงกันข้าม ยกตัวอย่างเช่นหมอหรือซินแสฮวงจุ้ย อายุอย่างตงจื้อกับหลิวชิงปัวง่ายที่จะทำให้คนเกิดภาพจำว่าไม่มีประสบการณ์และไม่น่าเชื่อถือ
ตามกฎระเบียบของวงการ เดิมพวกตงจื้อควรเป็นฝ่ายเข้าไปแสดงความเคารพพวกหลัวหนานฟาง บอกเล่าถึงสำนักอาจารย์ด้วยตัวเอง ใครจะนึกว่าทั้งคู่ดันไม่ทำอะไรทั้งนั้น แค่ส่งยิ้มให้พวกหลัวหนานฟางเฉย ๆ ความประทับใจของหลัวหนานฟางกับจางหานจึงแย่ลงทันที
จางหานอดขมวดคิ้วไม่ได้ “ไม่ทราบว่าพวกนายสองคนสืบทอดวิชามาจากผู้อาวุโสท่านไหน”
หลิวชิงปัวเอ่ยเสียงเรียบ “หลิวหย่งเจีย”
นี่คือชื่อปู่ของเขา
ตงจื้อยังพอมีมารยาทอยู่บ้าง แต่ชื่อที่เขาเอ่ยออกมาก็แปลกหูมากเช่นกัน “อาจารย์ผมชื่อหลงเซิน”
หากเขาบอกไปว่าสำนักเก๋อเจ้า บางทีอีกฝ่ายคงรู้จัก แต่หลงเซินกับหลิวหย่งเจีย หลัวหนานฟางกับจางหานไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ
พวกเขามีวิจารณญาณอยู่ในใจ และยิ่งแน่ใจมากขึ้นไปอีกว่าทั้งคู่เป็นสิบแปดมงกุฎไม่ผิดแน่ เลยขี้เกียจสนทนากับพวกเขาต่อ
อากัปกิริยาของพวกเขาเป็นยังไง ตงจื้อไม่สน เพราะถึงยังไงก็ต่างอยู่คนละกลุ่มมาตั้งแต่แรก ซ้ำยังไม่ได้มาสู้กันเอง แต่นิสัยแบบหลิวชิงปัว ถึงไม่มีเรื่องก็ต้องหาเรื่องมาจนได้ เขาบอกไปว่า “คุณจาง ไม่ทราบว่าคุณมีฉายาเต๋าว่าอะไร เป็นรุ่นไหนในรุ่ย เทียน ซิ่ง ที่หลงหู่ซานอบรมบ่มเพาะมา”
จางหานเลิกคิ้ว “นายรู้จักชื่อรุ่น[1]พวกนี้ของหลงหู่ซานด้วย? บอกไปไม่เสียหาย ฉันรุ่น ‘ซิ่ง’”
ไม่มีใครคาดคิด นอกจากหลิวชิงปัวไม่แสดงกิริยาเคารพเลื่อมใสแล้ว ยังพิจารณาอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกต่างหาก “ได้ยินว่าตอนนี้รุ่นซิ่งที่อายุน้อยที่สุด ก็ปาเจ็ดสิบปีเข้าไปแล้ว ดูเหมือนคุณจางคงมีวิธีรักษาความอ่อนเยาว์ของใบหน้านะครับ!”
มีอย่างที่ไหน เขายังไม่ทันสงสัยอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็มาตั้งข้อสงสัยในตัวตนของเขาก่อนแล้ว จางหานเกิดโทสะในใจ “ตอนนั้นจางเทียนซือ[2]อพยพไปเกาะไต้หวัน ฉันต่างหากที่สืบสายเลือดโดยตรงของจางเทียนซือ เลิกเอาฉันไปเปรียบเทียบกับเทียนซือตาสีตาสาปลอม ๆ พวกนั้นได้แล้ว!”
