[ทดลองอ่าน] แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ เล่ม 4 ตอนที่ 88

แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ

步天纲 (Bu Tian Gang)

 

梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน

ลลิตา ธ. แปล

 

นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 88

 

ทางตำรวจตระหนักถึงความรุนแรงของเหตุการณ์ ผู้บังคับการเจิ้งมาที่นี่ด้วยตัวเอง มู่ตั่วกับจางชงก็ตามมาถึงในภายหลังด้วย

ตอนนี้ตงจื้อเป็นผู้ดูแลกรมจัดการคดีพิเศษทางฝั่งลู่เฉิง แม้คำนำหน้าชื่อตำแหน่งจะมีคำว่า “ชั่วคราว” อยู่ด้วยก็เถอะ ถึงกระนั้น เขาสามารถกำหนดแผนการให้กับทุกเรื่องที่อยู่ภายใต้การจัดการของกรมจัดการคดีพิเศษในลู่เฉิงได้ จากการหารือของทั้งสองฝ่าย พวกเขาตัดสินใจร่วมมือกันในคดีนี้

สถานที่เกิดเหตุถูกปิดล้อม ก้อนเลือดที่เกิดจากการแท้งของหานฉี เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดธรรมดา กรมจัดการคดีพิเศษจึงนำกลับไปตรวจสอบ

อีกด้านหนึ่ง ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องถูกนำตัวไปบันทึกปากคำ แน่นอนว่าประเด็นสำคัญคือหานฉี เพราะเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนสัมพันธ์กับหล่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้หล่อนบาดเจ็บสาหัสและหมดสติ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการช่วยเหลือแล้ว หากต้องการสอบถามรายละเอียดของคดีก็ต้องรอให้พ้นขีดอันตรายก่อนค่อยว่ากัน คนอื่น ๆ ในกองถ่าย รวมถึงผู้ช่วยหานฉี อาจเป็นบุคคลสำคัญที่เข้าใจรายละเอียดของคดี ทุกคนต้องถูกซักถามหนึ่งรอบ มู่ตั่ว จางชงกับตำรวจร่วมกันสอบสวน

เฉินกั๋วเหลียงก็ถูกตำรวจพาตัวไปปรับทัศนคติด้วย

ส่วนพวกจางหาน หลัวหนานฟาง เถ้าแก่เจ้า ฮุ่ยอี๋กวง ตงจื้อกับหลิวชิงปัวเป็นผู้สอบสวนด้วยตัวเอง

ที่ทำการลู่เฉิงเก่าเกินไป ตงจื้อรู้สึกไม่ดีหากต้องพาใครไปที่นั่น เพื่อไม่ให้เป็นการทำลายภาพลักษณ์ของประเทศชาติ โชคดีที่ผู้บังคับการเจิ้งเข้าใจ จึงให้พวกเขายืมห้องประชุมห้องหนึ่งซึ่งมีหน้าต่างโปร่งใสและโต๊ะสะอาดสะอ้าน

เถ้าแก่เจ้ามีทรัพย์สินเงินทองและบารมีล้นหลาม เปิดห้องพักให้พวกตงจื้อทันทีหนึ่งห้อง ให้ลูกน้องซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ตามไซซ์ของแต่ละคน เพื่อให้ทุกคนชะล้างคราบเลือดบนตัว

สองชั่วโมงต่อมา ทุกคนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและมารวมตัวกันยังห้องประชุมในที่สุด

เถ้าแก่เจ้ามีนิสัยขี้ใจร้อน สุดท้ายเก็บความสงสัยที่อัดอั้นมานานไม่ไหว “ท่านอาจารย์ ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้น!”

ตงจื้อย้อนถาม “ก่อนหน้านี้หานฉีเคยตั้งท้องมาแล้วครั้งหนึ่งใช่ไหม”

เถ้าแก่เจ้าส่ายหัวงง ๆ

ฮุ่ยอี๋กวงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนบอก “สามปีก่อนเหมือนฉันจะเคยได้ยินข่าวลือทำนองนี้ ยังได้ยินมาด้วยว่าเหมือนเด็กคนนั้นจะเป็นลูกของจงห้วน”

จงห้วนเป็นศิลปินชายที่มีชื่อเสียงมากอีกคน ไม่โด่งดังเท่าหานฉี แต่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ได้รับความนิยมล้นหลาม ดาราชายมีอายุการทำงานนาน จินตนาการได้เลยว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เวลาที่เขาจะอยู่ในวงการนับจากนี้ยังอีกยาวไกล

ได้ยินชื่อนี้แล้ว เถ้าแก่เจ้าก็ร้องอ๋อเสียงยาวอย่างสอดรู้สอดเห็น เมื่อเห็นหลิวชิงปัวมองบนใส่ ก็รีบใช้มืออุดปาก บอกเป็นนัยว่าตนไม่ได้สร้างความรบกวน

ฮุ่ยอี๋กวงกล่าว “แต่คุณก็รู้ ในวงการมีข่าวลือมากมาย บางเรื่องคือฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด จริงเท็จปนกัน หลายคนเลยไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง แต่ว่าผู้ช่วยหรือผู้จัดการของเธอคงรู้อะไรมากกว่านี้”

ตงจื้อพยักหน้า “เราจะตรวจสอบยืนยันเรื่องนี้อีกที ที่ผมเชิญทุกคนมาที่นี่หลัก ๆ ก็เพราะมีเรื่องหนึ่งอยากถามพวกคุณ พวกคุณยังจำได้ไหมว่าก่อนที่หมอกดำกลุ่มนั้นจะโดนเรากำจัดไป มันพูดอะไรออกมาประโยคหนึ่ง”

จางหานร้องอ๋า “มีเรื่องแบบนี้จริง ๆ ผมนึกว่าคิดไปเองเสียอีก! เหมือนจะบอกว่า…บอกว่าพวกแกต้องได้…”

“พวกแกต้องได้ลิ้มรสเพลิงโทสะที่ทำให้ร่างอวตารพินาศย่อยยับ!” หลัวหนานฟางอายุมากแล้วก็จริง แต่ความจำยังดีอยู่

จางหาน “ใช่ ๆ ประโยคนี้แหละ แต่ก่อนหน้านั้นยังมีเสียงโน้ตพยางค์อีกเป็นพืด ยาวเกินไป จำไม่ค่อยได้!”

