[ทดลองอ่าน] แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ เล่ม 4 ตอนที่ 87

แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ

步天纲 (Bu Tian Gang)

 

梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน

ลลิตา ธ. แปล

 

นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 87

 

หานฉีเป็นดาราใหญ่ที่มีทั้งหน้าตาและฐานะ คนกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ย่อมไม่มีทางผลีผลามเข้าไปได้ เถ้าแก่เจ้าจึงให้ผู้จัดละครโทรศัพท์ไปถามก่อน

ใครจะนึกว่าอีกฝ่ายดันโทร.หาหานฉีไม่ติด เข้าไปเคาะประตูอยู่นานก็ไม่มีคนตอบ พอถามผู้จัดการ เจ้าตัวก็บอกว่าติดต่อเธอไม่ได้มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

ผู้ช่วยของหานฉีเพิ่งได้รับบาดเจ็บและเข้าโรงพยาบาลไป ผู้ช่วยคนใหม่ยังไม่ทันส่งตัวมา ผู้จัดการโทร.หาหานฉีไม่ติดก็เท่ากับว่าตามตัวเธอไม่ได้

เมื่อสอบถามไปยังคนขับรถของหานฉี อีกฝ่ายบอกว่าวันนี้ยังไม่ได้รับแจ้ง ซึ่งหมายความว่าหานฉีน่าจะยังอยู่ในโรงแรม

เถ้าแก่เจ้าไม่มีทางเลือก ได้แต่บอกไปว่า “ถ้าอย่างนั้นผมพาทุกคนขึ้นไปเลยนะครับ”

ทุกคนไร้ข้อโต้แย้ง หลังเกิดเหตุการณ์คั่นฉากเมื่อครู่ เฉินกั๋วเหลียงก็สงบเสงี่ยมลงมาก ไม่กล้าทำตัวเด่นอีก

 

ห้องเพรสซิเดนท์สวีตอยู่ชั้น 32 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของโรงแรม มองลงไปเห็นวิวทะเล และทัศนียภาพรอบด้านของลู่เฉิงกว่าครึ่งเมือง เป็นธรรมดาที่ราคาไม่ย่อมเยา แต่ดาราดังในวงการส่วนใหญ่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ หากมาตรฐานต่ำกว่านี้ บางทีเธออาจไม่ถือสา แต่คนอื่นจะคาดเดาไปต่าง ๆ นานาได้ เพราะฉะนั้นสำหรับดาราบางคน ต่อให้ต้องทำหน้าใหญ่ใจโตก็ต้องพยายามเต็มที่เพื่อให้ภาพลักษณ์ออกมาดีที่สุด

เถ้าแก่เจ้าคุยกับทางโรงแรม มีผู้จัดการแผนกต้อนรับคนหนึ่งพาทุกคนขึ้นไปที่ชั้น 32

ทันทีที่ออกจากลิฟต์มา หลัวหนานฟางก็ร้องเอ๊ะพลางหยุดฝีเท้า

ไม่ใช่แค่เขา แต่ตงจื้อ หลิวชิงปัว และจางหานก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ อย่างพร้อมเพรียง

“ทำไมเหรอครับ”

เถ้าแก่เจ้าเห็นพวกเขายืนนิ่งจึงรีบหยุดตาม

หลัวหนานฟางมองเข็มทิศในมือโดยไม่พูดอะไร

จางหานเอ่ย “พลังหยินรุนแรงมาก”

เขาชักกระบี่เหรียญทองแดงออกจากถุงผ้า อยู่ในท่าเตรียมพร้อมรับมือ

เถ้าแก่เจ้ากับผู้จัดการแผนกต้อนรับมองหน้ากัน พวกเขาไม่รู้สึกถึงพลังหยินอะไรทั้งนั้น

“ห้องคุณหานอยู่ไหนครับ” ตงจื้อถาม

“เชิญตามผมมาครับ” ผู้จัดการแผนกต้อนรับกล่าวอย่างสุภาพก่อนเดินนำหน้าไป มีแขกผ่านทางมาบ้าง เห็นพวกเขามากันเป็นกลุ่มใหญ่ก็อดมองด้วยสายตาสงสัยไม่ได้

ฝีเท้าของหลัวนานฟางช้าลงเรื่อย ๆ จากที่อยู่ข้างหน้าก็เปลี่ยนมารั้งท้าย เข็มทิศในมือเขาหมุนติ้ว ๆ ทำให้ใบหน้าเริ่มเคร่งขรึมลง

เขาอดดึงชายเสื้อจางหานไม่ได้ ก่อนยื่นเข็มทิศให้อีกฝ่ายดู และกระซิบบอก “ร้ายกาจมาก สงสัยคงรับมือยาก!”

จริง ๆ ทั้งคู่ไม่ได้สนิทกันนัก เพิ่งเจอกันครั้งแรก ระหว่างทางพูดคุยกันไม่กี่ประโยค แต่เทียบกับเฉินกั๋วเหลียงและพวกตงจื้อ หลัวหนานฟางเต็มใจอยู่กับจางหานมากกว่า

หากจางหานไม่ได้หวาดกลัวเท่าอีกฝ่าย ประเด็นคือเขาไม่เห็นภูตผีปีศาจทั่วไปอยู่ในสายตาเพราะความสามารถของตัวเอง ตรงกันข้ามเขาใจเย็นมาก ได้ยินหลัวหนานฟางบอกแบบนั้นจึงพูดยิ้ม ๆ “ไม่ต้องห่วง ผมอยู่นี่”

คนกลุ่มหนึ่งเดินมาถึงหน้าประตูห้องหานฉี หลัวหนานฟางมองเข็มทิศในมือ ใจหายวาบกว่าเดิม

ปกติเขาดูฮวงจุ้ยและเสี่ยงทายดวงชะตาให้ผู้อื่น นับว่าเคยเห็นโลกกว้างมาแล้ว แต่ไม่เคยเจอสถานการณ์ที่ยากแก่การคาดเดาเท่านี้มาก่อน ห้องของนักแสดงหญิงคนหนึ่งจะเอาพลังชั่วร้ายตั้งมากมายขนาดนี้มาจากไหน แถมยังพุ่งตรงไปถึงประตูลิฟต์อีก มันหมายความว่ายังไง

หมายความว่าภายในห้องพักต้องเกิดสถานการณ์ที่เป็นอันตรายยิ่งกว่า

หลัวหนานฟางนึกเสียดายที่ตอบรับคำขอร้องของเถ้าแก่เจ้า และรู้สึกหงุดหงิดไปกับความอยากรู้อยากเห็นของตน แต่พูดอะไรไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว มาก็มาแล้ว จะให้หันหลังกลับออกไป ทำลายภาพลักษณ์ตัวเองคงไม่ได้