ตระกูลจางแห่งหลงหู่ซานเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยจางเต้าหลิงในยุคฮั่น เมื่อถึงเทียนซือรุ่นที่สี่ ตระกูลจางได้อพยพจากส่านซีไปยังเขาหลงหู่ซาน สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นนับแต่นั้น ทั้งยังได้รับการอวยยศจากราชสำนักสืบบรรดาศักดิ์เรื่อยมา สถานะอยู่เหนือคติใด ๆ ทั้งปวง ชาวบ้านมีคำพูดที่ว่าเหนือข่ง ใต้จาง หมายความว่าตระกูลจางเป็นเหมือนสกุลข่ง คือต่างเป็นตระกูลขุนนางที่อยู่ยืนยงมานับพันปี บ่งบอกถึงระดับชื่อเสียงและอำนาจราชศักดิ์ เมื่อถึงยุคสาธารณรัฐซึ่งเป็นยุคมืดมนและวุ่นวายที่สุดของจีนในเวลานั้น ตระกูลจางได้อพยพไปเกาะไต้หวันตามกองทัพชาติที่พ่ายแพ้สงคราม เทือกเขาเหล่ากอที่เหลืออยู่ทั้งสองฝ่ายต่างเริ่มถกเถียงกันมาอย่างยาวนานนับแต่นั้นว่าใครกันแน่ที่เป็นสำนักดั้งเดิม บุญคุณความแค้นภายใน คนนอกไม่รู้แน่ชัด
หลิวชิงปัวแสยะยิ้ม ยังอยากพูดอะไรต่ออีก แต่ตงจื้อถองศอกใส่เขาหนึ่งที บอกเป็นนัยให้เขารู้จักบันยะบันยังบ้าง
พวกเขามาแก้ปัญหา ไม่ใช่มาสู้กันด้วยวิชา สองคนนี้ถือดีในฐานะของตัวเองเกินไป วางฟอร์มวางมาด แต่ไม่ได้ทำเรื่องอะไรเกินเลย
หลิวชิงปัวถลึงตาจ้องเขา สุดท้ายยอมหยุดเพื่อรักษาหน้าอีกฝ่าย
คนต่างอาชีพย่อมมีความรู้ความเข้าใจที่แตกต่างกัน นักลงทุนไม่เข้าใจ ได้ยินแค่ว่าพวกเขาพูดถึงชื่อรุ่นกับการสืบวงศ์ตระกูลอะไรสักอย่าง คิดว่าเป็นเรื่องที่อยู่เหนือขึ้นไปอีกขั้น จึงไม่ได้หลับหูหลับตาพูดแทรก
ตอนนั้นเอง ผู้อาวุโสมากฝีมือท่านที่สามที่เขาเชิญมาก็มาถึง
อีกฝ่ายอายุราว ๆ สี่สิบกว่า สวมเสื้อหม่ากว้า[3] ท่าทางสง่าผ่าเผย ใบหน้าเปล่งปลั่งมีเลือดฝาด รูปร่างสูงใหญ่ ดูคล้ายนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากกว่า หาใช่ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีจิตวิญญาณเต๋า
เห็นได้ชัดว่านักลงทุนให้ความสำคัญกับบุคคลผู้นี้ยิ่งกว่า ไม่เพียงแต่ไปรับตั้งแต่อีกฝ่ายลงจากรถเท่านั้น ยังเชื้อเชิญอีกฝ่ายเข้ามาด้วยตัวเองอีก
“ยินดีต้อนรับครับ ยินดีต้อนรับ ผมดีใจจริง ๆ ที่อาจารย์เฉินมาได้! ผมขอแนะนำให้ทุกคนรู้จัก ท่านผู้นี้คืออาจารย์เฉิน เฉินกั๋วเหลียง ปรมาจารย์ที่ไม่มีใครในเซียงเจียงไม่รู้จัก ท่านเป็นแขกรับเชิญของมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเซียงเจียงอย่างมิสเตอร์หลี่กับเลดี้กงด้วย!”
เฉินกั๋วเหลียงพยักหน้าอย่างสงวนท่าที ขี้เกียจแม้แต่จะพูด ทำเพียงปรายตามองผู้ช่วย
ผู้ช่วยเข้าใจความหมายของเขาทันที บอกนักลงทุนอย่างไม่พอใจว่า “เถ้าแก่เจ้า คุณหมายความว่ายังไง ทำไมเชิญพวกเรามาแล้วยังเชิญคนอื่นมาด้วย หรือว่าคุณไม่เชื่อในฝีมืออาจารย์เฉิน”
นักลงทุนไม่กล้าขัดใจ กระวีกระวาดบอก “ขอโทษครับ ๆ เมื่อวานตอนผมติดต่อไปหาเหล่าซุน เขาบอกว่าปรมาจารย์เฉินอาจไม่ว่าง ตอนนั้นยังให้คำตอบที่แน่นอนไม่ได้ ทางผมรีบมาก ก็เลย…”
ทันทีที่กล่าวประโยคนี้ออกไป หลัวหนานฟางกับจางหานก็ไม่พอใจอีก
ที่แท้พวกเขาก็เป็นตัวสำรองอย่างนั้นเหรอ
นักลงทุนไม่อยากล่วงเกินผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ จึงรีบบอกพร้อมรอยยิ้ม “ดูผมพูดเข้าสิ จริง ๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนมาก ขนาดพระเอกเบอร์หนึ่งยังเข้าโรงพยาบาลไปแล้ว ทางกองจนปัญญาจริง ๆ…”
เฉินกั๋วเหลียงโบกมือ ในที่สุดก็ง้างปากทองคำของตนออกจนได้ “ช่างเถอะ ไปดูบ้านก่อน”
คนฟังเหมือนได้รับนิรโทษกรรม “ผมพาพวกคุณไปเองครับ!”