ตงจื้อบอก “ผมอยากให้ทุกคนพยายามทบทวนเสียงทับศัพท์ของพยางค์พวกนั้นให้ได้ ถึงจะจำได้แค่หนึ่งพยางค์หรือสองพยางค์ก็ตาม”

เขากับหลิวชิงปัวถือว่าความจำดีแล้ว แต่ตอนนั้นเป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน แถมตัวโน้ตยังยาวมาก ไม่ใช่ภาษาจีน ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ขนาดตงจื้อยังไม่แน่ใจว่าตนจำทุกอย่างได้ชัดเจน ดังนั้นถึงต้องเชิญทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุมาเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำด้วยกัน

ทุกคนเริ่มเค้นสมองทบทวนความจำ พยายามนึกให้ได้หนึ่งถึงสองพยางค์ที่ตนได้ยิน

แต่แล้วก็ได้รับแจ้งจากทางมู่ตั่วก่อน

หานฉียังอยู่ในห้องผ่าตัด เลือดออกมากขนาดนั้น แถมยังผ่านไปคืนหนึ่งกว่าจะถูกพบตัว จะรอดชีวิตหรือไม่นั้นยังไม่อาจทราบได้ ครั้งที่แล้วผู้ช่วยของหานฉีหกล้มหน้ากระแทกพื้น เศษกระจกทั้งหมดทิ่มตำใบหน้า ลูกตาข้างหนึ่งเกือบบอด ตอนนี้กำลังพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลหลังผ่าตัด แต่เธอมีสติแจ่มชัดดี เข้ารับการสอบปากคำได้

จากที่ถามมา มู่ตั่วพบว่าผู้ช่วยของหานฉีพอจะรู้ตื้นลึกหนาบางอยู่บ้างอย่างที่คาดไว้

สามปีที่แล้ว หานฉีเคยมีความสัมพันธ์กับจงห้วนอยู่พักหนึ่งจริง ๆ ต่อมาทั้งคู่เลิกกัน หานฉีไปทำแท้ง ช่วงนั้นเธออารมณ์ไม่ดีมาก ๆ แถมยังขี้ระแวงไปต่าง ๆ นานา คิดว่าวิญญาณพยาบาทของเด็กยังไม่สลายและคอยตามรังควาน เธอบันดาลโทสะใส่ผู้ช่วยเพราะเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง การงานของหานฉีตกต่ำลงในชั่วข้ามคืน จนกระทั่งหล่อนได้รู้จักกับอาจารย์ไสยศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากท่านหนึ่งในประเทศไทยผ่านการแนะนำของเพื่อน

ตอนนั้นคนที่ไปมีแค่หานฉีกับเพื่อนของเธอ ผู้ช่วยไม่ได้ตามไปด้วย จึงไม่รู้เลยว่าพวกเธอไปเจอและพูดคุยอะไรกับอาจารย์ท่านนั้นบ้าง รู้แค่ว่าหลังจากกลับมาแล้ว สภาพจิตใจของหานฉีดีขึ้นกว่าเดิมมาก เริ่มพูดคุยยิ้มแย้ม ท่าทีที่มีต่อผู้ช่วยก็ไม่จุกจิกและขี้หงุดหงิดเหมือนแต่ก่อน หลังกลับประเทศ งานการของหานฉีกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง ก้าวไปสู่จุดที่สูงกว่าเดิมทีละก้าว ๆ ถึงขั้นได้รู้จักกับคุณหง

“เดี๋ยวนะ เธอบอกว่าคุณหง?” ฟังมาถึงตรงนี้ มู่ตั่วอดขัดจังหวะไม่ได้

ผู้ช่วยพยักหน้า “หงรุ่ย เจ้าของเหรินเหออินเตอร์เนชั่นแนล”

บุคคลผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดัง ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในวงการบันเทิงมากมาย การดำเนินธุรกิจของตนและครอบครัวล้วนเป็นที่จับตามอง เป็นธรรมดาที่มู่ตั่วจะเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง

“คุณหงคนนี้รู้จักหานฉีได้ยังไง”

ผู้ช่วยบอก “ผ่านการแนะนำของเพื่อนค่ะ รู้จักกันในงานเลี้ยงรับประทานอาหาร อ้อ จริงสิ เพื่อนคนนั้นก็คือคนที่พาพี่หานไปประเทศไทย ชื่อต่งเฉี่ยวหลาน เป็นผู้จัดการคนก่อนของพี่หาน ได้ยินว่าทั้งคู่สนิทกันเป็นการส่วนตัว หลังยกเลิกสัญญาแล้ว ยังติดต่อกันตลอด”

“หลังจากนั้นล่ะ” สัญชาตญาณทำให้มู่ตั่วรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้คงไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับต่งเฉี่ยวหลาน หรือแม้กระทั่งหงรุ่ยแน่ ๆ

ผู้ช่วย “หลังจากนั้นพี่หานก็คุยกับฉันเป็นการส่วนตัว บอกว่าอาจารย์ที่ชื่อสนท่านนั้นเฉียบแหลมมาก พูดอะไรก็ตรงกับคำทำนายหมด แม้แต่เรื่องที่เธอจะได้พบคุณหงและตั้งท้องก็ตรงตามที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ต้องยกความดีความชอบให้กับการปลุกเสกคาถาคุ้มครองของอาจารย์ท่านนั้น งานการของเธอถึงราบรื่นไร้อุปสรรค”

มู่ตั่ว “หมายความว่าการตั้งครรภ์ครั้งที่สอง เด็กในท้องคือลูกของคุณหง?”