ท่ามกลางใครหลายคนที่อยู่ ณ ที่นี้ เขารู้ขีดความสามารถของตัวเองดี ให้ดูฮวงจุ้ยยังไหว แต่ขับไล่วิญญาณชั่วร้าย ตามจับปีศาจอะไรนั่นไม่ใช่ทางเขาเลย เฉินกั๋วเหลียงก็แค่คนท่าดีทีเหลวคนหนึ่ง สู้เขายังไม่ได้ด้วยซ้ำ วัยรุ่นอีกสองคนนั่นอาจมีฝีมือเรื่องชกต่อย แต่ถ้ามีปีศาจจริง ๆ ต่อให้ฝีมือชกต่อยดีแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ว่าตามหลักแล้ว คนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเขาเห็นจะมีแต่จางหานแล้ว

คิดได้ดังนั้น เขาก็กระเถิบตัวเข้าใกล้จางหานอีกนิดอย่างอดไม่ได้

ผู้จัดการแผนกต้อนรับกำลังเคาะประตู

ก่อนหน้านี้โรงแรมได้ต่อสายไปที่โทรศัพท์ตั้งโต๊ะในห้องหานฉี แต่ไม่มีคนรับ

“คุณหาน คุณอยู่ในนั้นไหมครับ รบกวนเปิดประตูให้หน่อยได้ไหม”

เคาะอยู่นานแต่ไม่มีเสียงตอบรับจากภายใน ไม่มีทางไม่ได้ยินเด็ดขาด เว้นแต่ว่าหานฉีกินยานอนหลับไป

หรืออีกนัยหนึ่ง อาจมีอะไรเกิดขึ้นภายในนั้นไปแล้ว

ผู้จัดการแผนกต้อนรับไม่มีทางเลือก จำต้องหยิบคีย์การ์ดออกมาเปิดประตู พร้อมทั้งกำชับทุกคน “เดี๋ยวถ้ามีเหตุการณ์อะไร อย่าเข้าไปทำลายที่เกิดเหตุนะครับ พวกเราจะแจ้งตำรวจเลย”

เสียงติ๊ดดังขึ้น เขาจับลูกบิดประตูหมุน

กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นลอยปะทะจมูก ผู้จัดการแผนกต้อนรับคลายมือออกด้วยความตกใจ เกือบปล่อยให้ประตูปิดอีกครั้ง

จางหานดันตัวอีกฝ่ายออก ขยับไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และเปิดประตูเข้าไป

สีแดง

สีแดงเต็มไปหมด

พื้นพรม กำแพง เพดาน เต็มไปด้วยเลือด

ทุกคนตกตะลึงตาค้าง

ด้วยอารามตกใจ เถ้าแก่เจ้าจึงถอยหลังไปสองก้าวและเผลอเหยียบเท้าเฉินกั๋วเหลียง ฝ่ายหลังไม่ได้โกรธเคืองเพราะกำลังพูดอะไรไม่ออกเช่นเดียวกัน

โลหิตกระจายเป็นหย่อม ๆ อยู่บนพื้นสีเทา คราบเลือดจากนิ้วมือทั้งห้าข่วนกำแพงเป็นรอยลึก บ่งบอกว่าตอนนั้นหานฉีดิ้นทุรนทุรายแค่ไหน

ในร่างกายของคนคนหนึ่งมีเลือดอยู่เท่าไหร่

หานฉีเสียชีวิตไปแล้วหรือเปล่า

คำถามแวบผ่านเข้ามาในหัวทุกคน ก่อนจะได้ยินเสียงคำรามต่ำดังมาจากข้างใน

ราวกับเป็นสัญญาณแจ้งเตือนสุดท้ายที่เปล่งออกมาจากสัตว์ร้ายบางชนิดก่อนการโจมตี

คลื่นเสียงสั่นสะเทือนแก้วหู ชวนให้คลื่นไส้วิงเวียน

ห้องรับแขกเละเทะอยู่ก่อนแล้ว เฟอร์นิเจอร์ชำรุด ผ้าปูที่นอนในห้องนอนก็ถูกกระชากมาที่นี่ เปื้อนเลือดสดไปกว่าครึ่ง

เทียบกับหน้าประตูห้อง กลิ่นคาวเลือดตรงบริเวณนี้ตลบอบอวลไปทั่วยิ่งกว่า ราวกับโลหิตสดเข้มข้นกลายเป็นสสารลอยวนเวียนอยู่ในอากาศ กลบจมูก ดวงตา อวัยวะภายใน ทำให้หายใจไม่ออก อยากอ้าปากอาเจียน

ห้องเพรสซิเดนท์สวีตเก็บเสียงได้เป็นอย่างดี ในหนึ่งชั้นใช่ว่าจะมีคนพักอยู่เต็ม ดังนั้นตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงตอนนี้ ทางโรงแรมจึงไม่ได้รับการร้องเรียนใด ๆ

“โอ้ก!” ผู้ช่วยกับบอดี้การ์ดของเฉินกั๋วเหลียงเอามือยันกำแพง ก้มตัวขย้อนไปแล้ว

คนอื่น ๆ ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก

หลังจากทุกคนเข้ามาแล้วถึงพบว่าเสียงดังมาจากในห้องนอน

เถ้าแก่เจ้ามือเท้าอ่อน ใบหน้าซีดเผือด แต่ติดที่บนกำแพงมีคราบเลือด เขาจึงไม่กล้าเท้ามันเพื่อพยุงตัว

พยายามไม่ทรุดลงไปกลางที่เกิดเหตุ เขากับผู้จัดการแผนกต้อนรับสองคนหมุนตัวทำท่าจะหนีออกไปพร้อมกัน แต่จังหวะที่ความคิดของพวกเขาเพิ่งผุดขึ้นไม่ทันไรนั้น เสียงปังก็ดังขึ้น อยู่ ๆ ประตูห้องก็ปิดเอง ขังทุกคนไว้ภายใน

ผู้จัดการแผนกต้อนรับยื่นมือไปบิดลูกบิดประตู แต่พบว่าทำยังไงก็เปิดไม่ออก จึงหน้าซีดไปถนัดตา

เขาหยิบวิทยุสื่อสารออกมาเพื่อติดต่อกับคนข้างนอกก็มีแต่เสียงรบกวน ไม่มีสัญญาณเลย

ทุกพื้นที่ในห้องนอนเต็มไปด้วยเลือดไม่ต่างกัน

หมอกสีเทาดำ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งเมตรกำลังลอยวนเวียนอยู่เหนือเตียงนอนหลังใหญ่อย่างเชื่องช้า

ความเร็วในการเคลื่อนที่ไม่มาก แต่ทรงพลังอย่างบอกไม่ถูก มันดูดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบ ๆ เข้าไปประหนึ่งหลุมดำ เมื่อตงจื้อกับหลิวชิงปัวไปถึงประตูห้องนอนใหญ่ พวกเขาก็ถูกดึงดูดด้วยพลังอันแข็งแกร่งนี้ ต้องการก้าวไปในนั้นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ แผลเก่าตงจื้อยังไม่หายดี ทำให้เลือดลมตีกันในทรวงอก เขารู้สึกเปียกชื้นที่จมูกเลยยื่นมือไปแตะตามสัญชาตญาณ ปาดได้เลือดมาเต็มมือ

เฉินกั๋วเหลียงที่อยู่ข้าง ๆ เดินไปข้างในพลาง ตะโกนร้องด้วยความตื่นตระหนกพลาง “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!”