หลิวชิงปัวจิ๊ปาก เสียงไม่ดังมาก คนอื่น ๆ กำลังดูคฤหาสน์อยู่ข้างหน้าเลยไม่ได้สังเกต แต่ตงจื้อที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยิน
“ทำไมเหรอ”
หลิวชิงปัวบอก “ฉันเคยได้ยินเรื่องผู้ชายคนนี้มาก่อน ใครอยากเชิญเขามาปรึกษาดูฮวงจุ้ย ต้องนัดล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งเดือน ราคาแต่ละครั้งที่ออกไปดูต้องห้าแสนขึ้น แล้วก็เชิญตัวยากมากด้วย กองถ่ายนี้รวยนะเนี่ย เชิญเขามาที่นี่ได้คงใช้เงินกับเส้นสายไปไม่น้อย!”
ตงจื้อพูดยิ้ม ๆ “ยังต้องพูดอีกเหรอ เอาหานฉีกับซูฝานมาเป็นพระเอกนางเอกได้ จะไม่มีเงินได้หรือไง ฉันได้ยินมาว่าลำพังแค่เหมาคฤหาสน์หลังนี้ค่าเช่าแต่ละวันก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว ถ้าแก้ปัญหาได้สำเร็จก็ถือว่าคุ้มกับเงินห้าแสนที่เสียไป”
นักลงทุนเดินอยู่หน้าสุดเป็นเพื่อนเฉินกั๋วเหลียง หลัวหนานฟางกับจางหานเดินตามไปพร้อมกับผู้ช่วย ส่วนฮุ่ยอี๋กวงรั้งท้ายกับพวกตงจื้อ รักษาระยะห่างหนึ่งช่วงตัว
ฮุ่ยอี๋กวงแสดงความรู้สึกผิดกับตงจื้อและหลิวชิงปัวอีกรอบเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเฉินกั๋วเหลียงมาครั้งนี้
ตงจื้อบอก “คนไม่รู้ไม่ผิด คุณฮุ่ยไม่จำเป็นต้องขอโทษซ้ำ ๆ”
ฮุ่ยอี๋กวงเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด “สถานการณ์คร่าว ๆ ฉันอธิบายทางโทรศัพท์ไปแล้ว ไม่ทราบว่าพวกคุณสองคนมีข้อสงสัยเพิ่มเติมอีกไหม”
ตงจื้อส่ายหัว “ตอนนี้ยังไม่มี เราลองดูในกองถ่ายกันก่อนแล้วค่อยไปโรงแรม แต่ผมมีคำถามข้อหนึ่งอยู่ในใจมาตลอด ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เกี่ยวกับคุณ คุณฮุ่ย”
ฮุ่ยอี๋กวงตอบสนองรวดเร็ว “บนโลกนี้ ไม่ใช่ทุกคำถามที่จะมีคำตอบ”
ตงจื้อ “คุณรู้ว่าผมจะถามอะไร?”
ฮุ่ยอี๋กวงมีสีหน้าเรียบเฉย “ไม่ว่าฉันพูดอะไรไปก็ไม่มีทางทำให้คุณหายสงสัยได้ แล้วทำไมคุณถึงยังต้องถามอีกล่ะคะ”
หล่อนพูดจบก็ถอนหายใจเบา ๆ
“นับตั้งแต่คราวนั้น ฉันมักตื่นขึ้นมากลางดึกสงัด รู้สึกสับสนในตัวเองบ่อย ๆ อยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าฉันคือฮุ่ยอี๋กวงหรือวังฉี่กันแน่ เหมือนกับว่าเราสองคนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉันถึงขั้นไปพบจิตแพทย์มาแล้วด้วยซ้ำ แต่หมอบอกว่าฉันไม่ได้เป็นอะไร หลังจากนั้นกว่าฉันจะยอมรับสภาพตัวเองในตอนนี้ได้ก็ผ่านไปนานเลย สำหรับฉัน ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว ฉันคือฮุ่ยอี๋กวง ฮุ่ยอี๋กวงก็คือฉัน คุณรู้สึกว่า ตัวฉันยังมีร่องรอยถูกปีศาจสิงร่างหรือเปล่าล่ะคะ”
ไม่มี
ฮุ่ยอี๋กวงในตอนนี้ปกติเสียยิ่งกว่าปกติ เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งท่ามกลางสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
ตงจื้อจนคำพูด