ผู้ช่วยพยักหน้า “แต่ช่วงนี้พี่หานเริ่มขี้ระแวงอีกแล้วค่ะ บอกว่าเด็กที่ตายไปคนนั้นกลับมาหาเธออีก แถมบอกด้วยว่าอาจารย์ก็ปราบเด็กคนนั้นไม่อยู่ เธอกลัวมาก บนเครื่องบินตอนเรามาลู่เฉิงก็เกือบจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว”

มู่ตั่ว “คุณหงมีแผนจะแต่งงานกับหานฉีไหม”

ผู้ช่วย “เรื่องนี้ฉันไม่ค่อยรู้ค่ะ แต่ดูจากที่พี่หานอารมณ์ไม่ค่อยดี เธออาจไปเจอเรื่องอะไรไม่ได้ดั่งใจมาจากคุณหงก็ได้…ฉันนึกออกแล้ว! เธอเคยบอกด้วยว่า อาจารย์ท่านนั้นบอกเธอว่าเด็กที่เธอตั้งท้องอยู่ตอนนี้เป็นครรภ์มงคล จะนำโชคลาภมาให้ เพราะแบบนั้นเด็กคนก่อนหน้าเลยไม่ชอบใจ อยากกลับมาทำร้ายพวกเธอสองแม่ลูก”

กล่าวถึงตรงนี้ หล่อนก็เผยสีหน้าหวาดผวา “ฉันคิดว่าพี่หานคงหมกมุ่นกับอะไรบางอย่างมากเกินไปจนไม่มีสติแล้ว”

มู่ตั่วเห็นว่าคงซักถามข้อมูลมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว จึงขอให้ตำรวจตามหาตัวต่งเฉี่ยวหลานกับหงรุ่ยไปพลาง และรายงานข้อมูลที่ผู้ช่วยให้มากับตงจื้อไปด้วย

ตงจื้อวางโทรศัพท์ ก่อนเอ่ยกับเถ้าแก่เจ้าที่นั่งอยู่คนแรกทางขวามือของตน “คุณคิดออกหรือยัง”

เถ้าแก่เจ้าพยักหน้า “เหมือนจะร้องว่า…ผัวซัวมั๋วเฮออะไรสักอย่าง!”

ตงจื้อขมวดคิ้ว “แน่ใจไหม”

เถ้าแก่เจ้าบอกอย่างลำบากใจ “พยางค์นั่นมันยาวเกินไป เสียงขึ้น ๆ ลง ๆ แถมยังแปลก ๆ อีก ตอนนั้นผมตกใจแทบตาย นึกไม่ค่อยออกจริง ๆ”

หลิวชิงปัว “ที่ฉันได้ยินคือ…ซัวผัวเว่ยมั๋วเซอ แต่ข้างหลังเร็วไป ฟังไม่ค่อยชัด”

จางหานกับหลัวหนานฟางนึกเสียงพยางค์ที่ตนได้ยินทั้งหมดออกแล้ว ตงจื้อนำสิ่งที่ทุกคนบอกมาบันทึกทีละคำ

คนสุดท้ายคือฮุ่ยอี๋กวง หล่อนเอ่ย “ฉันตรงกันข้ามกับพวกคุณค่ะ ข้างหน้าจำไม่ได้ แต่สองตัวสุดท้ายเหมือนจะเป็นปาถี”

“ผัวซัว/ซัวผัว เว่ยมั๋ว/มั๋วเฮอ ปาถี” ตงจื้อใช้ปากกาชี้บนลายมือตน

หลิวชิงปัวถาม “แล้วที่นายได้ยินคืออะไร”

ตงจื้อบอกอย่างลังเล “ที่ฉันได้ยินเหมือนจะเป็น polo…ty ตรงกลางมันเร็วเกินไป ลืมไปแล้วเหมือนกัน”

เถ้าแก่เจ้าบอก “ไม่เหมือนภาษาอังกฤษ เป็นภาษาฝรั่งเศสอะไรพวกนี้ไหม”

หลิวชิงปัวโคลงหัว “ผมยืนยันได้ว่าไม่ใช่ภาษาฝรั่งเศส เยอรมันกับสเปน”

ตงจื้อพูด  “เอาแบบนี้ ทุกคนเอาสิ่งที่ตัวเองได้ยินมาออกเสียงให้ชัด ๆ หนึ่งรอบ ผมจะอัดเสียงทุกคนไว้แล้วค่อยไปถามนักภาษาศาสตร์ จำไม่ได้ไม่เป็นไร แต่ต้องออกเสียงให้ชัด”

ทันใดนั้นเถ้าแก่เจ้าก็ชูมือ “ท่านอาจารย์ ผมรู้จักนักภาษาศาสตร์ แต่อยู่ปักกิ่ง ถ้าคุณสะดวก ผมจะติดต่อไปเดี๋ยวนี้ พวกเราวิดีโอทางไกลกันได้ไหม”

หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงแรม เถ้าแก่เจ้าดูออกแล้วว่าในบรรดาคนเหล่านี้ใครที่เป็นไม้ประดับ และใครที่เป็นผู้มีวิชาจริง ๆ อย่างตงจื้อกับหลิวชิงปัวสองคนนี้ แค่ลงมือก็กำจัดวิญญาณร้ายอำมหิตขนาดนั้นได้ในพริบตา แม้กระทั่งตำรวจยังปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความสุภาพ ไม่อาจกล่าวได้ว่าความเป็นมาธรรมดา กำลังกังวลอยู่เชียวว่าจะไม่มีโอกาสสานสัมพันธ์กัน ต่อให้ตงจื้ออยากได้ดาวบนฟ้าตอนนี้ เขาก็คงรีบกุลีกุจอซื้อจรวดเพื่อไปเก็บมันแล้ว

หลิวชิงปัวเอ่ย “เราต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์จริง ๆ ไม่เอาพวกปาหี่!”