หลิวชิงปัวชักกระบี่จากหลังออกมาปักใส่พื้น มือกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย ออกแรงฉุดไปข้างหลัง ดึงตัวออกห่างจากสถานการณ์ล่อแหลม

เฉินกั๋วเหลียงซวนเซไปด้านหลังสองสามก้าว ก่อนทรุดนั่งกับพื้น

“หานฉี!” ฮุ่ยอี๋กวงร้องเสียงหลง

ตอนนั้นเอง ทุกคนถึงเห็นใครคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในซอกมุมหนึ่งของห้องน้ำข้างห้องนอนใหญ่

ตาสองข้างของหานฉีหรี่ปรือเล็กน้อย มองไม่เห็นสีเดิมของชุดคลุมอาบน้ำไปแล้ว สังเกตเห็นราง ๆ ว่าบริเวณหน้าท้องกับลำตัวช่วงล่างมีเลือดไหลออกมาจำนวนมาก หล่อนแน่นิ่งไม่ไหวติง ไม่รู้ว่ายังมีลมหายใจอยู่หรือเปล่า

“นะ…นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เถ้าแก่เจ้าตัวสั่นกึก ๆ

ไม่มีใครตอบเขา

หมอกสีเทาดำเข้มขึ้นเรื่อย ๆ แต่เมื่อพินิจดูให้ละเอียด แท้จริงแล้วสีเทากับสีดำคือพลังสองกลุ่มที่กำลังคุมเชิงกันไม่หยุด สีดำครองความได้เปรียบ สีเทากำลังถูกกลืนกินทีละนิด แต่การดิ้นรนของมันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน กระแสพลังแผ่กระจายไปรอบนอกโดยมีกลุ่มพลังดังกล่าวเป็นวังวน พร้อมกับกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วห้อง แผดเสียงคำรามเข้าใส่ทุกคน

ลมกรรโชกและแรงดึงดูดกวาดของทุกอย่างในห้องนี้ลงกับพื้น และม้วนลอยขึ้นไปกลางอากาศ ทุกคนต้องยึดผนังไว้ให้มั่นเพื่อทรงตัว เถ้าแก่เจ้าถูกเศษโคมไฟตั้งโต๊ะกระแทกร่าง ร้องเสียงโหยหวน

จางหานกัดฟัน กระชับกระบี่เหรียญทองแดงมั่น พุ่งตัวไปข้างหน้า เขาย่างเท้าลงบนเตียง มือข้างหนึ่งถือยันต์ มือข้างหนึ่งถือกระบี่ จ้วงแทงใส่หมอกสีเทาก้อนนั้น

“ผู้รู้แจ้งสี่ธรรมยิ่งใหญ่ ฟ้าดินเป็นสามัญ น้ำไฟดับล้าง ทองน้ำหักโค่น มารปีศาจแม้นพานพบ มล้างผลาญหมดสิ้น ขอจงบันดาลดั่งประกาศิต พิฆาต!”

“อย่า!” หลิงชิงปัวยังร้องไม่ทันขาดคำก็มีเสียงดังกึกก้องคล้ายกลุ่มก้อนพลังปริแตก กระแสพลังซัดออกมาอย่างรวดเร็ว ทุกคนหงายหลังล้มตึงกับพื้น โดยเฉพาะจางหานที่ปลิวไปกระแทกกำแพงอย่างแรง

หมอกสีดำกับสีเทาแยกออกจากกันทันใด หมอกสีเทาได้รับความเสียหายสองต่อจากยันต์และกระบี่เหรียญทองแดง สีอ่อนจางลงไปมากในชั่วพริบตา ตรงกันข้ามกับมวลอากาศสีดำที่ขยายอีกหลายเท่าตัวในเวลาสั้น ๆ และพุ่งไปทางจางหานที่ล้มกระแทกจนวิงเวียนและยังรวบรวมสติไม่ได้!

จางหานฝืนออกแรง เงื้อกระบี่เหรียญทองแดงขึ้นหมายจะต่อต้าน แต่ด้วยแรงกดอัดของกลุ่มพลังสีดำ กระบี่เหรียญปัญจจักรพรรดิ[1]ที่เขาเก็บรวบรวมมาอย่างยากลำบาก เชือกสีแดงของมันตึงขาดโดยไม่คาดคิด เหรียญทองแดงกระเด็นกระจัดกระจายไปทั่วพื้น

เหรียญปัญจจักรพรรดิแบ่งแยกกันตามขนาด เหรียญขนาดเล็กคือเหรียญกษาปณ์ในรัชสมัยห้าจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ชิง คือ จักรพรรดิซุ่นจื้อ จักรพรรดิคังซี จักรพรรดิยงเจิ้ง จักรพรรดิเฉียนหลง จักรพรรดิเจียชิ่ง เนื่องจากเหรียญห้าจักรพรรดิในเวลานั้นหล่อขึ้นจากทองเหลือง อีกทั้งสภาพสังคมในตอนนั้นค่อนข้างสงบสุข เหรียญทองแดงผ่านมือคนนับหมื่น เปี่ยมล้นไปด้วยพลังหยาง เมื่อตกทอดต่อกันมาจึงมีความสามารถในการขับไล่สิ่งชั่วร้าย ส่วนเหรียญห้าจักรพรรดิใหญ่นั้นหาได้ยากยิ่ง มันคือเหรียญทองแดงฉินปั้นเหลี่ยง[2] เหรียญฮั่นอู่จู[3] เหรียญในยุคไท่จง หรือเกาจง หรือเสวียนจงแห่งราชวงศ์ถัง เหรียญทงเป้าในยุคซ่ง รวมถึงเหรียญหย่งเล่อทงเป่าในยุคหมิง การเก็บรวบรวมให้ครบเป็นเรื่องที่ยากมาก คนจำนวนมากจึงใช้เหรียญอู่จูของยุคฮั่นทั้งหมดแทน หรือที่เรียกกันว่ากระบี่เหรียญอู่จู