ฮุ่ยอี๋กวง “เงินที่ฉันได้จากทุกโครงการตอนนี้ ฉันบริจาคส่วนหนึ่งให้กับพื้นที่ประสบภัยพิบัติและบนดอยยากไร้ ฉันไม่อยากบอกว่ามีคนได้รับประโยชน์จากมันเท่าไหร่ แต่อย่างน้อย ฮุ่ยอี๋กวงคนปัจจุบันก็ได้อุทิศประโยชน์ให้กับสังคมและสิ่งรอบข้าง คุณยึดติดอยู่กับคำตอบที่ผ่านไปแล้วมันได้อะไรขึ้นมา ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไรก็ไม่มีทางกลับไปในอดีตได้อีกแล้ว ฉันจำได้ คุณเคยบอกว่ากรรมวนเวียนเป็นวัฏจักร ทำดีได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ผลลัพธ์ในตอนนี้ก็เป็นไปตามกฎสวรรค์ไม่ใช่เหรอคะ ไม่อย่างนั้นคนที่รอดชีวิตจากสายฟ้าสวรรค์ครั้งที่แล้วคงไม่ใช่ตัวฉันในตอนนี้หรอก”
ตงจื้อมองดูหล่อน ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าที่เขาจะเอ่ยขึ้น “หวังว่าคุณจะจำคำพูดของตัวเองไว้ ถ้ามีอะไรผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ผมจะจัดการอย่างแน่นอน”
ฮุ่ยอี๋กวงยิ้ม “ฉันจะจำไว้ค่ะ”
หลิวชิงปัวรู้ว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องอะไร เพราะเหตุการณ์ครั้งที่แล้วเขาก็อยู่ด้วย แต่เขาไม่ได้เข้าร่วมบทสนทนา ตรงกันข้าม ชายหนุ่มก้มหน้ากดโทรศัพท์มือถือตลอด ไม่รู้มัวคุยกับใครอยู่
คฤหาสน์มีทั้งหมดสามชั้น ใช้เวลาไม่นานก็เดินจนครบทุกที่
หลังเดินจนทั่วแล้ว นักลงทุนเถ้าแก่เจ้าก็ถามพวกเขาว่าเจออะไรไหม
หลัวหนานฟางบอกว่าบ้านหลังนี้อึมครึมไปหน่อย แต่เป็นเพราะข้างนอกมีต้นไม้เยอะเกินไป แสงอาทิตย์ไม่เพียงพอ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เดิมที่นี่ก็ไม่ใช่ที่พักอาศัยอยู่แล้ว หากแต่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่ละวันมีนักท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ พลังหยางไม่พอก็ต้องพอจนได้
จางหานไม่ได้วิจารณ์อะไรยาวเหยียด แต่ความหมายโดยรวมสื่อเช่นกันว่าบ้านหลังนี้ไม่มีปัญหาอะไร
ตงจื้อกับหลิวชิงปัวสบตากัน คิดว่าสองคนนี้พอมีฝีมืออยู่บ้างจริง ๆ
พวกเขาไม่ได้เชี่ยวชาญในศาสตร์วิชาชัยภูมิฮวงจุ้ยและไม่ได้เปิดตาทิพย์ แต่ด้วยความรู้สึกอันเฉียบไวของผู้บำเพ็ญเพียร ปกติแล้วจึงยังสัมผัสได้ถึงสมดุลหยินหยางที่ไหลเวียนอยู่ในบ้านหลังนี้ พลังชีวิตต่อเนื่องไม่ขาดสาย ถึงจะมืดไปสักหน่อย แต่อย่างที่หลัวหนานฟางกับจางหานบอก บ้านหลังนี้ปกติดี
“เราเห็นด้วยกับอาจารย์หลัวและอาจารย์จาง” ตงจื้อพูด
ถือเอาคำพูดผู้อื่นมาเป็นของตน คงกลัวจะเผยไต๋เบื้องลึกเบื้องหลังออกมาละสิท่า จางหานปรายตามองพวกเขา จำแนกพวกตงจื้อไปอยู่ในขบวนการแอบอ้างชื่อฮวงจุ้ยทำมาหากินไปเรียบร้อย
หลัวหนานฟางเองก็ส่ายหน้าเงียบ ๆ เพราะมีพวกนักต้มตุ๋นปะปน อาชีพนี้ถึงได้มีทั้งคนดีและคนชั่ว
อันที่จริงคนที่เถ้าแก่เจ้าให้ความสำคัญที่สุดคือเฉินกั๋วเหลียงที่มาสาย เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่พูดอะไรเสียที เขาจึงเอ่ยอย่างสุภาพ “อาจารย์เฉิน ไม่ทราบว่าคุณคิดเห็นยังไงครับ”
เฉินกั๋วเหลียงเหลือบมองพวกเขาแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยถ้อยคำชวนทึ่ง “บ้านมีปัญหา ไม่ใช่แค่บ้านที่มีปัญหา คนก็มีปัญหาด้วย คนส่งผลกระทบถึงบ้าน”
เถ้าแก่เจ้าตะลึงงัน “ไม่มีใครอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้แล้ว ตอนนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว…”
เฉินกั๋วเหลียงพูด “ไม่ใช่ผู้อยู่อาศัยเดิมของบ้าน แต่เป็นคนในกองถ่ายนี้ พวกคุณทุกคนอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว?”