เถ้าแก่เจ้ายิ้ม “แน่นอนครับ ๆ!”

ผู้เชี่ยวชาญไม่กี่ท่านที่เขากล่าวถึงเป็นคนที่เขารู้จักตอนไปเข้าร่วมงานบรรยายด้านวัฒนธรรมครั้งล่าสุด เดิมทีนักธุรกิจอย่างเถ้าแก่เจ้า ต่อให้เป็นผู้ที่ย่างเท้าเข้าไปในวงการบันเทิงก็ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่กับแวดวงวัฒนธรรมจริง ๆ อยู่ บังเอิญที่งานบรรยายครั้งนั้นได้รับการสนับสนุนจากเขาพอดี ในฐานะสปอนเซอร์ เถ้าแก่เจ้าจึงได้ร่วมรับประทานอาหารหนึ่งมื้อกับบรรดานักวิชาการ มีบทสนทนาอันแสนทรมานเพราะคุยกันคนละภาษา สุดท้ายได้เบอร์โทรศัพท์ที่คงไม่มีวันติดต่อไปมาสองสามเบอร์

แต่ชีวิตคนเรามันมหัศจรรย์แบบนี้แหละ วันนี้มีเหตุให้ใช้งานเบอร์พวกนั้นจนได้ เถ้าแก่เจ้าต่อสาย คล่องแคล่วฉะฉาน แจกแจงให้ฟังเป็นอย่าง ๆ แน่นอนว่าเขายังคงมีไหวพริบ จึงละส่วนที่เกี่ยวข้องกับภูตผีปีศาจ บอกแค่ว่าตัวเองได้ยินคำคำหนึ่งมา แต่ระบุได้ยากว่าอีกฝ่ายพูดภาษาอะไร จึงอยากขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญสองสามท่าน นักวิชาการเห็นแก่หน้าเขาที่สนับสนุนงานบรรยายก่อนหน้านี้ จึงเป็นธรรมดาที่ตอบรับอย่างไม่อ้อมค้อม ด้วยเหตุนี้จึงมีการประชุมทางไกลผ่านวิดีโอทันที

พวกตงจื้อผลัดกันพูดสิ่งที่ตนได้ยิน ผู้เชี่ยวชาญสี่ท่านที่อยู่อีกฝั่งของวิดีโอก้มหน้าขบคิดสักพัก ก่อนต่างคนต่างออกความเห็น

สามคนในนั้นคิดว่าภาษาที่พวกเขาพูดคือภาษาสันสกฤต มีแค่คนเดียวที่คิดว่าอาจเป็นภาษาฮีบรูโบราณ

ในบรรดานักวิชาการสามท่านที่คิดว่าเป็นภาษาสันสกฤต ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสท่านหนึ่งที่วิจัยงานด้านภาษาสันสกฤตโดยเฉพาะปรับเสียงวิดีโอให้ดังขึ้นด้วยความช่วยเหลือของผู้ช่วย ก่อนบอกกับพวกตงจื้อ “ที่พวกคุณพูดมาเมื่อกี้ไม่ใช่ประโยค มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจเป็นคำคำหนึ่ง”

ความจริงตงจื้อกับหลิวชิงปัวก็คาดเดาไว้ในใจราง ๆ แต่การคาดเดาก็เป็นเรื่องหนึ่ง ยังจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบยืนยันจากผู้ทรงคุณวุฒิดังเดิม ถ้อยคำของผู้เชี่ยวชาญอาวุโสจึงเป็นการยืนยันการคาดเดาของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสบอก “ถ้าฉันเดาไม่ผิด เสียงอ่านที่ถูกต้องน่าจะเป็น Pāpīyas”

เขาพูดช้า ๆ ทีละพยางค์

เถ้าแก่เจ้าร้องขึ้นก่อน “ใช่ ๆ ออกเสียงแบบนี้แหละ ผมนึกออกแล้ว!”

ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส “นี่คือเทวบุตรของอินเดียโบราณ แปลตามเสียงคือปรนิมมิตวสวัตตี”

หลิวชิงปัวเบ้ปาก “คงไม่ใช่เทพที่ดีอะไรหรอกใช่ไหม”

ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสพูดอย่างค่อยเป็นค่อยไป “เทวบุตรมารองค์นี้แปลเป็นภาษาจีนคือปัวสวิน หรือเรียกว่าปาปียสฺ[1] ในตำนานเป็นพญามารแห่งความปรารถนาของสวรรค์ชั้นหก ในพุทธคัมภีร์กล่าวไว้ว่าปาปียสฺชอบมาผจญไม่ให้พระพุทธเจ้าปฏิบัติธรรมเป็นชีวิตจิตใจ จิตใจเต็มไปด้วยความคิดชั่วร้ายและความปรารถนารุนแรงเสมอ มีความสุขกับการทำลายโลกมนุษย์ ดังนั้น จึงเรียกอีกชื่อว่า ปีศาจฟ้า[2]

ตงจื้อกับหลิวชิงปัวสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย ต่างมองเห็นความพรั่นพรึงที่ปกปิดไม่ได้จากสีหน้าท่าทางของอีกฝ่าย

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในจังหวะนั้น ตงจื้อกดรับสาย

“มู่ตั่ว”

“ข่าวร้าย” น้ำเสียงมู่ตั่วหอบเล็กน้อย คงวิ่งเต้นหลายอย่างน่าดู

“ว่ามาครับ” ตงจื้อบอก

ราวกับความสุขุมของเขาส่งผ่านไปถึงมู่ตั่ว อีกฝ่ายหอบหายใจชั่วครู่ก่อนสงบลงเล็กน้อย

“หงรุ่ยกับต่งเฉี่ยวหลานหายตัวไปแล้ว บันทึกการเข้าออกประเทศแสดงให้เห็นว่าเมื่อสามวันก่อนพวกเขานั่งไฟลต์บินเดียวกันมุ่งหน้าไปประเทศไทย หลังจากนั้นก็ไม่รู้แล้วว่าไปไหน!”