แต่กระบี่เหรียญทองแดงของจางหานเล่มนี้ไม่เหมือนกระบี่เหรียญอู่จู หรือเหรียญห้าจักรพรรดิเล็กตามท้องตลาด มันคือกระบี่เหรียญห้าจักรพรรดิใหญ่อันมีชื่อเสียงสมคำร่ำลือ และมีเพียงลูกศิษย์จากสำนักมีชื่อผู้มีชาติกำเนิดและมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างเขาเท่านั้นที่จะได้รับ ใครจะไปคิดว่าวิญญาณร้ายตัวนี้จะแข็งแกร่งถึงขนาดกระบี่เหรียญห้าจักรพรรดิใหญ่ของเขาที่มีอยู่น้อยชิ้นยังไม่อาจต้านทาน

จางหานเบิกตาโพลงอย่างไม่อยากเชื่อ เขาทำได้แค่ควักยันต์ออกจากกระเป๋าเสื้อ และขว้างไปทางหมอกดำเป็นพัลวัน

แม้เขาจะเป็นทายาทสายตรงของตระกูลจาง แต่ความสามารถจัดว่าธรรมดาเหลือแสน สำหรับคนธรรมดา การเสี่ยงทายและดูแลจัดการเรื่องต่าง ๆ ในยามปกติ ความสามารถเท่านี้ถือว่าเหลือเฟือแล้ว บวกกับที่เขาออกหาประสบการณ์อยู่ข้างนอกมานับสิบปี ไม่เคยพบเจออะไรที่เหนือบ่ากว่าแรงมาก่อน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความลำพอง นึกไม่ถึงว่าผ่านประสบการณ์มาโชกโชน ในที่สุดก็เจอของแข็งเข้าจนได้

ยันต์กับหมอกดำลุกท่วมเป็นเปลวไฟทันทีที่ปะทะกัน

ยันต์แผ่นนี้ของจางหานไม่ใช่ยันต์คุ้มภัยที่หาซื้อได้ทั่วไปด้วยราคาไม่กี่สิบหยวนตามอินเทอร์เน็ต แต่เป็นยันต์ปราบสิ่งชั่วร้ายของหลงหู่ซานซึ่งเป็นของแท้สมราคา แม้จะเป็นเพราะเหตุผลทางประวัติศาสตร์ในยุคนั้น ตระกูลจางแห่งหลงหู่ซานจึงแตกแยกออกเป็นสองสาย ส่วนหนึ่งไปเกาะไต้หวัน ส่วนหนึ่งอยู่ในแผ่นดินใหญ่ แต่สิ่งที่จางเทียนซือได้รับการสืบทอดไว้ กลุ่มที่อยู่เกาะไต้หวันย่อมได้รับการสืบทอดไปด้วยเช่นกัน ยันต์สะกดปีศาจนี้วาดขึ้นโดยฝีมือของเจ้านิกายตระกูลจางแห่งเกาะไต้หวัน ประสิทธิภาพของมันย่อมไม่ธรรมดา

หมอกดำระเบิดตัวทันที แต่จางหานยังไม่ทันได้ดีใจ กระแสของหมอกดำที่กระจัดกระจายก็กลับมารวมตัวกันใหม่อีกครั้ง ก่อนลอยโฉบไปทางเขา

จางหานตะลึงงัน

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่วินาที ตอนที่เขาอยากลุกขึ้นหลบก็สายเกินไปเสียแล้ว ทำได้แค่หยิบโคมไฟตั้งโต๊ะที่ตกอยู่ข้าง ๆ ปาไปทางหมอกดำ

โคมไฟตั้งโต๊ะทะลุผ่านหมอกดำตกลงบนเตียงโดยไม่เกิดผลใด ๆ และหมอกดำก็อยู่ใกล้แค่คืบแล้ว!

ตายแน่! จางหานคิด จิตใต้สำนึกสั่งให้หลับตา ไม่ต่างกับปฏิกิริยาของทุกคนยามเผชิญหน้ากับอันตรายที่ไม่อาจต่อต้าน

กลิ่นคาวโชยใส่หน้า แต่ร่างกายไม่ได้รับความทรมานจากการถูกหมอกดำฉีกกระชากอย่างที่คิด จางหานรู้สึกแปลกใจ เขาลืมตาขึ้นช้า ๆ พร้อมกับความยินดีที่รอดตายมาได้ เห็นกระบี่เสียบทะลุหมอกดำ ก่อนมันจะถูกผ่าออกเป็นสองซีก ในขณะที่ตัวกระบี่พุ่งตรงไปที่ผนังห้องนอน!

ตงจื้อกระโดดพรวด วิ่งตะบึงไปชักกระบี่ออกมา

หมอกดำที่ถูกผ่าเป็นสองซีกสั่นระริก มีแนวโน้มที่จะค่อย ๆ กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

“เหล่าหลิว!”

ตงจื้อคำรามก้อง ไม่จำเป็นต้องพูดมาก หลิวชิงปัวรับช่วงต่อ กระบี่ยาวถูกชักออกจากฝักที่หลัง แสงกระบี่แปรสภาพไปต่าง ๆ นานา แผ่คลุมหมอกดำ

ทั้งสองไม่ได้มีการซักซ้อมใด ๆ มาก่อนล่วงหน้า แต่จากการจับคู่จัดการกับงูเหลือมยักษ์สามหัวด้วยกันมา ดูเหมือนทั้งคู่จะมีความรู้ใจกันในสนามรบอยู่พอสมควร จึงเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที โดยเฉพาะในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานที่การเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นในชั่วเวลาสั้น ๆ ไม่อาจปล่อยให้โอกาสใดพลาดไปได้

 

ย้อนกลับไปเมื่อสิบนาทีที่แล้ว

หลังจากที่เข้ามา แม้ว่าหมอกดำกลุ่มนั้นดูยากจะรับมือและไม่ง่ายที่จะจัดการ แต่ตงจื้อกับหลิวชิงปัวคิดว่ายังไงจางหานก็เป็นลูกหลานตระกูลจางแห่งไต้หวัน คงต้านได้สักพัก จึงไปสำรวจอาการหานฉีก่อน

หานฉีบาดเจ็บสาหัส หายใจรวยริน แต่โชคดีที่ยังมีลมหายใจอยู่ หลิวชิงปัวเรียนปฐมพยาบาลมา จึงห้ามเลือดให้หล่อนก่อน