เถ้าแก่เจ้ารีบบอก “อยู่หมดครับ นอกจาก…”
ทีมงานที่อยู่ข้าง ๆ เสริม “มีอยู่สองสามคนที่ได้รับบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาลไปแล้วค่ะ รวมนักแสดงนำชายด้วย ก็มีคุณหานที่เป็นนักแสดงนำหญิง กับพระรองที่ยังไม่มาค่ะ!”
เฉินกั๋วเหลียงโบกมือ วางมาดยื่นคำขาด “งั้นไปดูที่โรงพยาบาลก่อน!”
หลัวหนานฟางกับจางหานดูออก ถึงเถ้าแก่เจ้าเรียกพวกเขามา แต่ในบรรดาพวกเขาสามคนนี้ อีกฝ่ายเชื่อถือเฉินกั๋วเหลียงที่สุด พอได้ยินเฉินกั๋วเหลียงบอกก็ให้คนเตรียมรถไปโรงพยาบาลทันที แต่เถ้าแก่เจ้าก็ไม่ได้ละเลยหลัวหนานฟางและคนอื่น ๆ สอบถามพวกเขาอย่างสุภาพว่าจะไปด้วยกันได้ไหม
จางหานกับหลัวนานฟางไม่มีปัญหา
ว่ากันตามจริง ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ยินเถ้าแก่เจ้าบอกอย่างร้อนใจว่าเกิดอุบัติเหตุติด ๆ กันในกองถ่ายครั้งแล้วครั้งเล่าไม่หยุดหย่อน เลยทำให้อดคิดไปถึงสิ่งลี้ลับไม่ได้ แต่หลังจากพวกเขามาแล้วกลับพบว่าทุกอย่างที่นี่เป็นปกติดี บ้านไม่มีปัญหา คนก็ไม่มีปัญหา แน่นอนว่าทุกคนในกองถ่ายย่อมรู้สึกกังวลใจ และนี่ก็เป็นการพิสูจน์ว่าก่อนหน้านี้เถ้าแก่เจ้าไม่ได้พูดเกินจริง
แม้แนวทางจะเข้ากันไม่ค่อยได้กับเฉินกั๋วเหลียง แถมข้าง ๆ กันยังมี ‘นักต้มตุ๋น’ อีกสองคน แต่หลัวหนานฟางกับจางหานก็อยากรู้ให้แน่ชัดว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่ตงจื้อกลับพูดขึ้นว่า “พวกเราจะไปดูโรงแรมที่นักแสดงพักก่อน เราไม่ไปโรงพยาบาล”
เป็นเพราะก่อนหน้านี้ฮุ่ยอี๋กวงบอกว่าหล่อนสงสัยว่าปัญหาอาจอยู่ที่ตัวหานฉี พวกเขาเลยจะไปหาหานฉีเดี๋ยวนี้
จางหานหยอก “รีบอะไรกันไอ้น้อง ไปโรงพยาบาลก่อนแล้วค่อยไปโรงแรมสิ หรือว่าพวกนายสองคนมีธุระด่วน อยากล่วงหน้าไปก่อน”
หลิวชิงปัวฟาดกลับ “คุณไปดูที่โรงแรมกับเราก่อน แล้วค่อยไปโรงพยาบาลไม่ได้หรือไง”
แม้เถ้าแก่เจ้าคิดว่าตงจื้อกับหลิวชิงปัวไม่มีฝีไม้ลายมืออะไร แต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า ยังคงยิ้มแก้สถานการณ์ “เอาอย่างนี้แล้วกันครับ ไปโรงพยาบาลกันก่อนแล้วค่อยไปโรงแรมดีไหม ยังไงวันนี้พวกคุณก็กลับไม่ทันแน่ ๆ ผมจองห้องที่โรงแรมไว้ให้ทุกคนแล้ว”
ตงจื้อ “พวกเราอยู่ในเมืองนี่เอง ไม่จำเป็นต้องพักโรงแรม ผมได้ยินมาจากคุณฮุ่ยว่าเมื่อวานคุณหานเห็นพระเอกตกบันไดกับตา เกือบโดนกระแทก หลังจากนั้นผู้ช่วยของเธอก็ประสบอุบัติเหตุ บางทีคุณหานอาจเห็นอะไรก็ได้ ผมเลยคิดว่าสู้ไปถามคุณหานที่โรงแรมก่อนดีกว่า”
เถ้าแก่เจ้าได้ยินดังนั้นก็คิดว่ามีเหตุผล จึงมองไปที่เฉินกั๋วเหลียง
เฉินกั๋วเหลียงเอามือไพล่หลัง บอกอย่างไม่พอใจ “ตกลงที่นี่ต้องเชื่อฟังใคร เหล่าเจ้า คุณเรียกผมมาเพื่อให้ผมมาฟังคนที่เป็นใครมาจากไหนไม่รู้สองคนพล่ามเรื่องไร้สาระงั้นเหรอ ตกลงคนที่คุณเรียกมาคือผมหรือพวกเขา ถ้าเป็นพวกเขา ก็ต้องขอโทษด้วยที่ผมคงอยู่ให้ความร่วมมือไม่ได้”
เขายกเท้าจะก้าวออกไป เถ้าแก่เจ้ารีบห้ามเป็นพัลวัน “ขอโทษครับ ๆ อาจารย์เฉิน ผมไม่ทันคิดให้รอบคอบเอง เอาตามที่คุณพูดแล้วกัน!”