 

เขตชายแดนไทย-พม่า ป่าทึบ

ที่นี่มีเขตป่าไม้ซึ่งกินพื้นที่กว้างขวาง มีความหลากหลายทางชีวภาพ สภาพอากาศแปรปรวน และภูมิประเทศสูงชัน ต่อให้เป็นนักเดินทางที่มีประสบการณ์กลางแจ้งสูงยังไม่กล้าเหยียบย่างเข้ามาที่นี่สุ่มสี่สุ่มห้า เพราะการเข้าสู่เขตพื้นที่นี้ย่อมหมายความว่าจะหลงทางและเจ็บป่วยได้ง่าย ๆ หรือถูกฝังทั้งเป็นภายใต้กรงเล็บแหลมคมของสัตว์ร้าย ทว่าสิ่งที่อันตรายที่สุดคืออิทธิพลอันสลับซับซ้อนของที่นี่ ธุรกิจค้ามนุษย์ การปลูกพืชเสพติด องค์กรติดอาวุธผิดกฎหมาย ภยันตรายและความโกลาหลที่ไม่อาจจินตนาการได้ในโลกที่สงบสุขเกิดขึ้นที่นี่ในทุก ๆ วัน คนในพื้นที่ที่ได้ยินถึงกับเปลี่ยนสีหน้า ไม่ยินดีที่จะย่างเท้าเข้าไปแม้เพียงครึ่งก้าว

แมลงไม่ทราบชื่อโฉบผ่านแมกไม้เป็นพุ่มพฤกษ์ บินต่ำเลียบไปตามถนนลูกรังข้างหน้า ลอยหึ่ง ๆ เฉียดเหนือศีรษะของคนทั้งสามที่อยู่เบื้องล่างไป

ด้านหน้าคือไกด์ผิวคล้ำ ด้านหลังคือชายหญิงวัยกลางคนแต่งตัวภูมิฐาน ไม่เข้ากับที่นี่ ชายหนุ่มตัวผอมสูง หญิงสาวรูปร่างอ้วนเตี้ย แต่ดูเหมือนทั้งคู่คงเดินมานานแล้ว เดี๋ยวเดียวก็หอบหายใจฮัก ๆ ขาสองข้างเหมือนลากก้อนตะกั่ว ทุกก้าวย่างแสดงถึงความหนักอึ้ง

หากหานฉีหรือผู้ช่วยของหล่อนอยู่ที่นี่ต้องตกตะลึงตาค้างแน่ ๆ

เพราะสองคนนี้ต่างมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหานฉีด้วยกันทั้งคู่

“ต่ง เธอเอาน้ำมาไหม ขอฉันดื่มอึกหนึ่ง” หงรุ่ยกลืนน้ำลายหนึ่งอึก รู้สึกแสบร้อนในลำคอ

เหงื่อไหลออกจากใต้หมวกไม่หยุด ราวกับดวงอาทิตย์ต้องการแผดเผาหยาดเหงื่อทุกหยดของพวกเขาให้เหือดแห้งถึงจะยอมเลิกรา

ต่งเฉี่ยวหลานหยิบน้ำเปล่าขวดหนึ่งออกจากกระเป๋าสะพาย ตัวเองบิดฝาขวด แหงนหน้าดื่มน้ำที่เหลืออยู่ไม่มากจนหมด ก่อนเขย่าขวดเปล่า บอกเป็นนัยว่าไม่มีน้ำแล้ว

“เหลือให้ฉันสักอึกไม่ได้เลยเหรอ!” หงรุ่ยบอกอย่างโมโห

หากยังอยู่ในเมือง อย่าว่าแต่น้ำขวดเดียวเลย น้ำสิบลังก็ไม่อยู่ในสายตาเขา

“ถ้าไม่กินตอนนี้ ฉันคงตายเพราะความกระหายไปแล้ว!” ต่งเฉี่ยวหลานรูปร่างอ้วนท้วม กลัวการเดินทางไกลที่สุดใครจะไปนึก พวกเขาลงรถในหมู่บ้านที่ไม่รู้จักแห่งหนึ่ง เดินมาเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงเต็มแล้วก็ยังไม่ถึงที่หมาย เกือบถึงขีดจำกัดของร่างกายหล่อนอยู่รอมร่อ หอบหนักกว่าหงรุ่ยด้วยซ้ำ

“ผมมีน้ำ!”

ไกด์นำทางได้ยินที่พวกเขาพูดจึงเหลียวหน้ามา ยื่นกระติกน้ำของตนให้

หงรุ่ยมองรอยเปื้อนเป็นวงบนกระติกน้ำด้วยความรังเกียจ แต่ท้ายที่สุดก็เอาชนะความกระหายไม่ได้ รับมาและเงยหน้ากรอกเข้าปากอึกใหญ่

“นายใส่อะไรลงไปในน้ำ” เขาถามไกด์

ไกด์ใช้ภาษาอังกฤษขั้นย่ำแย่อธิบายว่าใส่สมุนไพรชนิดหนึ่งลงไป ช่วยดับกระหายคลายร้อน และป้องกันยุงได้ด้วย

หงรุ่ยรู้สึกว่าน้ำหวาน ๆ อร่อยดี บอกอีกฝ่ายว่าเดี๋ยวให้เอาสมุนไพรมาให้ตนด้วย ไกด์ตอบตกลงอย่างชื่นบาน

“นั่นใช่เรือนของอาจารย์หรือเปล่า” อยู่ ๆ ต่งเฉี่ยวหลานก็ตะโกนขึ้น

“ใช่ เกือบถึงแล้ว!”