ในห้องน้ำมีเลือดเป็นแอ่ง ๆ ไม่ต่างกัน ก้อนเนื้อเลือดโชกเน่าเฟะห้อยต่องแต่งอยู่ข้างอ่างอาบน้ำ ตงจื้อเพ่งมองอย่างละเอียดถึงรู้ว่ามันคือทารกที่ยังไม่เป็นร่าง

หานฉีแท้งแล้วทำไมเหตุการณ์ถึงบานปลายขนาดนี้ แล้วพลังวิญญาณร้ายสีเทากับสีดำในห้องมาจากไหน ปริศนามากมายลอยเคว้งคว้างอยู่เหนือหัว แต่หานฉีอยู่ในสภาพกึ่งหมดสติ ไม่สามารถให้คำตอบได้

หมอกสีเทาขยับเข้าใกล้หานฉีอย่างเชื่องช้า ราวกับต้องการมุดกลับเข้าไปในท้องหล่อน ตงจื้อขว้างยันต์แสงจันทราใบหนึ่งออกไป แต่กลับทำให้มันขุ่นเคืองยิ่งกว่าเดิม ฝ่ายตรงข้ามขยายขนาดทันควัน ส่งผลให้ยันต์แสงจันทราขาดกระจุย หมอกสีเทาสั่นคลอนเล็กน้อย ก่อนค่อย ๆ กลายร่างไปเป็นเด็กทารกคนหนึ่ง

แม่

เสียงบอบบางอ่อนเยาว์ ไม่เหมือนเปล่งออกมาจากหมอกสีเทาที่ดุร้ายแต่อย่างใด

หากหานฉีได้ยินเสียงนี้คงคิดว่าตัวเองเกิดภาพหลอนอีกเป็นแน่ แต่ตงจื้อรู้ว่าไม่ใช่ จริง ๆ แล้วเสียงดังกล่าวเทียบเท่ากับคลื่นเสียง พูดให้ถูกคือสิ่งที่วิญญาณถ่ายทอดสู่มนุษย์ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายอยู่คนละมิติ หลายครั้งจึงอาจไม่ได้ยิน

แม่จ๋า

คล้ายมันต้องการปลุกหานฉีให้ตื่นขึ้น ทั้งยังเจือเสียงสะอื้น ร่างทารกสีเทาก้าวเดินเตาะแตะ ขลาดกลัว โหยหาบุพการีแต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้

ตงจื้อเอ่ยเสียงจริงจัง “ทำไมเธอต้องทำร้ายแม่ตัวเองด้วย แล้วหมอกดำนั่นมันอะไร”

แม่จ๋า…ไม่เอาหนูแล้ว…

แม่ให้คนขังหนูไว้…ทรมานมาก

แล้วแม่ก็ท้องน้องชายอีก

แต่น้องชายจะฆ่าหนู จะฆ่าแม่ด้วย…

ตอนหมอกสีเทาตาย มันยังเป็นวิญญาณของเด็กทารกอยู่ ความสามารถในการสื่อสารขณะนี้จึงมีจำกัด ถ่ายทอดข้อมูลบางส่วนออกมาอย่างกระท่อนกระแท่น ตงจื้อได้ยินแล้วสับสน ปะติดปะต่อความจริงได้แค่นิดเดียว

“ทำไมเขาต้องขังเธอด้วย”

ห้องมืด ๆ…มีคน…น่ากลัวมาก

หนูไม่อยากอยู่ข้างใน

หนูต้องการแม่

ตงจื้อซักไซ้ “เธอโดนขังอยู่ที่ไหน!”

ร่างวิญญาณทารกสีเทาสั่นไหวรุนแรง คล้ายต้องการบอก แต่ถ่ายทอดออกมาไม่ได้

หยก

หยก

ตงจื้อจับต้นชนปลายไม่ถูก ฟังอยู่หลายรอบกว่าจะรู้ตัวว่ามันหมายถึงหยกที่เป็นหินหยก เขาเข้าใจทันที หันไปค้นตัวหานฉีจนทั่ว จนกระทั่งแตะไปโดนแผ่นหยกชิ้นหนึ่งบนคอเธอ

แผ่นหยกสี่เหลี่ยมจัตุรัสความยาวเท่าหัวแม่มือ คุณภาพของหยกไม่นับว่าดีเยี่ยม มีจุดด่างดำปะปน แต่ตัวหยกแกะสลักเป็นรูปเด็กคนหนึ่ง ข้างล่างมีภาษาไทยอยู่ด้วย แผ่นหยกทั้งแผ่นให้สัมผัสแปลกประหลาดบอกไม่ถูก อยู่ในมือไม่ทันไร ไอเย็นจากแผ่นหยกก็แผ่ซ่านเข้าไปในฝ่ามือ ตงจื้อหดมือกลับตามจิตใต้สำนึก ป้ายหยกตกพื้น ไม่ได้แตกกระจายเป็นชิ้น ๆ แค่มีรอยร้าวเพิ่มขึ้นมา

หลิวชิงปัวห้ามเลือดให้หานฉีแล้วเลยเจียดเวลามองแผ่นหยกแวบหนึ่ง ก่อนพูดขึ้น “นี่คงเป็นวิชาอาคมของทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นักไสยศาสตร์ลงอาคมสะกดวิญญาณทารกไว้ในป้ายหยิน ผูกดวงชะตาของเจ้าของไว้กับมัน ส่งผลกระทบต่อกันและกัน  หล่อเลี้ยงกันและกัน วิญญาณทารกค่อย ๆ เติบโตรับใช้ผู้เป็นนาย อวยพรหน้าที่การงานและโชคลาภทางการเงินอะไรจำพวกนี้”

หรืออีกนัยหนึ่ง ก่อนหน้านี้หานฉีท้องลูกคนหนึ่ง ซึ่งก็คือวิญญาณทารกสีเทา แต่ภายหลังเธอแท้ง ไม่ได้คลอดเด็กออกมา จากนั้นเธอก็ไปพบนักไสยศาสตร์ เพื่อสะกดดวงวิญญาณลูกตัวเองไว้ในแผ่นหยก อาศัยสิ่งนี้เพื่อปรับเปลี่ยนโชคลาภของตน และตอนนี้หานฉีก็ตั้งท้องอีก เกิดเหตุขึ้นอีกครั้ง ก้อนเลือดที่อยู่ในห้องน้ำคือทารกในท้องเธอ และกระแสพลังสีดำกลุ่มนั้นก็คือวิญญาณทารกในครรภ์?