หลิวชิงปัวแค่นยิ้ม “เกรงว่าคนที่กำลังพล่ามเรื่องไร้สาระจะเป็นคนอื่นมากกว่า! ปรมาจารย์เฉิน เฉินกั๋วเหลียง ไม่ทราบว่าคุณสืบทอดวิชามาจากสำนักไหน ถึงกล้าบอกว่าพวกเราเป็นใครมาจากไหนไม่รู้”
จางหานกับหลัวหนานฟางนึกสนุก เฉินกั๋วเหลียงก็ดี ตงจื้อกับหลิวชิงปัวก็ดี พวกเขาเห็นแล้วรู้สึกขัดตา กลายเป็นว่าพวกเขายังไม่ทันทำอะไร สองฝ่ายก็ทะเลาะกันเองเสียก่อน จึงรอดูความสนุกในท่วงท่าสบาย ๆ
เฉินกั๋วเหลียงร้องเหอะ ไม่ให้ค่ากับการสนทนากับเขา ผู้ช่วยที่อยู่ข้าง ๆ ตำหนิด้วยสีหน้าบึ้งตึง “นายกล้าพูดแบบนี้กับอาจารย์เหรอ ที่อาจารย์ไม่ได้ฉีกหน้าพวกนาย ให้พวกนายอยู่ที่นี่ต่อก็ถือว่าไว้หน้าพวกนายมากแล้วนะ พวกนายยังกล้าหาเรื่องอีก?!”
อาจารย์ท่านนี้เป็นคนถือตัวมาก ตอนมายังนำบอดี้การ์ดมาด้วย ตอนนี้ผู้ช่วยกำลังกวักมือเรียกบอดี้การ์ดเข้ามาเพื่อพาตัวพวกเขาสองคนออกไป
บอดี้การ์ดสองนายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดสูทสากลกับแว่นตาดำ มองแวบแรกดูจะเป็นเช่นนั้น แต่พวกเขายังไม่ทันวางมือบนไหล่หลิวชิงปัว ทุกคนก็ตาลาย ยังไม่ทันรู้ว่าหลิวชิงปัวทำอะไรลงไป บอดี้การ์ดสองนายก็นอนแอ้งแม้งกับพื้น เอามือกุมแขนพลางส่งเสียงร้องโอดโอยไปแล้ว
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะบอดี้การ์ดไม่มีฝีไม้ลายมือ เฉินกั๋วเหลียงรู้ดี ปกติบอดี้การ์ดเหล่านี้เป็นมือดีที่รับมือกับศัตรูทีเดียวได้เป็นสิบคน ตอนนี้ดันมาถูกล้มคว่ำในท่าเดียวเมื่อเผชิญกับวัยรุ่นร่างผอมบางสองคน ไม่ใช่เพราะพวกเขาอ่อนแอเกินไป แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไปต่างหาก
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตัวเองโลดแล่นอยู่ในวงสังคมมาเป็นเวลาหลายปี นึกไม่ถึงว่าทักษะในการสังเกตสีหน้าและคำพูดคนที่ฝึกฝนมาจนช่ำชองแล้วทำให้เขามองพลาดได้เหมือนกัน เจ้าหนุ่มสองคนนี้กำลังแต่งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสืออยู่ชัด ๆ
เฉินกั๋วเหลียงรวบรวมสติ “ทำไมวัยรุ่นอารมณ์ร้อนนัก มีอะไรพูดจากันดี ๆ ก็ได้”
หลิวชิงปัวแกว่งโทรศัพท์มือถือ “ปรมาจารย์เฉิน ผมเข้าเน็ตค้นข้อมูลคุณมา ในนั้นบอกว่าเมื่อหลายปีก่อนคุณได้ศึกษาวิชามาจากกัวอวี้ซาน ผู้เชี่ยวชาญชื่อดังด้านชัยภูมิในต่างแดน บังเอิญจริง มิสเตอร์กัวคบหากับครอบครัวผมมาหลายชั่วอายุคนแล้ว และผมก็ถามมิสเตอร์กัวผ่านทางคุณพ่อผมมา เขาบอกว่าไม่เคยมีลูกศิษย์ที่ชื่อเฉินกั๋วเหลียงมาก่อน คุณคิดว่า ข้อมูลที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตเขียนผิด หรือมิสเตอร์กัวอายุมากแล้ว จำไม่ได้แม้แต่ลูกศิษย์กันแน่”