ประโยคเดียวของไกด์ทำให้พวกเขาลิงโลดขึ้นมา ทั้งคู่วางความเหนื่อยล้าลงชั่วคราว เร่งฝีเท้าตามหลังไกด์ ก้าวยาว ๆ เข้าไปในเรือนหมู่

พอหงรุ่ยดับกระหายแล้วก็พบว่า หลังจากที่พวกเขาเข้ามาในเขตเรือน แมลงที่ก่อกวนอยู่เหนือศีรษะพวกนั้นก็ดูจะหายต๋อมไปด้วย

นับรวมครั้งนี้ เขาเคยมาเรือนนี้แค่สองหน แต่ยังคงรู้สึกไม่คุ้นอยู่ดี หนำซ้ำยังกลัวเล็กน้อยด้วย

ต่งเฉี่ยวหลานน่าจะมาบ่อยกว่าเขา แต่ไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่า ว่าฝีเท้าของต่งเฉี่ยวหลานดูช้าลง สีหน้าก็แฝงความระมัดระวังมากขึ้น

หงรุ่ยโลดแล่นอยู่ในวงการธุรกิจ พบปะผู้คนมากมาย ตามหลักแล้วเขาควรมีทักษะในการควบคุมสีหน้าของตัวเองแม้ฟ้าถล่มดินทลายอยู่เบื้องหน้า แต่เขากลับรู้สึกหวาดกลัวที่นี่แบบผิดวิสัย ความรู้สึกนี้ล้วนมีสาเหตุมาจากความอ่อนแอไร้ประโยชน์ที่ปรากฏออกมายามมนุษย์อยู่ต่อหน้าพลังอันยิ่งใหญ่ที่ลึกลับและไม่อาจหยั่งถึง

ทุกครั้งที่มายังเรือนของอาจารย์ หงรุ่ยจะได้ลิ้มรสความอับจนหนทางและความขลาดกลัวเช่นนี้เสมอ เขาไม่มีแม้กระทั่งความคิดที่จะต่อต้านแม้แต่น้อย ทำได้แค่ปล่อยให้มันครอบงำ แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่เขายินยอมพร้อมใจ เพราะอาจารย์สนเก่งมากจริง ๆ สามารถนำทุกสิ่งที่หงรุ่ยต้องการมาให้เขาได้

เมื่อพวกเขาก้าวเข้าไปในเรือนหมู่ จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาด

เบาบางเสมือนไม่มี ตลบอบอวลไปทั่วทุกที่ ไม่ใช่กลิ่นไม้จันทน์แต่เข้มข้นกว่านั้น ทำให้ภายในร่างกายเกิดความรู้สึกเป็นสุข และจิตใจเบาสบายโดยไม่รู้ตัว

เรือนหมู่มีอยู่ด้วยกันหลายเรือน ลดหลั่นกันไปหน้าหลัง หลังตรงกลางคือหลังที่ใหญ่ที่สุด มองเห็นบ่าวรับใช้ชายหญิงสวมกระโปรงทรงสอบอยู่ทุกที่รอบ ๆ กลุ่มสิ่งปลูกสร้าง พวกเขาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นพวกหงรุ่ยทั้งสามคน ยังคงทำงานของตัวเองต่อ บ่าวรับใช้หญิงคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่นอกตัวเรือน บอกเป็นนัยให้ทั้งสามถอดรองเท้าขึ้นเรือนไป

หงรุ่ยเดินตามหลังต่งเฉี่ยวหลาน ขึ้นบันไดไปพร้อมกับไกด์ เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย ต้องการมองหาร่องรอยบางอย่างจากท่าทีของต่งเฉี่ยวหลานเพื่อทำให้ตนสบายใจ แต่ช่วยไม่ได้ที่อีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าตลอด ไม่ยอมให้โอกาสนี้ให้แก่เขา

ไกด์นำทางแหวกผ้าม่านลูกปัดเข้าไปในห้องโถงใหญ่ หงรุ่ยตามหลังไป แสงหรี่ลงทันที

ในห้องโถงมีคนอยู่สองคน

คนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง ส่วนอีกคนนั่งคุกเข่าอยู่ข้างหลังอีกฝ่าย

ไกด์คุกเข่านำลงไปก่อน ก้มกราบเบญจางคประดิษฐ์ หน้าผากแนบสนิทพื้น การเคลื่อนไหวของมือเท้าไม่มีตรงไหนเลยที่ไม่แสดงถึงความเคารพเลื่อมใสเป็นที่สุด

หงรุ่ยกับต่งเฉี่ยวหลานรู้จักอีกฝ่ายทั้งคู่ รีบทำความเคารพอย่างนอบน้อม “คารวะ อาจารย์สน”

ภาษาอังกฤษของสนคล่องแคล่วกว่าภาษาตะกุกตะกักของต่งเฉี่ยวหลานมาก อีกทั้งเส้นเสียงของเขายังทุ้มต่ำ เจือความนิ่มนวลที่ไม่อาจพรรณนาได้ด้วย

เขาถือธูปในมือ มองแขกที่ไม่ได้รับเชิญทั้งสอง ใบหน้าไร้ความประหลาดใจใด ๆ

“ยังไม่ถึงเวลานัดหมาย”

ภายในห้องมืดทึมและเย็นยะเยือก เข้าขั้นหนาวเสียด้วยซ้ำ แต่เหงื่อของต่งเฉี่ยวหลานกลับไหลออกมามากกว่าตอนอยู่นอกห้องเสียอีก