เวลาเพียงชั่วครู่ ตงจื้อคิดได้เท่านี้ แต่เขารู้สึกว่ามีตรงไหนสักแห่งไม่ถูกต้อง

ยังไม่ทันขบคิดถึงมูลเหตุและผล ฝั่งจางหานก็ต้านไม่อยู่เสียแล้ว

กลุ่มพลังสีดำแข็งแกร่งเหนือความคาดหมาย ในมุมของตงจื้อ ถึงแม้ความสามารถของจางหานจะเทียบไม่ได้กับหลี่อิ้งที่สำเร็จวิชามาจากลัทธิเต๋าเช่นกัน แต่นับว่าด้อยกว่ากันเพียงเล็กน้อย ไม่ถึงกับต่างกันราวฟ้ากับเหว ขนาดเขายังต้านหมอกดำไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลัวหนานฟางกับเฉินกั๋วเหลียงเลย เพราะแบบนั้นถึงได้มีภาพฉากเหตุการณ์ก่อนหน้าซึ่งเป็นวินาทีแห่งความเป็นความตายของจางหาน และตงจื้อกับหลิวชิงปัวร่วมแรงกันต่อสู้กับหมอกดำ

เมื่อหมอกดำถูกปกคลุมด้วยแสงกระบี่หลายลำของหลิวชิงปัว นอกจากมันจะไม่ถอยและขลาดกลัวแล้ว กลับยิ่งแข็งแกร่ง ขยายใหญ่ขึ้นจนค่อย ๆ กลายร่างไปเป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง แสงกระบี่ตกกระทบส่วนหัวของมัน หมอกดำสั่นสะท้านรุนแรง กระจัดกระจายแต่ไม่แตกกระจุย กำลังจะทนไม่ได้ในอีกไม่ช้า

หลิวชิงปัวเพิ่มแรง ยื่นกระบี่ไปข้างหน้าอีกหนึ่งนิ้ว ปลายกระบี่ทิ่มเข้าไปในส่วนหัวของหมอกดำเล็กน้อย

จังหวะนี้เอง ตงจื้อถอนกระบี่ฉางโส่วออก และโจมตีเข้าทางด้านหลังของหมอกดำ

บึ้ม จู่ ๆ หมอกดำก็ระเบิดตัว กระแสพลังมหาศาลทำให้พวกเขาสองคนล้มคว่ำ หมอกดำอ้าปาก ดูดวิญญาณทารกสีเทาเข้าไปทางปาก

พวกตงจื้อเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้ว่าที่เมื่อครู่หมอกดำทำทีอ่อนแอเพื่ออาศัยจังหวะที่พวกเขาละความสนใจ กลืนกินวิญญาณทารกเข้าไป!

ทั้งสองตกตะลึงไม่ใช่เล่น มองสบตากันจากไกล ๆ ไอเย็นยะเยือกผุดขึ้นจากก้นบึ้งของจิตใจ

หมอกดำยังไม่ทันก่อร่างเต็มที่ก็แสดงเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวร้ายกาจขนาดนี้แล้ว หากมันเติบโตและมีร่างสมบูรณ์จะรับมือด้วยยากขนาดไหน

ตงจื้อนึกถึงสวีหวั่นผู้มักวางกลอุบายเอาแน่เอานอนไม่ได้คนนั้น ปีศาจมนุษย์ที่ทำให้รองอธิบดีสองท่านของกรมจัดการคดีพิเศษต้องออกโรงด้วยตัวเองกว่าจะสังหารมันได้ในที่สุด หมอกดำที่อยู่ตรงหน้านี้ บางทีพลังกับไหวพริบอาจไม่สมบูรณ์พร้อม แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทำไมจะเป็นปีศาจมนุษย์อีกตัวไม่ได้

ต้องฆ่ามันให้ตายที่นี่! ตงจื้อกับหลิวชิงปัวคิดตรงกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ร่างของชายที่กลืนกินวิญญาณทารกไปแจ่มชัดขึ้น เขาเปล่งเสียงหัวเราะหึ ๆ ออกมาจากลำคอ คล้ายต้องการสื่อสารกับพวกเขา

ตงจื้อเห็นเหมือนหมอกดำซึ่งเป็นเจ้าของใบหน้าคลุมเครือยกยิ้มแปลกประหลาดให้เขา

เขาไม่ทันคิดอะไรมาก ลงมือพร้อมกับหลิวชิงปัว

คนหนึ่งพุ่งใส่หมอกดำ ส่วนอีกคนควักยันต์ออกมาปูค่ายยันต์ไปรอบ ๆ หมอกดำอย่างว่องไว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้คนอื่น ๆ ที่มองอยู่ตะลึงงันไปแล้วเรียบร้อย

จางหานค่อนข้างรู้สึกละอายใจ คิดไม่ถึงว่าความหลงตัวเองของตนก่อนหน้านี้จะลงเอยด้วยการรอให้ผู้อื่นมาช่วยชีวิตในท้ายที่สุด

หลัวหนานฟางกลั้นหายใจรวบรวมสติ ภาวนาเงียบ ๆ ว่าพวกตงจื้อจะกำจัดหมอกดำได้สำเร็จ ไม่อย่างนั้นวันนี้ตาแก่อย่างเขาคงถูกฝังทั้งเป็นอยู่ที่นี่

เฉินกั๋วเหลียงหมดแรง ทรุดตัวอยู่ข้างผนัง ตัวสั่นงันงก พูดอะไรไม่ออกนานแล้ว

ครั้งที่แล้วฮุ่ยอี๋กวงเผชิญเหตุการณ์ที่ดาดฟ้าของโรงพยาบาลมา จึงสงบใจได้บ้าง ส่วนเถ้าแก่เจ้ากับผู้จัดการแผนกต้อนรับตกใจจนเป็นลมหมดสติไปแล้ว

ไม่นานจางหานก็จำค่ายยันต์ที่ตงจื้อปูได้ มันเป็นค่ายยันต์ที่ปูขึ้นเพื่อกักขังหมอกดำ ไม่ให้อีกฝ่ายหลบหนี ไม่ใช่ว่าตงจื้อไม่อยากเรียกสายฟ้า แต่เขามีแผลที่ตัว ไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ สู้เลือกวิธีเรียบง่ายและมีประสิทธิภาพจะดีกว่า จางหานกระวีกระวาดควักยันต์กำจัดปีศาจทั้งหมดออกจากกระเป๋าเสื้อ ช่วยตงจื้อปูค่ายยันต์อีกแรง ยันต์สะกดปีศาจของเขาช่วยเสริมค่ายยันต์แปดทิศได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเป็นการช่วยให้ผลลัพธ์ยิ่งออกมาแข็งแกร่ง ตงจื้อไม่ได้ห้ามเขา

หมอกดำเป็นฝ่ายยื่นมือออกไปเพื่อม้วนเข้าหาแสงกระบี่ ทว่าถูกบดขยี้ทันที ร่างของชายคนดังกล่าวแตกกระจายไปทุกทิศทาง ก่อนที่ตงจื้อจะทันสังเวยยันต์แสงจันทรา ผงสีดำในอากาศก็เริ่มกลับมาเกาะกลุ่มกันอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

“เวรเอ๊ย ไม่จบไม่สิ้นสักที!”