เฉินกั๋วเหลียงฝืนเค้นรอยยิ้มออกมาเสี้ยวหนึ่ง “ข้อมูลในเน็ตผิด”
หลิวชิงปัวแค่นหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นไม่ทราบว่าคุณเฉินสืบทอดวิชามาจากผู้เชี่ยวชาญท่านไหนกัน ช่วยบอกให้เป็นความรู้ผมหน่อยได้ไหม”
ตั้งแต่เมื่อครู่นี้ หลังจากที่เขากับตงจื้อเห็นเฉินกั๋วเหลียงปรากฏตัวขึ้นก็รู้สึกว่าคนคนนี้ท่าทางแปลก ๆ พูดตามตรง เขาเหมือนเถ้าแก่ที่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจมากกว่า ไม่เหมือนยอดฝีมือผู้ไม่อวดภูมิ เทียบกันแล้ว หลัวหนานฟางกับจางหานยังจะเป็นเนื้อแท้กว่าอีก
ไม่นึกว่าพวกเขาไม่ไปหาเรื่องอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็ยังมาหาเรื่องพวกเขาจนได้
เถ้าแก่เจ้าปวดหัวหนัก ตอนนี้เขาเริ่มนึกเสียดายแล้วว่าตัวเองไม่ควรลืมเรื่องที่ว่าคนอาชีพเดียวกันมักไม่กินเส้นกัน นี่เชิญมาทีเดียวสามคน อดตำหนิฮุ่ยอี๋กวงเงียบ ๆ ไม่ได้ว่าไปหาสองคนนี้มาจากไหน เฉินกั๋วเหลียงกว้างขวางในเซียงเจียง หลายปีมานี้ การทำนายดวงชะตาและดูฮวงจุ้ยท่ามกลางตระกูลร่ำรวยที่พร้อมสรรพไปด้วยเงินทองและอิทธิพล ทำให้เขามีเส้นสายเครือข่ายที่สมบูรณ์ในเซียงเจียง ที่เถ้าแก่เจ้าต่อสายหาเฉินกั๋วเหลียงไม่ใช่เพื่อเชิญเขามาแก้ปัญหายุ่งยากในเวลานี้อย่างเดียว แต่เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการทำธุรกิจในอนาคตด้วย
ปรากฏว่าไป ๆ มา ๆ ตอนนี้ อีกฝ่ายคงพาลโกรธเขาแน่แล้ว
คิดมาถึงตรงนี้ เถ้าแก่เจ้าก็อดถลึงตาใส่ฮุ่ยอี๋กวงไม่ได้
แต่ฮุ่ยอี๋กวงทำหน้าตาเฉย ราวกับไม่กังวลเลยว่าคนที่ตัวเองเชิญมาจะล่วงเกินเฉินกั๋วเหลียงเข้า
สมแล้วที่เถ้าแก่เจ้าเป็นนักธุรกิจหัวไว พอเห็นท่าทางของหล่อนจึงนึกเอะใจขึ้นมา คิดว่าฮุ่ยอี๋กวงคงมีคนหนุนหลัง ตั้งใจว่าเดี๋ยวจะหาโอกาสไต่ถามให้แน่ชัด คิดได้ดังนั้น โทสะก็ไม่รุนแรงเท่าเมื่อครู่นี้แล้ว
ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบเอ่ยขึ้นก่อนที่สถานการณ์จะบานปลาย “เอาแบบนี้ก็แล้วกัน นักแสดงหลายท่านยังอยู่ที่โรงแรม ผมจำได้ว่าอาจารย์เฉินชอบดูละครของคุณหาน เราไปโรงแรมกันก่อนดีกว่า จะได้คุยกับคุณหานพอดี ว่ายังไงครับ”
สีหน้าเฉินกั๋วเหลียงไม่สู้ดีนัก แต่สุดท้ายก็ยอมคล้อยตามเพื่อรักษาหน้า “ก็ดีเหมือนกัน”
หลิวชิงปัวยังอยากพูดอะไรต่อ แต่ถูกตงจื้อกดตัวไว้
“ทำเรื่องสำคัญให้เสร็จก่อน เขาไม่หนีไปไหนหรอก” ตงจื้อกระซิบเบา ๆ