หล่อนโขกศีรษะก่อน จากนั้นค่อยบอก “คะ…คืออย่างนี้ค่ะ ทางหานฉีเรียบร้อยดีทุกอย่าง พวกเราเลยตั้งใจมารายงานอาจารย์ แล้วก็มีเรื่องอยากถามอาจารย์ด้วย ขออาจารย์โปรดชี้ทางให้ด้วยค่ะ”

สน “เรื่องอะไร”

หงรุ่ยรีบบอก “ตอนแรกผมอยากเกลี้ยกล่อมให้หานฉีคลอดเด็กออกมาก่อน แต่เธอจะแต่งงานให้ได้ แต่สิ่งที่อยู่ในท้องเธอเป็น…ถ้าผมแต่งงานกับเธอ จะไม่…จะไม่เป็นการดูหมิ่นหรือครับ ช่วงนี้อารมณ์ของหานฉีไม่คงที่เลย ผมกลัวว่าจะส่งผลต่อทารกในครรภ์ ท่านคิดว่าผมควรทำยังไงดี”

ดวงตาของสนหรี่ยาว ตอนหรุบตาลงมองพวกเขานั้นยิ่งเหมือนกำลังหลับตาพูด แต่ที่ทำให้พวกหงรุ่ยตกตะลึงอ้าปากค้างกลับเป็นประโยคที่เขาเอ่ยออกมา

“ทารกในครรภ์เสียชีวิตแล้ว หานฉีไม่มีประโยชน์อีกต่อไป”

สีหน้าหงรุ่ยเปลี่ยนไปถนัดตา “ปะ…เป็นไปไม่ได้! สามวันก่อนผมจะมายังติดต่อเธออยู่เลย!”

สนเอ่ยเสียงเรียบ “วิญญาณทารกครรภ์ก่อนของเธอที่ฉันจับขังไว้ในแผ่นหยกเพราะคิดจะใช้มันบำรุงครรภ์ของเธอในตอนนี้ ต้องการขัดขืนมาโดยตลอด อีกทั้งครั้งนี้ยังร่วมมือกับคนนอก ฆ่าภาชนะซึ่งเป็นครรภ์รองรับไอปีศาจเสี้ยวหนึ่งของท่านปาปียสฺอีกต่างหาก”

“ละ…แล้วจะทำยังไง…”

หงรุ่ยหน้าซีดราวกับคนตาย ปราศจากท่าทีของผู้ที่พูดคำไหนคำนั้น มีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือใครในโลกธุรกิจอย่างสิ้นเชิง

สนหลับตาลง “ของเล่นที่ซื่อสัตย์ของฉันได้เข้าไปในตัวคนที่ทำลายภาชนะแล้ว ต้องให้มันได้รับผลกรรมอย่างสาสม แต่ถ้าไม่ใช่เพราะความผิดพลาดของเธอ เรื่องพวกนี้คงไม่เกิดขึ้นตั้งแต่แรก”

หงรุ่ยโขกหัวสุดแรง “อาจารย์ยกโทษให้ด้วย! ผมสำนึกผิดแล้ว คราวนี้ผมจะหาภาชนะที่ดีกว่าเดิมมาให้นายท่านอีกครั้งให้ได้!”

สน “ไม่ต้อง ฉันหาได้แล้ว”

ผู้พูดลืมตา เผยรอยยิ้มที่เรียกได้ว่าเป็นมิตรให้กับหงรุ่ยและต่งเฉี่ยวหลาน

“พวกเธออยากเห็นไหม”

ต่งเฉี่ยวหลานอยากบอกเหลือเกินว่าไม่อยาก แต่กลัวจะเป็นการยั่วโทสะอาจารย์ หล่อนมองหงรุ่ยที่จิตตกแวบหนึ่ง ก่อนพูดด้วยความระมัดระวัง “ถ้าอาจารย์อยากให้เราเปิดหูเปิดตา เราก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!”

“งั้นตามฉันมา” สนลุกขึ้น เดินเข้าไปข้างใน

“ตามมา” ลูกศิษย์ที่อยู่ด้านหลังอีกฝ่ายหันมาเอ่ยเสียงเย็นกับทั้งคู่

ต่งเฉี่ยวหลานเห็นหงรุ่ยลุกไม่ขึ้นจึงยื่นมือไปฉุดเขา กระชากตัวเข้าไป

 

ผ่านทางเดินหนึ่งมา พวกเขาหลายคนก็มาถึงห้องอีกห้อง

ในห้องปิดทึบ หน้าต่างทุกบานปิดสนิท และใช้ผ้าโปร่งสีดำคลุมทับอีกชั้น ที่มุมทั้งสี่จุดเทียนยาวเป็นแถว แสงเทียนสีแดงหรุบรู่ส่ายไหว ดุจไฟแห่งชีวิตที่ดับลงได้ทุกเมื่อ ก่อให้เกิดความร้อนรนในใจ

ต่งเฉี่ยวหลานเข้ามาในห้องไม่ทันไรก็ตกใจสะดุ้งโหยง

เพราะผู้หญิงคนหนึ่งกำลังหันหน้ามาทางเธอ หล่อนถูกจับยืนอยู่ในโลงแก้ว ภายในโลงแก้วมีของเหลวสีเหลืองที่ไม่รู้ว่าคืออะไรไหลวน ห่อหุ้มหญิงสาวผู้เปลือยกายไว้ภายใน รูปร่างสมบูรณ์แบบ ผมสีทอง ผิวขาวราวหิมะ ทำให้ต่งเฉี่ยวหลานอดมองนาน ๆ ไม่ได้ ยิ่งเพ่งดูยิ่งรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้สวยจนราวกับไม่ใช่คนจริง ๆ หล่อนอยู่ในวงการบันเทิงมาหลายปี ผู้หญิงสวย ๆ ที่เคยพบมีไม่ถึงพันก็ต้องเกินร้อย แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนสวยจนชวนสะกดสายตาขนาดนี้มาก่อน ส่งผลให้หล่อนเปล่งเสียงทอดถอนใจเบา ๆ อย่างอดไม่ได้