หลิวชิงปัวด่าเปิง ถือกระบี่พุ่งเข้าใส่หมอกดำที่เพิ่งรวมกลุ่มกัน ลำแสงสีขาวพัวพันกับหมอกดำยืดเยื้ออยู่ครู่หนึ่ง ได้ยินเพียงหลิวชิงปัวบอกด้วยความเดือดดาลว่า “แม่งเอ๊ย ตงจื้อรีบเข้ามาช่วยกันสิโว้ย!”

ไม่รอให้เขาตะโกนจบ ตงจื้อก็ปูค่ายยันต์เสร็จพอดี!

“ลงมือ!” ตงจื้อตะโกน หลิวชิงปัวเข้าใจโดยไม่ต้องมีคำอธิบาย ชายหนุ่มส่งผ่านพลังไปยังตัวกระบี่ทันที แสงกระบี่สว่างวาบ บดบังหมอกดำแทบทั้งหมดในชั่วพริบตา

กระบี่ฉางโส่วมาถึงในเวลาเดียวกัน มันทะลุผ่านแสงกระบี่ของหลิวชิงปัว เสือกผ่านหมอกดำที่กระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยพวกนั้น แทงเข้าไปที่ใจกลางหมอกดำโดยตรง ยันต์แสงจันทรากลายเป็นไฟอาคมสว่างจ้า ระเบิดแก่นกลางอย่างรุนแรง

บึ้ม!

เสียงระเบิดกึกก้องดังขึ้นข้างหูจางหาน สั่นสะเทือนถึงแก้วหู โลกทั้งใบพลันเงียบงัน เหลือเพียงเสียงดังหึ่ง ๆ

แสงสว่างบาดตาทำให้เขาลืมตาไม่ขึ้นอย่างสมบูรณ์ ภายใต้กระแสพลังมหาศาล ร่างของเขาถูกอัดกระแทกใส่กำแพงอย่างแรงเป็นครั้งที่สอง แผ่นหลังจุกเสียดจนแทบกระอักเลือดออกมา!

พวกแกต้องได้ลิ้มรสเพลิงโทสะที่ทำให้ร่างอวตารพินาศย่อยยับ

ระหว่างที่มึนงง จางหานคล้ายได้ยินคำพูดดังกล่าว

เขาไอสองสามที ฝืนความเจ็บปวดในดวงตา ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ

สภาพห้องเละเทะยิ่งกว่าเมื่อครู่ แต่ในที่สุดประตูก็เปิดได้แล้ว เพราะพนักงานโรงแรมรีบพุ่งเข้ามาจากด้านนอก และมองพวกเขาด้วยอาการตกตะลึงตาค้าง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ตงจื้อกับหลิวชิงปัวทรุดลงกับพื้นไม่ต่างกัน หมอกสีดำกลุ่มนั้นจางหายไปอย่างไร้ร่องรอย น่าจะถูกพวกเขากำจัดไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่ดู ๆ ไปแล้วสภาพพวกเขายังดีอยู่ ไม่ได้สะบักสะบอมแบบตน จางหานคิด

“มันยังอยู่ มันยังอยู่! รีบกำจัดมัน!” จู่ ๆ เฉินกั๋วเหลียงก็ตะโกนโหวกเหวก เส้นประสาทของทุกคนที่เพิ่งคลายตัวลงกลับมาตึงเครียดอีกครั้งในพริบตา

มองไปยังทิศทางที่เขาชี้ ตงจื้อเห็นหมอกดำกลุ่มหนึ่งค่อย ๆ แยกตัวออกจากทารกในห้องน้ำ มันมีขนาดเล็กกว่าก่อนหน้านี้มาก อาจจะเป็นปลาที่รอดแหไปได้ ใจเขากระตุก นิ้วชี้กับนิ้วกลางคีบยันต์ปาเข้าไป

“ฟ้าหนึ่งกำเนิดน้ำ ดินสองกำเนิดไฟ ฟ้าสามกำเนิดไม้ ดินสี่กำเนิดทอง ห้าอยู่ระหว่างกลาง พิชิตความโหดร้าย ขับไล่ภัยพิบัติ โค่นมารดับรอย!”

ยันต์แสงจันทรากลายเป็นเปลวไฟลุกโชติช่วงห่อหุ้มหมอกดำ ในที่สุดทุกคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

หมอกดำกำลังจะดับสลายลงอย่างสมบูรณ์ ทันใดนั้นตงจื้อก็รู้สึกเย็นวาบที่หว่างคิ้ว คล้ายมีอะไรสักอย่างกระโดดออกจากเปลวไฟและดีดพุ่งเข้ามาอย่างฉับไว เขาลองแตะหัวคิ้วดู แต่ไม่มีอะไรผิดปกติ

“เมื่อกี้นายเห็นอะไรไหม” เขาถามหลิวชิงปัว

“เห็นอะไร” หลิวชิงปัวถามกลับด้วยความงงงวย

งั้นคงไม่มีอะไรแล้ว สงสัยจะคิดไปเอง ตงจื้อหายห่วง

ฝ่ายจางหานทั้งขวัญหาย ทั้งรู้สึกอับอาย

เขานึกไม่ถึงว่าชายสองคนที่ตนดูถูกอยู่เงียบ ๆ คิดว่าเป็นสิบแปดมงกุฎก่อนหน้านี้ จะช่วยชีวิตทุกคนไว้ในยามคับขัน

“ขอถามอะไรเพื่อนนักพรตหน่อย วิชายันต์ของคุณ อาจารย์ก็เป็นคนถ่ายทอดให้ใช่หรือไม่” สรรพนามที่เขาใช้เรียกตงจื้อกับหลิวชิงปัวเลื่อนฐานะจาก ‘ไอ้น้อง’ มาเป็น ‘เพื่อนนักพรต’ ทันที

การใช้ยันต์จำเป็นต้องมีการสืบทอดจากสำนักอาจารย์ หากไม่มีอาจารย์ ยันต์ก็ไม่สามารถเกิดประสิทธิผลได้ แต่ชื่อหลงเซิน จางหานฟังแล้วไม่คุ้นจริง ๆ ถึงได้ถามออกไปแบบนั้น