คราวนี้หลิวชิงปัวเชื่อฟัง เพียงแต่เขารู้สึกว่าบอดี้การ์ดสองคนนี้อ่อนแอเกินไป ถ้าอย่างนั้นเฉินกั๋วเหลียงก็คงโลดแล่นอยู่ในสังคมโดยอาศัยฝีปาก ไม่มีฝีมือแม้แต่น้อย เขาล้มคนเหล่านั้นได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่ด้วยซ้ำ ไม่ท้าทายเลย
พวกเขาแบ่งกันเป็นสามกลุ่มแล้วแยกย้ายขึ้นรถ เฉินกั๋วเหลียงมีรถมา เถ้าแก่เจ้าตั้งใจเรียกฮุ่ยอี๋กวงให้นั่งไปด้วยกัน พวกตงจื้อจึงไปกับหลัวหนานฟางและจางหาน รถสามคันมุ่งหน้าไปทางโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลออกไป
เถ้าแก่เจ้าอาศัยโอกาสตอนที่นั่งรถมาด้วยกัน ถามฮุ่ยอี๋กวงไปว่า “สองคนที่คุณเชิญมาเป็นใครมาจากไหน”
ฮุ่ยอี๋กวงยิ้มหน่อยหนึ่ง “คุณอย่าถามเลยค่ะ ถ้าไม่ได้รับความยินยอมจากพวกเขา ฉันคงพูดสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แต่ถ้าจะพูดถึงที่มาที่ไปละก็ไม่ธรรมดาแน่นอน ฉันบอกได้แค่ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์เฉินก็ดี อาจารย์หลัวก็ดี พวกเขามาที่ลู่เฉิงก็ต้องอยู่ในความควบคุมของคุณตงกันทั้งนั้น”
ความแตกต่างระหว่างเธอกับคนแบบเถ้าแก่เจ้าคือเธอเคยติดต่อกับกรมจัดการคดีพิเศษมาก่อน และเป็นเพื่อนกับฉือปั้นเซี่ย พอรู้ข้อมูลเกี่ยวกับกรมจัดการคดีพิเศษอยู่บ้าง รู้ว่าคนเหล่านี้มีสองสถานะสำคัญ คือเป็นทั้งผู้บำเพ็ญเพียรและผู้บังคับใช้กฎหมาย แม้คนทั่วไปอาจไม่รู้ แต่อำนาจจริง ๆ นั้นยิ่งใหญ่มาก อย่าว่าแต่เถ้าแก่เจ้าเลย ต่อให้เป็นคนที่ร่ำรวยกว่าเถ้าแก่เจ้าก็ใช่ว่าจะเชื้อเชิญคนเหล่านี้มาได้
ประโยคดังกล่าวมีช่องว่างให้จินตนาการมากมาย เถ้าแก่เจ้าเป็นคนมีหัวคิด ขยายจินตนาการไปได้หลากหลายในทันที ฮุ่ยอี๋กวงไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ ปล่อยให้เขาคาดเดาอยู่อย่างนั้น
จนกระทั่งถึงที่หมายและลงจากรถ ท่าทีที่เถ้าแก่เจ้ามีต่อฮุ่ยอี๋กวงเป็นกันเองมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คำก็เสี่ยวฮุ่ย สองคำก็เสี่ยวฮุ่ย เหมือนเป็นรุ่นน้องตัวเองยังไงยังงั้น
เขาเองก็รู้สึกเสียดายที่เมื่อครู่ไม่ค่อยกระตือรือร้นกับตงจื้อและหลิวชิงปัวเท่าไหร่ ขณะที่พาทุกคนเดินเข้าไปในโรงแรมก็ขบคิดไปด้วยว่าจะชดเชยอย่างไรดี
[1] ชื่อรุ่น หรือ 字辈 คนจีนมีการใช้ชื่อรุ่นเพื่อบ่งบอกลำดับวงศ์ตระกูล ส่วนใหญ่มักเป็นคำที่อยู่ตรงกลางชื่อ ผู้ที่เกิดในรุ่นเดียวกันจะมีชื่อรุ่นคำเดียวกันอยู่ในชื่อ
[2] จางเทียนซือ หรือ จางเต้าหลิง ผู้ก่อตั้งศาสนาเต๋านิกายเจิ้งอี และเป็นปรมาจารย์ลัทธิอู่โต่วหมี่เต้า หรือลัทธิข้าวสารห้าโต่ว
[3] เสื้อคลุมตัวสั้นแขนยาวที่สวมใส่ในสมัยราชวงศ์ชิง ได้รับอิทธิพลมาจากชาวแมนจู นิยมใส่ทับชุดเสื้อคลุมยาวกรอมเท้า