หลังถอนหายใจ หล่อนเพิ่งรู้สึกทันใดว่าตนเสียกิริยา จึงกระวีกระวาดคุกเข่าลงพลางบอก “อาจารย์ เมื่อกี้ฉันเสียมารยาท คือมัน คือ…”

“เพราะเธอสวยมากใช่ไหม” สนยิ้มน้อย ๆ คล้ายคุ้นเคยกับปฏิกิริยาทำนองนี้ของเธอแล้ว

หงรุ่ยก็มองตาค้างไม่แพ้กัน แต่เมื่อได้ยินคำพูดสน เขาก็รีบบังคับตัวเองให้เบนสายตาออกมาอย่างยากลำบาก

ต่งเฉี่ยวหลานลนลานพยักหน้า “ใช่ ๆ! เธอสวยเหลือเกินค่ะ ฉันตะลึงไปเลย สมแล้วที่เป็นอาจารย์ ผู้หญิงสวย ๆ แบบนี้ยังหามาได้!”

ท่าทางของสนก็พอใจมากเช่นกัน สายตาที่มองหญิงสาวคล้ายกำลังมองงานศิลปะไร้ที่ติชิ้นหนึ่ง

“ฉันก็คิดแบบนั้น เธอจะเป็นภาชนะที่ดีที่สุดในการให้กำเนิดท่านปาปียสฺ ดีกว่าหานฉีร้อยเท่า”

หงรุ่ยปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะให้อีกฝ่ายลืมหานฉีเสีย จึงรีบคล้อยตามไม่ขาดปาก แต่ต่งเฉี่ยวหลานไม่ได้ยินเสียงในใจเขา ยังคงพูดอย่างไม่ถูกเวล่ำเวลา “หานฉีผู้หญิงคนนั้น ไม่ต้องสนใจแล้วใช่ไหมคะ”

สนไม่ได้ตอบคำถามหล่อน ตอนนั้นเอง เสียงครางต่ำก็ดังขึ้นจากข้าง ๆ ต่งเฉี่ยวหลานกับหงรุ่ยหันมองไปตามเสียง ก่อนตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนทันที ต่งเฉี่ยวหลานถึงขั้นซวนเซไปด้านหลังตามจิตใต้สำนึก ร่างอ้วนท้วมรองรับการเคลื่อนไหวฉับพลันไม่ไหว ล้มกระแทกพื้นอย่างแรง

หงรุ่ยไม่มีกะจิตกะใจมาสนอีกฝ่าย เพราะปฏิกิริยาของเขาดีกว่าต่งเฉี่ยวหลานแค่หน่อยเดียวเท่านั้น

พวกเขาสองคน คนหนึ่งเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ คนหนึ่งเป็นผู้จัดการชื่อดัง พบเห็นโลกมามาก ในโลกภายนอกมีใครหลายคนเข้ามาขอความช่วยเหลือจากพวกเขาถึงที่ทุกวันด้วยซ้ำ นี่คือคนสองคนที่มีชีวิตอยู่บนยอดพีระมิด

ทว่าตอนนี้ พวกเขาอ้าปากกว้างไม่ต่างอะไรกับกบที่ผุดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ถลึงตาจ้องไปยังบริเวณหนึ่งภายในห้อง ไร้ซึ่งมารยาทและภาพลักษณ์

หงรุ่ยจำต้องระดมพลังจากทั่วสรรพางค์กายมาบังคับตน ถึงจะควบคุมแรงกระตุ้นของตัวเองไม่ให้วิ่งหนีไปข้างนอก

ศีรษะมนุษย์ตั้งอยู่บนโต๊ะ

อีกฝ่ายมีใบหน้าอย่างชาวเอเชีย ผมยาวเล็กน้อย ปรกข้างแก้มนิดหน่อย หากอยู่ในสถานการณ์ปกติคงเป็นใบหน้าที่ดูหล่อเหลาและเปี่ยมเสน่ห์

แต่ถ้ามีแค่หัวอย่างเดียวก็คงไม่ถึงขนาดทำให้พวกหงรุ่ยที่ผ่านโลกมามากหวาดผวาได้ขนาดนี้

ดวงตาบนหัวมนุษย์คู่นั้นกำลังลืมขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มแปลก ๆ มาทางหงรุ่ย คล้ายกำลังทักทายพวกเขา

เมื่อพิศให้ละเอียด ลูกตาของอีกฝ่ายยังขยับได้ด้วย ใบหน้ากระตุกเล็กน้อย ไม่มีอะไรต่างจากคนเป็นๆ

เว้นเสียแต่ว่าไม่มีร่างกาย

ถ้าหากตงจื้อกับมู่ตั่วอยู่ที่นี่คงจำเพื่อนเก่าคนนี้ได้ทันที

“ดีขึ้นหรือยัง”

สนเคยชินกับการมีอยู่ของหัวมนุษย์นี่แล้ว เขาทอดน้ำเสียงอ่อนโยนคล้ายกำลังไต่ถามสารทุกข์สุกดิบเพื่อนเก่า

แต่ยามาโมโตะ คิโยชิ ไม่ยอมรับน้ำใจ ตรงกันข้ามกลับพูดอย่างดุดัน “นายคิดว่าสภาพฉันเป็นแบบนี้แล้วยังจะสบายดีอยู่ได้เหรอ นายมาลองดูบ้างไหมล่ะ!”

 

[1] ปาปียสฺ แปลว่าผู้มีบาป มาร

[2] ปีศาจฟ้า ในศาสนาพุทธเรียกว่ามารหรือมารา

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า