ตงจื้อบอก “วิชายันต์ของผมได้รับถ่ายทอดมาจากนิกายเก๋อเจ้า ผมมีอาจารย์ในนามอีกท่านที่สำนักเก๋อเจ้า”

จางหานทำหน้าคุ้นหูเป็นระยะ อยากย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายสิบนาทีก่อน ฉุดลากตัวเองที่มีท่าทางหยิ่งยโสกลับมาให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องมาหน้าแตกเอาตอนนี้

“นิกายเก๋อเจ้าเป็นหนึ่งในสามนิกายใหญ่ที่มีชื่อเสียงพอ ๆ กับหลงหู่ซานของผม ถึงแม้ผมจะเติบโตที่อีกฝั่งหนึ่งของช่องแคบทะเลตั้งแต่เล็ก แต่ก็เคยได้ยินมา ไม่เคยคิดว่าตอนนี้จะได้มาเจอคุณสองคนที่ศึกษาศาสตร์เดียวกัน ต่อไปถ้ามีโอกาส ขอเชิญไปเป็นแขกที่ตระกูลจางแห่งไต้หวันด้วย!”

หลัวหนานฟางยิ้มเจื่อน ๆ เช่นกัน “วันนี้ต้องขอบคุณพวกคุณสองคนมากที่ช่วยชีวิต ไม่อย่างนั้นตาแก่อย่างผมคงต้องมาจบเห่อยู่ที่นี่ไปแล้ว!”

ขณะที่ฝ่ายพวกเขามัวสาละวนอยู่กับการผูกมิตร ก่อนหน้านี้คนที่อยู่ด้านนอกพยายามเปิดประตูแต่ไม่เป็นผล ยิ่งได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวอึกทึกครึกโครมลอยมาจากด้านใน จึงจำเป็นต้องแจ้งตำรวจให้ช่วยจัดการ

เมื่อตำรวจมาถึง เหตุการณ์ด้านในก็สิ้นสุดลงพอดี ประตูเปิดออกอย่างง่ายดาย แต่พอเห็นภาพเลือดสด ๆ ที่สาดกระเซ็นอยู่ทั่วห้อง ทุกคนก็ได้แต่อ้าปากตาค้างด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด

ด้วยเรื่องของยามาโมโตะก่อนหน้านี้ ตงจื้อเลยเคยติดต่อกับตำรวจลู่เฉิงมาก่อนแล้ว จึงไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับพวกเขา เขาบอกไปว่า “ไม่ต้องตกใจ ที่นี่เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย กรมจัดการคดีพิเศษจัดการแล้ว พวกคุณแค่บอกรองหัวหน้าซ่งที่สืบสวนคดีอาญาก็พอ หรือจะบอกผู้บังคับการเจิ้งไปเลยก็ได้”

เขาหยิบบัตรพนักงานออกมา ตำรวจชั้นผู้น้อยที่มารับช่วงคดีต่อเพิ่งเข้าทำงานไม่ถึงปี ไม่เคยเจอคดีที่วุ่นวายนองเลือดเท่านี้มาก่อน สมองมึนงงไปชั่วครู่ เห็นบนบัตรพนักงานเขียนไว้ว่าเป็นตำรวจเหมือนกันก็ยิ่งสับสนหนักกว่าเก่า แต่เขาไม่กล้าประมาท รีบให้เพื่อนร่วมงานนำตัวหานฉีที่บาดเจ็บสาหัสไม่ได้สติส่งโรงพยาบาล และรายงานขึ้นไปเป็นทอด ๆ สุดท้ายได้รับสายจากผู้บังคับการเจิ้งด้วยตัวเองแบบไม่คาดคิด ยืนยันว่าสิ่งที่ตงจื้อพูดเป็นความจริงทั้งหมด แต่เพื่อรับประกันความปลอดภัย ผู้บังคับการเจิ้งก็ต้องมาดูด้วยตัวเองอยู่ดี

ทางฝั่งตงจื้อโทรศัพท์เรียกมู่ตั่วมาด้วย หางตาแลเห็นเฉินกั๋วเหลียงใช้มือกับเท้าคู่กัน กำลังขยับออกไปข้างนอกเงียบ ๆ ก็อดตะโกนเสียงดังไม่ได้ “หยุดเลย!”

ตำรวจหูตาว่องไว ตะครุบตัวเฉินกั๋วเหลียงไว้ได้ทัน “ทำอะไร จะไปไหน!”

เฉินกั๋วเหลียงเผยรอยยิ้มเหยเกยิ่งกว่าร้องไห้ แค่กำลังจะอ้าปากพูดก็พะอืดพะอมอย่างอดไม่ได้แล้ว “ฉะ…ฉันทนกลิ่นในนี้ไม่ไหวแล้ว!”

หลิวชิงปัวปากยิ้มตาไม่ยิ้ม “คุณเป็นปรมาจารย์มาจากเซียงเจียงไม่ใช่หรือไง ไม่ใช่แขกคนสำคัญของมิสเตอร์หลี่กับเลดี้กงหรอกเหรอ ยังไงก็ควรมีประสบการณ์มากกว่าพวกเรานะ แค่กลิ่นนิดเดียวทำไมถึงทนไม่ได้เสียแล้วล่ะ เฉินกั๋วเหลียง คุณตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าแอบอ้างหลอกลวง เผยแพร่ความเชื่องมงายล้าสมัย ตอนนี้ต้องเชิญตัวไปเพื่อให้ความร่วมมือกับการสืบสวน ลองคิดไปพลาง ๆ นะว่าตัวเองต้องอธิบายอะไรบ้าง!”

เฉินกั๋วเหลียงหน้าเบ้ มือเท้าอ่อนระทวย แต่ไม่กล้าขัดขืนอีก

เถ้าแก่เจ้าเห็นดังนั้นก็นึกถึงเงินค่าฮวงจุ้ยก้อนใหญ่ที่ตนเสียไปก่อนหน้า ในใจปวดตุบ ๆ เป็นระลอกอย่างอดไม่ได้

 

[1] กระบี่ที่นำเหรียญมาเรียงร้อยเข้าด้วยกันด้วยเชือกสีแดง

[2] เงินเหรียญในยุคจักรพรรดิจิ๋นซี มีลักษณะเป็นเหรียญทรงกลม มีรูสี่เหลี่ยมตรงกลางสำหรับร้อยเป็นพวง

[3] เหรียญเงินจีนที่ได้รับการปฏิรูปโดยจักรพรรดิอู่แห่งราชวงศ์ฮั่น

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า